วิสัยทัศน์มหาดไทยกับการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา
มนุชญ์ วัฒนโกเมร การปฏิรูประบบราชการ : แรงผลักดันในอดีต วันนี้ไม่อาจพูดถึงวิสัยทัศน์และนโยบายของกระทรวงมหาดไทยได้ เพราะรัฐบาลกำลังปรับโครงสร้างส่วนราชการทั้งระบบให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2545 เราจึงต้องมาคุยกันเรื่อง ทิศทางและอนาคตของกระทรวงมหาดไทยแทน สมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะปฏิรูประบบราชการฯ มีการปฏิรูปทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ซึ่งในยุคนั้นเน้นโครงสร้างเป็นหลัก แรงผลักดันที่ทำให้รัฐบาลพลเอกเปรมฯ ต้องการจะปฏิรูป คือ
เคยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของท่านนายกเปรมฯ พูดว่า ในยุคนั้นก่อนสิ้นเดือนต้องไปเอาเงินจากแบงก์ชาติ ไปกู้จาก ธอส. มาจ่ายเงินเดือนข้าราชการ วิกฤตการณ์น้ำมันที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ราคาน้ำมันสูงมาก เราเคยใช้น้ำมันลิตรละ 2 บาท (เมื่อปี 2516) ต้องใช้น้ำมันลิตรละ 6-7 บาท เพราะน้ำมันทั้งหมดเราต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ แล้วต้องจ่ายเป็นเงินต่างประเทศด้วย รัฐบาลต้องลดค่าใช้จ่ายในภาครัฐ ทำให้เกิดแนวความคิดในการปฏิรูปขึ้นมา ในช่วงนั้นผมเป็นหัวหน้าฝ่ายใน สนผ.มท. ได้ไปอยู่ในคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการบริหารส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นด้วย แต่ความพยายามปฏิรูปครั้งนั้น ไม่ค่อยเป็นรูปธรรมมากนัก เพราะฝ่ายข้าราชการแข็ง พอจะมีการปฏิรูปที่กระทบกระเทือนสถานะของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ก็เกิดการพูดจากันว่า อย่าพึ่งทำตอนนี้ ให้ฉันพ้นหน้าที่ไปก่อน ช่วงนั้นมีความขัดแย้งในเรื่องแนวความคิดการปฏิรูปสูง ท่านนายกเปรมฯ ใช้เทคนิคด้วยการใช้เวลา เพื่อให้เรื่องต่าง ๆ ได้มีการพูดจากัน ถ้าราบเรียบท่านตัดสินใจ ถ้ามีปัญหาท่านยังไม่ตัดสินใจ prolong สถานการณ์ไปเรื่อย ๆ พอหมดยุคท่านเปรมฯ ก็มาสู่ยุคโชติช่วงชัชวาล ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลไม่มีปัญหา ความจำเป็นในการปฏิรูปในเชิงข้อจำกัดของรายจ่ายก็ลดลง ครั้งนั้นประเด็นที่เป็นแรงผลักดันการปฏิรูปคือ เรื่องประชาธิปไตย คนที่พูดคนแรกคือ พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ (สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก ฯพณฯ พลเอกเปรม) มหาดไทยจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากนักปกครองเป็นนักบริหารจัดการ พอผ่านช่วงนั้นไปก็เกิดปฏิวัติ รสช. แล้วเข้าสู่ยุคกระจายอำนาจในยุคของพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เป็นยุคของการกระจายอำนาจแบบลดแหลกแจกแถม ข่มเขาโคขืนให้กระจายอำนาจกัน เกิดความขัดแย้งในโครงสร้างการปกครองส่วนท้องถิ่นในเชิงการกระจายอำนาจเป็นอย่างยิ่ง อบต. ผุดขึ้นมา 6,000 กว่าแห่ง โดยข้อเท็จจริงเรื่องพื้นที่ กิจกรรมต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน อบจ. กลายเป็นหน่วยการปกครองท้องถิ่นที่ไม่มีพื้นที่รับผิดชอบ ในขณะเดียวกันก็เกิดเทศบาลใหม่ขึ้นมาอีกรวมกับเทศบาลเดิมแล้ว 1,000 กว่าแห่ง ณ วันนี้ ความสับสนในเรื่อง โครงสร้าง อำนาจหน้าที่ของหน่วยการปกครองท้องถิ่นในระดับจังหวัด กำลังรอการแก้ไข จะจัดอย่างไรให้เกิดเอกภาพ การปฏิรูประบบราชการ : แรงผลักดันในปัจจุบัน ในปัจจุบันแรงผลักดันที่มากระทบต่อการปฏิรูประบบราชการ มี 5 ประการ ประการที่หนึ่ง กระแสประชาธิปไตยและการกระจายอำนาจ ทำให้เกิดองค์กรอิสระ มากมาย เมื่อเกิดองค์กรอิสระก็พยายามดึงภารกิจของรัฐที่กระทบต่อความเป็นธรรมให้องค์กรอิสระทำ ฉะนั้นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาครัฐ เช่น เอาการเลือกตั้งไปให้ กกต. ขณะเดียวกันกรมการปกครองยังมีกองการเลือกตั้ง พอเขายกงานเลือกตั้งไปแล้ว กรมการปกครองกลัวเสีย ซี 8 ซี 7 ก็ไปโอนงานเลือกตั้งของท้องถิ่นมาทำ ซึ่งแต่เดิมอยู่กับอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น ในหลายกระทรวงมีปัญหาอย่างนี้ทั้งสิ้น เพราะมีองค์กรอิสระที่เรียกว่า Public Organization เกิดขึ้นมามาก กระแสการกระจายอำนาจได้กระจายอำนาจไปเยอะ จนกระทั่งออก พ.ร.บ. แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ 2542 ก็มีความจำเป็นที่ต้องมาทบทวนบทบาทภาครัฐว่า กิจกรรมอะไร รัฐควรจะทำ กิจกรรมอะไรควรให้ท้องถิ่นทำ กิจกรรมที่รัฐไม่ทำแล้วให้ท้องถิ่นทำ ก็ต้องปรับองค์กร มันก็วนลงไปถึงการปกครองส่วนภูมิภาค ต้องมีการปรับเปลี่ยน ปรับกลไกกันใหม่
แต่พอไปดูลึก ๆ แล้ว ประเทศสวีเดนก็น่าสนใจคือ มี King เหมือนกัน เป็นประเทศที่มีการปกครองส่วนภูมิภาค อยู่ยุโรปเหนือเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่นัก ประชากรประมาณ 16 ล้านคน แต่มีการปกครองส่วนภูมิภาค ผมพึ่งไปเจอจาก Website เมื่อ 2-3 วันนี้ เข้าไปดูแล้วน่าสนใจ ยังไม่ได้ศึกษารายละเอียด แต่รู้ว่าเขาเป็น Three-tier Government เป็นประเทศที่เหมือนเรา เหมือนญี่ปุ่น เหมือนอังกฤษ (มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข) ฉะนั้น การกระจายอำนาจทำให้มีการทบทวนบทบาท ภาครัฐ ปรับปรุงองค์กร ประการที่สอง คือจุดคุ้มทุนของรัฐบาล ในการที่ดำเนินงานทางด้านองค์กรของรัฐ จุดคุ้มทุนอยู่ที่ไหน เพราะรัฐบาลมีภารกิจ มีหนี้มาก หากเป็นบริษัทเอกชน ป่านนี้ขาดทุนไปแล้ว เพราะว่ามันต่ำกว่าจุดคุ้มทุน องค์กรเทอะทะใหญ่โต ค่าใช้จ่ายสูง ประสิทธิภาพน้อย ก้าวตรงนี้ต้องไปหาจุดคุ้มทุนก่อน หา Break Event ให้ได้ แล้วต่อไปก็พัฒนาให้ไปสู่การมีประสิทธิภาพคือ กำไรสูง จุดคุ้มทุนเป็นเรื่องที่เราพูดกันมานานตั้งแต่สมัยป๋าเปรมฯ ในปัจจุบันปรากฏว่า เราลดค่าใช้จ่ายที่เป็น over-head cost จากรัฐบาลกลางไปเป็น over-head cost ของรัฐบาลท้องถิ่น เรา freeze อัตรากำลังภาครัฐ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค แต่ไปเพิ่มอัตรากำลังในภาคท้องถิ่นมากมายมหาศาล ตรงนี้คนก็พาดพิงกรมการปกครองในการจัดกรอบอัตรากำลังให้แก่ท้องถิ่น บางครั้งมีเกินความจำเป็น เพราะฉะนั้น การเติบโตของบุคลากรในระดับท้องถิ่นบางครั้งเกินความจำเป็น ถามว่า over head ของรัฐในภาพรวมเปลี่ยนไปไหมเมื่อกระจายอำนาจไปแล้ว มันไม่เปลี่ยน กลับมากขึ้น นักเศรษฐศาสตร์บางท่านบอก ไม่เป็นไรหรอก การที่ผู้คนมากขึ้นก็คือ เมื่อธุรกิจเอกชนไม่สามารถจะจ้างงานได้ รัฐก็ต้องเป็นตัวนำให้เกิดการจ้างงาน คือจ้างเสียเอง อันนี้เป็นเหตุผล ที่ว่ากันไป แต่จุดคุ้มทุนเป็นจุดที่จะต้องมาพูดกัน เป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิรูป ประการที่สาม คือ เทคโนโลยี เมื่อมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า IT (Information Technology) ก็น่าจะลดคนได้ น่าจะจัดภารกิจต่าง ๆ ให้เด่นชัดได้ ก่อนปี ค.ศ. 2000 ลงไป เป็นช่วงของ IT หมายความว่า เป็นการที่เอา Computer Technology เข้าไปจัดการกับ Information ให้เกิดระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อการตัดสินใจที่เรียกว่า MIS (Management Information System) แต่ในปัจจุบัน เป็นยุค ICT (Information & Communication Technology) เพราะจาก IT ถูกกระบวนการของการสื่อสารเข้ามาเสริมคือ เทคโนโลยีด้านการสื่อสารบวกเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ พัฒนาระบบ IT สามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้อย่างแพร่หลาย
ตรงนี้เป็นเรื่องของ Information & Communication Technology สิ่งเหล่านี้ทำให้องค์กรเล็กลง เป็นองค์กรที่เป็น Lean & Slim Organization ไม่เทอะทะ จึงเป็นแรงที่ผลักดัน ประการที่สี่ เป็นปัจจัยที่สำคัญมากเรียกว่า Customer-focused Management คือ การยึดลูกค้าเป็นหลัก นักธุรกิจเอกชนได้ปรับตัวแล้ว เขาเป็นองค์การที่แสวงหากำไร เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ลูกค้า เพราะลูกค้าจ่ายเงินให้เขา ซื้อบริการเขา
นั่นเพราะราชการไม่มีวิธีการคำนวณหาต้นทุน กำไร ขาดทุน หรือจุดคุ้มทุน ใช่มั้ย
ฉะนั้น ธุรกิจเอกชนเขามองในแง่การยึดลูกค้าเป็นหลัก เขาบอกว่า ราชการก็ควรจะยึดลูกค้าเป็นหลัก เพราะประชาชนไม่ใช้เพียงลูกค้าเท่านั้น แต่เป็นหุ้นส่วนด้วย เราใช้โทรศัพท์ TA และ AIS เราเป็นแค่ลูกค้า แต่ถ้าผมไปซื้อหุ้น AIS ด้วย ผมก็เป็นหุ้นส่วนด้วย ฉะนั้น ทั้งในฐานะหุ้นส่วนและลูกค้า ผมต้องได้รับการปฏิบัติจากบริษัท AIS และ TA 1) ในฐานะลูกค้า ต้องใช้บริษัทได้ดี ต้องติดต่อที่ไหนก็ได้ ไม่มีขาดตอน 2) ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนผู้ถือหุ้น AIS จะไปลงทุนที่ไหน จะไปทำธุรกิจอะไร ต้องรายงานผมในที่ประชุมใหญ่ประจำปี ต้องขออนุมัติที่ประชุมใหญ่ แม้ว่าผมจะมีหุ้นเดียวก็ตาม แต่ประชาชน รัฐปฏิบัติต่อประชาชนอย่างไร บริการก็ไม่เคยคำนึงถึงความสมบูรณ์ ความถูกต้อง พนักงานขายของรัฐไม่เคยปฏิบัติกับประชาชนในฐานะลูกค้า เหมือนที่ธุรกิจเอกชนเขาปฏิบัติ บางครั้งยังข่มขู่ลูกค้าด้วยซ้ำ จากแนวความคิดการยึดลูกค้าเป็นหลัก ทำให้บอกว่า ราชการทำไมไม่คิดถึงประชาชนเป็นหลักบ้าง และแนวความคิดนี้ในอังกฤษเขาปรับแล้ว เขาไม่เรียก Customer-based หรือ Customer-focused เขาเรียก Citizen-based คือการยึดพลเมืองเป็นหลัก ประการที่ห้า คือ กระแสการปฏิรูปเข้าจังหวะกับนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันพอดี ฉะนั้น ในช่วงแค่ 7 เดือนที่ผ่านมา จึงทำให้รูปร่างการปฏิรูประบบราชการ (ตั้งแต่สมัยป๋าเปรมฯ มาเรื่อยจนถึงสมัยท่านนายกชาติชายฯ จนถึงท่านชวนฯ) ที่บิดไปบิดมา ได้ข้อสรุปขึ้นมาพอดี ฉะนั้น ห้าข้อนี้ จึงมีผลกระทบต่อให้มีการปรับปรุงการปฏิรูประบบราชการ ปรับภารกิจไปสู่จุดคุ้มทุน ลงมาในเรื่องของแนวความคิด แนวตั้งมองในแง่ของ Value คือ ผลตอบแทน คุณค่าของระบบแนวนอนแทนในเรื่องของการใช้ทรัพยากร (Effort) การบริหารงานของระบบราชการไทยนั้นเป็นการบริหารตามภารกิจ ตามกฎหมาย กฎหมายเขียนอย่างไรทำมันตามนั้น แล้วใครออก กฎหมายได้ เสนอกฎหมายได้ ไม่เคยดูคนอื่นเลยว่า เขาทำกันอย่างไร ใครอยากจะทำอะไรก็เสนอร่างกฎหมาย ฉะนั้น กฎหมายออกมาซ้ำซ้อน ทับซ้อนกันอยู่ตลอดเวลา พอออกกฎหมายทีก็ใส่อำนาจหน้าที่ไว้ กรมต่าง ๆ กระทรวงต่าง ๆ ก็มีอำนาจหน้าที่ขยายไปเรื่อย เหมือนกับล้อรถยนต์ที่วิ่งไปในโคลน ล้อก็โตขึ้นเรื่อย ๆ คืออำนาจหน้าที่ ๆ เพิ่มมากขึ้นตามกฎหมายที่ออกกันมา ไปถึงจุดหนึ่งล้อมันจะไม่วิ่ง มันไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าดินจะแข็งจะอัดจับล้อจนกะทะล้อชนหมด จนไปไม่ได้เลย ปัจจุบันมีการเปรียบเทียบว่า สมรรถนะการบริหารราชการในภารกิจเดิมคือ ใช้ Effort ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก แต่เมื่อเทียบในเชิงประสิทธิภาพ เชิง Value แล้ว ต่ำ มันต้องมีการเหลาอำนาจหน้าที่ ๆ ไม่จำเป็นออก เพื่อที่จะปรับองค์กรของรัฐให้เข้ากับภารกิจ เข้ากับระเบียบวาระชาติหรือนโยบายของรัฐบาล การเหลาตรงนั้นทำได้ 2 ทาง คือการปรับภารกิจขององค์กรใหม่ คือการปรับเข้าไปหาจุดคุ้มทุน แต่ในสภาวะปัจจุบันมีการแข่งขันระหว่างประเทศสูง สภาพเศรษฐกิจเป็นระบบเปิด ประเทศไทยไม่ได้แข่งขันกับตัวเอง ต้องแข่งกับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฉะนั้น การปรับภารกิจของระบบราชการ ต้องปรับไปให้ถึงจุดที่แข่งขันกับนานาชาติได้ ต้อง upgrade ภารกิจให้ชัดเจน ให้มัน Slim & Lean เพราะถ้าขึ้นมาตรงนี้ Value สูง ใช้ทรัพยากร ใช้ Effort น้อย นี่คือ แนวความคิดนั้น ยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ราชการ ต้องสอดคล้องกัน จากแนวความคิดนี้ ทาง ก.พ. ก็ใช้เป็นแนวในการค้นหายุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ราชการ ให้มันสอดคล้องกัน โดยค้นหาสิ่งที่ประชาชนต้องการอะไรจากรัฐ ธุรกิจเอกชนต้องการอะไรจากรัฐ ข้าราชการในฐานะที่เป็นกลไกอยู่ในระบบต้องการอะไรจากรัฐ และคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จะลืมไม่ได้เพราะเป็นคนที่มีอำนาจคือ ฝ่ายการเมือง ต้องการอะไรจากรัฐ จากราชการ นำมาสรุปเป็นความต้องการของประเทศ เพื่อที่จะให้มุ่งไปสู่องค์กรที่บริหารงานตามยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ตามภารกิจ ไม่ใช่ตามกฎหมายอย่างที่เป็นอยู่ นั่นคือเอายุทธศาสตร์ชาติเป็นตัวตั้ง เพราะฉะนั้นแนวทางการจัดองค์กรตามยุทธศาสตร์ชาตินั้น อย่าลืมว่า ทุก 5 ปี 2 ปี หรือ 1 ปี ยุทธศาสตร์ชาติอาจจะต้องเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนในสาระสำคัญ ก็ต้องเปลี่ยนในเชิงวิธีการ ปัญหาที่ชาติเผชิญอยู่ มันไม่คงที่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย แต่มันอาจจะเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับการแข่งขันในเวทีโลก ฉะนั้นระบบราชการต้องมีความอ่อนตัวที่จะปรับระบบ ระเบียบ วิธีการบริหารให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติเป็นหลัก ใครที่ศึกษาการปฏิรูประบบราชการของอังกฤษ ตั้งแต่สมัยแธตเชอร์มาจนปัจจุบัน จากการเป็นอนุรักษ์นิยม (conservative) มากที่สุด เดี๋ยวนี้กลายเป็นประเทศที่ทันสมัยในเชิงของระบบการบริหารราชการมาก การปรับกระทรวง ทบวง กรม ของอังกฤษ พอมีปัญหา แก้ทันที อะไรเปลี่ยน เขาปรับทันทีเลย จะมีการปรับเปลี่ยนกระทรวงอยู่ตลอดเวลา
เขาจะมีการยุบกรมจาก Directorate มาเป็น Group หรือยุบ Group มาเป็น Group แทบเป็นไตรมาสเลย ข้าราชการอังกฤษแต่เดิมหวั่นไหวกันมากว่า จะอยู่ที่ไหน จะไปที่ไหน ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้ว คอยฟังประกาศสำนักนายกฯ ว่าอย่างไร ยกตัวอย่าง หากเกิดปัญหา IRA ขึ้นมา แล้วหน่วยงานที่รับผิดชอบมีปัญหา เขารู้ทันทีว่า เขาถูกยุบ-ถูกรวมแน่ เขาเตรียมได้เลยว่า เขาจะไปอยู่ที่ไหน หรือเมื่อเกิดปัญหาระดับชาติขึ้นมา เขารู้ทันทีว่ากระทรวงเขาจะไม่อยู่แล้ว ต้องเปลี่ยนชื่อ-ต้องเปลี่ยนภารกิจ ฉะนั้น การปรับเปลี่ยนของเราก็ไปเอาแนวความคิดเขามา เหมือนบริษัทเอกชน มีการปรับเปลี่ยนบริษัทเร็วมาก หน่วยงานนี้สู้เขาไม่ได้ ต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์-กลยุทธ์ในการขายใหม่ เดิมอาจจะมี Sell Department แต่ Sell Department รับผิดชอบไม่ไหว มาตั้งเป็นสอง Department เป็น Central Sell Department กับ Southern Sell Department พอแยกไป-แยกมาก็กลับมารวมใหม่ อย่างนี้เป็นต้น เขาจะเปลี่ยนเร็ว ตามหน้างาน ตามภารกิจของเขา ฉะนั้น การปรับเปลี่ยนราชการในเชิงยุทธศาสตร์ เราต้องยอมรับว่า หน่วยงานเราไม่ได้อยู่จนชั่วฟ้าดินสลาย ปัจจุบันนี้เราอยู่กันจนเป็นสถาบัน ใครแตะกระทรวงนิดหนึ่ง ไม่พอใจ เพราะว่าเราเคยชิน เราเอาความเป็นภาพ นี่ มหาดไทย นี่ สาธารณสุข ฯลฯ เป็นอัตตาหมด แต่ไม่เคยมองประเทศชาติเลย ประเทศชาติได้อะไรจากงานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ ตรงนี้เราต้องปรับแนวความคิด เราเป็นกลไกของรัฐที่จะทำให้รัฐสามารถเอาชนะการแข่งขัน ถ้าเราเอาชนะการแข่งขันในโลกไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่ามันผูกกันหมด เราเปิดเสรีการเงิน เสรีการค้า เราเข้าไปอยู่ในประชาคมนี้แล้วก็ต้องแข่งขัน หลักของเสรีคือ น้ำไหลไปสู่ที่ลุ่ม ถ้าบ้านเราไม่เป็นที่ลุ่ม น้ำไม่ไหลมา เราต้องแข่งขันให้บ้านเราเป็นที่ลุ่ม ทุนต่าง ๆ เทคโนโลยีจะไหลมา ตรงนี้เป็นเรื่องของการแข่งขัน เขามองผลลัพธ์ว่า ประชาชน ประเทศชาติ จะได้อะไร จุดนี้จะต้องผ่านกรรมวิธีอะไร การที่จะก้าวมาสู่จุดนี้นั่นคือ ปัจจัยต่าง ๆ การเมือง คนต้องมีคุณภาพ ต้องมีการแข่งขันเสรี ต้องมีประชาธิปไตย โลกาภิวัตน์ทางด้านเศรษฐกิจ การเรียนรู้แตกต่างกัน การปรับปรุงทางด้านเทคโนโลยี การปรับต่าง ๆ จะต้องพร้อม
มันจะมีความสัมพันธ์กับ Organization Bureaucracy ใหญ่ ต้องจัดองค์กร จัดการบริหารให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของชาติ จึงจะเป็นผลลัพธ์ต่อประชาชน ประเทศชาติได้ การจัดองค์กรเพื่อประชาชน ในการปฏิรูประบบราชการครั้งนี้ แนวความคิดในเรื่องของการจัดองค์กรเพื่อประชาชนก็เกิดขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องที่ขัดความรู้สึกของเรา เพราะวัฒนธรรมที่เราทำกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี พอเปลี่ยนแนวทางใหม่คือ ใช้ประสิทธิภาพ (Efficiency) เราจะมีความรู้สึกว่ามันขัด ในยุคที่ผ่านมา เมื่อขัดความรู้สึก ก็เก็บไว้ แต่ยุคนี้ ต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยน จะอยู่ไม่ได้ ตรงนี้คือ การเปลี่ยนแนวความคิดในการจัดการบริหารจากปิรามิดยอดแหลม คือ ตัวผู้บริหารระดับสูงอยู่ข้างบน สั่งงานลงมา การให้บริการเป็นหน้าที่ขององค์กร สั่งลงมาให้บริการประชาชน ประชาชนอยู่ข้างล่าง แต่แนวความคิดใหม่ ประชาชนจะ force จะอยู่ข้างบนเหมือนลูกค้าในวงการธุรกิจ ในการเรียกร้องบริการที่ดี บริการที่ทั่วถึง บริการที่มีคุณภาพจากรัฐบาล แล้วก็จะ force ลงมาเพื่อที่จะให้ผู้บริหารระดับสูงเข้าไป serve แนวคิดจะหมุนกลับ จะเปลี่ยนแนวความคิดใหม่หมด ฉะนั้นในช่วงการปรับเปลี่ยนที่จะเริ่มต้นใน 2 ปีข้างหน้า และอีก 5 ปีข้างหน้าหากใครเปลี่ยนแนวความคิดในการบริหารจัดการ ในการบริการประชาชนอย่างนี้ไม่ได้ คงต้องลาออกสถานเดียว เพราะคุณอยู่ในระบบนี้ไม่ได้ ใครที่คิดว่า ฉันเป็นคนตัดสินใจว่า บริการของคุณ ฉันจะให้เมื่อไหร่ อย่างไร ต้องเลิกพูด เพราะขณะนี้ ในหลายประเทศที่มีความก้าวหน้าทางด้าน ICT เขาให้บริการประชาชน
ในขณะที่การให้บริการของประเทศที่ทำงานแบบ Analog (ด้วยมือ) เขาให้บริการ
นี่เป็นเรื่องการปรับแนวคิดการให้บริการ ปรับการทำงานไปสู่แบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ จากแนวคิดการให้บริการ มาสู่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างส่วนราชการกับประชาชน จะสร้างความสัมพันธ์อย่างไรที่จะให้บรรลุเป้าหมายในแต่ละเรื่อง เมื่อมองตัวข้าราชการแล้วต้องปรับการปฏิบัติงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ คำว่า มุ่งผลสัมฤทธิ์ คือต้องมีการวัดผลในการปฏิบัติงานของคนแต่ละคน ทุกตำแหน่งต้องมีการพัฒนาที่เรียกว่า KPI (Key Performance Indicator) ขึ้นมา เพื่อจะวัดทุกตำแหน่งว่าทำงานบรรลุผลสัมฤทธิ์หรือไม่ ผ่าน KPI หรือไม่
เมื่อข้าราชการปฏิบัติงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ โดยมี KPI เป็นตัวตรวจสอบงานแล้ว เรื่องนี้จะพูดต่อในเรื่องผู้ว่า CEO ว่าอะไรคือ KPI การปรับโครงสร้างกระทรวงมหาดไ เดิมประเทศเราให้มหาดไทยทำทุกอย่างเพราะสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ ถ้าไม่มีสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ รัชกาลที่ 5 คงไม่ทรงมอบพระราชอำนาจให้ดูแลงานมากมายขนาดนี้ ขนาดถูกตัดไปมากแล้ว แต่ก่อนมหาดไทย ดูป่าไม้ ดูสาธารณสุข นี่ เอาตำรวจไปแล้ว อัยการไปแล้ว ก็ยังใหญ่อยู่อีก ก็ต้องตัดอีก ถ้ายอมรับไม่ได้ก็จะไม่มีความสุข เมื่อไม่มีความสุข อยู่ไปก็เท่านั้น ฉะนั้นที่เราประชุมกับ ก.พ. จะขอทำเรื่องผู้นำเชิงกลยุทธ์ ผู้ประสานงานเชิงกลยุทธ์ หมายความว่า เราเห็นว่าการปกครองส่วนภูมิภาคในลักษณะ Three-tier ยังจำเป็นอยู่ ผมพูดกับ รองเลขาธิการ ก.พ. ควรเลิกเอาตัวอย่างต่างประเทศมาพูดกัน เพราะถ้าเอาอังกฤษ ฝรั่งเศส เขามี Two-tier ส่วนกลางและท้องถิ่น แต่เรายกสวีเดนขึ้นมา ประชากรเพียง 16 ล้านคน ยังมีภูมิภาคเลย ที่สำคัญที่สุด ขณะนี้อังกฤษเริ่มมีปัญหาว่า มหานครลอนดอนมีอำนาจมากเกินไป รัฐบาลดูแลไม่ได้ ความพยายามที่จะลดอำนาจ Mayor ของลอนดอนให้น้อยลง เพราะว่าพอเกิดปัญหารัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ เรายังคงไว้ต่อรองกันไป-ต่อรองกันมา ดูโครงสร้างกระทรวงมหาดไทย กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมกิจการความมั่นคงภายใน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมการปกครองแตกออกเป็น 3 กรม พัฒนาชุมชนยังอยู่ กรมที่ดินก็ไม่แน่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ในกิจการภายใน กรมที่ดินเราดูแลเรื่องของความมั่นคง การจดทะเบียน ส่วนเม็ดดินคือคุณภาพดินอยู่มหาดไทยไม่ได้ เพราะเราเรียก กรมที่ดิน ถ้าเรียกตั้งแต่ต้นว่า กรมจดทะเบียนที่ดิน ก็ไม่ต้องไปไหนเพราะเกี่ยวกับความมั่นคง เราเรียก กรมที่ดิน ความหมายของที่ดิน มันกว้าง คนโบราณชอบทำอะไรกว้าง ๆ เพราะเวลาขยายจะขยายง่าย เขียนอำนาจเทศบาล สุขาภิบาล เหมือนกันหมด เขียนแล้วทำไม่ได้เลย สุขาภิบาลมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย เขียนไว้เผื่ออีก 100 ปี จะมีตำรวจได้ คือ แนวคิดในการร่างกฎหมายของคนไทยเป็นอย่างนี้ จะให้กฎหมายใช้ถึง 100 ปี แต่หารู้ไม่ว่า การเผื่อไว้ 100 ปี ระหว่างทางไปถึง 100 ปี เกิดปัญหามากมายมหาศาลจากกฎหมายฉบับนั้น เราทำกระบวนการร่างกฎหมายให้ยุ่งยาก เช่น จะเอากฎหมายเข้าสภา สภาต้องครบองค์ประชุมสภา นั่งกันเหนื่อย แต่ห้องประชุมสภาในอังกฤษใหญ่กว่าห้องนี้แค่ 2 เท่า (ห้องบรรยายของ ร.ร. นปส. กว้าง 8 ม. ยาว 20 ม.) เขามีสมาชิกสภาขุนนาง (Court of Lord) เป็นพัน มี ส.ส. (Representative)5 ร้อยกว่าคน เขาไม่มีองค์ประชุม เวลาประชุมมาซักถาม อภิปรายกัน นายกฯ กับฝ่ายค้านมาเจอหน้ากัน ซักถามกัน ตอบกัน คนดูก็นั่งอยู่ด้านข้าง เป็นชั้น ๆ รอบห้อง ถึงเวลา Vote ต้องได้เสียง แต่เวลาประชุมจะประชุมกี่คนก็ได้ ตัวนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงโดยไม่มีฝ่ายค้านเลย ก็ได้ ถึงเวลา Vote ต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกันไว้ ต้องเป็น Majority จากคนที่อยู่ในตำแหน่ง แต่ขั้นตอนของเราที่ทำ ไปสร้างความศักดิ์สิทธิ์อะไรต่ออะไรจนทำให้ขั้นตอนการออกกฎหมายยาก จึงต้องเขียนกฎหมายเผื่อไว้ 100 ปี จะได้ไม่ต้องกลับไปหาสภาอีก เพราะกลับไปหาแต่ละครั้งมันยากเหลือเกิน กระทรวงมหาดไทยเหลือแค่นี้ กรมแรงงานไปแล้ว ราชทัณฑ์ไปอยู่กระทรวงยุติธรรม รัฐวิสาหกิจจัด Organization ใหม่ เป็น ESU กับ SE รัฐวิสาหกิจจะเป็นพวกจัดระบบใหม่ แล้วเข้าตลาดทุน ไม่ใช่มหาดไทย กระทรวงมหาดไทยหน้าตาเป็นอย่างนี้ ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วแค่นี้เราทำงานให้ประชาชน ให้ประเทศชาติได้ไหม ดูตรงนั้นดีกว่า เพราะในหลักการแล้ว การปกครองส่วนภูมิภาคยังต้องคงอยู่ ยังมีความจำเป็น ลองนึกภาพในวันนี้ ถ้าไม่มีส่วนภูมิภาคแล้ว อะไรมันจะเกิดขึ้น ที่มาของแนวความคิดระบบ CEO ต่อไปนี้เป็นเรื่องจังหวัด CEO ท่านนายกฯ นำความคิดมาจากความสำเร็จในการประกอบธุรกิจภาคเอกชน CEO ย่อมาจาก Chief Executive Officer คือ ธุรกิจเอกชนอาจจะเป็นบริษัทเดี่ยว หรือกลุ่มบริษัท เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ เขามีบริษัท IT 6-7 บริษัท ดูแลเรื่อง IT ตั้งแต่บริษัท Asianet ขายชั่วโมง Internet บริษัท TA รับผิดชอบเรื่องสื่อสารโทรคมนาคม บริษัท software ฯลฯ การจัด CEO สามารถจัดได้ทั้งในบริษัทเดี่ยวหรือในกลุ่มบริษัท โครงสร้างการบริหารของธุรกิจเอกชน เดิมมีผู้บริหารคือ MD (Managing Director) รองจาก MD เป็นผู้จัดการต่าง ๆ มี Share Holder Meeting เป็นองค์กรที่สูงสุด จะลงทุน จะเพิ่มทุน จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขบริคณฑ์สนธิต่าง ๆ ต้องประชุมผู้ถือหุ้น ต่อมาอำนาจการดำเนินงานอยู่ที่ Board of Executive ตัว MD มีหน้าที่ตามที่ Board of Executive จ้างมาทำงานแต่อำนาจต่าง ๆ ยังอยู่ที่ Board of Executive ในบางครั้งจะต้องไปทำธุรกิจ จะต้องไปทำอะไร ต้องรออนุมัติจาก Board of Executive ประชุมกันทุกอาทิตย์ บางทีอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพราะฉะนั้น MD ไม่มีความคล่องตัว แต่เดิมธุรกิจไม่ซับซ้อนมากนัก การแข่งขันไม่สูง ก็ยังพอมีเวลามาหา Board of Executive มาขออนุมัติ มาขออนุญาต มอบอำนาจกันตรงนั้นได้ ซึ่งบางครั้งอาจจะรอได้วันสองวัน อาทิตย์สองอาทิตย์ หรือเดือนหนึ่ง แต่พอธุรกิจเปิดกว้าง มีการแข่งขันกันสูง การตัดสินใจบางครั้งต้องเฉียบพลันทันทีการตัดสินใจช้าไปเพียง 5 นาที จะทำให้บริษัทมีกำไรมหาศาลหรือขาดทุนมหาศาลได้ ยิ่งถ้าไปเกี่ยวข้องกับค่าเงิน อัตราการแลกเปลี่ยน จะ Restructuring สินเชื่อ เพื่อที่จะเปลี่ยนจากการเป็นหนี้เงินบาท มาเป็นเงินเหรียญสหรัฐ เป็นหนี้เงินเยน การตัดสินใจช้าเพียง 5 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง Cost ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมหาศาล (ถ้าค่าเงินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว) เขาก็เห็นว่าตัว MD บริหารผิดพลาดก็อ้างว่า เรื่องนี้ต้องรอ Board of Executive Board ไม่อนุมัติ Board ไม่เห็นชอบ ผมทำไม่ได้ นี่คือโครงสร้างของธุรกิจเอกชน คล้ายราชการแต่เปลี่ยนอีกหน้าหนึ่ง จึงเกิดความคิดที่เรียกว่า Empowerment ขณะนี้ Empowerment เป็นคำที่ฮิต ในทางราชการก็เป็นเรื่องกระจายอำนาจ แต่การกระจายอำนาจถ้ายังพูดใน concept ของ Decentralization นะ เชย! เพราะเรา Decentralize จนกระทั่ง อบต. ทำงานไม่ออก การมอบอำนาจ (Delegation of Authority) ในทางธุรกิจ delegate ไปแล้ว ผู้ได้รับ delegate ก็ทำงานไม่ออก ไม่เข้าใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ฉะนั้น กระบวนการในการมอบอำนาจ กระจายอำนาจ ในทฤษฎีใหม่เขาเรียกว่า Empowerment คือ การเสริมสร้างพลังให้แก่ผู้ได้รับมอบอำนาจ เมื่อได้รับมอบอำนาจแล้ว จะต้องสามารถทำงานได้ กระบวนการ Empowerment มีเทคนิคและวิธีการ คือ มอบอำนาจแล้วต้องกล้าใช้ บ่ายนี้ผมต้องไปประชุมกับทุกระทรวง ทบวง กรม เรื่องการมอบอำนาจให้ผู้ว่าฯ ผมยังมีปัญหาว่า ถ้ามอบไปแล้ว ผู้ว่าฯ กล้าใช้มั้ย ถ้าไม่มีกระบวนการ Empowerment
ถามว่า ผู้ว่าฯ จะเอาอีกไหม เพราะมอบมาแล้ว ไม่กล้าใช้ ฉะนั้น จึงแก้ปัญหานี้ด้วยเทคนิคกระบวนการ Empowerment ในเรื่องของ CEO ก็คือ มอบอำนาจให้ CEO เปลี่ยน MD เป็น CEO ที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจ แก้ไขปัญหาในการลงทุน ทำการอะไรทุกอย่าง ได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องรายงาน ต้องอยู่ในขอบเขต ไม่ไปก้าวเลยอำนาจของ Share Holder ในธุรกิจไม่ว่าจะเป็นบริษัทเดี่ยวหรือกลุ่มบริษัท จะมี CEO เป็นใหญ่ แล้วก็มี COO (Chief Operation Officers) ใน COO จะมีด้าน Production ด้าน Sell ด้าน HR HR เป็นศัพท์ที่ฮิตอีก เป็นวิชาใหม่ HR คือ Human Resource Management เป็นองค์ความรู้ในระดับปริญญาโท HR แต่เดิมคือ Personnel Development กระบวนการพัฒนาบุคลากรของบริษัทให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น มี Orientation มี Training ฯลฯ พอทำไป ๆ เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ต้นทุนของธุรกิจที่สูงขึ้นคือ over head ในเรื่องคน เรื่อง salary เรื่อง pay คนได้ pay สูง แต่ทำงานต่ำ-ขายต่ำ-บริษัทขาดทุน หรือบางทีเงินเดือนสูงไม่รู้จะไปไหนแล้ว บริษัทก็มีวิธีจ่ายซองขาว 6 เดือน รับเด็กใหม่มาแทน เด็กใหม่เข้ามาก็ไม่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตก็ต่ำ ประกอบกับกฎหมายแต่ละประเทศเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ การประกันสุขภาพ การประกันสังคม ล้วนแต่เป็นเรื่องที่นายจ้างต้องรับผิดชอบร่วมกับรัฐบาล การแข่งขันทางธุรกิจสูง ต้องขายให้ได้มาก ถ้ากำไรน้อย ต้องลด Cost วิธีการลด Cost ที่ดีที่สุด คือลด Cost เรื่องคน ก็เกิดวิชา HR ขึ้นมา คือ Human Resource Management HR คือทำอย่างไรจะหาคนมาทำงานให้บริษัท โดยบริษัทรับภาระในเรื่องคนน้อยที่สุด หรือไม่ต้องรับภาระเลย ออกมาในเรื่อง
MLM คือตอนนี้คุณมีของจะขาย คุณสามารถตั้งบริษัทโดยมีเงินทุนประมาณห้าแสน คุณขายของได้แล้ว สู้กับ LEVER BROTHER ได้แล้ว สู้ CARREFOUR ได้แล้ว โดยใช้ MLM คือ รายได้ของคนขายมาจากราคาที่ Top-up ของ product ขายได้มากก็ Top-up สูง ฉะนั้น MLM ก็มีทั้งเลว ทั้งหลอกลวง ทั้งของจริง มิสทีนมาแล้วค่ะ ก็เป็น MLM วิธีการอันหนึ่ง บริษัทประกันก็ใช้ เซลล์ที่ขายประกัน ไม่ว่าบริษัทประกันภัย ประกันชีวิต ไม่ได้กินเงินเดือนบริษัท แต่กินจากค่าคอมมิชชั่น บริษัทก็ไม่ต้องไปรับภาระการจ่าย salary การจ่าย pay ไม่ต้องรับภาระค่าจ้างขั้นต่ำ การประกันสังคม การประกันสุขภาพที่จะมีเพิ่มเติมขึ้นมา เพื่อนผมคนหนึ่งรับดูแลธุรกิจของเครือสหพัฒนพิบูล เขามีนิคมอุตสาหกรรมที่อยุธยา เขาใช้ HR เข้าไปช่วย
จากกิจกรรมเขา เขาแยกบริษัท เขาเสียภาษีถูกลงกว่าบริษัทเดียวทำ ที่สำคัญคือไม่ได้จ้างแรงงานที่ผลิตรองเท้าไนกี้ (NIKE) เขามีบริษัทหาแรงงานเข้ามาให้ ชิ้นส่วนต่าง ๆ เขาไปส่งเสริมให้เป็น Village Industry ไปผลิตเป็นชิ้นงานป้อนเข้ามาเย็บเป็นรองเท้า NIKE ที่บางปะอิน ใน Village Industry เขาไม่ได้จ้างคนงาน เขามีคนงานก็จริง แต่เขาให้คนงานทำงานเป็นชิ้น ๆ ได้ค่าตอบแทนต่อชิ้นงาน ได้ชิ้นงานสูงมีโบนัส Top-up ให้อีก ฉะนั้น เขาไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ ประกันสังคม ฯลฯ เดี๋ยวนี้แนวทางออกไปอย่างนั้น มาจากไหน มาจาก HR ทั้งสิ้น เป็นวิชาใหญ่ คิดจะลดต้นทุนต่าง ๆ ที่นี้ COO ก็ขึ้นตรงต่อ CEO
CEO จะมีอำนาจที่ได้รับมอบมาจากผู้ถือหุ้น จากกรรมการบริษัท ในลักษณะการจ้าง CEO ส่วนใหญ่จะจ้างกันเป็นเทอม ๆ ตอนผมอยู่ สนผ. (มท.) มีลูกน้องคนหนึ่ง คนนี้เก่งมาก เผอิญแฟนเขาไปเป็นผู้ช่วยหัวหน้า ท.ท.ท. ที่อังกฤษ เขาจะตามไปดูแลแฟนเขา ผมแนะนำให้ไปเรียนทางด้านธุรกิจเอกชน เดิมเขาจะไปเรียนทางด้านการดูแลสวัสดิการลูกจ้าง ผมบอกว่าถ้าเรียนด้านนั้น กลับมาก็เป็นข้าราชการเช่นเดิม ถ้าไปทำงานเอกชนอย่างสูงก็เป็น Personal Manager เป็นลูกจ้างเขาไม่มีทางได้เป็นเถ้าแก่ จึงแนะนำให้ไปเรียน Business Ad. ทางด้าน Import/Export เขาก็ไปเรียน พอจบแล้วเขามาลาออก ไปทำงานหาประสบการณ์ในบริษัทเอกชน (ช่วงนั้นเป็นเหตุการณ์เมื่อ 12-13 ปีที่แล้ว ผมยังไม่ได้สนใจการบริหารธุรกิจเท่าไหร่) เขาไปสมัครงาน ปรากฏว่าบริษัทสามัคคีประกันภัยกำลังจะสร้างสำนักงานใหญ่ ประมาณ 28 ชั้น แล้วเขาต้องการตัว Project Manager ที่ควบคุมการก่อสร้าง เขาไปสัมภาษณ์และได้คุมการก่อสร้างอันนี้ เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เขามาคุย มาปรึกษาว่า บริษัทนี้ตกแต่งเป็นยังไง วงเงินเท่าไหร่ ค่าตกแต่ง ค่าลิฟท์ วงเงิน 300-400 ล้าน จึงถาม คุณไม่ต้องไปขออนุมัติ Board หรือ เขาตอบ ไม่ต้อง อยู่ที่ผม ผมมีอำนาจ หากไปขออนุมัติ MD ใหญ่ เขาตำหนิผมแน่ จึงถาม แล้วเขาไม่กลัวนายโกงหรือ เขาตอบ บริษัทกลัวเหมือนกัน ถาม เขาทำไง ตอบ เขามีคนคอยตรวจสอบผม โดยผมไม่รู้ตัว แต่ผมสามารถที่จะจ้างใครก็ได้ แต่ถ้าผมไปกินบริษัทที่จ้างนะ เขาจะรู้ Project Manager คนเก่าที่ถูกไล่ออกไปก็เพราะมีนอกมีใน คือ เขาให้คุณสร้างตึก 28 ชั้นให้จบภายในงบประมาณอันนี้ ฉะนั้นในงบประมาณนี้มีเงื่อนไขอย่างเดียว การว่าจ้างในการทำฐานรากของตึกต้องได้รับความเห็นชอบจาก Board of Executive แต่เมื่อเซ็นสัญญาก่อสร้างฐานรากแล้ว จะซื้อแอร์เพิ่ม ซื้อลิฟต์เพิ่ม ตบแต่ง เปลี่ยนแปลง อะไรต่าง ๆ อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตัว Project Director ไม่ว่าจะจ้างเป็นเงินกี่ร้อยล้านก็แล้วแต่ ทั้งโครงการอย่าเกิน 3,000 ล้าน ถ้าเกินต้องมาคุยกับ Board แล้วอย่างโกง อย่าเรียกเปอร์เซ็นต์ เพราะเรียกเปอร์เซ็นต์จะทำให้บริษัทต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเกินกว่าความเป็นจริง นี่คือตัวอย่างการทำงานอย่าง CEO คือคุณตัดสินใจอะไรได้หมด ไม่ต้องไปหา Board นั่นคือ การมอบอำนาจ แนวความคิดอันนี้ ท่านทักษิณฯ สร้างบริษัทในเครือขึ้นมาก็คือ CEO แต่ CEO ของธุรกิจ ง่าย ยกตัวอย่าง ผมเป็นประธานกลุ่มบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ผมจะตั้งบริษัท ก. ทำธุรกิจรับซื้ออุจจาระทั่วประเทศมาทำปุ๋ย สมมุติว่าผมเป็นบริษัทใหญ่ ผมหา CEO มาคุมเลย มีเงินให้อย่างนี้ คุณทำได้ไหม ทำได้ ทำเลย พวก CEO เขาจะเริ่มจากศูนย์ เขา recruit คนเอง เลือกสรรคนมาเอง ใครดี มาทำ ใครไม่เก่ง ไม่เอา เขาจะให้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็ให้ได้ คนดีคนเก่ง ให้เยอะ ๆ หรืองานนี้ ไม่จ้างคน Contract out CEO เขาตัดสินใจได้ หรือถ้าเขาไม่เริ่มจากศูนย์ เขาจะเปลี่ยนบริษัทจาก MD ธรรมดาให้เป็น CEO ง่ายนิดเดียว เขาประเมินคนที่อยู่ในบริษัทเลย คนนี้ต้องไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม ภายใน 3 เดือนต้องสอบ TOFEL มาให้ได้คะแนน 695 ถ้าไม่ถึง ไม่จ้าง เพราะต้องติดต่อกับฝรั่ง คนนั้นไปเรียนคอมพิวเตอร์ เรื่อง Database คนนั้นต้องไปเรียน HR เพิ่มเติม คนนี้ไม่ต้องเรียนเพียงแต่ปรับทัศนคติใหม่ ต้องพูดกับคนให้ดีหน่อยไม่งั้นลูกค้าหนีหมด ใครทำได้ ทำไป ใครทำไม่ได้ ยัดซองขาว หาคนใหม่มาแทน แต่เมื่อเอา CEO มาใช้กับระบบราชการไทย ซึ่งมีกฎระเบียบมหึมา มีผู้คนซึ่งจี้ตาบางครั้งไม่กระพริบกว่าครึ่ง ไม่รู้กลางวันกลางคืน ตรงนี้ผมหนักอกแทนผู้ว่าฯ CEO การใช้ระบบการบริหารจังหวัดแบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา รัฐบาลมองอย่างไร ต้องย้อนกลับไปดูสมัยรัฐบาลที่แล้วทำอะไรบ้าง ดู ม็อบหน้าทำเนียบกี่กลุ่ม วัน-คืน ไม่ต้องคิดทำอะไรเลย วันนี้รัฐมนตรีคนนี้ไปคุยกับกลุ่มนั้นหน่อย ปากมูลจะเปิดน้ำ รัฐมนตรีต้องวิ่งมาทำงานรอบทำเนียบ
รัฐบาลบริหารครั้งนั้น เสียอัตรากำลังระดับรัฐมนตรีกว่า 50% มา deal กับปัญหาของประชาชน ซึ่งรัฐบาลควรไปทำงานเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันกับต่างประเทศ ทำงานในเรื่องการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ มองภาพใหญ่ข้างหน้า บริหารในเชิง Strategic Management ไม่ใช่ Day-to-day Management ตื่นเช้ามาต้องมานั่งคุยกับม็อบทั้งหลาย แถมทางโน้นบอกว่า จะมาปิดถนนอีก ก็ต้องส่งรัฐมนตรีไป วุ่นวายกันหมด รัฐบาลปัจจุบันมองว่า ใช้คนผิด เขาต้องการเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพสูง (High Performance) คือรัฐบาลที่สามารถพัฒนาวาระแห่งชาติ (National Agenda) ที่เป็นปัญหาหลักของประเทศชาติ เอามาหายุทธศาสตร์ มาวางกลยุทธ์ เพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทาง การบริหารแบบ Day-to-day Management ควรเป็นอำนาจของจังหวัด ของผู้ว่า ราชการจังหวัด ของหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด
บทบาทของจังหวัด CEO เขาคาดหวังว่า ประการที่หนึ่ง ต้องรับผิดชอบ Day-to-day Management ไม่ให้ปัญหาในพื้นที่ท่วม (Flood) เข้าไปหารัฐบาล จนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ประการที่สอง เมื่อรัฐบาลมีวาระแห่งชาติ (National Agenda) คือ 3 สงคราม (ความยากจน ยาเสพติด คอรัปชั่น) นโยบายของรัฐบาลถ้าไม่ถูกการยอมรับจากผู้คนในพื้นที่ ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ฉะนั้นจังหวัดจะต้องเอาวาระแห่งชาติ (National Agenda) ไปผสมผสานให้ผู้คนในพื้นที่ยอมรับเป็นวาระของพื้นที่ (Area Agenda) ยกตัวอย่าง รัฐบาลบอกว่า ห้ามคอรัปชั่น การจัดซื้อ-จัดจ้าง ต้องโปร่งใส ห้ามเรียกเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าคนในพื้นที่ไม่ตอบสนอง นโยบายของรัฐบาลเรื่องคอรัปชั่นก็แก้ไขไม่ได้ จะแก้แต่ส่วนบนไม่ได้ เพราะมันต้องแก้ไขปัญหาทั้งราก ปัญหายาเสพติดก็ดี ปัญหาความยากจนก็ดี จังหวัดจะต้องเอาวาระแห่งชาติ (National Agenda) มาขายให้แก่ผู้คนในพื้นที่ให้ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราต้องร่วมมือกัน จะต้องสนับสนุนนโยบายให้เกิดขึ้น ในบ้านเราต้องอย่าให้มียาเสพติด จะต้องช่วยกันดูแล เรื่องคอรัปชั่นต้องช่วยกันดูแล เรื่องความยากจนต้องช่วยกันทำงาน ฉะนั้นหน้าที่ประการที่สองของจังหวัดก็คือ เอาวาระแห่งชาติ (National Agenda) มาเป็นวาระของพื้นที่ (Area Agenda) ประการที่สาม คือแต่ละจังหวัดบางทีมีปัญหาเป็นเอกเทศของตัวเองที่ไม่เหมือนกัน มันเป็นรากเหง้าของความเสื่อมโทรม บางจังหวัดมีปัญหาในเรื่องของทรัพยากร ด้านน้ำลำธาร บางจังหวัดมีปัญหาเรื่องการใช้ทรัพยากรชายฝั่ง ปัญหาต่างกัน จังหวัดต้องไปหาลักษณะที่เรียกว่าการริเริ่มแก้ไขปัญหา และการพัฒนาพื้นที่ (Area Initiative) ขึ้นมา สรุป จังหวัดต้องทำหน้าที่
การจะทำตรงนี้ได้ ผู้ว่าฯ จะต้องทำบทบาท CEO คือ ทำอย่าง Project Director (ที่พูดถึงข้างต้น) มีอำนาจใช้เงิน 3,000 ล้าน สร้างตึกให้เสร็จ ต้องเป็นคนที่มีอำนาจ ฉะนั้น ผู้ว่าฯ ต้อง Empowerment อำนาจที่ได้รับมาจากส่วนกลาง จากรัฐบาล จากกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ไปให้รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ซึ่งเป็น COO ในด้านนั้น ไม่ใช่ผู้ว่าฯ เก็บอำนาจไว้คนเดียว บนโต๊ะผู้ว่าฯ เต็มไปด้วยแฟ้มที่ได้รับมอบอำนาจมาจากทุกกระทรวง ทบวง กรม ถามว่า ผู้ว่าฯ จะไปบริหารงานอย่างไร ถ้ามอบอำนาจมาแล้วเก็บไว้หมด โต๊ะผู้ว่าฯ CEO ต้องสะอาด มีเรื่องมาถึงน้อยที่สุด จะต้องเข้าไปดูจุดของปัญหา ต้องไปดูปัญหาในพื้นที่ ดูความต้องการของประชาชน ไปดูขีดความสามารถของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ได้แล้วมีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง ไปช่วยเขาแก้ไขปัญหา ฉะนั้น
บทบาทจังหวัด : การบริหารเชิงกลยุทธ์ การจะทำงานนี้ได้ต้องเปลี่ยนบทบาทของจังหวัด แนวความคิดในการบริหารจัดการของจังหวัดให้เป็นไปในลักษณะ Strategic Government Unit หรือหน่วยงานยุทธศาสตร์ภาครัฐ คำว่า Strategic Unit หรือ Strategic Management ไม่ใช่ความหมายทางรัฐประศาสนศาสตร์ มันเป็นความหมายทางด้านการบริหารธุรกิจ ขณะนี้การบริหารงานทางธุรกิจภายใต้ระบบ CEO ของธุรกิจเอกชนจะพูดกันในเรื่อง การบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Management) ซึ่งมีสาระสำคัญ 3 เรื่อง เรื่องแรก คือ การวางแผนยุทธศาสตร์ (Strategic Planning) เรื่องที่สอง คือ การปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์ (Strategic Implementation) เรื่องที่สาม คือ การตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ (Strategic Decision) เขาใช้ Strategy หรือ Strategic เข้ามาในเชิงการบริหาร เพราะองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงจะต้องตัดสินใจได้ว่า
ก็ตรงกับแนวความคิดของท่านทักษิณฯ ที่ต้องการเป็น High Performance Government คือทำงานในเชิง Strategy แต่ Day-to-day Management ส่งมาให้จังหวัดทำ จังหวัดนอกจากรับ Day-to-day Management แล้ว
เพราะฉะนั้น ใน Strategic Management ที่พูดว่า Strategic Planning, Strategic Implementation และ Strategic Decision ก็คือจับประเด็นใหญ่ ๆ หากจะเปรียบเทียบกับองค์การธุรกิจเอกชน เขาจะดูประเด็นใหญ่ ๆ ประเด็นความเป็นความตายของธุรกิจของเขา แล้ววางแผนเพื่อจะเอาชนะตรงนั้น ครั้งหนึ่ง ประมาณปี 1970 บริษัท IBM ทำพลาด ตอนนั้น IBM เป็นผู้นำทางด้าน Main Frame คือคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ IBM คิดว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC) คงจะไม่เป็นที่แพร่หลาย IBM จึงมี Strategic Plan ว่าจะเป็นผู้นำทางด้าน Main Frame แต่มาในปี 1980 บริษัทเล็ก ๆ เช่น DELL Computer, COMPAQ (ซึ่ง IBM เห็นว่า บริษัทพวกนี้ต้องตายซากหมดเพราะเทคโนโลยีไม่ถึง Main Frame) บริษัทพวกนี้โตอย่างรรวดเร็วเพราะความนิยมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลสูงขึ้นมา พอมาดู Volume ของ IBM ขึ้นเหมือนกันแต่ขึ้นน้อยลง เกือบจะเป็นแนวราบ เกือบจะเป็นในลักษณะ Negative Growth ในปี 1985 IBM ทำแผนยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อมาตีตลาด PC แต่ช้าไป ขณะนี้ในอเมริกา DELL ครอง IBM ยังสู้ไม่ได้ COMPAQ ก็ถูกกว่า เขาจับตรงนี้ แต่วิธีการที่จะก้าวไปสู่ตรงนี้ ผู้ที่ผูกขาดในเรื่อง Main Frame ก็เป็นเรื่องของฝ่ายทางด้าน Programmer เขาก็ไปทำแผนของเขาในจุดนั้น เพราะฉะนั้น แผนขององค์การจะเน้นในเชิง Strategic การตัดสินใจในการ Implement ขึ้นอยู่กับ CEO เพราะมัวแต่รอ Board ตัดสินใจ ไม่ได้ ตัวอย่าง บริษัท TA ตั้งแต่ได้สัมปทานล้านเลขหมายในกรุงเทพฯ ตอนที่ทำ Study อะไร ๆ ดีไปหมด พอทำเข้าจริง จะขาดทุนเอา คู่เลขหมายเหลือมากมาย TA ต้องมาคิดว่าทำอย่างไรเขาจะขายได้ ตัวขายตรงนี้ไม่ใช่ขายเบอร์หรือคู่สาย แต่อยู่ที่ค่าธรรมเนียมการใช้โทรศัพท์ ซึ่งจะกินยาว ค่าติดตั้งเครื่องละ 3,000 บาท เขาไม่เอาก็ได้ แค่ค่าใช้โทรศัพท์เดือนละ 500 หกเดือนก็ได้ 3,000 แล้ว แล้วใช้จนตายมันกินยาวกว่ากัน TA เอากลยุทธ์ให้โทรศัพท์ฟรี ไม่ต้องเสียค่าติดตั้ง ไม่ต้องวางมัดจำ เท่านั้นยังไม่พอ ซื้อโทรศัพท์ TA แถมคลิ๊ก TA ให้ใช้อีก สารพัดลดแลก แจก แถมไป ถามว่า เขาโง่ไหม ทำไมเขาไม่เอาเงินค่าติดตั้ง ทำไมเขาไม่ขายชั่วโมง internet ชั่วโมงละ 10 บาท ก็ได้แค่นั้น แต่ที่จะกินต่อไปที่มีโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง มันกินยาว นี่คือการตัดสินใจในลักษณะเชิง Strategy เช่นเดียวกัน รัฐบาลต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาแก้ไขในเชิง Strategy ในเรื่องของ Agenda (National Agenda, Area Agenda) หรือในเรื่องของปัญหาผู้คน ปัญหาเรื่อง ม็อบต่าง ๆ ฉะนั้นต้องมอบอำนาจ ขณะนี้กลไกในระบบราชการ เป็นแค่เรื่อง Delegation of Authority ยังไม่ก้าวไปสู่ Empowerment การที่จะทำ Empower กับผู้ว่าฯ ยาก ไม่เหมือนผมเป็นประธานบริษัทแล้วทำ Empowerment กับผู้จัดการในบริษัท เพราะการทำงานของผู้ว่าฯ โดยส่วนราชการยังไม่พอ ยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตย ยุคกระจายอำนาจ เรามี อบต. อบจ. เทศบาล NGO ภาคเอกชน ถ้าผู้ว่าฯ ครองใจกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้ เราไม่ได้ไปปกครองเขา เราเป็นผู้ประสานงานและสนับสนุน ฉะนั้นคนที่บอกว่า CEO ทำลายการกระจายอำนาจ ไม่ใช่ มันคนละเรื่องกัน CEO เราจัดการในราชการส่วน ภูมิภาค รัฐบาลต้องสนับสนุนดูแลท้องถิ่นคือหน้าที่ของผู้ว่าฯ CEO ไม่ใช่ไปครอบท้องถิ่น ท้องถิ่นเป็นส่วนประกอบ เป็นส่วนราชการที่แยกออกมา เราดูแลในเรื่องที่เป็นภูมิภาค ในท้องถิ่นมีกฎหมายของท้องถิ่น ผู้ว่าฯ ไปแทรกแซงท้องถิ่นได้ยังไง ก็ขัดรัฐธรรมนูญ ขัดกฎหมายต่าง ๆ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า ให้กำกับดูแลท้องถิ่นเท่าที่จำเป็น ฉะนั้นตรงนี้เราต้องได้พลังของท้องถิ่น เอกชน เข้ามาสนับสนุน เพื่อให้เกิด Area Agenda ผมบอกทั้งผู้ว่าฯ ใหม่ และผู้ว่า CEO เมื่อวานนี้ว่า ขอร้องที ท่านผู้ว่าฯ ลงรถที่จังหวัดของท่าน ไม่ต้องประกาศ ผมมีนโยบาย 3 ม กขค 4 ฮ ไม่ต้องเลย แค่ Nation Agenda, Area Initiative ทำให้ได้เถอะ ไม่ต้องไปสร้างอนุสาวรีย์ตัวเอง หมดสมัยแล้ว สมัยนั้นทำได้ เพราะพลังประชาชน พลังประชาธิปไตยยังไม่มี สังคมยังเป็นสังคมปิด มีความเคลื่อนไหวช้า ผมบอก ท่านบอกได้เลย 3 สงคราม จังหวัดนี้มีปัญหาอะไร ขอให้นำมาให้ผมพิจารณาให้การสนับสนุน ผู้ว่าฯ เป็นหลักของรัฐบาล คุณต้องพูดเสียงเดียวกับรัฐบาล รัฐบาลบอก 3 สงคราม ผู้ว่าฯ ไม่สนใจ 3 สงครามเลย มาบอก 3 ม อย่างนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในการบริหารก็คงเข้าใจ การจัดองค์การเป็นไง ทั้งหมดถามว่าเพื่ออะไร เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ เอาชนะ 3 สงคราม ความพอเพียงทางเศรษฐกิจ สังคมน่าอยู่ ความมั่งคั่ง และที่สำคัญที่สุด แข่งขันกับต่างชาติได้ ทุกวันนี้เราแข่งขันสู้เขาไม่ได้ในเรื่องหัวคิด เรามีหนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล หลายตัว ดี แต่เรายังแข่งขันกับเขาไม่ได้ เพื่อนผมกลับมาจากฟิลิปปินส์ ซื้อผลิตภัณฑ์ของฟิลิปปินส์มาให้ ฟิลิปปินส์มีสัปปะรดเยอะ สัปปะรดกวนของเราใส่กระดาษแล้วหมุน ๆ แล้วมัด แต่ของฟิลิปปินส์ทำใส่ซองเล็ก ๆ พิมพ์สวยหรู ถูกหลักอนามัย ทำ Package ออกมาสวย มีรัฐบาลรับรอง ส่วนของเรา สู้เขาไม่ได้ เราต้องพัฒนาตรงนี้ ลักษณะของผู้ว่า CEO : บริหารแบบครบวงจร ความมั่งคั่ง คือการแข่งขัน ต้องคิดอะไรก็ได้ให้เราแข่งขันกับเขาให้ได้ แล้วไปถึงวิธีการจัดการ การที่เราปรับปรุงเรื่อง Input แล้วจะให้ไปสู่ Output กระบวนการแปรรูปเป็นเรื่องสำคัญ เป็นการบริหารที่เรียกว่า Holistic Management หมายถึงบริหารไปแล้วมีปัญหาอยู่ที่ไหน ต้องตามไปแก้ไขปัญหา มองทุกจุดว่า เมื่อตัดสินใจแล้วจะมีปัญหาเกิดขึ้นที่จุดไหน ต้องมีแนวทางในการแก้ไขปัญหานั้นได้ทั้งหมด ไม่ใช่วางแผนแก้ปัญหาเสร็จ พอตัดสินใจเกิดปัญหาเป็นลูกโซ่เลย แล้วมานั่งก่ายหน้าผากไม่รู้จะแก้ยังไง อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็น Holistic Management Holistic Management คือต้องคาดหมาย (Expect) ปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการ ตัดสินใจเรื่องนี้หรือการดำเนินการเรื่องนี้ได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเกิดแล้ว มีกลยุทธ์ มี tactic ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร คนที่จะดูแลเรื่อง Holistic Management ต้องมีลักษณะ ดังนี้ 1. เป็นคนกว้าง เป็นคน Smart Smart ในที่นี้ไม่ใช่ หล่อ แต่หมายถึง ฉลาด Genius มีได้น้อยคน แต่ smart มีเยอะ เช่น smart road คือ ถนนที่มีฝนตกจะมีป้ายกระดกขึ้นมาว่า ห้ามวิ่งเกิน 50 ก.ม./ช.ม. เพราะถนนลื่น พอถนนแห้งป้ายก็ขึ้นมาว่า ห้ามวิ่งเกิน 120 ก.ม./ช.ม. คือ ถนนที่มันฉลาด ดูสภาพอากาศแล้วมันสามารถให้ signing และ warning คนขับขี่ได้โดยอัตโนมัติ หรือมีอุบัติเหตุข้างหน้าก่อนถึงที่เกิดเหตุ 3-4 ก.ม. จะมีป้ายขึ้นมาให้คำแนะนำทั้งหมด และคำแนะนำไม่ใช่คำแนะนำทั่วไป เป็นคำแนะนำเฉพาะหน้าขณะที่ขับรถด้วย เขาเรียก smart road 2. อีกเรื่องหนึ่งเขาเรียก การบริหาร Horizontal Management คือการดูแลจัดการแก้ไขปัญหาในระดับแนวราบที่บางครั้งมันแยกส่วน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ การบริหารของสถานทูตสหรัฐ หน่วยงานของสหรัฐที่อยู่ในเมืองไทยเยอะแยะ มี American Embassy มี USIS มีบริษัทเอกชนเข้ามา deal ผ่านทางรัฐบาล มาทำโครงการต่าง ๆ กับเรา หน่วยงานเหล่านี้ เมื่อเกิดสถานการณ์ใดขึ้นจะอยู่ในการดูแลของ American Ambassador ในสถานการณ์ปกติ USIS ก็ว่าไป แต่ในสถานการณ์วิกฤติ USIS ต้องขึ้นกับ American Ambassador ทันที
ฉะนั้น ผู้ว่าฯ ถ้ารับการจัดการอะไรมาแล้ว ต้องดูแลทุกส่วนราชการ เขาเกิดปัญหาตรงไหนต้องไปแก้ไขให้เขา ไม่ใช่ดูแลเฉพาะส่วนราชการกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ต้องมี Horizontal Management ด้วย ตอนนี้แรงงานเขามีปัญหา เขาจดแรงงานต่างด้าว มีนายหน้ามาคอยดัก ผู้ว่าฯ ต้องไปแก้ปัญหาให้เขา ไม่ใช่แรงงานทำให้ดีนะ ทำไม่ดีผมตัดเงินเดือนคุณ ไม่ได้ เขามีปัญหาต้องแก้ไขให้เขา 3. ข้อที่สำคัญที่สุดคือ มุ่งเน้นผลงาน ที่พูด KPI ตรงนี้ต้องวัดให้ได้ ผู้ว่าฯ CEO จะเหนื่อยกว่าผู้ว่าฯ ธรรมดา เพราะเราจ้างสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นเป็นคนประเมิน KPI ของ 5 จังหวัดทดลองเปรียบเทียบกับจังหวัดเทียบเคียง คือก่อนวันที่ 30 ต.ค. 44 จะมีการเก็บข้อมูลพื้นฐาน (Base Line Data) ใน 5 จังหวัดทดลองและ 5 จังหวัดเปรียบเทียบ เราจะมีข้อมูลทั้งหมด ประชากร การว่างงาน รายได้ การใช้พื้นที่เพาะปลูก จะเก็บหมด เป็นตัวตั้งไว้ พอสิ้นวันที่ 31 มี.ค. 45 ก็จะเก็บข้อมูลเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วมาเปรียบเทียบกัน การว่างงานเป็นยังไง การจัดหางานเป็นยังไง เรื่องสุขภาพอนามัย เรื่องคดีอาญา เรื่องยาเสพติดเป็นยังไง ความพึงพอใจเป็นยังไง อยู่ในลักษณะ Positive Correlation (ความสัมพันธ์ในทางบวก) ไหม ถ้าเป็น Positive Correlation แสดงว่าการจัดการนี้ใช้ได้ ถ้าเป็น Negative Correlation แสดงว่าระบบมีปัญหาแล้ว มีปัญหาเพราะอะไร เพราะคน เพราะระบบ เพราะพื้นที่ หรือเพราะ CEO เอง ฉะนั้น ผู้ว่า CEO เหนื่อยกว่า ผู้ว่าฯ ปัจจุบัน สรุป สรุปแล้ว การบริหารการจัดการส่วนภูมิภาคยังคงอยู่ จังหวัดจะเป็น High Performance Government Unit เป็น Strategic Government Unit มากขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ถามว่าในอนาคต ผู้ว่าฯ นายอำเภอ จะไปสังกัดกับใคร ไม่รู้ อย่าไปห่วงสังกัด ขอให้คอเราสังกัดครุฑไทยก็ใช้ได้ ควรจะเลิกได้แล้ว สิงห์ พิฆเนศ ต้องเปิดใจให้กว้างขึ้น ยอมรับว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญกว่าผลประโยชน์ของกระทรวง ทบวง กรม หรือแม้กระทั่งผลประโยชน์ของตัวเราเอง ต้องทำใจเป็น อรหันต์ แล้วจะมีความสุข ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้
: 8 < : 8 < : 8 < : 8 < เก็บความและเรียบเรียงโดย นายพูลศักดิ์ นาพูลผล นพบ. 6 ว ฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยการปกครอง
หมายเหตุ : ในการสัมมนากลุ่มย่อยปฏิรูประบบราชการ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2544 กระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วยส่วนราชการ ดังนี้ 1.สำนักงานปลัดกระทรวง 2.กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 3.กรมกิจการความมั่นคงภายใน (กรมการปกครอง) 4.กรมที่ดิน 5.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 6.กรมการพัฒนาชุมชน 7.กรมพัฒนาเมือง |