ข้อความ :
ขอบคุณที่นำข้อมูลนี้มาเป็นวิทยาทาน กำลังอยากรู้พอดี เคยได้ยินผ่านหูแว็บๆ
เอ...แล้วมันต่างจาก R&D ยังไงหละ
ดูจากคำอธิบายแล้วมันเหมือนกันหรือเปล่า .... ช่วยสรุปสั้นๆ อีกที ...
ขอบคุณล่วงหน้า จาก : คนใฝ่รู้ - 24/09/2002 20:48 |
ข้อความ : พอสังเขป นะครับ
คือ ให้ชาวบ้านทำวิจัยเอง ตั้งโจทย์ที่ต้องการศึกษาเอง กำหนดวิธีการค้นคว้าหาข้อสรุปบทเรียนเอง นักวิชาการภายนอก นั่งดู แล้วก็ถ่างหูฟังชาวบ้านมากขึ้น ถ้าให้ดี ก็ช่วยเขา เป็นที่ปรึกษาในด้าน จัดกระบวนการเรียนรู้(ไม่ใช่กำหนดระเบียบวิธีวิจัยแทนชาวบ้าน) อำนวยความสะดวกด้านการจัดทำเอกสาร เช่น ให้ชาวบ้านค้นหา สูตรการทำเหล้าหมัก ขณะนี้ สกว. มีโครงการลักษณะนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ใครสนใจติดต่อที่ สกว.ภาคได้ แล้วจะค้นที่อยู่มาให้ภายหลัง จาก : ชัยณรงค์ - 24/09/2002 22:21 |
ข้อความ : ผมว่าจริงๆ
แล้วองค์ความรู้ต่างๆ ในชุมชนมีอยู่เยอะแล้วล่ะครับ
ไม่จำเป็นต้องทำวิจงวิจัยอะไรอีกหรอก
เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สืบทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่จากรุ่นสู่รุ่น เขามีระบบการถ่ายทอดอยู่แล้ว ปัญหาต่างๆ ที่มีในชุมชนนั้น เขาต่างรู้คำตอบหมดแล้วล่ะครับว่าจะแก้ไขกันอย่างไร เพียงแต่บางชุมชน สิ่งสนับสนุนในการแก้ปัญหาบางเรื่องยังไม่เอื้ออำนวยเท่านั้นเอง สำหรับพวกนักวิชาการทั้งหลายแหล่ ที่ชอบกำหนดปัญหาให้กับชุมชน ทั้งที่ตนเองเป็นบุคคลภายนอกนั่นแหล่ะ คือตัวการสร้างปัญหา ผมว่าเพราๆ ลงหน่อยก็ดีครับ โดยเฉพาะพวกเราชาวสาธารณสุข ส่วนไอ้ประชาพิจงพิจัยเนี่ยก็เป็นเพียงการกำหนดแนวคิดใหม่ๆ (ซึ่งจริงๆก็เก่าๆ) ของบรรดานักวิชาการอีกนั่นแหล่ะ เรียกให้มันโก้ เขาจะได้ว่าเราเริ่ด ยกย่องเชิดชู แล้วก็จะมีคนยึดถือตำราเราเป็นสรณะ เห็นมีนักวิชาการสาธารณสุขนี่แหล่ะ พอไปศึกษาอบรมเรื่องนึงมาก็ เอามาพูดกันยึดถือเป็นสรณะ ในการทำงาน เห่อเป็นพักๆ เห็นมาเยอะครับทั้ง OR (Operation Research) R&D AIC FSC (Futur Search Conference) PRA (Participatory Rural Apprasial) SSA (Soft System Analysis) ก็เห็นจะเท่ห์ตอนที่พวกท่านมีศัพท์มาเล่นกันมากมายนี่แหล่ะ Mind map เอย Fa เอย Plobrem three เอย และ Paradigm เอย อย่างที่บางท่านชอบใช้ เป็นต้น แต่จริงเราก็พอจะประเมินตนเองออกว่า สิ่งที่เรายึดเป็นสรณะทำกันมาตั้งแต่เริ่มรับราชการนั้น มันดีขึ้น หรือล้มเหลวแค่ไหน และรู้บ้างหรือไม่ว่าเราเข้าไปแก้ปัญหาในชุมชนน่ะ ตรงจุดกับความรู้สึกว่านี่แหล่ะ คือปัญหาของเขารึเปล่า สุดท้ายเพียงอยากบอกว่า อย่ายึดติดพวกนวตกรรม พวกนี้เลยครับ ชาวบ้านเรียนจบแค่ ป.4 เขาก็สามารถแก้ปัญหาของเขาได้ ถ้าเขารู้ว่านี่คือปัญหาของเขา แต่จริงๆ ไม่ใช่เพราะพวกเรานั่นแหล่ะคือผู้ไปสร้างปัญหาให้เขา จาก : มองต่างมุม - 28/09/2002 17:56 |
ข้อความ :
หากไม่ค้นหานวัตกรรมใหม่ๆในการทำงาน
เราก็ทำงานเหมือนเดิมปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของมัน
แล้วคำว่าการพัฒนาก็ไม่เกิดเป็นรูปธรรมสิครับ หรือไม่มันก็อาจเกิดขึ้นเอง
แล้วบทบาทของเราก็ไม่มีสิครับ เมื่อบทบาทเราไม่มี
ต่อไปเราจะไปทำงานอะไรหล่ะครับ
นั่นหมายถึงหมออนามัยเราควรจะมีบทบาทเป็นนักวิชาการบ้างในบางโอกาสเพื่อจะแสดงให้โลกเขารู้ว่าเราก็มีสมอง
ไม่ใช่รับคำสั่งอย่างเดียวผมเห็นด้วยกับคุณชัยณรงค์และก็เข้าใจคุณมองต่างมุมครับ
จาก : หมอดอย - 02/10/2002 07:17 |
ข้อความ : คราวนี้ ขออนุญาตคุยด้วยคน (แบบยาวๆ) จากข้อเขียนของ "คุณมองต่างมุม" ดูเหมือนจะยืนอยู่คนละฝ่ายกับ "นักวิชาการ" นะครับ ! คล้ายๆ จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับ NGOS ยุคเก่า (บางกลุ่ม..ขอย้ำ) ที่มองว่า "นักวิชาการ" เป็นเสมือนเหลือบของชาวบ้าน เข้าไปทำลายระบบ เข้าไปทำลายโครงสร้างของชุมชน เอาประโยชน์ (ข้อมูล) มาใช้เพื่อไต่เต้าทางสังคม นำไปสู่ความเป็น "เอกะทักคะ" ทางสายวิชาการ แต่หามีประโยชน์ใดๆ ต่อชุมชนต่อสังคมในภาพรวมไม่? บางส่วนมีจริงครับ บางพวก "เลว" อย่างนั้นจริง ผมไม่เถียง (เดี๋ยวนี้ ก็ยังมี!) แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ!!! และอยากบอกว่า การแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวิจัยนั้น มีประโยชน์จริง (หากมีความซื่อสัตย์และมีใจให้กับงาน) เพราะสามารถแก้ปัญหา บูรณาการกับความเป็นจริงทางสังคมได้ (คงไม่ต้องอธิบายนะว่า บูรณาการอย่างไร?) และสามารถขับเคลื่อนสังคมได้ ถ้าคุณเชื่อเหมือนกับที่ "หมอประเวศ" เชื่อ ว่าด้วยเรื่อง "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา" การเกิด "รูปแบบ" ของการวิจัยหลายๆ รูปแบบ ที่คุณยกตัวอย่างมา นั่นคือทางเลือกครับ เป็นทางออกให้กับกระบวนการศึกษาหลายๆ แบบ ไม่ให้ติดที่กรอบการศึกษาแบบใดแบบหนึ่ง สามารถมาค้ำยันความถูกต้องกันได้ด้วยการเปรียบเทียบและการผสานวิธีการ จนมาถึงจุดที่เรียกว่า "ประชาพิจัย" ที่คุณบอกว่าเป็นเพียงการกำหนดแนวคิดใหม่ๆ ของบรรดานักวิชาการ โดยเรียกให้มันโก้ เขาจะได้ว่าเราเริ่ด นั่นแหละครับ.....! ไม่เถียงครับ... ไม่เถียง ! ว่านั่นเป็นแนวคิดที่เกิดจาก "นักวิชาการ" ครับ แต่ถ้าเรายอมรับได้ว่า แท้จริงแล้ว สังคมไทยเป็นแบบสังคมอุปถัมน์ มันจะอะไรนักหนา ถ้าจะอุปถัมน์ความรู้ อุปถัมน์แนวคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และกลุ่มนักวิชาการกลุ่มนี้ เขาไม่ได้มองชาวบ้านว่า "โง่" เหมือนที่นักวิชาการสาธารณสุขที่หล่อหลอมพวกเรามา ว่า ปัญหาสาธารณสุขเกิดขึ้น เพราะความ "โง่ จน เจ็บ" คุณก็เคยกาข้อสอบนิ เรื่องนี้อยู่ในวิชา สสม. ไง รึจะเถียง? เพราะฉะนั้น ถ้ากลุ่มนี้เขาคิดจะทำดี คิดจะคืนอิสรภาพให้ชาวบ้าน คุณจะไม่ฟังเขาหน่อย หรือครับ? การที่เสนอรูปแบบให้ชาวบ้านมีบทบาทในการวิจัยเอง นั่นคือทางเลือกที่ให้ชุมชนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้เอง และก่อประโยชน์กับชุมชนเองมากกว่านักวิชาการข้างนอกกระทำ เพราะผู้วิจัยก็คือเจ้าของข้อมูล เข้าใจสภาพและวัฒนธรรมของตนเองดี ที่คุณบอกจากประโยค "ผมว่าจริงๆ แล้ว องค์ความรู้ต่างๆ ในชุมชนมีอยู่เยอะแล้วล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องทำวิจงวิจัยอะไรอีกหรอก" นั่นหละครับ ความรู้ที่มีอยู่ในชุมชนนั่นแหละครับ ที่ยังกระจัดกระจายอยู่ แต่ยังไม่เป็น "องค์" เลยครับ หรือคุณจะเถียง ดูเหมือนผมเล่นลิ้นใช่มั้ยครับ? แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น ทางเลือกนี้คือ การรวบรวมความรู้ต่างๆ ที่เราเรียกว่าภูมิปัญญาของชาวบ้านนั่นแหละครับ มาสร้างเป็น "องค์ความรู้" โดยอาศัยกระบวนการวิจัยที่ตรวจสอบแล้วว่า สามารถอ้างอิงได้ มีทั้งประโยชน์ในแง่ของหลักฐานทางวิชาการ ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมให้ลูกหลานผู้สนใจ ค้นคว้าศึกษาได้ในอนาคต ขณะเดียวกันก็สามารถกระตุ้นให้คนในชุมชนเรียนรู้ร่วมกัน สร้างเป็นสังคมเครือข่ายของการเรียนรู้ (ซึ่งเดิมเราเคยมี แต่หายไปนานมากแล้ว ระบบการถ่ายทอด เริ่มหายไปเรื่อยๆ เพราะรูปแบบสังคมเปลี่ยน) ให้ชุมชนกลับมาร่วมสืบสาวรากฐานของตนเอง และสานต่อภูมิปัญญาและประยุกต์และปรับใช้กับความจริงได้อย่างไม่ขัดเขิน อย่างนี้ ไม่ดีตรงไหนครับ เริ่ดด้วย ดีด้วย ก่อประโยชน์ด้วย!!!! ชุมชนบางส่วน ชาวบ้านบางกลุ่ม เห็นประโยชน์ตรงนี้ครับ "บ่อนอก" "หินกรูด" มีการทำวิจัยกันเองนะครับ ชาวบ้านแถบ "เขื่อนปากมูล" มีการรวบรวมข้อมูลพันธุ์ปลา หลังการเปิดเขื่อนครับ เขาเชื่อว่า "ข้อมูลวิชาการ" สามารถใช้เป็นข้อต่อรองกับนโยบาย ต่อรองกับการสร้างไม่สร้างโครงการได้ นี่คือตัวอย่าง ของ "ประชาพิจัย" ครับ! ขณะที่เราดูเหมือนจะฟูมฟายบ่นพร่ำ คิดแทนชาวบ้านว่าเขาโดนเอาเปรียบโดนกระทำ โดนชำแหรกความบริสุทธิ์ ! แต่เชื่อมั้ยครับ ชาวบ้านเดี๋ยวนี้ เขาก้าวไปไกลครับ เขาอ่าน เขาศึกษา "รัฐธรรมนูญ" นะครับ ขอบอก ! เขาอยากทำวิจัย เขาต้องการกระบวนการวิจัยที่ถูกต้องชัดเจน เขาไม่ยะโสหรอกครับ เขาเรียนรู้และจับเข่าคุยกันกับนักวิชาการครับ ว่างๆ แวะไปเชียงใหม่ ดูชุมชนวิชาการที่นั่น ว่าชาวบ้านกับนักวิชาการเขาอาทรกันอย่างไร? ทำไม "อาจารย์ชยันต์ วรรธนะภูติ" ถึงยอมลงมาเล่นกับชาวบ้านกับชุมชน ยอมเอาตำแหน่งตัวเองมาค้ำประกันความเดือดร้อน ให้ชาวบ้าน ผมว่า แกมีใจให้จริง ไม่ได้ต้องการความหรูเริ่ด อลังการ ต้องการชื่อเสียงหรอกนะครับ ผมเชื่อ เพราะแกไม่ได้ทำธุรกิจมือถือ! (ผมไม่ได้เป็นน้าม้าของแก แต่ผมศรัทธาในความดีและนิยมในความเป็นนักวิชาการของแก) คุณมองต่างมุม ครับ มุมเราค่อนข้างต่างกันนะครับ ที่เป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะ เรายืนอยู่บนฐานความคิดต่างกัน มีต้นทุนของข้อมูลต่างกัน มีมุมมองต่อโลกไม่เหมือนกัน แต่ที่เข้ามาแลกเปลี่ยน เพราะเชื่อว่าคุณต้องการเห็นสังคมดีขึ้น ไม่ต่างจากที่ผมอยากให้เป็น ผมเขียนมายาวเลยครับ อ่านแล้ว คุณ "มองต่างมุม" อาจจะควันขึ้น ไม่เป็นไรครับ อารมณ์คน ร้อนได้ ก็ เย็นได้ :-) มีอะไรก็คุยกันได้อีกครับ ! จาก : หมอเมฆ...ขอมองด้วยสักมุม - 02/10/2002 09:14 |
ข้อความ :
การวิจัยเป็นเรื่องจำเป็นของชีวิตมนุษย์ สัตว์โลกที่อยู่ได้อย่างยืนยง คือ
"มนุษย์" อันผลมาจากมีวิธีคิด ระบบคิดที่ปรับเปลี่ยนเรียนรู้
กระบวนดังกล่าวมาจาก "การศึกษาวิจัย" การสร้างสมประสบการณ์
การสร้างองค์ความรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมันอธิบายถึงอนาคต ซึ่งในปัจจุบันเองทุกฝ่ายที่ทำงานร่วมกับชุมชน /
ท้องถิ่น โดยเฉพาะกองทุนที่สนับสนุนการพัฒนา / การแก้ไขปัญหาในชุมชน
จะเน้นการวิจัยชุมชน / ท้องถิ่น โดยการสร้าง "นักวิชาการชุมชน"
ขึ้นมาแก้ไขปัญหาของเขาเอง อันมาจากสำนึกชุมชน ความเป็นเจ้าของชุมชน
และความรัก เอื้ออาทร ญาติ มิตร พี่น้อง เครือญาติของเขาเอง
ซึ่งส่งผลถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน
ขอให้หมอนามัยทุกคนให้ปรับทัศนะในการทำงานเสียใหม่ (สำหรับผู้หลงผิด /
หลงตนเอง / อัตตาเกินพิกัด ) งานวิจัยมีคุณค่าถ้าเราจะหยิบมาใช้
หยิบให้พวกพ้อง และชาวบ้าน
ยุคแห่งการเรียกร้องกระแสสังคมที่เข้ามาหาพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
1. การมีส่วนร่วมภาคประชาชน 2. ชุมชนเข้มแข็ง 3. การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น 4. ภูมิปัญญาท้องถิ่น 5. สิทธิชุมชน สังคมเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่งกำลังอยู่ในช่วงของความไร้ระเบียบของสังคม ให้หมออนามัยใจเย็น ๆ ทำงานใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์ และอย่างใช้ความรู้สึกมากความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แล้วใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยการสร้างองค์ความรู้ จากการวิจัย จาก : หมออนามัย ใน อบต. - 03/10/2002 00:21 |