ผู้ว่า ฯCEO กับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2544 ที่ผ่านมา  คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.) ,ศูนย์ศึกษาการพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.),สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ,สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และเครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการภาคประชาชนเรื่องผู้ว่าฯCEO กับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นณ ห้องประชุมสารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ขึ้นมา

โดยมีเหตุผลในการจัดงานครั้งนี้ว่า เมื่อพิจารณาการเคลื่อนตัวของระบบการเมืองภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มคลี่คลายตัวไปในทิสทางของการปฏิรูป แต่เป็นการปฎิรูปอำนาจส่วนบนที่มุ่งหวังเพียงสร้างความโปร่งใส หรือธรรมรัฐกับอำนาจที่เป็นอยู่ ยังมิได้ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนย้ายอำนาจเท่าที่ควร กล่าวคือ ระบบการเมืองเปิดกว้างมากขึ้น มีการถ่วงดุลตรวจสอบค่อนข้างเข้มข้นทั้งจากกลไกอิสระในรัฐธรรมนูญ ภาคประชาชน และสื่อมวลชน ประเด็นการต่อต้านคอร์รัปชั่นและการคุ้มครองผู้บริโภค กำลังได้รับความสนใจ ซึ่งรูปลักษณ์การเมืองแบบนี้สอดคล้องและเป็นที่ปรารถนาของชนชั้นกลาง

ในทางตรงกันข้ามการเมืองของคนระดับล่างที่เป็นเรื่องปากท้องยังถูกล้อมกรอบครอบงำหรือขึ้นต่ออำนาจส่วนบนที่รวมศูนย์ พื้นที่ทางการเมืองของคนระดับล่างยังขึ้นอยู่กับว่ารัฐจัดไว้ให้หรือไม่? มากน้อยแค่ไหน? จึงมิใช่เรื่องแปลกที่พบว่าขบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องของคนจนระดับล่างเพื่อเข้าถึงอำนาจทางการเมืองนับวันยิ่งเข้มข้นรุนแรงทั้งยังหมิ่นเหม่ต่อกฎหมายมากยิ่งขึ้น

แนวโน้มของทิศทางทางการเมืองแบบนี้จะเข้าสู่การเมืองแบบสองขั้วตรงกันข้าม คือ การเมืองของคนจนกับการเมืองของชนชั้นกลาง ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายหากการพัฒนาประชาธิปไตยของสังคมไทยเกิดภาวะเช่นนี้ขึ้น เพื่อลดการเผชิยหน้าในอนาคตไม่เพียงแต่ต้องเคลื่อนย้ายอำนาจจากบนลงล่าง จากส่วนกลางสู่ท้องถิ่นหรือที่เรียกว่าการกระจายอำนาจเท่านั้น แต่ทิศทางการพัฒนาประชาธิปไตยจะต้องคำนึงถึงอำนาจอธิปไตยของชุมชนและชาวบ้าน ที่ต้องไม่ใช่แค่ผู้บริโภคทางการเมืองรอรับผลกระทบจากนโยบายสาธารณะที่ชี้นำโดยส่วนกลางอีกต่อไป

ด้วยเหตุดังนั้นการกระจายอำนาจจึงดูเหมือนเป็นช่องทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหาข้างต้นได้ และก็มีความก้าวหน้าระดับหนึ่งเมื่อมีการยกฐานะสภาตำบลเป็นนิติบุคคล หรืออบต. มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งอบต. เทศบาล และอบจ.มาจากการเลือกตั้ง กระทั่งมีการเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ประเด็นการกระจายอำนาจถูกสังคมนำกลับมาวิวาทะกันอีกครั้งหนึ่ง และดูเหมือนจะมีโอกาสเป็นจริงมากกว่าครั้งที่ผ่านๆมา เมื่อพิจารณาดูผลการสัมมนาเชิงปฏิบัติว่าด้วยการปฎิรูประบบราชการของรัฐบาลครั้งหลังสุด พบว่าได้ข้อสรุปและแผนปฏิบัติการโดยจะลดระดับการปกครองโดยส่วนกลางลง โดยเพิ่มบทบาทและอำนาจของท้องถิ่นให้บริหารจัดการปัญหาได้เบ็ดเสร็จภายในท้องถิ่น โดยเฉพาะรูปแบบของผู้ว่าฯCEO หรือ Chief Executive Officer และจัดให้มีจังหวัดนำร่อง 5 จังหวัด เพิ่มความสำคัญให้ตัวผู้ว่าฯมีฐานะเปรียบเสมือนประธานบริหาร มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในแต่ละจังหวัด ไม่ใช่ส่วนกลางทั้งหมดเหมือนที่เป็นอยู่

แนวคิดดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อดีข้อเสียกันอย่างกว้างขวาง จึงสมควรที่จะมีการประเมิน รวมถึงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้ว่าฯในรูปแบบปัจจุบัน กับผู้ว่าฯCEO อันจะนำไปสู่องค์ความรู้เกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต่อไป

 

เวทีวิชาการเรื่อง ผู้ว่าฯCEO กับการกระจายอำนาจ

 

อ.อัษฎางค์       ปานิกบุตร        อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

            คำว่าผู้ว่าฯCEO กับการกระจายอำนาจ มีประเด็นน่าพิจารณาหรือตั้งข้อสังเกตได้ 4 ประเด็นหลักๆคือ

1.    คำว่า CEO ในสังคมไทยมีความคิดมาจากอะไร?

ผมมองว่ามีแนวความคิดอยู่ 2 ลักษณะ คือ

·        แนวความคิดนี้เป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งผู้ว่าโดยตรงในอนาคตข้างหน้า (แต่ความเห็นส่วนตัว คือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะนโยบายของรัฐบาลเองก็ไม่มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงอย่างจริงจัง) สืบเนื่องจากนโยบายการเลือกตั้งผู้ว่าฯจากประชาชนโดยตรงเป็นแนวคิดที่มาจากพรรคพลังธรรม ในพรรคไทยรักไทยเองก็มีสส.บางส่วนมาจากพรรคพลังธรรม ก็เลยทำให้เกิดการที่จะสานต่อแนวคิดนี้ เพราะปกติการตัดสินใจในเรื่องต่างๆของผู้ว่าฯ มักจะต้องขึ้นอยู่กับข้าราชการประจำซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นนั้นๆ ที่รู้ปัญหาเป็นอย่างดี ทำให้มีการมองว่าถ้าได้คนในท้องถิ่นขึ้นมาบริหารจัดการเอง-การเลือกตั้งผู้ว่าฯโดยตรง การแก้ปัญหาจะได้ผลมากยิ่งขึ้น

·        อยากทดสอบดูว่าข้าราชการประจำ ซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องปฎิบัติตามนโยบายรัฐ มีความสามารถที่จะดูแลหรือบริหารงานลักษณะเช่นนี้ได้หรือไม่  แต่เดิมหรือที่เป็นอยู่ในปัจจุบันการบริหารการจัดการของผู้ว่าฯต่อเรื่องต่างๆในจังหวัดนั้น ตัวผู้ว่าฯเองซึ่งเป็นคนที่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง คือ กระทรวงมหาดไทย ไม่สามารถรู้ได้หมดว่าลักษณะการทำงานมีอะไรบ้าง ใครเกี่ยวข้องกับส่วนไหน เลยทำให้ระบบการทำงานไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การมีระบบบริหารแบบนี้ขึ้นมาจะช่วยในเรื่องการให้อำนาจเบ็ดเสร็จ โดยเชื่อมั่นว่าจะนำไปสู่ระบบการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

2.    ภาพรวมของผู้ว่าฯCEO

เป็นแบบจำลองที่นำมาจากการบริหารปกครองในระดับท้องถิ่นของประเทศฝรั่งเศส ที่ผู้ว่าการแต่ละรัฐมาจากการเลือกตั้งจากคนในท้องถิ่นโดยตรง ซึ่งเป็นผู้ที่คลุกคลีและสัมผัสรับรู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น เวลามีเหตุการณ์อะไรขึ้นมา การตัดสินใจจะเป็นไปทันที ไม่ต้องรอการสั่งการจากส่วนกลาง

3.      นโยบายรัฐต่อการกระจายอำนาจ

ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อมีการกระจายอำนาจจริงๆอำนาจจากส่วนกลางจะถดถอยลงไปทันที รวมถึงตัวผู้ว่าCEO เอง ก็ยังเป็นคนที่ถูกส่งมาจากกระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม ไม่แน่ใจว่าประชาชนในท้องถิ่นเองจะรู้สึกอย่างไร เพราะจังหวัดนำร่องหลายๆจังหวัด การบริหารระดับท้องถิ่นมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ฉะนั้นผู้ว่าลักษณะนี้ต้องเข้าใจคำว่าการกระจายอำนาจอย่างลึกซึ้ง และต้องเป็นผู้ที่ประสานภาคส่วนต่างๆในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

และจากตัวอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันถ้าประชาชนยังไม่เข้าใจการกระจายอำนาจก็จะเผชิญกับปัญหาเหมือนกับที่อบต. 6,475 แห่งในขณะนี้เผชิญอยู่ คือ ไม่มีงบประมาณในการบริหารงานชุมชน

4.      เมื่อมีการนำแนวคิดนี้ไปดำเนินการจะเกิดอะไรขึ้น?

·        ผู้ว่าฯจะมีอำนาจในการกำกับดูแลการบริหารระดับท้องถิ่น ทั้งเทศบาล หรืออบต.ได้ชัดเจน มีอำนาจในการสั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนได้โดยตรง

·        ผู้ว่าฯที่จะมาบริหารงานลักษณะนี้ได้ต้องเป็นคนเก่ง มีความประนีประนอมสูง สามารถต่อรองกับอิทธิพลท้องถิ่นได้ เข้าใจระบบพรรคพวก ระบบอุปถัมภ์ในท้องถิ่นนั้น

·        การบริหารงานแบบใหม่ ผู้ว่าฯจำเป็นที่จะต้องมีคณะกรรมการมาช่วยในการดำเนินการ ซึ่งต้องมีคนที่มาจากทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการคานอำนาจต่อการตัดสินในในเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ

·        ถ้าผู้ว่าฯไม่สามารถรอมชอมกับอำนาจท้องถิ่นได้ จะเกิดปัญหาอย่างมาก บริหารงานไม่ได้ทันที แต่ถ้ารอมชอมมากเกินไปก็จะเกิดการจัดสรรผลประโยชน์จนนำไปสู่การคอรัปชั่นได้สูง

รศ.ดร. อเนก   เหล่าธรรมทัศน์     ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์

        ระบบการบริหารงานแบบผู้ว่าฯCEO เป็นการบริหารที่ให้อำนาจตัดสินใจอยู่กับบุคคลเพียงคนเดียว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นการขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งจากการที่ได้ศึกษานโยบายของรัฐบาลชุดนี้ นโยบายที่ว่าด้วยเรื่องการกระจายอำนาจของรัฐบาลนั้นมีน้อยมาก แสดงให้เห็นว่าเห็นปัญหาอื่นสำคัญกว่า และไม่แน่ใจว่าเป็นการกระจายอำนาจหรือรวบอำนาจ เพราะผู้ว่าCEO คือผู้ว่าที่ยังถูกส่งมาจากส่วนกลางเหมือนเดิม การสร้างนโยบายผู้ว่า CEO เสมือนว่าจะทำให้จังหวัดนั้นเสมือนกรม ๆ หนึ่ง

            ผู้ว่าCEO ดีหรือไม่? ตอบได้ทั้ง 2 อย่าง คือทั้งดีและไม่ดี

ฉะนั้นระบบนี้จะมีประสิทธิภาพจริง อำนาจของผู้ว่าฯต้องเล็กลงกว่าเดิม ท้องถิ่นมีอำนาจมากยิ่งขึ้น

 

อ. ชุมพล ศิลปอาชา สมาชิกวุฒิสภา กทม.

        ตั้งข้อสังเกตว่าผู้ว่า CEO คืออะไรกันแน่? เพราะแนวคิดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่แต่ได้มีการริเริ่มทำกันมาตั้งแต่สมัยพลเอกเปรม เป็นนากรัฐมนตรีแล้ว  ผู้ว่า CEO ก็คือ การไปรื้อฟื้นการใช้อำนาจจากส่วนกลางที่ถูกท้องถิ่นแย่งชิงไปกลับคืนมา  การใช้อำนาจรัฐมีอยู่สองเส้นทางคือ เส้นทางการปกครอง และ เส้นทางทางการเมือง ทางการเมือง เดินทางไปไกลมากแล้ว มีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เอื้อต่อภาคประชาชนมากยิ่งขึ้น  ส่วนทางการปกครอง ยังรวบอำนาจไว้ไม่แตกต่างจากเดิม

            ผู้ว่า CEO เต็มรูปแบบจะมีอำนาจในการตัดสินความเป็นความตายของท้องถิ่นได้ ทั้งเรื่องอำนาจในการโยกย้าย ,การพิจารณาเลื่อนขั้น,งบประมาณหน่วยงานต่างๆ ฉะนั้นผู้ว่า CEO ที่แท้จริง ควรจะเริ่มต้นเส้นทางจากอบจ.ในจังหวัดก่อน ไม่ใช่โยกย้ายคนจากที่อื่นมาบริหาร

CEO แบบมหาดไทย อยากให้ผู้ว่ามีอำนาจเต็มที่ แต่รธน.ปัจุบันพยายามให้อำนาจส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค  

นายไพโรจน์ พลเพชร         เลขาธิการสมาคมสิทธิเสรีภาพประชาชน

ผู้ว่า CEO คือ การจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างส่วนกลางกับส่วนกลางด้วยกันเอง เพราะผู้ว่าฯในปัจจุบันที่ถูกส่งมาจากมหาดไทยไม่สามารถตอบสนองแนวทางนโยบายที่ถูกส่งมาจากส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งอำนาจก็ตกไปอยู่ในมือ กลุ่มคนในท้องถิ่นที่มุ่งเน้นผลประโยชน์แต่พวกพ้องตนเองเท่านั้น ไม่สนใจเรื่องของปากท้องชาวบ้านแต่อย่างใด

รัฐบาลชุดนี้ให้ความสนใจ ระหว่างอำนาจส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น ทิศทางของรัฐธรรมนูญตอนนี้ต้องถ่ายโอนภารกิจไปสู่ท้องถิ่น  แต่การทำ  CEO เป็นหลักการรวบอำนาจ สวนทางกับทิศทางของรัฐธรรมนูญ บทบาทที่ผ่านมาส่วนกลางเชื่อว่าส่วนท้องถิ่นจัดการตัวเองไม่ได้  จึงต้องมี ผู้ว่า CEO ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ

ฉะนั้นผู้ว่า CEO เป็นทั้งการกระจายอำนาจ และการรวบอำนาจแบบเผด็จการไปพร้อมๆกัน 

ผศ. จรัล ดิษฐาอภิชัย  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ผู้ว่า CEO ถ้าทำไม่ดีจะเป็นการถอยหลังไปสู่ระบบพ่อเมือง และ ยิ่งมีอำนาจมาก ยิ่งคอร์รัปชั่นกันมาก ในแง่เสรีภาพของประชาชน มีแนวโน้มที่จะไปคุกคามเสรีภาพของประชาชนไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพราะระบบผู้ว่า CEO จะทำให้เป็นเช่นนั้น

 

ผู้ว่า CEO กับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

 

นายสุพรรณ สาคร   เครือข่ายคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย จังหวัดศรีสะเกษ

จากการสัมผัสกับประชาชนหลายๆส่วน เขามองว่า CEO เป็นปรากฎการณ์ใหม่ เป็นสถานการณ์ที่ชาวบ้านคาดหวังและรอคอยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้หรือไม่  ประกอบกับคนกำลังเมากับศรัทธา คนก็เลยตามกระแสไปว่าจะช่วยได้ แต่สื่อบอกว่าสิ่งนี้จะเป็นการขัดขวางการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญ  ก็เลยไม่แน่ใจว่าผู้ว่า CEO คืออะไรกันแน่?  แต่ผมคิดว่า CEO เป็นการรวบอำนาจ  ในศรีสะเกษ มีการประชุมแผน 9  ในที่ประชุมก็มอบหน้าที่ให้รัฐ แสดงให้เห็นว่ายังไม่มีวัฒนธรรมการปกครองที่เอื้อต่อการให้ท้องถิ่นปกครองตนเอง

ในศรีสะเกษ จะเป็นผู้ว่า CEO ในระบบทุน เพราะ CEO ต้องทำให้องค์กรมีกำไรสูงสุด  แต่ถ้าเป็นองค์กรของรัฐ ผู้ว่า CEO จะต้องสามารถประสานกับผู้บริหารของกรมต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาให้ได้ ผู้ว่าจะทำได้หรือไม่จะสามารถทลายวัฒนธรรมของกรมต่างๆออกไปได้หรือไม่ และ หากต้องดึงทรัพยากรขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็จะสร้างความขัดแย้งในท้องถิ่นด้วย นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้ว่า CEO จะต้องเผชิญและตั้งรับให้ได้

 

นายสำเริง ราเขต เครือข่ายคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย จังหวัดพังงา

CEO เป็นเรื่องใหม่ ระบบราชการของผู้ว่าฯแบบเดิม ก็สามารถชี้เป็นชี้ตายได้อยู่แล้ว ถ้าจะทำลักษณะนี้น่าจะทำแบบเลือกตั้งผู้ว่าและแบบ CEO  พร้อมกันไป แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าระบบผู้ว่า CEO เป็นการให้อำนาจมากเกินไป  หากผู้ว่ามาจากท้องถิ่นก็จะรู้ว่าจังหวัดนั้นต้องการอะไร มีปัญหาอะไร ปัญหาใหญ่ขณะนี้เกิดจากพรรคราชการซึ่งอยู่นานกว่าจะไป พรรคการเมือง 4 ปีก็ไปแล้ว ฉะนั้นเห็นด้วยกับการเลือกตั้งผู้ว่า มากกว่าผู้ว่าแบบ CEO

 

นายสังเวียน  นุชเทียน  จากศูนย์รวมพัฒนาชุมชน

CEO เป็นการมอบอำนาจให้แก่คนๆ เดียว เห็นด้วยว่าควรมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ แต่ทั้งนี้การเลือกตั้งเองก็ต้องมีระบบการตรวจสอบอย่างเข้มแข็งด้วยเช่นกัน

สรุปการสัมมนาเชิงปฏิบัติการภาคประชาชน

 

1.    ความเห็นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดแบบ CEO

·               มีความเป็นไปได้ที่เกิดสภาพการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จผูกขาดโดยคนๆ เดียว

·               โอกาสและการมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาชนในจังหวัดจะถูกปิดกั้นหรือถูกลดทอนความสำคัญลง

·               เป็นการรื้อฟื้นความคิดแบบอำนาจนิยมเข้ามาจัดการปัญหาของประเทศสวนทางกับพัฒนาการประชาธิปไตย  ที่เริ่มให้ความสำคัญกับอำนาจของชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองและการแก้ปัญหาของประเทศ

·             เป็นมาตรการที่สวนทางกับการกระจายอำนาจและเป็นโอกาสให้ฝ่ายการเมืองสร้างฐานทางการเมืองผ่านผู้ว่า เพราะผู้ว่าฯ รูปแบบ CEO มาจากการแต่งตั้งโดยอำนาจทางการเมืองจากส่วนกลาง การปฏิบัติหน้าที่ของ   ผู้ว่าฯ จึงไม่มีการรับประกันว่าจะรับฟังความเห็นของประชาชนในท้องถิ่น แต่จะรับฟังความเห็นของอำนาจส่วนกลางเป็นหลัก

·             รูปแบบผู้ว่า CEO  หมิ่นเหม่ต่อการจัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ต้องการกระจายอำนาจ และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนและขัดต่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกฉบับอื่นๆ

 

2.        ข้อเสนอจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ

               1.เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงนโยบายด้านการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมว่ามีขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติอย่างไร

               2. เรียกร้องให้รัฐบาลใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ หมวด 5  มาตรา 78 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐจัดให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรงจากประชาชน

 

3.        แผนปฏิบัติการภาคประชาชน

               1. นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผู้ว่า CEO เผยแพร่ต่อประชาชน ในวงกว้างเพื่อให้เห็นถึงข้อดี ข้อเสียอย่างแท้จริง (ไม่เฉพาะความเห็นฝ่ายการเมืองด้านเดียว)

               2.จะขยายผล จัดสัมมนาไปตามภูมิภาคต่างๆของประเทศเพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนในจังหวัดต่างๆ

               3. เพื่อวางแผนรณรงค์ร่วมกันผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด

   

บทความที่เกี่ยวข้อง

http://www.prachachon.net/civilsociety/html/ceo01.htm