๓. ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
ในต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านได้ยินกิตติศัพท์จากผู้คนทั้งหลายว่า
หลวงพ่อเทียนตั้งสำนักสอนกรรมฐานอยู่ที่ป่าพุทธยาน จังหวัดเลย
ผู้ที่ได้ศึกษาและปฏิบัติกับหลวงพ่อเทียนจะรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม
ไม่สงสัยเรื่องเกิด เรื่องตาย เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องมรรค เรื่องผล
มีผู้คนชักชวนให้ไปศึกษาดู ในช่วงนั้นท่านขวนขวายศึกษาฝึกสมาธิแบบพุทโธ
เข้าถึงสมถะและได้รับความสุข ความสงบพอสมควร อย่างไรก็ตาม ท่านยังคงสงสัยเรื่องเกิด
เรื่องตาย เรื่องนรก เรื่องสวรรค์และเรื่องมรรคผลนิพพานอยู่
ทำให้นึกถึงหลวงพ่อเทียนอยู่ตลอดเวลาและพยายามหาโอกาสไปศึกษาด้วย.
เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านมีโอกาสได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียน
ที่ป่าพุทธยาน จังหวัดเลย หลวงพ่อเทียนสอนให้สร้างจังหวะและเดินจงกรม
ท่านเองเคยฝึกหัดมาแบบพุทโธ โดยนั่งนิ่งๆสามารถเข้าถึงความสงบได้อย่างว่องไว
ทำให้ไม่ชอบการสร้างจังหวะ แต่หลวงพ่อเทียนสอนไม่ให้สงบแต่เพียงอย่างเดียว
ท่านสอนให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ
กำหนดรู้ไปกับการสร้างจังหวะและไม่ให้เข้าไปอยู่ในความสงบ.
คำสอนของหลวงพ่อเทียนนี้ สวนทางกับวิธีที่ท่านฝึกหัดมา ทำให้บางทีท่านไม่อยากทำ
เกิดความรู้สึกคัดค้านอยู่ในใจ หลวงพ่อเทียนก็พูดให้ฟัง
ทำให้ดูและบางทีก็พูดท้าทายให้ปฏิบัติ โดยพูดว่า คุณทำงานอยู่ที่บ้าน
ถ้าคิดเป็นเงินจะได้เดือนละกี่บาท? ท่านก็ตอบว่า อย่างน้อยก็ได้เดือนละ ๑๐๐๐
บาท หลวงพ่อเทียนก็พูดว่า คุณมาอยู่ปฏิบัติธรรม
สร้างจังหวะและเดินจงกรมให้มีสติสัมปชัญญะนี้
ถ้าคุณไม่รู้อะไรเลยและจิตใจไม่เปลี่ยนไปจากเดิม อาตมาจะเสียเงินให้ เดือนละ ๑๐๐๐
บาท แต่ต้องทำจริงๆนะ ให้ทำตามที่อาตมาสอนทุกอย่างนะ
หลวงพ่อเทียนพูดอย่างนี้ อาจเป็นเพราะเห็นว่าท่านเป็นคนมีทิฏฐิมาก
ในที่สุดท่านก็ตกลงทำ เพราะอย่างไรก็ตั้งใจมาปฏิบัติแล้ว จึงทดลองดู
โดยพยายามทวนความรู้สึกเดิม ตั้งใจสร้างจังหวะ เพื่อปลูกสติสัมปชัญญะและสร้างสติ
จากนั้นจึงเริ่มต้นปฏิบัติไปเรื่อยๆ.
ในการปฏิบัตินั้น
เมื่อเริ่มคิดให้กลับมาอยู่กับการสร้างจังหวะจะเกิดความสงบความรู้สึกตัว
ไม่เข้าไปอยู่ในความสงบ รู้กาย รู้ใจชัดขึ้น มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น
รู้ทันต่อการเคลื่อนไหว รู้ทันต่อใจที่คิด เกิดปัญญาญาณขึ้นมา รู้เรื่องรูป
เรื่องนาม เรื่องกาย เรื่องใจ ตามความเป็นจริง ลำดับไปจนจบรูปนามเบื้องต้น.
จากนั้นจิตใจของท่านได้เปลี่ยนไป พ้นจากภาวะเดิม ความลังเลสงสัยหมดไป
ได้รู้เรื่องสมถะและเรื่องวิปัสสนา. ท่านรู้สึกว่าความทุกข์ที่มีอยู่ หมดไป ๖๐ %
จึงมั่นใจในคำสอนของหลวงพ่อเทียนมาก จนไม่สงสัยต่อความรู้เดิมที่มีอยู่.
คาถาอาคมเครื่องรางของขลังที่เคยเรียนมานั้น ท่านเริ่มเห็นว่าเป็นเรื่องสมมุติ
พิธีรีตองต่างๆที่เคยยึดมั่นถือมั่นนั้น ก็เริ่มวางได้ มีความเชื่อในการกระทำ
รู้เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ รู้เรื่องศาสนา พุทธศาสนา พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ท่านมีความรู้สึกเหมือนว่า แบกของหนักมา ๑๐๐ กิโลกรัม
พอเกิดปัญญาญาณขึ้น น้ำหนักที่แบกไปนั้นหาบไป ๖๐ กิโลกรัมทันที.
ท่านจึงคิดไปว่า เมื่อทำเพียงเท่านี้ ความทุกข์ที่มียังหลุดไปได้ถึงเพียงนี้
หากทำมากกว่านี้ จะเป็นอย่างไร ทำให้ท่านคิดปฏิบัติต่อไป
และมีความมั่นใจต่อการเจริญสติสัมปชัญญะแบบเคลื่อนไหวมากขึ้น
วันหนึ่งหลวงพ่อเทียนให้ อารมณ์ โดยบอกว่า นี้เป็นอารมณ์ของกรรมฐานเบื้องต้น
อย่าไปหลงติด คิดว่าตัวเองรู้มาก ที่จริงยังมีอีกมากที่ยังไม้รู้
ต้องตั้งใจปฏิบัติต่อไป ให้บำเพ็ญทางจิตต่อ จึงจะรู้อารมณ์ของปรมัตถ์
จากนั้นหลวงพ่อเทียนถามว่า ทำอย่างนี้รู้ได้ไหม เห็นจริงได้ไหม
เชื่ออาตมาหรือเชื่อตัวเอง ท่านก็ตอบหลวงพ่อเทียนว่า เชื่อตัวเอง .
หลวงพ่อเทียนได้สอนให้เห็นความจริงของชีวิต
จากนั้นมาท่านไม่แสวงหาครูบาอาจารย์และไม่แสวงหาวิธีปฏิบัติตามแนวทางอื่นอีก
เพราะได้บทเรียนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตแล้ว.
ปฏิปทาของหลวงพ่อเทียน
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ระหว่างที่ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียนนั้น
หลวงพ่อเทียนยังอ่านและเขียนภาษาไทยไม่ได้ อ่านได้แต่ภาษาลาว
หลวงพ่อเทียนได้ฝึกฝนการอ่านและการเขียนภาษาไทยพร้อมๆกับการสั่งสอนการปฏิบัติธรรมให้กับลูกศิษย์
และมีหลายๆครั้งที่ท่านได้สอนหลวงพ่อเทียนอ่านหนังสือภาษาไทย.
หลวงพ่อเทียนสอนโดยการปฏิบัติให้ดูและพูดให้ฟัง หลวงพ่อเทียนใช้ชีวิตเรียบง่าย
แม้การนั่ง การนอนหรือการขบฉัน จะมีระเบียบและเอาใจใส่ต่อลูกศิษย์
ไม่เห็นแก่ความยากลำบาก เสียสละทุกอย่างทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์เพื่อผู้อื่น
เพราะท่านอยากให้ทุกคนรู้ธรรมะจริง แม้เวลาผ่านไปจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ปฏิปทาของหลวงพ่อเทียนไม่เคยเปลี่ยนแปลง ท่านจึงมีความเคารพนับถือว่า
หลวงพ่อเทียนเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ไม่มีวันเสื่อมคลายได้ในชีวิตนี้.
การปฏิบัติธรรมในป่าพุทธยาน
ผู้ที่ไปใช้ชีวิตในป่าพุทธยานในครั้งกระโน้น
ทุกคนมีความตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกัน
ไม่ต้องตั้งกฎหรือระเบียบติดไว้ที่ประตู อยู่กันด้วยความเงียบสงบ ๒๐ ๓๐ ชีวิต
ยามไต่ถามกันก็ทำด้วยความระมัดระวัง ทุกคนนั่งสร้างจังหวะและเดินจงกรม
ท่านเคยลองถามสามเณรที่สร้างจังหวะอยู่ สามเณรผู้นั้นยังไม่ค่อยอยากจะพูด.
การสอนกรรมฐานของหลวงพ่อเทียนในครั้งกระโน้น มีแต่การเน้นการปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่
ที่นั่น มีน้ำค้างมาก หากได้ยินเสียงน้ำค้างตกลงบนใบตองก็เป็นเวลาตีสามพอดี
ทุกชีวิตก็ลุกขึ้นปรารภความเพียร
เสียงเดินจงกรมในตอนเช้ามืดกับเสียงน้ำค้างตกลงใส่ใบตองดังตับๆๆ
แสงตะเกียงผ่านละอองน้ำค้างสลัวๆ แต่ละวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พร้อมๆกับได้รับรสของพระธรรมที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติ
และได้รับคำตอบของชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวัน.
ที่อยู่ที่ใช้อาศัยยามปฏิบัติธรรมเป็นกระต๊อบหลังเล็ก เวลาฝนตกก็เปียกบ้างเล็กน้อย
ได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตที่ไม่ปรุงแต่ง
การขบฉันบางครั้งก็ได้จากการเอาน้ำในกาเทผสมลงในน้ำพริกที่ใกล้จะหมด
เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า น้ำที่ใช้ล้างบาตรแล้ว ไม่เททิ้ง
ต้องเทรวมกันไว้ในภาชนะรองรับ แล้วนำน้ำนั้นไปใช้ล้างถ้วยชามอีกทีก่อน
แล้วนำน้ำไปรดน้ำตนไม้ที่ปลูกไว้ต่อไป.
แหล่งน้ำที่เป็นน้ำดื่มน้ำใช้อยู่ห่างจากป่าพุทธยานมากกว่า ๑ กิโลเมตร
เวลาไปอาบน้ำต้องหาภาชนะสำหรับใส่น้ำกลับมากุฏิด้วย ทุกคนต้องช่วยตนเอง
พระผู้เฒ่าก็หิ้วกระป๋องใส่น้ำกลับมา ส่วนพระหนุ่มก็ใช้การหาบ
ความยากจนทำให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีระบบ ไม่ท้อถอย ไม่กลัวความทุกข์
ไม่กลัวความยากลำบาก
ในบางครั้งถุงพลาสติกที่ญาติโยมห่ออาหารใส่บาตรก็เก็บไว้ใช้อุดหลังคาที่รั่ว.
การปรารภความเพียรอย่างแน่วแน่มั่นคงและกระตือรือร้นนี้
เห็นได้จากทางเดินจงกรมเป็นมัน ที่นั่งบนกุฏิเป็นรูปรอยนั่ง
เมื่อได้สร้างจังหวะและได้เดินจงกรม ท่านมีความรู้สึกเหมือนว่าในโลกนี้มีตัวคนเดียว
ไม่ถูกแบ่งแยกไปทิศทางใดเลย.
เวลาที่ญาติโยมนิมนต์ไปขบฉัน ไปประกอบพิธีต่างๆที่บ้าน
เป็นเวลาที่ฝืนความรู้สึกอย่างมาก ท่านได้แต่คิดถึงทางจงกรม คิดถึงที่นั่งบนกุฏิ
ที่ให้แต่ความสงบร่มเย็น มีความรู้สึกภาคภูมิใจ
มีความรู้สึกเป็นสง่าและรู้สึกว่ากำลังทำงานที่มีเกียรติในชีวิต
ในเวลาที่ได้เดินจงกรม ในเวลาที่ได้นั่งสร้างจังหวะและเจริญสติ
ไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่าย.
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งสร้างจังหวะในกุฏิ หลวงพ่อเทียนเดินมา
หลวงพ่อเทียนได้เอ่ยทักทายว่า อยู่ที่นี่หรือ
อยู่ครับหลวงพ่อ ท่านตอบ
ทำอะไร? หลวงพ่อเทียนถามต่อ
สร้างจังหวะครับ ท่านตอบโดยพลัน
เห็นทั้งข้างนอกทั้งข้างในไหม หลวงพ่อเทียนถามตรงประเด็น
ไม่เห็นข้างนอกครับ เห็นแต่ข้างใน ท่านตอบอย่างรวดเร็ว
ถ้าอยากเห็นข้างนอกทำอย่างไร ผู้เป็นบูรพาจารย์ถามต่อ
เปิดประตูออกครับ ท่านตอบโดยเร็ว
เอ้า ! ลองเปิดประตูออกมาดู
พอเปิดประตูออกมา หลวงพ่อเทียนก็บอกว่า ให้เห็นทั้งข้างนอกทั้งข้างในนะ
อย่าให้เห็นแต่ข้างนอกและอย่าให้เห็นแต่ข้างในนะ ดูตรงกลางๆนี้นะ หลวงพ่อเทียนย้ำ
ว่าแล้วท่านก็เดินผ่านไปกุฏิอื่น.
ท่านก็เข้าใจได้ในทันทีว่า หลวงพ่อเทียนพูดภาษาใจ คือ การดูกาย การดูจิตใจ
การบำเพ็ญทางจิต ต้องทำอย่างนี้ หากเข้าไปอยู่ในความคิดก็ผิด หากคิดออกนอกตัวก็ผิด
ต้องเพียงแต่เป็นผู้ดู อะไรเกิดขึ้นให้ดูด้วยตาใน คือ สติและปัญญา
อย่าไปยึดเอาความคิดและอย่าไปเป็นกับความคิดที่เกิดขึ้น.
ตอนเช้าและเย็น หลังจากทำวัตรแล้ว หลวงพ่อเทียนจะให้การอบรมทุกวัน
เพราะที่นี่ไม่มีเทปฟัง ไม่มีหนังสืออ่าน ได้แต่ฟังคำสอนของหลวงพ่อเทียนตลอดเวลา
จนสามารถลำดับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติได้ คือ จิตใจเปลี่ยนไปเรื่อย
รู้เอง เห็นเอง.
การชี้แนะของหลวงพ่อเทียน ประกอบกับการบำเพ็ญเพียร
ทำให้ท่านเข้าใจภาษาธรรมและปฏิบัติเป็น และรู้ว่าการสอบอารมณ์ไม่ใช่คิดเอามาถาม
ไม่ใช่คิดจากจินตนาการ หรือไม่ใช่คิดด้วยเหตุด้วยผลใดทั้งสิ้น
แต่ต้องพบเห็นจริงด้วยผลของกรรมฐาน นี้เป็นกฎตายตัวของธรรมชาติที่มีอยู่คือ
ตั้งต้นจากการเห็นรูปเห็นนาม ที่เป็นของจริงที่มีอยู่.
เมื่อรู้กฎเกณฑ์นี้แล้ว ก็ดูไปจนทุกข์หาที่ตั้งไม่ได้ ไม่มีตัว ไม่มีตน
หลวงพ่อเทียนสอนแต่เรื่องอย่างนี้ ชี้ให้เห็นชัด เหมือนจูงมือมาดู
ไม่ใช่เห็นโดยคิดเอาไปเอง.
เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก เรียกตามอาการที่เป็นว่า
การดับไม่เหลือของนาม-รูป. คำสั่งของหลวงพ่อเทียนชี้ได้ชัดมากในเรื่องนี้
ไม่ใช่แต่เพียงสอนให้รู้ ให้เข้าใจเท่านั้น แต่สอนให้เป็นจริงๆ
เปรียบเสมือนถูกปลิงเกาะดูดเลือด ขณะที่ปลิงเกาะอยู่ไม่รู้สึกและไม่เห็น
แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยทำให้ปลิงหลุดออก จึงรู้ว่าเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ
เช่นเดียวกันกับที่ปล่อยให้กิเลสตัณหาอยู่ในใจ เมื่อได้รู้ได้เห็น
กิเลสตัณหานั้นจึงหลุดออกไป.
เมื่อเป็นแล้วจึงรู้ จึงเข้าใจ เมื่อรู้แล้วไม่ต้องไปถามใครอีก
ชีวิตคนเราจบที่ตรงนี้ โดยตั้งต้นศึกษาปฏิบัติธรรมตามแบบของการเคลื่อนไหว
สร้างจังหวะ เดินจงกรมและเจริญสติสัมปชัญญะ.
ท่านได้ยึดหลักการเจริญสติแบบการเคลื่อนไหว โดยมีหลวงพ่อเทียนเป็นครู
ท่านได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้จนยืนยันได้ว่า ทุกคนที่ได้ปฏิบัติ นั่งสร้างจังหวะ
เดินจงกรม เจริญสติ ดูการเคลื่อนไหวทั้งกายและใจอย่างจริงจัง จะได้รับอิสรภาพ
ชีวิตจะเป็นอมตะ เหนือการเกิด แก่ เจ็บและตาย.
งานสอนธรรมของหลวงพ่อเทียน แพร่หายออกไปตามลำดับ
จากจังหวัดเลยเข้าสู่เมืองหลวงและไปยังต่างประเทศ หลวงพ่อเทียนได้ประกาศว่า
มนุษย์ทุกคนไม่ว่าเป็นชนชาติใด ไม่ว่าอ่านหนังสือได้หรือไม่
ถ้ามาศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง จะสามารถพบเห็นได้เช่นเดียวกันทุกคน.
ยามอาพาธหนักหลวงพ่อเทียนยังคงสั่งสอนและอุทิศชีวิตเพื่อผู้อื่น
ถึงแม้เมื่อครั้งหลวงพ่อเทียนยังไม่ได้บวช
ก็ขวนขวายที่จะสอนให้คนได้พบเห็นเรื่องนี้
เห็นได้จากท่านได้สร้างกุฏิหลังเล็กนับสิบหลังด้วยทรัพย์สินส่วนตัว
ให้ผู้สนใจมาอยู่ปฏิบัติที่บ้านของท่าน พร้อมจัดอาหารให้ โดยไม่มีผู้อื่นรับภาระ
(บ้านเกิดของหลวงพ่อเทียน คือ บ้านบุฮม ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
ตระกูลของหลวงพ่ออยู่ที่นี่เป็นส่วนใหญ่ หลวงพ่อเทียน เมื่อครั้งเป็นฆราวาสนั้น
เป็นผู้มีฐานะดี เป็นพ่อค้าใหญ่ที่อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
มีเรือจักรขนาดใหญ่ล่องสินค้าในแม่น้ำโขง
ขึ้นล่องระหว่างหลวงพระบางกับจังหวัดนครพนม ในสมัยก่อน
การค้าขายกับประเทศลาวทำได้โดยอิสระ สองฝั่งแม่น้ำโขงจะรู้จักหลวงพ่อเทียนในชื่อว่า
นายฮ้อย พ่อเทียน นายฮ้อยเป็นภาษาอีสาน เป็นคำใช้เรียกพ่อค้า
ชื่อหลวงพ่อเทียนจริงๆ ไม่ใช่ชื่อเทียน ชื่อว่าหลวงพ่อพันธ์
แต่ประเพณีของคนเมืองเลยและเมืองลาว ไม่นิยมเรียกว่า หลวงพ่อพันธ์
เพราะเป็นการเสียมารยาทและไม่ให้ความเคารพท่าน
ประเพณีเช่นนี้เป็นเช่นเดียวกับที่จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย หรือในประเทศลาว
แต่จะนิยมเรียกชื่อตามชื่อของบุตรคนโต หลวงพ่อมีบุตรสองคน
บุตรคนแรกของหลวงพ่อชื่อนายเทียน บุตรคนที่สองชื่อนายเตรียม
เมื่อบวชจึงได้ชื่อว่าหลวงพ่อเทียน. หลวงพ่อเทียนเมื่อครั้งเป็นฆราวาส
ท่านเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีคนเคารพเชื่อฟังมาก ท่านมักเป็นผู้นำเรื่องการทำบุญให้ทาน
ท่านสร้างอุโบสถด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว
ความจริงแล้วท่านก็เป็นคนธรรมดาๆแต่สามารถค้นพบสัจธรรมได้
สมควรที่ผู้คนจะได้เอาเป็นตัวอย่าง.)
เมื่อท่านไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียนนั้น หลวงพ่อเทียนมักจะเล่าให้ฟังว่า
เคยทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างโบสถ์วิหาร ทำทุกอย่างที่เป็นการทำบุญแบบพิธี
แต่ไม่รู้ธรรม. ท่านก็คิดว่า ตัวเองนั้นไม่ได้ทำบุญเหมือนหลวงพ่อเทียน
คงไม่มีโอกาสรู้ธรรมเห็นธรรมเป็นแน่ เมื่อปฏิบัติจึงรู้ว่า ที่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย
ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนมี ก็รู้ได้ทั้งนั้น หากปฏิบัติจริงๆ
ให้มีสติสัมปชัญญะอย่างเพียงพอ. หลวงพ่อเทียนเองได้ยืนยันในเรื่องนี้
ได้ท้าทายและเชิญชวนผู้คนให้มาพิสูจน์ด้วยตนเองเสมอ.
ท่านได้ย้ำหลายครั้งว่า ที่ได้มาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียนนี้
ไม่ใช่เพราะประวัติของหลวงพ่อเทียน ไม่ใช่เพราะกิริยามารยาท
ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินคำพูด คำเล่าลือของผู้คนทั้งหลาย
หากแต่เมื่อได้ทดลองวิธีการเจริญสติสัมปชัญญะแบบการเคลื่อนไหวและได้เกิดผลแก่ท่านมากมายหลายอย่าง
เพราะการกระทำตามแบบอย่างที่หลวงพ่อเทียนสอนนั้น
จะกล่าวว่าเป็นวิธีแบบที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก็ไม่ผิด .
ท่านได้ทำตามที่หลวงพ่อเทียนสอนทุกอย่าง เช่น สร้างจังหวะและเดินจงกรม
เพื่อเป็นการปลูกสติให้เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นใจที่คิด สติสัมปชัญญะเป็นดวงตาภายใน
เป็นผู้เฝ้า ดูกาย ดูใจ จนเห็นกายกับใจว่า เป็นเพียงแต่รูปธรรม นามธรรมเท่านั้น
ไม่ใช่ตัวตนที่ไหน เป็นธรรมชาติล้วนๆ.
จากนั้นหลวงพ่อเทียนสอนให้ดูทุกข์ที่อยู่กับรูปและให้ดูทุกข์ที่อยู่กับนาม.
ให้เริ่มต้นจากดูรูปก่อน รูปที่เป็นรูปธรรม เมื่อมีสติสัมปชัญญะ ดูรูป ก็เห็นว่า
เป็นรูปทุกข์ เป็นกองทุกข์ เป็นก้อนทุกข์ หายใจก็คือแก้ทุกข์ กินก็คือแก้ทุกข์
ตลอดถึงยืน เดิน นั่ง นอน คือแก้ทุกข์ให้รูป เมื่อเห็นว่ารูปเป็นโรค
การเจ็บไข้ก็ต้องหาวิธีแก้ทุกข์ นี้เป็นเรื่องของรูปธรรม.
จากนั้น ให้มาดูที่นามหรือดูจิตใจ เปรียบเสมือนนั่งอยู่ในห้องกระจก
สิ่งใดเข้ามาก็เห็นได้ทันที ใจหรือจิตใจแต่เดิมก็ปกติ แต่อารมณ์เมื่อจรเข้ามา คือ
เมื่ออาคันตุกะจรมา จะเป็นความดีใจ เสียใจ ก็เห็น จะเป็นความรัก จะเป็นความโกรธ
จะเป็นความโลภ จะเป็นความหลง ก็เห็น. เห็นทุกๆอย่างเพราะเมื่อเป็นผู้ดูก็เห้น
เห็นแล้วละได้ ไม่เป็นไปกับมัน ไม่เหมือนกับดูรูปธรรม ทุกข์ของรูปละไม่ได้
ทำได้แต่เพียงบรรเทาอยู่อย่างนั้น จะไม่ให้หิวไม่ได้ ไม่เหมือนกับใจ
จิตใจนี้ละได้เด็ดขาด ละทีเดียว จะละได้ตลอดชีวิต. หากได้มาศึกษาถูกจุด ตรงเป้า
จะไม่ยาก เหมือนกับการไขกุญแจที่ถูกลูกก็เปิดออกได้ทันที ไม่เสียเวลา.
หลักของสติปัฏฐานสี่นี้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกุญแจ
หรือเหมือนกับเครื่องมือการเดินทางที่สมบูรณ์แบบ ก็จะผ่านได้ตลอด แม้กาย เวทนา จิต
ธรรมซึ่งเป็นด่านกักขังมนุษย์ให้ยากที่จะพ้นไปได้ แต่ถ้าได้เจริญสติปัฏฐาน ทำให้มาก
สติสัมปชัญญะก็จะเป็นแชมป์ในเรื่องนี้ ได้ชัยชนะผ่านได้ตลอด เพราะรู้ว่ากาย เวทนา
จิต ธรรม ไม่ใช่ตัวตนที่ไหน จึงสารภาพและยอมจำนนต่อสติ.
ความจริงหนีความจริงไปไม่ได้ ความไม่จริงก็ทนต่อการพิสูจน์ไม่ได้
หลักของสติปัฏฐานสี่นี้
เปรียบเหมือนผู้พิพากษาตุลาการที่พิพากษาคดีอย่างยุติธรรมไม่ลำเอียงเข้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด.