คำตอบของหลวงพ่อคำเขียนต่อคำถามต่างๆ
ถาม
กระผมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า
ในช่วงแรกสุดที่หลวงพ่อไปปฏิบัติกับหลวงพ่อเทียนใช้เวลาเท่าใด ?
ตอบ
เดือนหนึ่ง ตอนที่เป็นฆราวาส
ถาม
ที่จิตเปลี่ยนครั้งแรกนะครับ
ตอบ
เดือนหนึ่งเต็มๆ ตอนแรกสิบวันแล้วก็ยังไม่รู้อะไร
บางคนเขาบอกว่าเจ็ดวันเท่านั้นนะ รู้รูป รู้นาม โยมทำไมไม่รู้ เณรน้อยๆมาถาม
พี่ทำไมไม่รู้ ผมปฏิบัติเจ็ดวันรู้เรื่องรูป เรื่องนามแล้ว.
หลวงพ่อก็เลยใจไม่ค่อยดี ต้องไปถามหลวงพ่อเทียนว่า หลวงพ่อครับคนที่มาปฏิบัติกับหลวงพ่อไม่รู้อะไรเสียเลยมีไหม
?. หลวงพ่อเทียนท่านตอบว่า ไม่มี. คงจะเป็นผมนี่แหละเป็นคนแรก.
คิดว่าอย่างนั้นนะ จนมีปมด้อยขึ้นมา พอได้เกือบเดือนก็เลยมาเข้าใจเบื้องต้น
จับเส้นทางได้ รู้จักรูป รู้จักนาม รู้จักกาย รู้จักใจ ไม่ถูกกายหลอก ไม่ถูกใจหลอก
ทำให้ได้ทิศทางและมั่นใจ.
ถาม
ในขณะนั้นหลวงพ่อใช้วิธีสร้างจังหวะหรือเดินจงกรมครับ ?
ตอบ
ตอนที่รู้อยู่นั้น กำลังเดินจงกรมอยู่ ตอนทำใหม่ๆนั่งไม่ค่อยได้
พอนั่งจะรู้สึกง่วงนอน เลยเดินเอา ส่วนมากจะเดินเอา เดินแล้วรู้ หลีกหนีการนั่ง
การนั่งนี่เรื่องมาก ใหม่ๆนั่งไม่ค่อยได้ บางทีฝนตกต้องกางร่มเดินนะ
เพราะนั่งแล้วมันง่วง.
ถาม
ครั้งที่สองเล่าครับหลวงพ่อ หลังจากนั้นอีกนานไหมครับ ?
ตอบ
พอรู้เรื่องรูปเรื่องนามแล้ว ไม่ใช่รู้เรื่องรูปเรื่องนามอย่างเดียว
คล้ายๆกับว่า มันมีพละกำลัง เหมือนกับว่าเราไม่ได้ทำ ดูแล้ว รู้ไปเลย พอรู้ ก็รู้ๆๆ
รู้อะไร หลุดอะไร มันพ้นอะไร มันก็รู้ไปเรื่อยๆเป็นลำดับ สิ่งที่ถูกหรือผิด
เราก็ได้คำตอบ คิดว่าจะไปเถียงหลวงพ่อเทียน ถ้าหลวงพ่อเทียน ไม่รับว่าถูก เช่น
การเห็นรูปเห็นนามนี้ ถ้าหลวงพ่อเทียนว่าไม่ใช่ หลวงพ่อจะยืนยัน คือ มันมั่นใจ.
รู้จักสมมติ รู้จักบัญญัติ รู้เรื่องบุญ รู้เรื่องบาป จิตใจก็หลุดพ้นออกไป
ต้องหัดปฏิบัติ. ตอนที่กลับมาที่นี่มาบวชนะ ก็มาปฏิบัติ พอมารู้เรื่องศีล
เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ไปมีศีลแล้วจึงรู้ว่าตัวเองมีศีล
เรื่องอารมณ์นี่คิดว่าจบตั้งแต่ปีแรกเลย แต่ว่ามันยังไม่เป็น . (รู้ทิศทางที่จะปฏิบัติไปสู่ความหลุดพ้น
แต่ยังปฏิบัติไม่ถึงสภาวะนั้น) ปีที่ ๓ จึงเข้าใจจริงๆ
ได้คำตอบมันไม่รู้หรอกว่ามันเป็นแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะเป็นแล้ว.
ถาม
ปีที่สาม นี่คือการเปลี่ยนครั้งสุดท้ายใช่ไหมครับ ?
ตอบ
ใช่ ครั้งสุดท้ายปีที่สาม.
ถาม
กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ในช่วงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?
ตอบ
ไม่รู้จะพูดอย่างไร สิ่งที่มันเคยมีเกิดไม่มีขึ้นมา เป็นทั้งรูปธรรม
เป็นทั้งนามธรรม สิ่งที่ไม่เป็นก็เป็นขึ้นมา หลวงพ่อไม่ได้ว่าเป็นพระอรหันต์
ไม่ได้ว่าบรรลุธรรมนะ เกิดเปลี่ยนแปลงในชีวิตของหลวงพ่อ สิ่งที่ไม่เคยเป็น เช่น
เรื่องของรูปนี้หมดไป สิ่งที่ไม่เคยเป็นมันมีขึ้นมา สิ่งที่มันมีขึ้นมาเป็นอย่างไร
เราใช้ได้ ใช้กระทั่งทุกวันนี้ ไม่ผิด สิ่งที่มันเป็นเราจะเอามาใช้อีกมันใช้ไม่ได้
สิ่งที่เคยมีมาแต่ก่อน สมมติว่าเราเคยใช้สิ่งนั้น เดี๋ยวนี้มันใช้ไม่ได้
มันจืดไปหมด หมดเรื่องหมดราวไป.
ถาม
วิชาความรู้เกี่ยวกับคาถาอาคมอันนั้นล่ะครับ .
ตอบ
อันนั้นมันหมด หมดตั้งแต่เบื้องต้นนะ ตั้งแต่หลวงพ่อรู้รูปนาม รู้สมมตินะ
เรื่องที่หลวงพ่อมีความสำคัญมั่นหมายว่า ตัวเองเป็นคนดีคนเด่นเรื่องไสยศาสตร์
หมดไปเลย จืดชืดไปเลย หมดความสงสัย ตั้งแต่นั้นมาไม่ข้อง ไม่ติด เรื่องของคาถาอาคม
พิธีกรรมต่างๆ ที่เป็นสมมติที่เป็นบัญญัติแต่ก่อนเคยหลงมัน บัดนี้ไม่หลงแล้ว
เหือดแห้งไปเลย เมื่อกลับไปบ้านก็ไปเปลี่ยนทิศทางการดำเนินชีวิตใหม่
แต่ก่อนหลวงพ่อกลับไปบ้าน จะมีพี่ๆน้องๆเอาด้ายมาให้ผูกแขน ทำน้ำมนต์ ทำนั่นทำนี่
บัดนี้ก็หยุด เลิกไปตามๆกัน แต่นี้ไป ไม่ต้องทำแล้ว ต้องเชื่อตัวเอง กรรมเป็นของตน
สั่งห้ามพ่อแม่พี่น้องหมดเลย.
ถาม
หลวงพ่อครับแล้วในครั้งสุดท้ายนี่ หลวงพ่อเดินอยู่หรือนั่งอยู่ครับ.
ตอบ
เมื่อฉันข้าวเสร็จ กำลังนั่งอยู่.
ถาม
ตอนเช้าหรือครับ.
ตอบ
ตอนเช้า ก็สร้างจังหวะนั่งพิงเสาเล็กๆ
ถาม
ที่ไหนครับ?
ตอบ
ที่ป่าพุทธยาน วันนั้นใกล้เวลาฉันเพล พอฉันเพลเสร็จ พระทั้งหมดลุก
หลวงพ่อก็ยังไม่ลุก นั่งมองหลวงพ่อเทียนท่านอยู่ เพราะขณะนั้นมีพระมาก
หลวงพ่อเทียนเห็นหลวงพ่อไม่ลุกก็มาถาม ก็พูดให้ท่านฟัง ท่านว่า โง่แล้ว โง่แล้ว
พอสิ่งนั้นหลุดขาดออกไปให้กลับมานี่สิ หลวงพ่อเทียนดุหลวงพ่อ คุณไปทำใหม่
ดังนั้น ครูอาจารย์ก็มีความจำเป็นเหมือนกันนะเพราะเราไม่ค่อยชำนาญ
เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงบอกว่า
หลวงพ่อเทียนนี่แหละเป็นคนสอนเป็นครูเป็นผู้ให้กำเนิดสติปัญญา
เรื่องนี้ไม่มีใครสอนหลวงพ่อ มีแต่สอนเรื่องอื่นรู้อย่างอื่น.
ถาม
แล้วขณะหลังจากหลวงพ่อหลุดหรือวางจากสิ่งนั้น
สิ่งที่หลวงพ่อคิดถึงเป็นเรื่องแรกที่สุดคืออะไร ?
ตอบ
หลวงพ่อคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ ธรรมชาติของมนุษย์ที่เกิดมา พ่อแม่เลี้ยงเรา
ธรรมชาติที่สร้างโลกให้ คนเกิดมาจนกระทั่งยอมให้มีการตั้งครรภ์พร้อมทุกข์ยาก
เพื่อให้คนเกิดมารู้เรื่องนี้ ถ้าคนเกิดมารู้เรื่องนี้
ก็เรียกว่าธรรมชาติสร้างโลกมาเพื่อมารู้เรื่องนี้ก็ถือว่าสมแล้ว
พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมาก็เพื่ออันนี้ต่างหาก ถ้าลูกไม่รู้ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
จึงให้เรียนรู้ การเกิดมาเพื่อไม่เกิดก็รู้เท่านั้น คิดเท่านั้น ก็รู้ไปอีกว่า อ้อ...
หลวงพ่อเทียนจะใช้อะไรเรา หลวงพ่อเทียนจะให้เราทำอะไร เราจะเชื่อหลวงพ่อเทียน
ก็ไปถามหลวงพ่อเทียนเลยว่า หลวงพ่อจะให้ผมทำอะไร ? ท่านจึงตอบว่า ถ้าสภาวธรรมที่เกิดขึ้นมีจริงก็ช่วยสอนกันต่อไป
ช่วยกันพูด ช่วยสอนคน ไม่ได้ใช้ให้ทำอะไร.
ถาม
แล้วหลวงพ่อคิดถึงโยมพ่อโยมแม่ อยากจะช่วยท่านหรือเปล่าครับ ?
ตอบ
ก็คิดเหมือนกัน พอเข้าใจเรื่องนี้ก็ไปหาโยมแม่เป็นคนแรกเลย
บังคับโยมแม่เลยนะ โยมแม่ไม่เคยนอนป่าช้าเลย หลวงพ่อก็ไปบังคับ ท่านก็บอกว่า
จะให้ไปได้อย่างไร เกิดมาไม่เคยไปนอนป่าช้า ก็หาเพื่อนให้โยมแม่คนหนึ่ง
คือโยมแม่ของหลวงพ่อบุญธรรมเพราะเป็นญาติพี่น้องกัน
ไปบังคับให้โยมแม่นอนป่าช้าและไปชวนผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นญาติของพวกทางบ้านนะ
เอาไปฝึกหัด นึกว่าจะเป็นเหมือนหลวงพ่อ พอมาสอนเข้าจริงๆกลับไม่เป็น
ทีแรกหลวงพ่ออยากให้คนทั้งหมดอยู่ในกำมือของหลวงพ่อ สอนให้คนรู้เลยทั้งหมด
มันต้องเป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกคน ถ้าไม่เป็นอย่างนี้มันไม่ถูก
หน้าที่ของคนเรามันต้องมานี่ มันเป็นสูตรสำเร็จมาเลย
ถ้าไปที่อื่นไม่ถูกมันต้องเป็นหน้าที่มนุษย์ที่จะมารู้เรื่องนี้.
สำหรับแม่ หลวงพ่อก็ถือว่าแม่นี่ยังเป็นผู้สำคัญที่สุด
หลวงพ่อจะไปสอนจนกว่าหมดลมหายใจ ก็จะไปพูดอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็พูด พยายามพูด
ถ้าไม่ได้แม่ หลวงพ่อคงไม่ได้อยู่อย่างนี้.
ถาม
เดี๋ยวนี้โยมแม่อายุเท่าไหร่แล้วคะ ?
ตอบ
อายุ ๘๐ ปี.
ถาม
แล้วโยมพ่อยังอยู่ไหมคะ ?
ตอบ
โยมพ่อไม่มี เสียชีวิตตั้งแต่หลวงพ่อเล็กๆถ้าโยมพ่ออยู่ก็คงจะดี
ที่หลวงพ่อรู้นะ โยมพ่อเป็นคนเอาจริงเอาจัง เป็นคนดีนะ เป็นที่ยอมรับของพี่น้อง
ของคนในบ้านในชุมชน เป็นที่เคารพรักของคนทั่วไป ไม่เป็นศัตรูกับใคร
โยมพ่อของหลวงพ่อมีความคิดดี หลวงพ่อยังเสียดายอยู่.
ถาม
หลวงพ่อมีบุตรกี่คน
ตอบ
คนเดียว ตอนหลวงพ่อไปบวช ภรรยามีท้องได้ ๔ เดือน.
ถาม
ตอนที่ตัดใจมานั้นรู้สึกลำบากใจไหมคะ.
ตอบ
แต่ก่อนที่จะมาทีแรกนี่ห้าสิบห้าสิบ เป็นห่วงว่าจะไปอยู่อย่างไร
จะไปทำอย่างไร แล้วก็ห่วงทางบ้าน คนก็ยิ่งห้ามนะ หลวงพ่อก็ไม่ใช่เป็นคนเลวทรามนะ
ชาวบ้านชาวเมืองก็เคารพนับถือเพราะหลวงพ่อใช้ชีวิตมีค่า มีราคา
หลวงพ่อไม่ใช่เป็นคนเกียจคร้าน ไม่ใช่เป็นคนสังคมรังเกียจ คนก็เคารพนับถือ
เพราะหลวงพ่อเป็นหมอไสยศาสตร์ ตอนนั้นถ้าหญิงคนไหนมีครรภ์
เขาก็บอกตรงๆว่าอย่าเพิ่งหนีไปไหน เดือนหน้าคลอดแล้ว พ่ออย่าเพิ่งหนีไปไหน
เขาก็บอกเลย ก็ให้อยู่บ้านจะได้เป็นที่พึ่งให้เขา เพราะฉะนั้นหลวงพ่อก็มีคนเป็นห่วง
จะไปทีแรกก็ครึ่งต่อครึ่ง.
พอเข้าใจธรรมเบื้องต้น ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ห่วงใคร คิดว่ามันเป็นทางที่ถูก
เหตุที่มาปฏิบัติก็เพื่อรับผิดชอบ คิดว่าดีแล้ว จะได้สอนคนให้มาใช้ชีวิตแบบนี้
ยิ่งเราจะเป็นหัวหน้าครอบครัวมีบุตรมีภรรยา เราก็จะรักแต่บุตรแต่ภรรยา
แต่ญาติพี่น้อง บัดนี้เราไม่ได้รักเฉพาะบุตร ภรรยา ญาติพี่น้องเท่านั้น
เรารับผิดชอบต่อมนุษย์ทั้งโลกทั้งชาติ หลวงพ่อจึงตัดสินใจว่าถูกต้องที่สุด
ไม่มีเหตุผลที่จะมายับยั้ง แล้วก็มั่นใจจนถึงทุกวันนี้
ก็ยังมั่นใจแม้บวชมายี่สิบกว่าปี ไม่มีอะไรผิดพลาด.
ถาม
หลวงพ่อคะ ก่อนที่หลวงพ่อจะรู้ธรรม
หลวงพ่อมีความรักธรรมชาติมากเป็นพิเศษอยู่ก่อนแล้วหรือเปล่าคะ
เพราะขณะนี้หลวงพ่อก็ทำงานด้านนี้ด้วย เช่น ได้ช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ.
ตอบ
ไม่มีเลย สิ่งนี้เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง เมื่อหลวงพ่อเข้าใจธรรมชาติ
มันไม่ได้รักแต่มนุษย์ มันรักธรรมชาติ รักสิ่งแวดล้อม
เกิดรับผิดชอบต่อสรรพสิ่งทุกสิ่ง หลวงพ่อเคยเป็นคนที่ถางป่า
ทำไร่ทำสวนคนหนึ่งเหมือนกัน หักโค่นตามหัวไร่ปลายนาและจุดไฟเผาตอนหน้าแล้ง
แต่เมื่อจิตใจเราสัมผัส ก็เกิดความรับผิดชอบ เกิดรักต้นไม้ รักมนุษย์
ให้ความยุติธรรมตั้งแต่วันนั้นมา.
ถาม
เปลี่ยนตั้งแต่วันนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ
เปลี่ยนมาเลยทั้งหมดเลย ตั้งแต่รู้เรื่องรูปนาม รู้ธรรมชาติ รู้สมมติ
รู้บัญญัติ เกิดรักธรรมชาติขึ้นมา ก็เลยใช้ป่า
เพราะฉะนั้นสิ่งแวดล้อมของเราก็คือป่า ก็เห็นคุณค่าของป่า
เห็นต้นไม้ก็มีชีวิตชีวาเหมือนกับว่าพูดกันรู้เรื่อง.
ถาม
มันเหมือนเป็นสิ่งๆเดียวกับตัวเราหรือครับ ?
ตอบ
มันเหมือนเป็นสิ่งๆเดียวกับตัวเรา ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดเป็นเพื่อนกันทั้งหมด มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน
ตั้งแต่นั้นมาไม่เบียดเบียนอะไรใครจนถึงทุกวันนี้ ใครจะมาด่า มาฆ่าเราก็ไม่เป็นไร .
ถาม
ที่หลวงพ่อบอกว่าแต่เดิมนั้น หลวงพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี แต่เมื่อรู้ธรรมแล้ว
เป็นจุดเปลี่ยนที่ให้หลวงพ่อสุขภาพดีขึ้นในคราวนั้น กราบเรียนถามว่า
ธรรมะอันนั้นช่วยหลวงพ่ออย่างไรบ้าง
ตอบ
เรื่องสุขภาพทางกายนี่นะ หลวงพ่อเห็นชัดเจนว่ามันเป็นอานิสงส์ของธรรม
เพราะรู้จักการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง หลวงพ่อเคยเป็นโรคปวดท้อง บัดนี้ก็หายเป็นปกติ
หลวงพ่ออยากจะพูดว่าถ้าไม่รู้ธรรมหลวงพ่อคงจะตายไปแล้ว
เพราะหลวงพ่อเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง อยากมีมากกว่าคนอื่น เช่น
ทำนาวันหนึ่งเขาเกี่ยวข้าวได้ห้าสิบกอง หลวงพ่อต้องให้ดีร้อยกอง
จะเอาอะไรๆให้เกินๆคนอื่นไป จนเราเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าหลวงพ่อไม่มาทางนี้ก็ตายไปแล้ว
ถ้าใช้ชีวิตแบบแต่ก่อน หลวงพ่อจะเป็นอย่างไร อานิสงส์ของการเจริญสติ
อานิสงส์ของธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองทั้งกายและใจ ทำให้ปลอดภัย สู่อิสรภาพ.
ถาม
กราบเรียนถามว่า หลวงพ่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางกายเลยใช่ไหม
ตอบ
รู้สึกเห็นได้ชัด ไม่ใช่เรื่องสุขภาพนะ
อะไรที่ลึกไปกว่านั้นที่เราเคยมีเคยเป็น เคยเป็นธุระมันหมดไป
ปัญหาเรื่องกายนี่ไม่ได้รับใช้มันแล้ว ไม่ได้เป็นทาสของกาย
หลวงพ่อใช้กายนี่เป็นทาสของเรา ใจก็เหมือนกัน แต่ก่อนเราเรารับใช้ใจ
เดี๋ยวนี้เราใช้ใจ แต่ก่อนใจทันใช้เรา มันเปลี่ยนกัน เช่น ความร้อน ความหนาว
ความหิว มีอำนาจกิเลสตัณหา มีอำนาจปรุงแต่งมันมาก เดี๋ยวนี้มันไม่มีเลย เราใช้มัน
ไม่มีปัญหาเรื่องกายเรื่องใจ เราจะอยู่อย่างนี้จะอยู่ตรงนี้ จะกี่ร้อยกี่ปี
โลกสังคมจะเป็นอะไรไปก็ตาม หลวงพ่อจะอยู่ตรงนี้ จะไม่ต้องเกิด จะไม่ต้องเจ็บ
จะไม่ต้องแก่ จะไม่ร้อน จะไม่หนาว จะไม่หิว จะไม่สุข จะไม่ทุกข์
หลวงพ่อจะอยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ที่ไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไร
ถาม
หลวงพ่อคะ หนูขอกราบเรียนถาม ที่หลวงพ่อเทียนเคยบอกว่า
ก่อนที่เราจะตามประมาณ ๒-๓ นาที ทุกคนจะมาถึงตรงนี้ จะมาเจอประสบการณ์ตรงนี้
ตอบ
มันมีที่ มันก็เหมือนกับกายเรา มีที่ มีบ้านมีเรือน
ถ้าฝนตกเราจะแช่ฝนอยู่อย่างนั้นหรือ เราจะไปอยู่ไหน เมื่อฝนตก
เราต้องหลบเข้าร่มเข้าบ้าน แดดออกเราจะไปนั่งตากแดดอยู่อย่างนั้นหรือ
กายมันไม่ยอมตากแดด มันจะหลบเข้าร่ม ใจของคนที่เคยฝึกหัดดี (ฝึกเจริญสติ)
ยิ่งไปกว่านั้นอีก มันมีแล้ว มันเป็นแล้ว มันอยากโกรธ มันก็ไม่โกรธ มันอยากทุกข์
มันก็ไม่ทุกข์ มันไม่เอา ใครจะบังคับให้มันโกรธ ให้กราบให้ไหว้ ก็ไม่เอา
ให้ทุกข์นิดหน่อยมันไม่เอา มันปล่อย มันชอบมาอยู่ตรงนี้ ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าเราไม่ฝึกหัด ธรรมชาติของใจมันวิ่งเข้าไปหาความทุกข์ ยิ่งโกรธยิ่งชอบ
เอามาคิดอยู่เรื่อย แต่เมื่อเรารู้แล้วมันไม่เอา.
ถาม
คือ แสดงว่ากลับมาสู่สภาพเดิมใช่ไหม
ตอบ
สู่สภาพเดิม สู่เหย้า สู่ภูมิลำเนา สู่ปกติภาวะ จะให้ผิดไปจากนี้มันก็ไม่เอา
เมื่อมันเจ็บ มันก็ไม่ยอมเจ็บ เมื่อมันเกิดเราก็ไม่ยอมเกิด
เมื่อมันแก่เราก็ไม่ยอมแก่ หมายความว่า มันไม่ไปเป็น
เมื่อมันจะตายมันจะไปยอมตายได้อย่างไร เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นศิลปะ
ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ธรรมะก็ไม่มีความหมาย จะพูดเรื่องศาสนา ต้องพูดเรื่องนี้
ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ ไม่ถือว่าเป็นหลักพระพุทธศาสนา ฉะนั้นให้มันเห็นลงไป
ให้มันหิวลงไป ให้มันเจ็บลงไป ให้มันเกอดลงไป มันจะไม่เป็นทุกอย่าง
เพราะมันเหนือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่ว่าตายแล้ว ช่วยด้วย ช่วยหามไปโรงพยาบาล
มันจะมีลักษณะนั้น ให้มองการตายเป็นศิลปะ เป็นกำไรชีวิต ความทุกข์ของเรานี่
เราไม่ได้จำนนต่อความทุกข์ มันมองข้ามความมีทุกข์ ความโกรธ ไม่ได้จำนนต่อความโกรธ
ความไม่โกรธก็มี.
อยู่ที่นี่ปลอดภัย ไปอยู่ให้ความทุกข์ย่ำยีทำไม สิ่งที่เหนือโกรธ เหนือสุข
เหนือทุกข์มีอยู่ เหนือเกิดแก่เจ็บตายมีอยู่ ธรรมะก็คือ ธรรมชาติ จิตคืนสู่ธรรมชาติ
คืนสู่เหย้า เหมือนกับเรามาอยู่บ้าน เราก็สบาย มีแต่พี่แต่น้อง ไปอยู่ถิ่นอื่น
ก็เป็นคนอาภัพ
คนมีธรรมะจึงเป็นคนอุดมสมบูรณ์ ไม่อาภัพ ไม่จน จนในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่า
ทรัพย์สมบัติ แต่หมายถึงอารมณ์ความโกรธ ความเจ็บ ความทุกข์ เพราะฉะนั้น ไม่จน
ไม่รับใช้มัน มันอิสระ ปลอดภัย ธรรมะเป็นอย่างนี้
ไม่ใช่ว่าโกรธแล้วจะไปปฏิบัติธรรมที่วัด ไม่ใช่อย่างนั้น เกิดที่ใดตัดมัน แล้วมอง
ความโกรธมองข้ามนะ อย่าไปจำนน มองข้าม ทำอย่างนี้ ต้องสร้างสติ
ถ้าเราไม่สร้างมันก็ไม่มี ยามสงบเราฝึก ยามศึกเราก็รบได้.
ถาม
ทราบว่าหลวงพ่อมีอุปนิสัยละเอียดลออมากกับทุกสิ่ง
อันนี้เป็นจริตของหลวงพ่อเอง หรือเกิดขึ้นหลังจากที่รู้ธรรมแล้ว.
ตอบ
ถ้าพูดแล้วละก็ ... ต้องขออภัยมากๆตั้งแต่รู้เดียงสา
หลวงพ่อไม่เคยได้ตำหนิตัวเองหรือคิดอะไรมากจนทำให้เสียใจ
ก็เป็นนิสัยติดมาตั้งแต่รู้ความ
หลวงพ่อก็ไม่เคยทำให้ตัวเองหรือคนอื่นเดือดร้อนจนเสียใจ
แต่เพราะว่าตัวเองยังมีทุกข์บ้าง ยังทุกข์ ยังเจ้าทุกข์
แต่ยังไม่ถึงกับมีปัญหาต่อผู้คน พอหลวงพ่อมาเข้าใจเรื่องนี้ก็ยิ้มได้
หลวงพ่อคิดว่าได้ดำเนินชีวิตถูกต้อง
หรืออาจจะเป็นเพราะนิสัยเป็นปัจจัยช่วยเสริมด้วย หลวงพ่อคิดว่า
ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมให้แก่ตนเอง เราจะไปเอาความเพียรขยันขันแข็งอย่างเดียวไม่พอ
ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมให้แก่ตนเอง คือ ความเย็นใจ ไม่เป็นทุกข์ รู้ไม่เป็นไร
ไม่รู้ไม่เป็นไร ทำใจให้เป็นสุข นี่ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน
จะมาเอาแต่ความขยันเดินจงกรม สร้างจังหวะอย่างเดียวไม่ได้
หลวงพ่อก็มีส่วนดีอยู่บ้าง คือ มีส่วนที่ใจเย็นมาแต่ก่อน
ไม่ทะเลาะวิวาทกับใครๆใจไม่วู่วาม หลวงพ่อยู่ได้ เคยมีปัญหากับตัวเองเหมือนกัน
แต่ว่าไม่เป็นไร เพราะเคยทุกข์มาเคยสู้มา เป็นความทรหดอดทนอันหนึ่ง
สู้กับความทุกข์ยากลำบาก พ่อตายตั้งแต่เล็กๆฟันฝ่าอุปสรรคมา รับผิดชอบต่อสู้อดออม
ยับยั้งใจ ใจเย็น เป็นทุนเดิมอยู่.
ฉะนั้นขอให้เรามีทุนบ้างก็ดี อย่าวู่วาม อย่าผลุนผลัน อย่าลุกลี้ลุกลน
เอาความไม่เป็นไรไปก่อน เป็นทุนไปก่อน ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ผิดก็ไม่เป็นไร ถูกก็ไม่เป็นไร เรายังมีโอกาสแก้อยู่ คือ อยู่โดยชอบ
ไม่ใช่มาอยู่วัด อยู่ที่ไหนก็ได้ ใจเย็นๆไม่เป็นทุกข์
คนอย่างนี้เหมาะที่จะได้บรรลุธรรม ถ้าฟูๆแฟบๆจิตใจไม่สุขุม ไม่อ่อนโยน
มันก็ไม่เหมาะ นี้เป็นส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่งของการประพฤติธรรม.
ถาม
หลวงพ่อครับ ภาวะอันนี้ได้มีอยู่แล้วในคนทุกคนใช่ไหมครับ.
ตอบ
ธรรมชาติของคนทุกคน ถ้าไม่ไปจุดนั้นนะไม่ถูก ไม่จบ
จะอยู่ที่ไหนจะรู้อะไรมาก็ไม่จบ ถ้าไปสู่สภาวะนั้นแล้ว มันเป็นสมบัติของเราทุกคน
สู่ธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราไม่ได้สู่ธรรมชาติ
พลัดถิ่นพลัดบ้านพลัดเมืองไปที่ไหนก็ไม่รู้ บางทีก็เปลี่ยวใจ บางทีก็กังวล
บางทีใจมันจะขาดรอนๆ มันคิดวิตกกังวลอยู่ คือ พลัดบ้านพลัดเมืองที่เป็นปกติภาพ
ใครเขาจะว่าอะไร เราต้องรู้ตัวเราเอง ไม่ทำบาปเอง ไม่เศร้าหมองเอง
เมื่อจิตไม่ทำบาปก็หมดจดเอง คนอื่นรู้ไม่รู้ก็ช่าง แต่เรารู้ตัวเอง
คนอื่นไม่รู้ก็ช่าง แต่เรารู้ตัวเอง รับรองไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
แต่สมมติบัญญัตินั้นพูดอยู่ หลวงพ่อยังดุได้ด่าได้ ดุเณร เฆี่ยนก็เฆี่ยนนะ
แต่ว่าใจอย่างหนึ่งปากอย่างหนึ่ง หลวงพ่อจะดุด่าใครบ้างก็ได้
แต่ใจยังประกอบด้วยเมตตา การด่าไปคือความรักที่แฝงด้วยเมตตาลึกๆไม่มช่ด่าด้วยอารมณ์
แต่ด้วยความปรารถนาดี ปิยวาจาอาจจะเป็นการด่าก็ได้ ไม่ใช่ว่า นี่คุณผมรักคุณ
อันนี้อาจจะไม่ใช่ปิยวาจา แต่ถ้าพูดว่า นี่คุณอย่างทำอย่างนั้น นั่นผิดแล้วนะ
นั่นคือปิยวาจา เมื่อทำผิดแล้วต้องว่า.
ถาม
หลวงพ่อครับ
คนเราทุกคนที่เกิดมานี้ก็มีชีวิตอยู่เพื่อมาถึงวันนี้เท่านั้นเอง
ตอบ
เท่านั้นเอง ให้เรารู้ก่อน อย่าให้มันเป็นก่อนเรารู้ มันจะเสียท่า
เรารู้ก่อนตั้งแต่เราเป็นหนุ่มจะดีกว่า อย่าให้ความทุกข์มาลงโทษเรา
เห็นความทุกข์เพื่อไม่ทุกข์ เห็นความโกรธเพื่อไม่โกรธ อย่าไปอยู่กับความโกรธ
อย่าไปอยู่กับความทุกข์ ควายมันตกหล่มมันยังรู้จักถอนตัวออกมา
แต่คนเมื่อไปอยู่ในอารมณ์ทำไมไม่รู้จักถอนตัวไปปล่อยให้ตนเองจมอยู่ทำไม
ข้ามวันข้ามคืนทำไม เศร้าหมองทำไม ต้องถอนออกมาเลย ยิ่งเคยชินยิ่งเป็นศิลปะ
ง่ายที่จะไม่โกรธ ง่ายที่จะไม่ทำ นั่นแหละนักปฏิบัติธรรม กายนี่มันยังรู้
เมื่อมีไฟตกใส่ตัว ปัดทันที แต่ใจของเราไม่รู้ ถ้าเรารู้ไม่ทัน
ใจเราก็วิ่งเข้าหามันยิ่งวิ่งเข้าหาความทุกข์ เช่น คิดว่าความโกรธเป็นเรื่องดี
ด่าเขาได้ก็ดีใจ ฆ่าเขาก็ดีใจ เป็นต้น อารมณ์มันไปอยู่ก่อนเหมือนเก้าอี้ตัวนี้
หลวงพ่อนั่งแล้ว คนอื่นก็นั่งด้วยไม่ได้ เพราะหลวงพ่อนั่งก่อน.
ถาม
หลวงพ่อครับ ถ้าผมจะพูดว่า แท้จริงแล้วนั้น
คนเราที่เดินทางตลอดมานี้ก็เพื่อเดินเข้ากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเราเอง คือ
การเดินทางกลับไปสู่จุดเดิม เพียงแต่ว่าใช้เวลาต่างกันแต่ละคนใช่หรือเปล่าครับ.
ตอบ
ไปสู่สภาพเดิม แต่ใช่เวลาต่างกัน แต่คนที่ไม่รู้ก็หลงไปเลยนะ
ยอมรับใช้มันทั้งหมด ปล่อยให้กิเลสมีอำนาจบาตรใหญ่ แท้จริงกิเลสไม่มีอะไร ไม่มีตัว
ไม่มีบาตร ไม่ใช่ใหญ่โตอะไร แต่ถ้าเรารู้จริงๆแล้ว มันจะเข้าแถวมาสารภาพ
ไม่ต้องไปค้นหา ทำให้เรารู้ว่านี่เป็นสมมติ นี่เป็นบัญญัติ นี่เป็นรูปทุกข์
นี่เป็นนามทุกข์ นี่เป็นรูปโรค นี่เป็นนามโรค นี่เป็นรูปสมมติ นี่เป็นนามสมมติ
นี่เป็นบัญญัติ มันจะเข้าแถวมาสารภาพ เราเป็นเพียงผู้ดูเฉยๆมันจะมาให้เราเห็น
ถ้าตาเราคม ถ้าเรามีปัญญาญาณ หรือ วิปัสสนาญาณ หรือมีสติปัญญา เราจะเห็น
หลวงพ่อไม่ได้พูดจากตำรา หลวงพ่อพูดจากธรรมชาติ ในตำราเขาว่าอย่างไรหลวงพ่อไม่รู้
หลวงพ่ออยากจะเปลี่ยนว่า เมื่อเกิดความไม่สบายใจก็ต้องไม่เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใด
ไม่ได้สิ่งนั้นก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ต้องสลับพูดอย่างนี้แหละ
รูปเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นทุกข์ เวทนาเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นทุกข์
เพราะมันเปลี่ยนทิศทาง ไม่ได้เอาความทุกข์มาลงโทษ เอาความทุกข์มาเป็นบทเรียน
เอาความทุกข์มาวิเคาระห์ จะเห็นอย่างชัดเจน เห็นตั้งแต่รูปนาม รูปทุกข์ รูปโรค
เห็นรูปโรค เห็นนามโรค เห็นนามทุกข์ มันชัดขึ้นมาบอกเรา การเห็นนี่ไม่ใช่รู้
ไม่ใช่คิดเห็น เป็นการพบเห็นจริงๆ จนอาการอย่างนั้นหลอกไม่ได้
จะเกิดขึ้นอีกร้อยครั้งพันหนก็ไม่ต้องสงสัย เพราะเราเห็นธรรมชาติของมัน
ใช้ธรรมชาติเป็นการสื่อความหมาย เราควรจะขอบคุณความทุกข์ ขอบคุณความโกรธ
เพราะเราเคยรับใช้ตั้งแต่เด็ก พอเราเห็นโทษอันนั้น เราก็ยื่นมันกลับคืนไป.
ถาม
ขอกราบเรียนถามว่า หลังจากที่หลวงพ่อรู้ธรรมถึงที่สุดแล้ว
หลวงพ่อไปช่วยพัฒนาชีวิตจิตใจความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทำงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติ
แล้วก็สอนกรรมฐานอยู่ทางโน้น หลวงพ่อเทียนท่านสนับสนุนไหมคะ
หรือว่าท่านต้องการให้หลวงพ่อมาอยู่กับท่าน.
ตอบ
ก็สนับสนุน แต่ว่าหลวงพ่อก็มองปัญหาว่าคนที่เดินเข้าวัดมันดีแล้ว
คนที่ยังไม่คิดจะเข้าวัดนี่ หลวงพ่อก็มองไปอีกมุมหนึ่ง ที่หลวงพ่ออยู่ที่นั่น
อาจจะไม่เหมือนกับวัดสนามใน วัดสนามในนี่ คนเดินเข้าวัดสนามในเป็นแถวดีแล้ว
หลวงพ่ออยู่ที่วัดบ้านท่ามะไฟหวาน (ชื่อทางการคือ วัดภูเขาทอง)
หลวงพ่อทำงานช่วยเหลือชาวบ้าน ทำศูนย์เด็ก เพราะเห็นที่นั่นมีปัญหา
หลวงพ่อไม่ได้สอนธรรมทีแรก เพราะคนที่นั่นไม่เข้าใจหลวงพ่อ
แต่ถ้าจะให้เขาเข้าใจหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ต้องอยู่กับเขาให้เขาพิสูจน์
หลวงพ่อก็หางานทำ หลวงพ่ออยู่นิ่งๆไม่เป็น การสอนธรรมอย่างเดียวไม่ทันเวลา
บางทีก็ต้องสอนอย่างอื่นไปด้วย สอนชาวบ้านให้พัฒนา ปลูกต้นไม้ รักษาธรรมชาติ
บางทีก็ช่วยเด็กเล็ก ช่วยคนยากคนจนไป บางคนบอกหลวงพ่อว่าหลวงพ่อน่าจะมาอยู่กรุงเทพฯ
ทำไมไปอยู่ในป่า หลวงพ่อคิดว่าอยู่กรุงเทพฯนี่ก็ดี เพราะเขาเข้าวัดดีแล้ว
แต่คนที่นี่ยังไม่คิดจะเข้าวัด คนพวกนี้ก็จำเป็นเหมือนกัน
หลวงพ่อก็เลยใช้ชีวิตแบบนี้.
ถาม
ถ้าใครมาได้ทราบแล้ว
ก็คงเข้าใจว่าการที่หลวงพ่อไปอยู่ที่นั่นยากลำบากกว่าที่จะอยู่ในเมือง
เพราะต้องต่อสู้กับความไม่รู้ของคน.
ตอบ
ที่นั่นลำบากมาก ต้องสู้กับทิฐิของคน งานหนักแต่ประโยชน์น้อย ผลน้อย
แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าดีขึ้นบ้าง ในอดีตคนแถวนั้นมีที่มาแตกต่างกัน
บางคนออกจากเรือน เช่น มาจากเรือนจำบางขวาง บางคนอพยพมาจากต่างถิ่น
และสิ้นหวังในชีวิต จะให้เขารักถิ่นฐานเหมือนคนบ้านเรา มันเป็นไปไม่ได้
บางครั้งไล่ฆ่ากันเหมือนวัวควาย ในวัดนี่วงการพนันเต็มไปหมด หลวงพ่อไปอยู่ปีแรก
เก็บขวดเหล้าบนศาลาและใต้ถุนศาลาได้เป็นกองๆ ชีวิตหลวงพ่อนี่
ซีกหนึ่งนั้นก็รักษาธรรมชาติ เพราะธรรมชาติถูกทำลายมามากแล้ว
ต้องช่วยกันบำรุงรักษาไว้ หลวงพ่อต้องสอนให้ชาวบ้านมีความเข้าใจ
ให้มีความสำนึกในความสำคัญของป่าและธรรมชาติ อีกซีกหนึ่งก็ต้องสอนธรรม
สอนกรรมฐานไปด้วย.