๘ . วัดที่อยู่จำพรรษาของหลวงพ่อ



            เมื่อบุคคลมาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแล้วจะต้องอยู่จำพรรษาในช่วงฤดูฝน ทุกปีตามพุทธบัญญัติซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพระภิกษุ สามเณร และชาวพุทธผู้อยู่ในแวดวงการปฏิบัติ  ธรรม ถ้าพระภิกษุรูปใดขาดการอยู่ประจำที่ในฤดูฝน ซึ่งกำหนดไว้ ๓ เดือนเป็นอย่างน้อย ก็ถือว่าขาดพรรษา และเป็นผลให้อายุการเป็นนักบวชของท่านไม่เพิ่มขึ้น หรือไม่เพิ่มความอาวุโสตามลำดับที่ควรจะเป็น สิทธิพิเศษที่จะพึงได้ก็ถูกตัดออกไป การอยู่จำพรรษาจึงถือเป็นเรื่องสำคัญและเป็นการสืบต่อเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย การอยู่กับที่ก็เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้แนะนำสั่งสอนพระภิกษุ สามเณร ผู้บวชใหม่ ผู้ยังจะต้องศึกษาจากครูบาอาจารย์หรือรุ่นพี่ ๆ ผู้มีประสบการณ์มาก่อน

        เมื่อบวชแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาตามวัดต่าง ๆ ดังนี้
        ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่ป่าพุทธยาน อ.เมือง จ.เลย ภายหลังจากการไปปฏิบัติกับหลวงพ่อเทียนอยู่ ๑ เดือน จนจิตใจเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งแล้ว ท่านได้กราบลามารดาของท่านและญาติพี่น้องและภรรยา เพื่อจะไปบวช แม้ว่าถูกคัดค้านก็ตาม ท่านไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจ ได้เดินทางออกจากบ้านไปหาหลวงพ่อเทียนและบวชที่จังหวัดเลย และอยู่จำพรรษาที่ป่าพุทธยาน อ.เมือง จ.เลย

        ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ที่วัดบ้านบุฮม ต.บุฮม อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อย่างเข้าพรรษาที่ ๒ ภายหลังจึงมุ่งมั่นปฏิบัติทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง จนจิตใจมั่นคงแน่วแน่ในธรรมแล้ว หลวงพ่อเทียนได้นิมนต์ให้ท่านไปอยู่จำพรรษาที่บ้านบุฮม ซึ่งเป็นบ้านเกิดหลวงของพ่อเทียนเอง เพื่ออนุเคราะห์ชาวบ้านในช่วงฤดูเข้าพรรษา ตามความต้องการของศรัทธาญาติโยมที่นั่น

        ปี พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๑๔ ที่ป่าพุทธยาน อ.เมือง จ.เลย กลับมาป่าพุทธยานอีกและจำพรรษาติดต่อกันเป็นเวลา ๓ พรรษา

        ปี พ.ศ. ๒๕๑๕ วัดโมกขวนาราม (ป่าห์) ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ปีนั้นหลวงพ่อเทียนเริ่มเผยแพร่ธรรมเข้าสู่จังหวัดขอนแก่น ท่านจึงได้มาช่วยการงานของหลวงพ่อเทียนและอยู่จำพรรษาที่นั่น ร่วมกับเพื่อนพระอีกหลายรูป

        ปี พ.ศ. ๒๖๑๖-๒๕๑๗ ที่ป่าพุทธยาน ในปีนี้ทางราชการได้ก่อตั้งวิทยาลัยครู และได้ใช้สถานที่ครอบคลุมเขตป่าพุทธยานเดินเข้าด้วย และให้ย้ายป่าพุทธยานมาอยู่ข้างนอก ซึ่งไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก คือที่อยู่ปัจจุบันนี้ ท่านจึงได้กลับมาช่วยการงานของวัด และอยู่จำพรรษาที่ป่าพุทธยานที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่แห่งนี้

        ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ปีนั้นท่านได้ติดตามหลวงพ่อเทียนมาช่วยเผยแผ่ธรรมกับคนกรุงเทพเป็นครั้งแรก และเป็นจุดเริ่มต้นที่แนวคำสอนของหลวงพ่อเทียนได้แผ่กระจายเข้าสู่วงสังคมเมือง โดยเฉพาะกลุ่มปัญญาชน คนรุ่นใหม่ และต่อเนื่องเรื่อยมา จนกระทั่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมาถึงปัจจุบัน

        ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ที่วัดป่าสุคะโต (ชื่อทางการเรียก วัดเอราวัณ) ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ หลังจากออกมาจากวัดชลประทานฯแล้ว ได้มาช่วยบูรณะวัดในสนาม อยู่ช่วงระยะหนึ่งเมื่อใกล้เข้าพรรษาท่านได้ลาหลวงพ่อเทียนขึ้นไปจำพรรษาที่วัดป่าสุคะโต

        ปี พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๒๕ วัดบ้านท่ามะไฟหวาน (ชื่อทางการเรียก วัดภูเขาทอง) ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ หลังจากท่านได้คลุคลีกับชาวบ้านและเห็นความเดือดร้อนทุกข์ยากก็นึกสงสารชาวบ้านต้องการจะช่วยเหลือ จึงได้มาอยู่กับชาวบ้านที่วัดบ้านท่ามะไฟหวานซึ่งอยู่ท่ามกลางชุมชน ขณะเดียวกันก็ได้ดูแล และสั่งสอนแนะนำผู้สนใจปฏิบัติที่วัดป่าสุคะโตด้วย

        ปี พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๓๐ ที่ วัดป่าสุคะโต

        ปี พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๕ ที่วัดบ้านท่ามะไฟหวาน

        ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ที่วัดโมกขวนาราม ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น คณะสงฆ์และญาติโยมได้นิมนต์ให้ท่านไปอยู่จำพรรษาที่นั่น เพื่อแนะนำสั่งสอนอบรมการปฏิบัติแก่ผู้สนใจการเจริญสติ ตามแนวทางของ หลวงพ่อเทียน

        ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่วัดจวงเหยน เมืองคาร์เมล มหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา กลุ่มผู้สนใจการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ได้นิมนต์ให้ไปสอนและจำพรรษาที่นั้นเป็นเวลา ๕ เดือน

        ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่วัดบ้านท่ามะไฟหวาน ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

        ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่วัดป่าสุคะโต เมษายน ๒๕๓๙ พระอาจารย์หลายรูปที่เคารพนับถือท่านพร้อมด้วยญาติโยมได้ประชุมปรึกษาหารือและมีมติเห็นพ้องกันตามความดำริของท่านว่าต่อไปจะไม่นิมนต์ท่านมาให้การแนะนำสั่งสอนอีก ผู้ที่สนใจทุกคนควรจะไปหาท่านที่วัด เพื่อถนอมชีวิตสุขภาพของท่านให้อยู่ยืนยาวและสงบสุข ทั้งได้มีเวลาอบรมสั่งสอนผู้ปฏิบัติได้เต็มที่และมีเวลาดูแลแนะนำอย่างใกล้ชิด.

        สิงหาคม ๒๕๓๙ ครบรอบ ๖๐ ปี ขอพักการเดินทางไกล เนื่องจากปฏิปทาและคำสอนของท่านเป็นที่ประทับใจของผู้ได้พบเห็นได้ฟังธรรมหรือได้ปฏิบัติตาม จึงมีผู้นิมนต์ท่านไปงานอบรมตามที่ต่างๆทั่วประเทศ ท่านจึงต้องเดินทางไกลอยู่บ่อยๆเวลาส่วนใหญ่ของท่านจึงหมดไปกับการเดินทางและทำให้สุขภาพของท่านก็ทรุดโทรมไปด้วย ท่านจึงปรารภว่า เมื่ออายุท่าน ๖๐ ปี อยากจะพักอยู่กับที่.



ตำแหน่งและสมณศักดิ์ที่ได้รับ



          ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้าอาวาสวัดบ้านท่ามะไฟหวาน ต.ท่ามะไฟหวาน อ.แก้งคร้อ จ. ชัยภูมิ

          ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์จากคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองให้เป็น พระครูบรรพตสุวรรณกิจ

           ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบล



ปัจจุบัน

            ท่านประจำอยู่วัดป่าสุคะโตและดูแลวัดบ้านท่ามะไฟหวานควบคู่กันไปด้วย นอกจากนั้นได้ดูแลวัดป่ามหาวัน(ภูหลง) อีกแห่งหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นวัดป่าในสาขาและอยู่ไม่ไกลจากกันนัก คือ ราว ๑๕ กิโลเมตรจากวัดป่าสุคะโต.