ศาสตราจารย์
ดร. ชัยอนันต์ สมุทวณิช
คำนำของผู้เขียน
หนังสือเล่มเล็กนี้เขียนขึ้นเพราะผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะส่งเสริมระบบประชากร
ซึ่งเป็นการพัฒนาความคิดเรื่อง ประชารัฐ
อีกระดับหนึ่งให้โยงกับประสบการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน
ระบบประชาการเป็นระบบที่คึกคักแต่ยังไม่แข็งแกร่ง
(ตามสำนวน ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์)
การปฏิรูประบบราชการที่ทำโดยข้าราชการเป็นการทำงานที่เต็มไปด้วยเจตนาดี
แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เน้นความสำคัญของระบบราชการ
มิได้คำนึงถึงเป้าหมายปลายประสงค์ของรัฐสมัยใหม่
ซึ่งได้แก่ การเพิ่มพลังและความสามารถให้แก่ประชาชน
ผู้ถูกปกครองมาแต่ก่อนเก่าให้เป็นพลเมืองผู้มีบทบาท
ความรับผิดชอบต่อสังคม
มีส่วนร่วมทางสาธารณกิจอย่างคึกคักเข้มแข็ง
ระบบราชการต่างกับระบบประชาการ
รัฐที่มีเหตุผลในการดำรงอยู่เพื่อประชาชน คือ ประชารัฐ
ย่อมส่งเสริมสนับสนุนประชาการ
(กิจการที่ประชาชนร่วมกันคิดร่วมกันทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ)
หากการปฏิรูประบบราชการจะมีส่วนในการพัฒนาสังคมประชาธิปไตยแล้ว
ระบบราชการก็ควรเล็กลง
ระบบประชาการใหญ่ขึ้นเข้มข้นและเข้มแข็งขึ้น
หนังสือนี้เขียนขึ้นเพราะผู้เขียนยังมีความหวังในการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของบ้านเมืองอยู่
โดยเลือกที่จะใช้เวลานั่งคิดและเขียนหนังสือนี้แทนการเข้าร่วมประชุมการปฏิรูประบบราชการที่ทำเนียบรัฐบาล
ชัยอนันต์ สมุทวณิช
เหตุผลของรัฐ
ผู้เขียนมีความสนใจและมีประสบการณ์ในการร่วมทำงานด้านการปฏิรูป
การเมือง การปฏิรูประบบราชการ และการปฏิรูปการศึกษา
มาเป็นเวลานาน ตลอดระยะเวลา 30 ปี ที่ผ่านมานี้
ผู้เขียนได้ครุ่นคิดถึงแนวทางและวิธีการที่จะทำให้รัฐ
ระบบราชการ กับประชาชน
มีความสัมพันธ์กันในทางที่จะส่งผลให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสและยากไร้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่
ที่ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้กลุ่มอาชีพต่างๆ
ได้รับอานิสงค์จากการอยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่เบียดเบียนกันถึงขนาดที่ไม่มีพื้นที่สำหรับกลุ่มคนหรือกลุ่มอาชีพที่ต้องการโอกาสและเวลาในการสร้างตัวเลย
หลังการมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
ประเทศของเราต้องเผชิญกับวิกฤตหลายๆ ด้าน
เรามีความพยายามในการปฏิรูประบบการเมือง ระบบราชการ
ระบบกฎหมาย ระบบการศึกษา
ระบบราชการเป็นจุดเชื่อมที่สำคัญของการใช้อำนาจรัฐ
ปัจจุบันเรามีแนวคิดและวิธีการบริหารจัด
การมาจากทฤษฎีและความคิดด้านการจัดการธุรกิจเข้ามาใช้มากขึ้น
ในความเห็นของผู้เขียน เหตุผลของรัฐ
มีมากกว่าหนึ่งเหตุผล และการปกครองบริหารจัดการรัฐ
แม้อาจนำแนวคิดและวิธีการจัดการแบบธุรกิจ จัดการบรรษัท
บริษัทมาใช้ได้บ้าง แต่รัฐก็มิใช่บรรษัท
และประชาชนคือเจ้าของรัฐ เหตุผลของรัฐ
จึงมิใช่เหตุผลด้านการตลาด และรัฐก็มิใช่เป็น
รัฐตลาด ที่จะเป็นจุดหรือพื้นที่ ๆ
ใครจะมาถือเอาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
หรือจะมาเป็นตลาดใหญ่ และตลาด ย่อย ๆ ได้ทั้งหมด
เนื่องจากรัฐไทยมิใช่ ตลาด
เหตุผลของรัฐในการมีอยู่คงอยู่
และเป็นเหตุผลที่ให้อำนาจรัฐมีความชอบธรรม
มีการใช้อำนาจที่ชอบธรรมได้
ก็จะต้องเป็นเหตุผลในการปกปักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติ
ระวังรักษาสำหรับชนรุ่นหน้าบริบาลประชาชนส่วนที่ยังด้อยโอกาส
ถูกเอารัดเอาเปรียบคอยเป็นเครื่องผ่อนแรงกระทบกระแทกจากกระแสโลกานุวัตรด้วย
ระบบบริหารจัดการ 3 แบบ
เมื่อพิจารณาเช่นนี้
จึงควรวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ว่า
เพื่อทำหน้าที่ตามเหตุผลของรัฐที่หลากหลายมิติ ตามเป้าหมาย
และนโยบายที่จะช่วยให้ประชาชนทั้งประเทศมีพลัง
มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองเพิ่มขึ้นได้นี้
หากภาครัฐจะมีบทบาทเช่นนี้ ระบบการบริหารจัดการ
ควรเน้นการทำหน้าที่อย่างไร
การปฏิรูประบบราชการจะทำให้ระบบราชการและข้าราชการ
มีความแข็งแกร่งขึ้นหรือจะทำให้ระบบประชาการ
(กิจการที่ประชาชนร่วมกันจัดทำและประชาชน)
มีความแข็งแกร่งขึ้น
ในปัจจุบันเรามิได้มีระบบการบริหารจัดการแบบเดียว แต่มี 3
แบบ ในระบบ 3 แบบนี้ 2 แบบเป็นระบบราชการ แบบที่ 3
เป็นระบบประชาการ
หากเราจะปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อประชาชนแล้ว
เราต้องมีแนวคิดและวิธีการ ตลอดจน
ขั้นตอนการปฏิบัติที่จะทำให้ระบบราชการเล็กลง
โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ ระบบประชาการใหญ่ขึ้น
มีบทบาทมากขึ้น ระบบการบริหารจัดการทั้ง 3 ระบบ นี้
เป็นระบบที่เรามีอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีอำนาจรัฐ
ระบบราชการ และประชาชน
1.
ระบบการบริหารจัดการที่อาศัยนโยบายระดับชาติที่กำหนดโดยรัฐบาลเป็น
หลัก ได้แก่ ระบบการบริหารจัดการแบบบูรณาการที่เรียกกันว่า
"ผู้ว่า CEO" (ต่อไปจะเรียกว่า
ระบบที่หนึ่ง)
2.
ระบบการบริหารจัดการที่อาศัยแผนงานและโครงการของกรมต่าง ๆ
ที่เป็น ราชการบริหารส่วนกลาง
ซึ่งอิงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เป็นกรอบในการทำงาน
มีงบประมาณของแต่ละกรมตั้งไว้ที่ส่วนกลาง เป็น
ทรัพยากรสำคัญในการดำเนินงาน (ต่อไปจะเรียกว่าระบบที่สอง)
ระบบนี้ยัง มีรัฐวิสาหกิจรวมอยู่ด้วย
3.
ระบบการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งรัฐธรรมนูญและ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถกำหนดนโยบายการปกครอง
การบริหาร การ บริหารงานบุคคล
การเงินและการคลังอย่างเป็นอิสระ และมีอำนาจหน้าที่
ของตนเองโดยเฉพาะ (ต่อไปจะเรียกว่า ระบบที่สาม
ซึ่งผมถือว่าเป็นระบบ ประชาการ)
ในบรรดาระบบการบริหารจัดการ 3 รูปแบบนี้
รูปแบบที่สองเป็นระบบที่มีความเข้มข้นมากที่สุด
เพราะในระยะเวลา 40 ปี ที่ผ่านมา
การบริหารจัดการที่อิงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรือที่เรียกว่า "การบริหารการพัฒนา" (Development
Administration) นั้น
มีผลทำให้เกิดการขยายขอบเขตงานของหน่วยงานระดับกรมออกเป็น
กอง และหน่วยงานของกรมในพื้นที่ต่าง ๆ ทุกจังหวัด
ในขณะที่รัฐบาลไม่ได้เน้นความสำคัญของการกระจายอำนาจ
และถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ
ที่ส่วนย่อยของกรมดำเนินการในพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของจังหวัด
ให้แก่ องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นทำ
แม้จะมีเทศบาลแต่ขอบเขตของเทศบาลก็กินพื้นที่ส่วนน้อยของจังหวัด
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
เพราะได้มีบทบัญญัติเป็นแม่บทในการบังคับให้มีการดำเนินการกระจายอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คือ มาตรา 284 มาตรา 284 นี้
เป็นแม่บทที่บังคับให้มีกฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ
โดยกำหนดสาระสำคัญของกฎหมายไว้ด้วยทั้ง 3 ด้าน คือ
(1) ด้านการกำหนดอำนาจและหน้าที่
ในการจัดระบบการบริการสาธารณะ
ระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และระหว่างองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง
(2)
ด้านการจัดสรรสัดส่วนของภาษีและอากรระหว่างรัฐกับองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น
โดยคำนึงถึงภาระหน้าที่ของรัฐกับองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่นด้วยกันเองเป็นสำคัญ
(3)
ด้านองค์กรที่จะดำเนินการจัดการให้เกิดผลตามเงื่อนไข 2
ข้อข้างต้น คือ การจัดให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง
ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยราชการ ที่เกี่ยวข้อง
ผู้แทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมี
คุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติโดยมีจำนวนเท่ากัน
ภาพข้างล่าง 3 ภาพ แสดงการมีระบบบริหารจัดการ 3 ระบบ
และแสดงความสัมพันธ์สองแบบของสามระบบ
สามระบบ
ระบบการเมืองและระบบราชการ ร่วมกันใช้อำนาจต่อระบบประชาการ
ระบบการเมืองและระบบราชการ ส่งเสริมสนับสนุนระบบประชากร
ระบบที่หนึ่ง :
การปรับเปลี่ยนบทบาทและภาวะการนำของผู้ว่าราชการจังหวัด
(ผู้ว่าฯซีอีโอ)
ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นตำแหน่งที่สืบทอดต่อเนื่องมาจากตำแหน่ง
เจ้าเมืองในยุคสมัยแห่งการมีรัฐชาติ
ซึ่งมีเป้าหมายและภารกิจหลักในการรวมศูนย์อำนาจ
ผนึกและขยายขอบเขตของอำนาจรัฐจากศูนย์กลางลงไปควบคุมพื้นที่
ๆ เป็นอาณาเขตของรัฐชาติ
แม้ว่าอาณาเขตของรัฐชาติจะครอบคลุมพื้นที่ ๆ
มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ชาติพันธ์และวิถีชีวิตการทำมาหากิน ขนบธรรมเนียม
และระดับการพัฒนาด้านต่างๆ ก็ตาม
แต่ความจำเป็นในการรักษาอำนาจของศูนย์กลางในอาณาบริเวณต่างๆ
ทั่วประเทศ
ทำให้ต้องอาศัยแนวทางและวิธีการปกครองบริหารจัดการที่เป็นเอกภาพมีเอกรูป
และเอกวิถีในการปฏิบัติงาน
เอกรูปและเอกวิถี ทั้งทางนโยบาย กฎ ระเบียบ
และวิธีการปฏิบัติ ทำให้รัฐชาติ
บรรลุเป้าหมายในยุคของการคุกคามจากชาติตะวันตกได้
และรูปลักษณ์ของรัฐชาตินี้เป็นจุดแข็งในการพัฒนาประเทศในระยะแรก
แต่กำลังกลายเป็นจุดอ่อนในการเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ของยุคโลกานุวัตร
ในระยะเวลาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา
ได้มีการยอมรับและมีการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดจาก
แบบเอกรูป-เอกวิถี มาเป็น พหุรูป-พหุวิถี มากขึ้น
ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือ สาระของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
และพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542
บทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดในระยะเวลา 100
ปี
ที่ผ่านมาได้ถูกแบ่งปันไปให้หัวหน้าส่วนราชการที่เป็นตัวแทนจากกรม
ซึ่งเป็นกลไกศูนย์อำนาจส่วนกลางมากขึ้นเป็นลำดับ
แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดก็ยังคงมีบทบาทและอำนาจดำเนินการในกิจกรรมด้านการปกครองอยู่
เพราะสถานการณ์ของประเทศก่อน พ.ศ.2523
ยังคงมีลักษณะของการท้าทายคุกคามและภยันตรายด้านความมั่นคงทางการสู้รบและทางทหาร
บัดนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป
ความมั่นคงของชาติมีลักษณะที่มิใช่การท้าทายคุกคามและภยันตรายทางสงคราม
(non-war) อีกต่อไป
หากเป็นภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง
(และผลที่ตามมา เช่น น้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่)
ด้านความขัดแย้งในการใช้และแย่งชิงทรัพยากร
ด้านการอพยพข้ามแดน และแรงงานข้ามชาติ ด้านยาเสพย์ติด
ส่วนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การท้าทาย คุกคาม
มีควบคู่ไปกับโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดจากกระแสโลกานุวัตร
การตกต่ำทางเศรษฐกิจในระดับโลก ระดับภูมิภาค
มีผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจทุกระดับในประเทศมากขึ้น
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลในแต่ละจังหวัดไม่อาจมีบทบาทในการนำนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ทั่วจังหวัดได้
และในเวลาเดียวกันก็ไม่อาจมีบทบาทในการระดมความคิด
แสวงหาความต้องการของประชาชน
และกำหนดเป็นกลยุทธ์ระดับจังหวัด
มีการตั้งเป้าและร่วมกันกำหนดมาตรฐานเทียบเคียงกับจังหวัดอื่นได้
ก็เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเพียงตัวแทนของสำนักงานปลัด
กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานเทียบเท่ากรม ๆ
หนึ่งเท่านั้น แม้จะมีอำนาจ สูงสุดทางการปกครองในจังหวัด
แต่ก็ไม่มีบทบาทในการนำนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไปปฏิบัติ
เนื่องจากในจังหวัดมีหน่วยงาน 2 ระดับ คือ
ระดับส่วนกลางที่ลงไปอยู่ในจังหวัด 129 กรม
และยังมีการรวมสายการบังคับบัญชาเป็นระดับเขตอีกด้วย
อีกระดับหนึ่ง ได้แก่ ระดับท้องถิ่น ซึ่งมี 3 รูปแบบ
กล่าวโดยสรุปก็คือ
ในแต่ละจังหวัดซึ่งเป็นพื้นที่ ๆ
มีความหลากหลายทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
และแต่ละพื้นที่ก็กำลังได้รับผลสะเทือนจากการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลกานุวัตรแตกต่างกันไปนั้น
พื้นที่ ๆ จัดรูปการปกครองเป็นจังหวัดนี้
มีระบบการบริหารจัดการถึง 3 ระบบ ดังได้กล่าวมาแล้ว
ประเด็นที่ถกเถียงกันในปัจจุบัน เรื่อง
ผู้ว่าซีอีโอ ก็คือ
การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อาจบังคับการให้เกิดกิจกรรมในระดับจังหวัดที่มีบูรณาการด้านขวางได้
เพราะหน่วยงานระดับกรมในจังหวัดต่างมีงบประมาณของตนเอง
และทำงานตามแผนงาน-โครงการของกรมแต่ละกรม
ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะสอดคล้องกับการจัดลำดับความสำคัญของผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีต่อปัญหาและความต้องการในการพัฒนาจังหวัดหรือไม่
ที่เป็นปัญหาก็คือ
ความต้องการและลำดับความสำคัญในการพัฒนาจังหวัดนั้นเป็นความต้องการของใคร
ประชาชนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในจังหวัดมีส่วนร่วมในการกำหนด
และจัดลำดับความสำคัญมากน้อยเพียงใด
หรือหน่วยราชการระดับกรมจากส่วนกลางเป็นฝ่ายกำหนด
โดยการพัฒนาจังหวัดมีการแยกส่วนตามหน่วยงานและองค์กร
มิได้มีการบูรณาการเชื่อมโยงกันทั้งทางดิ่งและทางขวาง
ที่สำคัญก็คือ
งบประมาณในปัจจุบันที่ลงไปสู่จังหวัด
เป็นงบประมาณที่ตั้งโดยผ่านกรม
และอีกส่วนหนึ่งจะลงไปสู่องค์กรปกครองท้องถิ่นโดยตรง
หากรัฐบาลต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทในด้านการจัดการควบคู่ไปกับด้านการปกครอง
(ซึ่งนับวันจะลดความสำคัญลงเนื่องจากสภาวะการณ์และสถานการณ์ปัจจุบันต้องการการจัดการมากขึ้น)
แล้ว
ก็มีความจำเป็นที่จะต้องจัดระบบงบประมาณให้มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป
โดยให้จังหวัดมีฐานะเป็นส่วนราชการตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. 2502
เพื่อจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บริหารสูงสุด
(Chief Executive Officer)
จะสามารถจัดทำงบประมาณของจังหวัดได้
แทนที่จะเป็นการจัดทำงบประมาณโดยส่วนงานของกรมต่าง ๆ
ในระดับจังหวัด แล้วตั้งงบประมาณไว้ที่กรม
หรือให้องค์กรปกครองท้องถิ่นจัดทำงบประมาณเอง
ซึ่งหากไม่มีบูรณาการในการจัดทำงบประมาณจังหวัดแล้ว
การนำนโยบายและยุทธศาสตร์ของ รัฐบาล
และ/หรือของจังหวัดไปสู่การปฏิบัติก็จะไม่บังเกิดผล
หากยังจะมีความซ้ำซ้อนสูญเปล่าเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต
การมียุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด
การที่รัฐบาลมีนโยบาย และวาระแห่งชาติ
เป็นการกำหนดนโยบายและวาระแห่งชาติโดยรวม
สำหรับคนทั่วประเทศ แต่คนทั่วประเทศอยู่ในพื้นที่ ๆ
มีสภาพและระดับความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม
ที่หลากหลายต่างกัน จังหวัด คือ
หน่วยที่รองรับความหลากหลายนี้ ในขณะที่กระทรวงและกรม
เป็นหน่วยที่รองรับความหลากหลายของบทบาทภาระหน้าที่ของภาครัฐ
บทบาทและภาระหน้าที่ของภาครัฐ
ในอดีตมีครอบคลุมส่วนต่าง ๆ ของสังคม
เพราะภาคเอกชนยังเล็กและไม่แข็งแรง
ภาคประชาชนยังไม่มีการตื่นตัวต้องการมีส่วนร่วมมาก
ไม่มีการจัดตั้งรวมตัวกันเป็นองค์กร
นอกจากนั้นในปัจจุบันระบบเศรษฐกิจยังขยายตัวไปมากจนมีส่วนสร้างรายได้ประชาชาติมากมาย
เมื่อเป็นเช่นนี้
ภาครัฐจึงไม่จำเป็นจะต้องมีบทบาทและภาระหน้าที่อย่างทั่วด้าน
กิจกรรมหลายประเภทที่ภาครัฐดำเนินการสามารถให้ภาคเอกชน
และ/หรือองค์กรของประชาชนทำได้
โดยมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีกว่า
อีกทั้งยังสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน
และภาคประชาชนด้วย
นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงการเติบโตและความต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
สังคมและวัฒนธรรมของภาคธุรกิจเอกชน
และภาคธุรกิจขนาดเล็กและเกษตรกรรมรูปแบบต่าง ๆ
ของภาคประชาชนแล้ว
ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับชาติลงไปถึงระดับท้องถิ่นอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นนำไปสู่กติกาใหม่ทางการเมือง-การปกครอง
แต่โครงสร้างและกระบวนการบริหารจัดการของภาครัฐยังคงมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
ก่อให้เกิดการขัดกันและช่องว่างระหว่างความต้องการอันหลากหลายของภาคเอกชน-ภาคประชาชน
กับการจัดกิจกรรมการให้บริการด้านต่าง ๆ ของภาครัฐ
แม้ระบอบการเมืองของประเทศไทยจะมีความต่อเนื่องมากขึ้น
แต่ระบบการเมืองที่ขาดกลไกหลัก (พรรคการเมือง)
ที่มีความเข้มแข็ง มีแนวนโยบาย ยุทธศาสตร์
และวิธีการบริหารจัดการที่ชัดเจน
มีผลทำให้สถานการณ์ด้านการจัดการปิดช่องว่างเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนไม่ดีขึ้น
นอกจากนั้นก็ยังขาดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์เชิงรุกที่จะรับกับระบบและกระแสโลกานุวัตรอีกด้วย
พัฒนาการทางการเมืองที่มีพรรค
ซึ่งพัฒนานโยบายและจัดลำดับความสำคัญของนโยบายในรูปของวาระ
แล้วอาศัย วาระเป็นฐาน (Agenda-based)
หรือเป็นตัวตั้ง ในการแก้ปัญหาของประเทศพร้อม ๆ
ไปกับการระดมสรรพกำลังจากหน่วยการผลิตที่เล็กที่สุด คือ
ตำบล
เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจทั่วประเทศมีผลทำให้เกิดการทบทวนบทบาทและภารกิจภาครัฐทบทวนโครงสร้างระบบราชการ
และบททวนบทบาท-การบริหารจัดการของหัวหน้างานภาครัฐในระดับจังหวัด
การปรับบทบาทจากการปกครองไปเป็นการบริหารจัดการของผู้ว่าราชการจังหวัดจึงต้องดำเนินการ
พร้อมๆกันไปกับการวางระบบมิติสัมพันธ์ใหม่ระหว่างหน่วยงานและองค์กรที่มีกิจกรรม-
งบประมาณ โดยแบ่งเป็น
กิจกรรมด้านนโยบายกับกิจกรรมด้านงานประจำด้วย
มิติสัมพันธ์ใหม่ระหว่าง ฝ่ายการเมืองกับ
ฝ่ายข้าราชการประจำ ก็ต้องอาศัยกลไกและกระบวนการใหม่
เพราะฝ่ายการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็มีการแบ่งแยกอำนาจ-หน้าที่กันอย่างชัดเจนระหว่าง
ฝ่ายบริหาร กับ ฝ่ายนิติบัญญัติ
ในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเองก็ยังมีการแบ่งออกเป็นสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ(จำนวนหนึ่งร้อยคน)
กับสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
(จำนวนสี่ร้อยคน) นอกจากนั้นยังมีสมาชิก
วุฒิสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้งจำนวนสองร้อยคนอีกด้วย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนสี่ร้อยคน
กับสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้งจำนวนสองร้อยคนนี้
ย่อมถือได้ว่าเป็นสมาชิกรัฐสภาที่มีฐานเสียงสนับสนุน
(constituencies)
และฐานเสียงของประชาชนในแต่ละเขตเลือกตั้งต่างก็มีความต้องการและผลประโยชน์แตกต่างหลากหลายกันไป
สมาชิกรัฐสภาไม่ว่าจะเป็นประเภทใด
ต่างมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าบทบาทในการจัดทำงบประมาณตามระบบงบประมาณของไทย
เป็นบทบาทของกรมต่าง ๆ
แล้วรวมกันเป็นงบประมาณของกระทรวง
ตามแผนงานและโครงการที่อาศัยแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรอบอ้างอิง
ทำให้ทั้งรัฐบาล และรัฐสภา
ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารที่มาจากพรรคการเมือง กับ
ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถมีบทบาทในการจัดทำงบประมาณได้
เพียงแต่ให้การอนุมัติงบประมาณที่ฝ่ายข้าราชการจัดทำมาให้เท่านั้น
นอกจากนั้นก็ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ
(มาตรา 180)
จำกัดบทบาทในการพิจารณางบประมาณของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงและกรมต่างๆ
ไว้ด้วย กล่าวคือ
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้
แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือ
ตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย
เงินกู้และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ที่น่าสังเกตก็คือได้มีการเพิ่มบทบัญญัติในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย
ในมาตรา 180 วรรคหก ไปว่า
"ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือของคณะกรรมาธิการ
การเสนอแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใดๆ
ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทน-ราษฎร สมาชิกวุฒิสภา
หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายจะกระทำมิได้"
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนี้
แม้ว่าจะเป็นการป้องกันการหาผลประโยชน์ของสมาชิกรัฐสภาก็ตาม
แต่ก็เป็นเงื่อนไขข้อจำกัดในการที่สมาชิกรัฐสภาจะจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับความต้องการของฐานเสียงสนับสนุน
(constituencies)
และมีผลทำให้สมาชิกรัฐสภาที่มีความสัมพันธ์กับข้าราชการในกรมต่าง
ๆ
และกับข้าราชการในสำนักงบประมาณให้วิธีการให้ข้าราชการในกรมเป็นฝ่ายจัดทำงบประมาณตามความประสงค์ของตนและให้งบประมาณผ่านกรมต่าง
ๆ ไปลงที่จังหวัดของตน และจังหวัดใกล้เคียง
หรือให้งบประมาณแก่โครงการของกรม
และ/หรือรัฐวิสาหกิจที่ตนมีอำนาจควบคุม วิธีการเช่นนี้
ทำให้จังหวัดที่ขาดสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีทักษะดังกล่าว
ไม่อาจพัฒนาจังหวัดให้พ้นจากสภาพความขัดสนได้
ในขณะที่บางจังหวัดการพัฒนาเกินความพอดี (over
development) ในบางด้าน เช่น ด้านถนน และสาธารณูปโภคอื่น ๆ
การที่ปัญหานี้เป็นปัญหาเรื้อรังมาโดยตลอด
และมีความพยายามที่จะป้องกันมิให้ผู้แทนราษฎรเข้ามาเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงงบประมาณถึงขั้นที่มีข้อห้ามไว้ในรัฐธรรมนูญก็เพราะต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่การขาดแคลนงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและการที่กรมในส่วนกลางมีงบประมาณตามแผนงานและโครงการพัฒนามาก
การแก้ปัญหาจึงทำได้ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีทั้งงานและมีทั้งเงิน
โดยงานที่ข้ามจังหวัดบางส่วนสามารถเป็นงานที่ดำเนินการร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของจังหวัดที่เกี่ยวข้องได้
แทนที่จะเป็นงานของกรมในส่วนกลาง
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ
แต่ละพื้นที่ในจังหวัดที่มีองค์กรปกครองท้องถิ่น
จะต้องกำหนดเป้าหมาย
และเป้าที่แต่ละพื้นที่ต้องการบรรลุถึง ทั้งในระยะสั้น
ระยะกลาง และระยะยาว กล่าวคือ
ประชาชนสามารถร่วมกับองค์กรปกครองท้องถิ่น ระบุปัญหา
ความต้องการ
และลำดับความสำคัญของเรื่องที่ต้องการให้มีการดำเนินการได้โดยการกำหนดมาตรฐานเทียบเคียงของ
ท้องถิ่นเอง ผู้ว่าราชการจังหวัดมีบทบาทในการรวบรวม
แยกแยะ และจัดให้มีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเกี่ยวกับ
ความเหมาะสม ความเป็นไปได้
และทรัพยากรที่จะนำมาใช้เพื่อบรรลุถึงความต้องการตามเป้าหมายนั้น
ทั้งนี้จะต้องมีการตั้งเป้า (targetting)
และมีตัวชี้วัดความสำเร็จด้วย
การบูรณาการในความหมายนี้ จึงมิใช่
บูรณาการทางอำนาจ หากเป็น
บูรณาการทางเป้าหมาย
และการดำเนินการร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายแต่ละจังหวัดจึงต้องมีมาตรฐานจังหวัดเพื่อเทียบเคียงกับมาตรฐานกลางทั้งประเทศ
มาตรฐานกลางกลุ่มจังหวัดที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
และมาตรฐานกลางระดับจังหวัดที่แต่ละพื้นที่ย่อยภายในจังหวัดใช้เปรียบเทียบ
เช่น การมีปัญหา- อาชญากรรมน้อย ปัญหายาเสพติดลดลง
การมีนักเรียนชั้นประถมศึกษาต่อในชั้นมัธยมมากขึ้น
และชั้นมัธยมศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามากขึ้น
มีแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทางมากกว่าแรงงานไร้ฝีมือ
การที่เกษตรกรมสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่มากขึ้น
การที่หนองน้ำ แม่น้ำ ลำคลองในพื้นที่สะอาดปราศจากมลพิษ
หรือมีมลพิษน้อยลง เป็นต้น
หากปราศจากเสียซึ่งมาตรฐานเทียบเคียง
(Benchmarks) เหล่านี้ การมีผู้ว่าซีอีโอ
ก็จะไม่มีความหมาย เพราะแม้จะมีอำนาจบังคับการ
แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่า อำนาจบังคับการนั้น
จะบูรณาการกิจกรรมใด และจะมีการติดตามประเมินผลได้อย่างไร
นอกจากนั้นยังต้องระมัดระวังด้วยว่า
การประเมินผลบางด้านนั้น
เป็นการประเมินผลที่เกิดขึ้นในระยะยาว
และผลที่เกิดขึ้นบางด้านอาจเป็นปัจจัยของความสำเร็จของอีกกิจกรรมหนึ่งก็ได้
ดังนั้น ในการปรับปรุงการบริหาร
จัดการของระบบการบริหารจัดการแบบที่หนึ่ง คือ
การทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็น
ตัวแทนของรัฐบาลในจังหวัดต่างๆ นั้น
การคำนึงถึงข้อพิจารณาตามประเด็นทั้งหลายที่ได้กล่าวมาแล้วจึงเป็นหัวใจของความสำเร็จ
ซึ่งจะต้องผนึกประสานอยู่กับระบบบริหารจัดการแบบที่สาม คือ
ระบบประชาการ โดยอาศัยระบบบริหารจัดการแบบที่สอง คือ
ระบบราชการเป็นตัวเสริมมากกว่าที่จะใช้แนวทางตามที่รัฐบาลพยายามดำเนินการอยู่ในเวลานี้
และที่สำคัญก็คือจะต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณควบคู่กันไปด้วย
กล่าวคือ
ให้จังหวัดสามารถเป็นหน่วยงบประมาณได้โดยแบ่งงบประมาณออกเป็น
2 ส่วน คือ งบประมาณจังหวัดของหน่วยราชการ
กับงบประมาณของระบบประชาการ คือ งบท้องถิ่น
บทบาทของผู้ว่าซีอีโอ ก็คือ
การบูรณาการความต้องการภายในจังหวัดที่มาจากกลุ่มประชาชนหลายอาชีพหลายกลุ่ม
โดยมี มาตรฐานเทียบเคียงจังหวัด (Benchmarks)
เป็นกรอบในการเชื่อมโยงและจัดลำดับความสำคัญ
ความเร่งด่วนของเป้าหมาย และเป้าด้านต่าง ๆ
และอาศัยงบประมาณ 2 ส่วน
บูรณาการให้เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายระยะต่าง ๆ
ให้ได้
ทั้งหมดนี้จะต้องเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ระดับชาติซึ่งแยกย่อยออกเป็น
ยุทธศาสตร์จังหวัด และกลุ่มจังหวัดดังได้กล่าวมาแล้ว
และเชื่อมโยงระบบราชการกับระบบประชาการให้ได้โดยเอา
ระบบประชาการเป็นแกนหลักเป็นตัวตั้ง
ระบบที่สอง :
ระบบราชการที่มีกรมเป็นฐาน
ทำอย่างไรจึงจะปรับเปลี่ยนให้ระบบราชการระบบที่สองที่มีกรมเป็นฐาน
เป็นระบบที่เสริมและเอื้ออำนวยให้ระบบประชาการมีบทบาทมากขึ้น
สามารถให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ได้ตรงตามปัญหาความจำเป็น
และความต้องการมากขึ้น ทำอย่างไรจึงจะให้ระบบราชการ
ระบบที่สองที่ใหญ่ที่สุดเข้มข้นทางอำนาจมากที่สุดมีขอบข่ายภาระงานมากที่สุดและมากเกินความจำเป็นมีขนาดเล็กลงได้
ปัญหาเหล่านี้นำไปสู่การออกแบบ
ระบบราชการระบบที่สองเสียใหม่ให้เชื่อมโยงกับพัฒนาการของระบบประชาการในระยะสั้น
กลาง และ ยาว ได้
ก่อนที่ผู้เขียนจะออกแบบระบบราชการเสียใหม่ให้เชื่อมโยงกับระบบประชาการ
ได้มีความพยายามในการปฏิรูประบบราชการตามแนวทางของข้าราชการอยู่ก่อนแล้ว
ความพยายามของข้าราชการนี้ได้รับอิทธิพลทางความคิดจากองค์กรโลกบาล
เช่น ธนาคารโลก
ที่ต้องการปรับให้ภาครัฐมีวิธีการบริหารงานแบบธุรกิจเอกชนมากขึ้น
จึงเน้นหนักไปที่การปรับเปลี่ยน 5 ด้าน
คือ
1. การปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจ
และวิธีบริหารงานภาครัฐ
2.
การปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ การเงิน และ
พัสดุ
3.
การปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานบุคคล
4.
การปรับเปลี่ยนกฎหมาย
5.
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและค่านิยม
การปรับเปลี่ยนระบบบริหารภาครัฐที่มีความก้าวหน้าไปมากที่สุดได้แก่
การปรับเปลี่ยนหัวข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4
ส่วนการปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจ ของภาครัฐ
ที่ตามหลักจะต้องมีความชัดเจนก่อนเป็นลำดับแรกนั้น
กลับไม่ประสบผลตามแผนที่วางไว้
แม้จะมีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา L.E.K. Consulting
ให้เป็นผู้ดำเนินการศึกษาในวงเงิน 45 ล้านบาท
แต่ก็มีการยกเลิกสัญญาเมื่อ ต้นเดือนสิงหาคม 2544
โดยมีการใช้เงินไปแล้ว 9,800,000 บาท
แต่ไม่ได้ผลตามความคาดหมาย
และเมื่อมีการเร่งการปรับโครงสร้าง กระทรวง ทบวง กรม
ระหว่างเดือนสิงหาคม พฤศจิกายน 2544
การปรับโครงสร้างดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินการโดยขาดแนวคิดที่เป็นกรอบใหญ่สุดในการปฏิรูประบบบริหารภาครัฐ
ในเดือนสิงหาคม 2544
ผู้เขียนได้ออกแบบการจัดโครงสร้างระบบราชการที่มีกรมเป็นฐาน
และนำเสนอต่อที่ประชุมการปฏิรูประบบราชการ
แต่ส่วนสำคัญของแนวคิดในการออกแบบโครงสร้างระบบราชการที่มีกรมเป็นฐาน
คือ
การจัดระบบราชการที่มีกรมเป็นฐานให้เชื่อมโยงกับระบบการกระจายอำนาจ
หรือ ระบบประชาการ และให้มีความคล่องตัว
ยืดหยุ่นเผชิญกับการท้าทายของกระแสโลกานุวัตรได้
ยังไม่เป็นที่เข้าใจของผู้เกี่ยวข้อง หลังจากเดือนตุลาคม
2544 ผู้เขียนจึงมิได้เข้าร่วมประชุมต่อ
ทั้งนี้เพื่อใช้เวลาในการเขียนเอกสารนี้ ทำความเข้าใจกับ
ผู้เกี่ยวข้อง (ดูตัวแบบ SAFP
และการออกแบบโครงสร้างระบบราชการที่มีกรมเป็นฐานใน
ภาคผนวก)
เมื่อผู้เขียนออกแบบระบบราชการที่มีกรมเป็นฐานเสียใหม่นั้น
ผู้เขียนไม่ได้แสดงภาพของความสัมพันธ์ 4 มิติ
(สาขา-พื้นที่-ภารกิจ-การมีส่วนร่วม)ให้เห็นในที่นี้จะขอขยายความว่า
ตัวแบบ SAFP นี้คิดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ 4 ประการ คือ
1. เพื่อทบทวนบทบาทและภารกิจของกรม
และกระทรวงซึ่งเป็นฐานหลักของ
ระบบราชการ
2.
เพื่อเพิ่มการพิจารณาจัดระบบราชการโดยอาศัยมิติอื่นๆ
ที่สำคัญ คือ มิติพื้นที่
และมิติการมีส่วนร่วม
3.
เพื่อเชื่อมโยงระบบราชการที่มีกระทรวงและกรมเป็นฐานกับระบบ
ประชาการที่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน
(สภาอุตสาหกรรม, หอการค้าจังหวัด ฯลฯ) และองค์กรประชาชน
เป็นฐาน 4. เพื่อเพิ่มพลังแก่ระบบราชการและระบบประชาการ
โดยมุ่งเน้นที่ระบบ ประชาการ
ผู้เขียนตระหนักดีกว่าในปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจแล้ว
โดยได้มีการดำเนินการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น
แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่ก็คือ
การเชื่อมโยงการปฏิรูประบบราชการ การปฏิรูปการศึกษา
กับการกระจายอำนาจ ซึงมีผลทำให้เกิดความขัดแย้งหลายจุด
ที่เห็นได้ชัดคือทางด้านการจัดโครงสร้างการบริหารจัดการศึกษา
การกระจายอำนาจ คือ มิติการมีส่วนร่วม
และเป็นเรื่องสำคัญของการปฏิรูปการเมือง
การที่จะเชื่อมระบบราชการที่มีกระทรวงและกรมเป็นฐานกับระบบประชาการได้
จะต้องอาศัยทั้งการปรับเปลี่ยนระบบและวิธีการงบประมาณโดยเฉพาะงบประมาณจังหวัดดังได้กล่าวไปแล้ว
พัฒนาระบบการกำหนดมาตรฐานเทียบเคียงระดับชาติ ภูมิภาค
จังหวัด และส่วนย่อยภายในจังหวัด
การออกแบบโครงสร้างระบบราชการเสียใหม่
ทั้งนี้โดยอาศัยตัวแบบ
สาขา-พื้นที่-ภารกิจ-การมีส่วนร่วม (SAFP)
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังพรรคไทยรักไทย
ทำให้การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการบริหารประเทศจากการบริหารตามแผนพัฒนาไปเป็นการบริหารตามนโยบายที่มีวาระแห่งชาติตามลำดับความสำคัญที่ชัดเจน
และแต่ละเรื่องก็ต้องการงบประมาณจำนวนมาก ดังนั้น
สาขาหรือด้าน (Sector)
ของกิจกรรมที่รัฐจะทุ่มเทงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ ให้
ตลอดจนแสวงหาความร่วมมือสนับสนุนจากภาคเอกชน และภาคประชาชน
จึงมีความสำคัญอยู่ในสมการของการแบ่งปันทรัพยากร
ทั้งในระยะสั้น กลาง และ ยาว ด้วยเหตุนี้ มิติสาขา
หรือด้าน (Sector) จึงเป็นมิติหนึ่งในตัวแบบ SAFP
ที่นำเสนอ
สำหรับมิติพื้นที่และภารกิจนั้น
มิติพื้นที่เป็นมิติที่ได้รับการละเลยมาก ในระยะเวลาหนึ่ง
(2524 2534)
มิติด้านพื้นที่มีความสำคัญเมื่อมีการเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจน
โดยยึดพื้นที่เป็นฐานหลักแต่ต่อมามิตินี้ได้คลายความสำคัญลง
มิติที่มีความเข้มข้นมากที่สุดตลอดสมัยแห่งการพัฒนา คือ
มิติภารกิจของกรม
ยิ่งมีการขยายและเพิ่มทรัพยากรด้านกำลังคน
และงบประมาณมากขึ้นเท่าใดกรมและกองก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้นเท่านั้น
จนในปัจจุบัน
โครงสร้างของระบบราชการได้แผ่ขยายไปครอบคลุมทุกพื้นที่
ทุกกิจกรรมจนระบบประชาการไม่มีบทบาทและภารกิจมากนักในการจัดการกับปัญหาระดับ
ท้องถิ่น ภาพข้างล่างแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง 4 มิติ
เป็นที่น่าเสียดายว่า
กระบวนการปฏิรูประบบราชการที่ดำเนินไปอย่างรีบเร่ง
มิได้มีการพิจารณาถึงความเชื่อมโยงระหว่างระบบราชการกับระบบประชาการอย่างกว้างขวางเท่า
ที่ควร แม้จะมีความพยายามที่จะท้วงติงจากนักวิชาการบางคน
และจาก นายจาตุรนต์ ฉายแสง ก็ตาม
แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะมีการขบคิดพิจารณาอย่างจริงจัง
โดยรัฐบาลไม่รีบเร่งสรุปผลการจัดโครงสร้างระบบราชการที่มีกรมเป็นตัวตั้งหรือเป็นฐานเร็วเกินไปนัก
ประเทศที่มีความพยายามในการปฏิรูประบบราชการ
เช่น นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น
ต่างต้องการลดขนาดของระบบราชการที่มีกรมเป็นฐานลง
ทำให้ระบบราชการมีขนาดเล็กลง
โดยบังคับให้เกิดโครงสร้างและกระบวนการจัดการแบบใหม่เป็นองค์กรมหาชนอิสระ
จำนวนกระทรวงของญี่ปุ่นจึงลดน้อยลง
แต่สำหรับประเทศไทยแล้วข้าราชการยังคงต้องการรักษาอาณาบริเวณของภารกิจเดิมไว้
และเรายังขาดการโยงสามระบบ คือ ระบบการเมือง ระบบราชการ
กับระบบประชาการ
ให้อยู่ในลักษณะที่จะเพิ่มพลังให้แก่ชาติได้
การเพิ่มพลังให้แก่ชาติ คือ การเพิ่มพลังให้แก่ประชาชน
และจะกระทำได้ก็ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนระบบประชากร
ในปัจจุบันระบบราชการและข้าราชการกำลงปรับตัวรับกับทั้งสองระบบคือ
รับพลังกดดันจากระบบการเมือง
กับพลังกดดันจากระบบประชาการพร้อม ๆ กันไป
ระบบที่สาม :
ระบบประชาการ
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากการที่ระบบราชการและข้าราชการเป็นฐานหลักทางการเมือง-การปกครองไปเป็นการที่พรรคการเมืองและนักการเมืองกำลังกลายเป็นฐานหลักทางการเมือง
ระบบทั้งสามที่ย่อมได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ
ระบบที่หนึ่งและระบบที่สอง
ส่วนระบบที่สามนั้นเป็นระบบที่จะมีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองและนักการเมืองได้มากที่สุด
โดยเฉพาะในระยะกลาง และระยะยาว เพราะมาตรา 284
ของรัฐธรรมนูญได้บังคับให้มีการดำเนินการกระจายอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งด้านการจัดระบบบริการสาธารณะระหว่างรัฐ
กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และด้านรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
อย่างไรก็ดีจุดที่พรรคการเมืองและนักการเมืองต้องเร่งจัดระบบการควบคุมบังคับให้ได้ก็คือ
ระบบที่หนึ่ง และ ระบบที่สอง
เพราะทั้งสองระบบนี้มีความเข้มข้นและแข็งแกร่ง
มีอำนาจบังคับการด้วยตนเองตามกฎหมาย
ยากที่พรรคการเมืองและนักการเมืองจะเข้ามามีอำนาจบังคับการอย่างเต็มที่ได้
เท่าที่ผ่านมานักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลแต่ละชุด
มิได้ดำเนินการจัดการปรับเปลี่ยนสัมพันธภาพทางอำนาจบังคับการ
ระบบที่หนึ่งและสองอย่างเป็นระบบและจริงจัง
นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในอดีต
เพียงแต่ใช้วิธี ล้วงลูก โยกย้ายข้าราชการ
สั่งการผ่านข้าราชการที่ตนส่งเสริมสนับสนุนให้ได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้นสั่งการในการตั้ง
งบประมาณผ่านระบบและกระบวนการปกติของสำนักงบประมาณและกรมต่าง
ๆ แต่งตั้งคนของตนเข้าไปคุมรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ
และดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติของรัฐวิสาหกิจเหล่านั้นในการแสวงหาผลประโยชน์
การปฏิรูประบบราชการที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันเป็นความพยายามของข้าราชการในระบบที่หนึ่งและสองที่จะจัดการกับสถานการณ์ทางอำนาจรัฐที่เปลี่ยนมือไป
แม้ว่าข้าราชการจะเป็นฝ่ายริเริ่มแต่ฝ่ายการเมืองก็มีบทบาทมากขึ้นเป็นลำดับในการกำหนดทิศทางของการปฏิรูประบบราชการ
ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา
ได้เกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจประกอบกับสหรัฐอเมริกาและองค์การโลกบาล
เช่น ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเซีย
และองค์การค้าโลก
มีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันให้ประเทศไทยมีการปรับเปลี่ยน
โครงสร้างเศรษฐกิจให้เปิดเสรีทางการค้ามากขึ้น
ในการนี้มีความจำเป็นในการปรับโครงสร้างภาครัฐ
(ระบบราชการและรัฐวิสาหกิจ) ด้วย
เพราะภาครัฐมีความเข้มข้นมากเกินไป
เนื่องมาจากผลของการบริหารการพัฒนาในรอบ 40 ปี ที่ผ่านมา
ดังนั้น
การปฏิรูประบบราชการจึงมีมิติของแรงกดดันและสนับสนุนจากระบบโลกานุวัตรด้วย
ข้าราชการไทยในสมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย
ยังคงสามารถกุมทิศทางการปรับเปลี่ยนระบบราชการได้
และรัฐบาลสมัยนั้นยังไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนในการบริหารจัดการประเทศ
จึงตกเป็นฝ่ายรับมากกว่าฝ่ายรุก ฝ่ายรุกก็คือ
องค์การโลกบาลที่จับมือร่วมกับหน่วยงานหลักของระบบที่สอง
คือ กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงบประมาณ ในปี พ.ศ. 2540
ระบบที่สองได้รับเงินกู้จากธนาคารโลกให้มาดำเนินการปรับโครงสร้างภาครัฐ
เป็นจำนวนเงินถึง 4000 ล้านบาท
โดยสามหน่วยงานนี้ได้ร่วมกันอนุมัติเงินใช้จ่ายเพื่อทำการปรับปรุงระบบที่สองไปแล้วเป็นเงินถึง
2500 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา
ข้าราชการได้ริเริ่มและทำการ
ปฏิรูประบบราชการ
ด้วยการเสนอให้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูประบบราชการโดยสำนักงาน
ก.พ. เป็นหน่วยราชการที่สามารถกุมอำนาจฝ่ายเลขานุการไว้ได้
โดยจัดตั้งสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการอยู่ในสำนักงาน
ก.พ. (แต่เดิมฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สำนักงบประมาณ และ สำนักงาน
ก.พ.)
การตั้งหลักของระบบราชการที่มีการดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นระบบได้แก่
กระบวนการปฏิรูปการศึกษา
ซึ่งนำมาซึ่งพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542
แม้ว่าการปฏิรูปการศึกษาจะได้รวมถึงการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ไว้ด้วยก็ตามแต่มีข้อสังเกตว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตามบังคับของพระราชบัญญัติการศึกษา
พ.ศ. 2542 นั้น มิใช่ การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้
เพราะนั่นเป็นเรื่องระยะยาว
และสามารถพัฒนาได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการบังคับไว้ในกฎหมาย
สิ่งที่พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542
จะก่อให้เกิดผลบังคับก็คือ ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่าง
ระบบที่สองกับนักการเมืองและพรรคการเมือง
เพราะได้มีการผลักดันให้มีการเปลี่ยนลักษณะความสัมพันธ์ทางอำนาจในระดับราชการส่วนกลาง
ในขณะที่ระบบที่สอง (กรม)
ก็ยังควบคุมส่วนย่อยในระดับพื้นที่ คือ
เขตพื้นที่การศึกษาอยู่
โดยเขตพื้นที่การศึกษายังคงเป็นราชการส่วนกลางและสถานศึกษาขนาดใหญ่ก็ยังคงสังกัดหน่วยงานส่วนกลางอยู่มิได้มี
แผนการถ่ายโอนกิจการของโรงเรียนทุกประเภทในจังหวัดไปให้แก่
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่อย่างใด
ความล่าช้า
ในการปฏิรูปการศึกษาเป็นความล่าช้าและการขัดขืนความพยายามในการรักษาอำนาจของข้าราชการและเทคโนแครท
นักการเมืองและพรรคการเมืองสองฝ่าย
(พรรคประชาธิปัติย์และพรรคไทยรักไทย)
กำลังต่อสู้กันในกรอบอ้างอิงนี้ เทคโนแครท
ของระบบที่สองขีดวงให้
ข้าราชการและเทคโนแครทบางส่วนได้เข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองหลายพรรค
การปรับโครงสร้างระบบราชการที่มีการแบ่งกลุ่มกรมตั้งกระทรวงใหม่
และการเสนอให้มีผู้ว่า CEO
เป็นการต่อสู้ช่วงชิงพื้นที่ทางอำนาจ ระหว่าง
นักการเมืองและพรรคการเมือง (ภายในพรรคเดียวกันเอง คือ
พรรคไทยรักไทย) กับข้าราชการและเทคโนแครท
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำของระบบราชการ
เป็นที่น่าสังเกตว่า
แม้จะมีความพยายามของกลุ่มผู้ต้องการชี้ให้เห็นภาพรวมของความสัมพันธ์ระหว่าง
รัฐ ระบบราชการ และ ประชาชน ท่ามกลางกระแสโลกานุวัตร
โดยเน้นให้ผู้นำรัฐบาลพิจารณาภาพรวมทั้งระบบ
และนำเอาระบบที่สาม คือ
ระบบการกระจายอำนาจที่เป็นมิติการมีส่วนร่วมของประชาชน
มาเชื่อมโยงกับระบบที่หนึ่งและระบบที่สองด้วย
แต่ความพยายามนี้ก็ไม่บังเกิดผล ตัวแบบ
สาขา-พื้นที่-ภารกิจ-การมีส่วนร่วม (SAFP)
ของผู้เขียนซึ่งเป็นตัวแบบในการปฏิรูปภาครัฐทั้งระบบมิได้รับการพิจารณาในรายละเอียด
ความสนใจของผู้นำรัฐบาลและกระแสการปฏิรูประบบราชการไปอยู่ที่การปรับเปลี่ยนระบบที่หนึ่งและระบบที่สอง
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
ทั้งภายในพรรครัฐบาลเอง ภายในระบบราชการ
และระหว่างนักการเมือง พรรคการเมืองกับข้าราชการ
ผู้เขียนมีความเห็นว่า
เราควรเอาระบบที่สาม คือ ระบบประชาการ เป็นตัวตั้ง
และเอาระบบที่หนึ่ง คือ ระบบผู้ว่าราชการ และระบบที่สอง
คือ ระบบราชการที่มีกรมเป็นฐาน เป็นตัวประกอบ
เพราะระบบที่สามในระยะยาวจะมีผลทำให้ประชาชนในพื้นที่ต่าง
ๆ
ทั่วประเทศเป็นทั้งผู้ได้รับบริการและเป็นผู้มีความสามารถในการบริหารจัดการบริการสาธารณะด้วยตนเอง
เป็นการเพิ่มสมรรถนะของประชาชน (empowerment)
และเป็นการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยขั้นรากหญ้าที่แท้จริง
ส่วนระบบที่หนึ่ง และ
ระบบที่สองนั้นในระยะยาวควรเป็นส่วนเสริมในส่วนที่ขาดไป
ในส่วนที่เป็นวาระและนโยบายด้านขวางระดับชาติ ระดับภูมิภาค
หรือระดับกลุ่มจังหวัด กลุ่มอำเภอ กลุ่มตำบล
ระบบที่หนึ่ง คือ
ระบบการบริหารจัดการแบบบูรณาการนั้น
ในปัจจุบันมีเพียงมิติเดียว คือ
มิตินโยบายระดับชาติที่ต้องการให้เกิดผลในจังหวัด
หากเราเอาระบบที่สามเป็นตัวตั้ง แล้ว
ระบบการบริหารจัดการแบบบูรณาการก็จะมีสองหรือสามมิติ คือ
มิติข้ามชาติ มิติชาติ และมิติท้องถิ่น
เป้าหมายและเป้าที่มีตั้งไว้ก็จะมี 3 มิติ หรือ 2 มิติ
(ในกรณีที่ไม่มีมิติข้ามชาติ คือ
ไม่มีพื้นที่ติดชายแดนหรือมีพื้นที่ๆ
เป็นอาณาบริเวณที่มีกิจกรรมข้ามชาติมาก เช่น ภูเก็ต
และเชียงใหม่) บทบาทของ ผู้ว่าซีอีโอ
ก็จะเป็นบทบาทของผู้ประสานมิติกิจกรรมต่าง ๆ
ที่มีเป้าหมายและเป้าที่ตั้งไว้ต่างประเภทกิจกรรม
และต่างระดับกัน คือ มีทั้งด้านดิ่งและด้านขวาง
ตลอดระยะเวลา 100 ปี ที่ผ่านมานี้
เรามีการเติบโตของระบบที่หนึ่ง และระบบ ที่สอง
โดยระบบที่หนึ่งเป็นเครื่องมือในการปกครองท้องที่
ระบบที่หนึ่งมีการพัฒนาให้มีความ
ซับซ้อนในแง่โครงสร้างมากในระยะแรกก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ.2475 นอกจากจะมีพระราชบัญญัติปกครองท้องที่รองรับแล้ว
ก็ยังมีระบบมณฑลเทศาภิบาล
ทำให้เกิดการปกครองท้องที่ทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน)
ได้อย่างรัดกุมกว้างขวางอีกด้วย
ต่อมาระบบที่สองได้ขยายตัวไปมากในสมัยแห่งการพัฒนา
ส่วนระบบที่สามนั้นแม้จะมีการริเริ่มขึ้นพร้อม ๆ กับ
ระบบที่หนึ่ง คือ ระบบการปกครองท้องที่ และระบบที่สอง คือ
ระบบการบริหารราชการที่มีกรมและกระทรวงเป็นฐานก็ตาม
แต่ระบบที่สามก็มิได้เติบโตควบคู่ไปกับระบบที่หนึ่งและสอง
เพราะเหตุผลของรัฐในระยะ 100
ปีที่ผ่านมาเป็นเหตุผลด้านความมั่นคงและด้านการพัฒนาเป็นหลัก
เหตุผลด้านประชาธิปไตยหรือการมีส่วนร่วมยังมิใช่เหตุผลหลักของรัฐ
แต่ในสมัยนี้ระบบโลกานุวัตรได้กดดันให้ระบบที่หนึ่งและสองต้องคลายความเข้มข้นและลด
บทบาทลง
ระบบโลกานุวัตรมีผลกระทบต่อการลดความเข้มข้นของระบบราชการและรัฐวิสาหกิจมากที่สุด
ดังนั้นระบบราชการที่คลายความเข้มข้นลงจึงเป็นเพราะแรงกดดันจากภายนอก
ส่วนระบบประชาการนั้นเป็นระบบที่ยังมีแรงต้านจากระบบราชการและจากสังคมอยู่ในระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะความวิตกหวั่นเกรงในความขาดประสิทธิภาพ
ความไม่โปร่งใส การคอรัปชั่นของ นักการเมืองระดับท้องถิ่น
รวมถึงข้ออ้าง ความไม่พร้อม
การขาดความรู้ด้านการจัดการ ของประชาชนระดับรากหญ้า
ทัศนคตินี้แต่เดิมเคยมีมากสำหรับนักการเมืองระดับชาติ
ในขณะนี้มีมากเป็นพิเศษต่อนักการเมืองระดับท้องถิ่น
ในระยะยาว ประเทศไทย ในฐานะที่เป็น
รัฐชาติ มิใช่ รัฐตลาด
จะต้องแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ทางอำนาจให้ตก
โดยจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างภาคการเมือง ภาคราชการ
และภาคประชาชนให้อยู่ในลักษณะที่การเชื่อมโยงกันนำมาซึ่งการเพิ่มพลังแก่ส่วนรวม
และส่วนรวมที่เป็นกรอบมหภาคจะต้องมีอยู่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
และชุมชนทั่วรัฐ ในขณะเดียวกัน
รัฐก็จะต้องสามารถบังคับใช้นโยบายที่เป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่
และแก่สังคมได้ด้วย
ลงเผยแพร่ครั้งแรกใน Public Law Net วันที่ 1
มีนาคม พ.ศ. 2545
http://www.pub-law.net/article/ac030345.html |