หัวข้อ : ประชาพิจัย(People Research & Development)
ข้อความ : จากมติชนรายวัน ๒๔ กย. ๔๕

ประชาพิจัย คือ อะไร

โดย เสรี พงศ์พิศ : สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน

สื่อมวลชนและเครื่องมือสื่อสารทันสมัยทำให้ข้อมูลข่าวสารกระจายไปทั่ว แต่ทำไมบางคนอ่านหนังสือพิมพ์เหมือนกัน ฟังวิทยุเหมือนกัน ดูทีวีเหมือนกัน เข้าอินเตอร์เน็ตเหมือนกัน คนหนึ่งฉลาดขึ้น คนหนึ่งโง่ลง คนหนึ่งเข้มข้นขึ้น คนหนึ่งอ่อนแอลง

ข้อมูลในตัวมันเองถ้าจัดการไม่เป็น ไม่มีกรอบ ไม่มีเครื่องมือ "รองรับ" ก็อาจเหมือนน้ำฝนที่ตกลงมา บางคนเอาฝ่ามือไปรองก็ได้น้ำไม่กี่หยด คนมีกะละมังคงได้มากกว่า คนที่มีบ้านหลังคามุงสังกะสีมีรางน้ำและโอ่งน่าจะได้มากที่สุด

ข้อมูลอาจเป็นขยะได้ถ้าใช้ไม่เป็น อาจเป็นเหมือนอาหารขยะที่เรากินเข้าไป ข้อมูลมีคุณค่าเมื่อถูกเชื่อมโยงจนทำให้เกิด "ความรู้" เหมือนการต่อภาพจิ๊กซอว์จนเห็นภาพใหญ่

แต่ความรู้เป็นเรื่องๆ อย่างๆ ก็อาจจะเป็น "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด" ถ้าหากไม่มีการเชื่อมโยงความรู้แบบบูรณาการ ผสานกับความรู้อื่นๆ ทำให้เห็นองค์รวม และมีการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ ทำให้ชีวิตดีขึ้น ความรู้ก็จะกลายเป็นปัญญา

คนไทยไม่ได้จนทรัพยากร แรงงาน หรือเงิน แต่จนปัญญา เราถึงได้ทำการพัฒนาประเทศตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมาแบบ "เงินนำหน้าปัญญาตามหลัง" และก็พังอย่างที่เห็น

เพื่อจะได้ปัญญาต้องมีการเรียนรู้ โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสม ไม่ใช่ "รับรู้" ข้อมูลแล้วก็ "เลียนแบบ" แสวงหาแต่สูตรสำเร็จ เห็นคนอื่นทำอะไรรวยก็เลียนแบบเขา การเรียนก็ท่องจำสิ่งที่คนอื่นเขาคิดให้ ไม่สนใจการค้นคิดสร้างสรรค์ ไม่สนใจแสวงหาความหลากหลาย ชอบรูปแบบเดียว ชอบก๊อบปี้และพัฒนา(C&D) แทนที่จะวิจัยและพัฒนา(R&D) ชอบปูพรมและชอบจัดตั้งแทนที่จะช่วยให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการพัฒนาที่ต้องใช้เวลา

จุดแข็งของชุมชนและสังคมไทยอยู่ที่ความหลากหลายทางชีวภาพ ทางสังคมวัฒนธรรมอยู่ที่ภูมิปัญญา และอยู่ที่ "ทุนทางสังคม" อยู่ที่ความสัมพันธ์ของผู้คนที่ถูกร้อยรัดด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ทำให้ผู้คนเป็นพี่เป็นน้อง พึ่งพาอาศัยกัน และไว้วางใจกัน

แต่จะทำอย่างไรให้ชุมชน "ตระหนัก" ว่าตนเองมี "ทุน" เหล่านี้

การทำประชาพิจัยเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ชุมชนต้นพบ "ทุน" ของตนเอง ค้นพบ "ศักยภาพ" ของตนเอง พร้อมกับแนวทางในการพัฒนาทุนและศักยภาพดังกล่าว

การทำประชาพิจัยเป็นวิธีการวิจัยโดยชุมชนเป็นผู้วิจัยเอง โดยมี "คนนอก" เป็นพี่เลี้ยงและเป็นผู้เชื่อมประสานให้เกิดกระบวนการ(facilitator)

การทำประชาพิจัย เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ชาวบ้านเรียนรู้จักตนเอง รู้จักชุมชน และรู้จักโลก พวกเขาร่วมกันสืบค้นหาข้อมูลที่ทำให้รู้จักรากเหง้าและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม รู้จักศักยภาพและทุน รู้รายรับ รายจ่าย และหนี้สิน แล้วทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ ทำแผนแม่บทการพัฒนา ทำประชาพิจารณ์แผนแล้วนำแผนไปสู่การปฏิบัติ

การทำประชาพิจัยทำให้ชุมชนค้นพบจิตวิญญาณของตนเอง ระบบคุณค่า ความดีงามต่างๆ ค้นพบความรู้ ภูมิปัญญา ทรัพยากรธรรมชาติอันหลากหลาย ดิน น้ำ ป่า พืช สมุนไพร สัตว์ แมลง แร่ธาตุ ซึ่งล้วนเป็น "ต้นทุน" ที่สำคัญของชุมชน

การค้นพบทุนและศักยภาพ พร้อมกับค้นพบสถานภาพที่แท้จริง(รายจ่าย หนี้สิน) ทำให้ชุมชนมองเห็นทางออก รู้ว่าทำไมถึงจน และรู้ว่าหนทางออกจากความยากจนนั้นมีอยู่ และชุมชนจะต้องสร้างเอง

พวกเขารู้ว่าจะทำมาหากินโดยทำไม่กี่อย่างแบบเดิมๆ ทำแค่ปลูกข้าว ปลูกมัน ปลูกยาง เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ตามวงธุรกิจของพ่อค้านั้นทำต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเขาจะต้องทำกินทำใช้เพื่อทดแทนการซื้อจากตลาด ลดรายจ่าย เพราะที่ผ่านมาการพัฒนาเน้นการเพิ่มรายได้ แต่มีรายได้มากขึ้นรายจ่ายก็ยิ่งมากขึ้น และมากกว่ารายได้จนเป็นหนี้เป็นสินแบบไม่มีทางออก

หัวใจของการทำประชาพิจัยอยู่ที่การสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้ชุมชนหลุดพ้นจากวิธีคิดแบบพึ่งพาและรอความช่วยเหลือจากรัฐหรือภายนอก

การทำประชาพิจัยทำให้ชุมชนค้นพบตัวเอง ปรับเปลี่ยนฐานคิดและวิธีคิด หันมาคิดถึงการพึ่งตนเอง และพึ่งพาอาศัยกันโดยการสร้างองค์กรชุมชนและเครือข่ายให้เข้มแข็ง

การทำประชาพิจัยทำให้ชุมชนหลุดพ้นจากวัฒนธรรมอุปถัมภ์เข้าสู่วัฒนธรรมข้อมูลความรู้ ก่อนนี้จะตัดสินใจทำอะไรต้องรอฟังรัฐ รอฟังข้าราชการ พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง พ่อค้า นักวิชาการ เอ็นจีโอ วันนี้พวกเขาตัดสินใจเองได้เพราะมี "ข้อมูล"

การทำประชาพิจัยทำให้ชุมชนหลุดพ้นจากวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบรับมาเรียนรู้แบบรุก ทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง สามารถสืบค้น สำรวจ วิจัย แสวงหาและพัฒนาความรู้ใหม่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่รอรับแต่ "สูตรสำเร็จ" ที่คนอื่นนำมาให้

การทำประชาพิจัยทำให้ชุมชนหลุดพ้นจากวิธีคิดและวิธีการจัดการแบบแยกส่วน มาคิดแบบเชื่อมโยงหรือบูรณาการ และจัดการแบบประสานหรือผนึกพลัง(synergy) ก่อให้เกิดผลไม่ใช่บวกแต่ทวีคูณ พวกเขาไม่ทำอาชีพแค่ 3 อย่างอีกต่อไป แต่ทำ 30-40-50 อย่าง ซึ่งล้วนแต่เชื่อมโยงกันเป็นระบบเศรษฐกิจชุมชน เป็นเครือข่ายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ(cluster) ของชุมชนที่เสริมกัน และทำให้เกิดผลเป็นทวีคูณ

ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะพวกเขามีแผนแม่บทชุมชนของตนเอง ไม่ใช่แผนมาจากกรุงเทพฯ แผนกระทรวงที่แห่กันเข้าออกหมู่บ้านจนชาวบ้านไม่ต้องทำมาหากิน เพราะเอาแต่ไปประชุม

การทำประชาพิจัยทำให้ชุมชนเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง ภูมิใจในรากเหง้า วัฒนธรรม ค้นพบ "ทุน" และศักยภาพที่แท้จริงของตนเองจนกล้า "ลงทุน" โดยไม่ต้องรอรัฐหรือใครที่ไหนมาช่วย ถ้าช่วยก็ถือว่า "ต่อยอด-สมทบ-เติมเต็ม" เท่านั้น ไม่ใช่มาเป็นทุนหลักเหมือนที่เคยคิดเคยทำกันมาและไม่เคยยั่งยืน

การทำประชาพิจัยทำให้เกิดวงจรชีวิตใหม่ในชุมชน ชุมชนจัดการตนเองอย่างเป็นระบบ ตัดสินใจได้เองว่าจะกิน จะอยู่ จะทำอะไรอย่างไร และเกิดระบบเศรษฐกิจชุมชนที่สร้างหลักประกัน ความมั่นคง และระบบสวัสดิการให้ครอบครัว ในวันนี้และวันหน้ายามแก่เฒ่า

ชุมชนที่ทำประชาพิจัยได้ผลคือ ชุมชนที่ทำแผนแม่บทของตนเองและลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่ทำข้อมูลเพื่อเขียนโครงการขอเงินจากภายนอก ถ้าทำได้แค่นี้ก็ถือว่าล้มเหลว เพราะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากวิธีคิดแบบเดิมๆ อาจต่างแต่เพียงว่ามีข้อมูลละเอียดมากขึ้นเท่านั้น

การทำประชาพิจัยทำให้ชุมชนพัฒนายุทธศาสตร์การพัฒนาของตนเอง พร้อมกับทำแผน ซึ่งประกอบด้วยโครงการและกิจกรรมต่างๆ รู้ว่าต้องเริ่มต้นที่การพึ่งตนเองในครอบครัวให้ได้ ทำให้พอเพียงในระดับชุมชนและเครือข่าย ก่อนที่คิดจะออกไปสู่ตลาดภายนอก ซึ่งก็ทำได้ถ้าหากมี "สูตรเด็ดเคล็ดลับ" อันมาจากความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาของท้องถิ่น ถ้าไม่มีจุดเด่นจุดแข็งดังกล่าวชุมชนก็ต้องตระหนักว่าไม่ควรจะเสี่ยงออกไปสู้กับตลาดใหญ่ ซึ่งความจริงตลาดชุมชนและเครือข่ายถ้าหากจัดการให้เป็นก็คือตลาดใหญ่อยู่แล้ว

ความพอเพียงในระดับชุมชนเกิดจากการจัดการการผลิต การแปรรูป การตลาด การบริโภค ซึ่งชุมชนทำกันในระดับตำบล เพราะแผนแม่บททำกันระดับตำบล โดยทำในทุกหมู่บ้าน เป็นการจัดระเบียบเศรษฐกิจชุมชน ทำให้ไม่มีการผลิตล้นเกิน ไม่แข่งขันกันทำกล้วยฉาบทำแชมพูทั้งตำบล แต่แบ่งกันทำคนละอย่างสองอย่าง เพื่อให้พอเพียงและทดแทนการซื้อจากตลาด

เหล่านี้ล้วนเกิดจากกระบวนการทำประชาพิจัย ซึ่งทำกันอย่างน้อย 5-6 เดือนขึ้นไป และแม้ผ่านไป 5-6 เดือน ชุมชนก็ยังเรียนรู้ต่อเนื่อง ทำวิจัยต่อเนื่องแบบเรียนไปทำไปวิจัยไปไม่รู้จบ

การทำประชาพิจัยไม่ใช่การทำข้อมูลโดยส่งนักวิจัย ผู้ช่วยวิจัยหรือบัณฑิตไปเก็บให้และไม่ใช่การให้ อสม. ผู้ใหญ่บ้าน อบต. หรือจ้างเด็กในหมู่บ้านไปเก็บให้ แล้วตนเองนำมาวิเคราะห์และทำแผนให้ชาวบ้าน

การทำประชาพิจัยไม่ใช่การ "ทำโครงการ" ประเภทลงไปทำเพราะมีเงิน เมื่อเงินหมดโครงการจะเสร็จไม่เสร็จก็เลิก อย่างที่มีหลายหน่วยงานอ้างว่าไปทำแผนแม่บทชุมชน เลียนแบบวิธีการทำประชาพิจัยอย่างผิวเผิน และไม่เข้าใจสาระที่แท้จริง "โครงการทำแผน" จึงไม่สำเร็จเพราะการทำประชาพิจัยไม่ใช่การทำ "โครงการ" แต่เป็นศาสตร์และศิลป์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งมีอะไรมากไปกว่าเอกสารระเบียบวิธีประชาพิจัยและแบบฟอร์มที่มูลนิธิหมู่บ้านได้พัฒนาขึ้นมา (ที่บางหน่วยงานเอาไปเปลี่ยนโลโก้เป็นของตนเอง) ซึ่งถ้าคิดว่าเป็นสูตรสำเร็จก็ล้มเหลวตั้งแต่ต้นแล้ว คงมีประโยชน์แต่เพียงเอาไปเป็นเครื่องมือของบประมาณเท่านั้น

การทำประชาพิจัยมีชื่อเต็มว่า "การทำประชาพิจัยและพัฒนา" (People Research and Development หรือเรียกย่อๆ ว่า PR&D) เป็นกรอบการทำงานที่พัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์การทำงานพัฒนาชนบทของมูลนิธิหมู่บ้านร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่ง และเครือข่ายองค์กรชุมชนทั่วประเทศในระยะ 20 ปีเศษที่ผ่านมา

วันนี้วิธีการประชาพิจัยได้รับการยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้ผลิตเอกสารไปเผยแพร่ และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยอมรับวิธีการนี้ที่ถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนา "ชุมชนเข้มแข็งแก้ปัญหาเอดส์ได้" ที่เชียงใหม่และได้รับความสนใจในอีก 4 ประเทศในแอฟริกาและละตินอเมริกาที่ทำโครงการวิจัยเดียวกันนี้

วันนี้สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนกำลังใช้วิธีการนี้ในการทำแผนแม่บทชุมชน เพราะเชื่อว่า ถ้าไม่มีการเรียนรู้ ไม่มีความรู้ และความรู้ไม่ถูกนำไปปฏิบัติจนเกิดปัญญา ปัญหาการพัฒนาก็คงวนเวียนอยู่ในวิธีคิดแบบเดิม คือทำโครงการขอเงินอยู่นั่นเอง การทำแผนแม่บทชุมชนเป็นฐานของการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นการจัดการทุนแบบรอบด้านเพื่อการพึ่งตนเอง

ขณะนี้ ภาคีหรือพันธมิตรของสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนกำลังดำเนินการทำแผนแม่บทชุมชนอยู่ โดย ธ.ก.ส.กำลังฝึกอบรมเจ้าหน้าที่นับพันคนเพื่อทำประชาพิจัยและบางส่วนเริ่มดำเนินการตั้งแต่ขณะนี้ คาดว่าถึงกลางปีหน้าน่าจะทำได้ 1,000 ตำบล นอกนั้นกระทรวงกลาโหมกำลังเตรียมดำเนินการในกว่า 300 ตำบลตามแนวชายแดน สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งก็กำลังพัฒนาตำบลนำร่องและวางแผนเพื่อขยายผล อบต.หลายแห่งก็สมัครใจขอทำเองลงทุนเอง ต้องการเพียงพี่เลี้ยง เครือข่ายองค์กรชุมชนทุกภาคก็เริ่มวางแผนดำเนินการ

โดยหวังว่า 3 ปีข้างหน้า จะเกิดแผนแม่บทขึ้นในทุกตำบล แผนที่ชุมชนเป็นผู้ทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่วางแผน เก็บข้อมูล วิเคราะห์ ทำแผน นำไปสู่การปฏิบัติ เหมือนกับที่ทำกันอยู่ในกว่า 400 ตำบลในวันนี้

โดยกระบวนการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแผนที่ 10 จะเป็นแผนที่มาจากชุมชน และเป็นแผนที่เสริมสร้างความเข้มแข็งให้ฐานรากของสังคมอย่างแท้จริง ถ้า "สภาพัฒน์" อยากมีส่วนร่วมส่งเสริมการทำแผนแม่บทชนบทโดยวิธีการประชาพิจัย ควรเริ่มต้นที่สภาพัฒน์เองที่ต้องเลิกทำตัวเป็นผู้รู้ แต่เป็นผู้เรียนรู้ วิธีการและกระบวนการนี้อย่างจริง

การทำประชาพิจัยเป็นกระบวนการที่ชุมชนเรียนรู้จักตัวเองและรู้จักโลก เรียนรู้เชื่อมโยงข้อมูลและนำสู่การปฏิบัติจนทำให้รู้แจ้งรู้จริง

นี่คือกระบวนการสร้างปัญญา ทุนสำคัญที่สุดเพื่อการพัฒนายั่งยืน

จาก : ชัยณรงค์ - 24/09/2002 18:42 เก็บกระทู้นี้ ไว้ในที่ส่วนตัวของคุณ

ข้อความ : ขอบคุณที่นำข้อมูลนี้มาเป็นวิทยาทาน กำลังอยากรู้พอดี เคยได้ยินผ่านหูแว็บๆ เอ...แล้วมันต่างจาก R&D ยังไงหละ ดูจากคำอธิบายแล้วมันเหมือนกันหรือเปล่า .... ช่วยสรุปสั้นๆ อีกที ... ขอบคุณล่วงหน้า

จาก : คนใฝ่รู้ - 24/09/2002 20:48

ข้อความ : พอสังเขป นะครับ

คือ ให้ชาวบ้านทำวิจัยเอง

ตั้งโจทย์ที่ต้องการศึกษาเอง

กำหนดวิธีการค้นคว้าหาข้อสรุปบทเรียนเอง

นักวิชาการภายนอก นั่งดู แล้วก็ถ่างหูฟังชาวบ้านมากขึ้น

ถ้าให้ดี ก็ช่วยเขา เป็นที่ปรึกษาในด้าน จัดกระบวนการเรียนรู้(ไม่ใช่กำหนดระเบียบวิธีวิจัยแทนชาวบ้าน)

อำนวยความสะดวกด้านการจัดทำเอกสาร

เช่น ให้ชาวบ้านค้นหา สูตรการทำเหล้าหมัก

ขณะนี้ สกว. มีโครงการลักษณะนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ใครสนใจติดต่อที่ สกว.ภาคได้ แล้วจะค้นที่อยู่มาให้ภายหลัง

จาก : ชัยณรงค์ - 24/09/2002 22:21

ข้อความ : ผมว่าจริงๆ แล้วองค์ความรู้ต่างๆ ในชุมชนมีอยู่เยอะแล้วล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องทำวิจงวิจัยอะไรอีกหรอก

เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สืบทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่จากรุ่นสู่รุ่น เขามีระบบการถ่ายทอดอยู่แล้ว

ปัญหาต่างๆ ที่มีในชุมชนนั้น เขาต่างรู้คำตอบหมดแล้วล่ะครับว่าจะแก้ไขกันอย่างไร

เพียงแต่บางชุมชน สิ่งสนับสนุนในการแก้ปัญหาบางเรื่องยังไม่เอื้ออำนวยเท่านั้นเอง

สำหรับพวกนักวิชาการทั้งหลายแหล่ ที่ชอบกำหนดปัญหาให้กับชุมชน ทั้งที่ตนเองเป็นบุคคลภายนอกนั่นแหล่ะ คือตัวการสร้างปัญหา

ผมว่าเพราๆ ลงหน่อยก็ดีครับ โดยเฉพาะพวกเราชาวสาธารณสุข

ส่วนไอ้ประชาพิจงพิจัยเนี่ยก็เป็นเพียงการกำหนดแนวคิดใหม่ๆ (ซึ่งจริงๆก็เก่าๆ) ของบรรดานักวิชาการอีกนั่นแหล่ะ เรียกให้มันโก้ เขาจะได้ว่าเราเริ่ด

ยกย่องเชิดชู แล้วก็จะมีคนยึดถือตำราเราเป็นสรณะ

เห็นมีนักวิชาการสาธารณสุขนี่แหล่ะ พอไปศึกษาอบรมเรื่องนึงมาก็ เอามาพูดกันยึดถือเป็นสรณะ ในการทำงาน เห่อเป็นพักๆ เห็นมาเยอะครับทั้ง

OR (Operation Research)
R&D
AIC
FSC (Futur Search Conference)
PRA (Participatory Rural Apprasial)
SSA (Soft System Analysis)

ก็เห็นจะเท่ห์ตอนที่พวกท่านมีศัพท์มาเล่นกันมากมายนี่แหล่ะ Mind map เอย Fa เอย Plobrem three เอย และ Paradigm เอย อย่างที่บางท่านชอบใช้ เป็นต้น

แต่จริงเราก็พอจะประเมินตนเองออกว่า สิ่งที่เรายึดเป็นสรณะทำกันมาตั้งแต่เริ่มรับราชการนั้น มันดีขึ้น หรือล้มเหลวแค่ไหน

และรู้บ้างหรือไม่ว่าเราเข้าไปแก้ปัญหาในชุมชนน่ะ ตรงจุดกับความรู้สึกว่านี่แหล่ะ คือปัญหาของเขารึเปล่า

สุดท้ายเพียงอยากบอกว่า อย่ายึดติดพวกนวตกรรม พวกนี้เลยครับ ชาวบ้านเรียนจบแค่ ป.4 เขาก็สามารถแก้ปัญหาของเขาได้ ถ้าเขารู้ว่านี่คือปัญหาของเขา
แต่จริงๆ ไม่ใช่เพราะพวกเรานั่นแหล่ะคือผู้ไปสร้างปัญหาให้เขา


จาก : มองต่างมุม - 28/09/2002 17:56

ข้อความ : หากไม่ค้นหานวัตกรรมใหม่ๆในการทำงาน เราก็ทำงานเหมือนเดิมปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แล้วคำว่าการพัฒนาก็ไม่เกิดเป็นรูปธรรมสิครับ หรือไม่มันก็อาจเกิดขึ้นเอง แล้วบทบาทของเราก็ไม่มีสิครับ เมื่อบทบาทเราไม่มี ต่อไปเราจะไปทำงานอะไรหล่ะครับ นั่นหมายถึงหมออนามัยเราควรจะมีบทบาทเป็นนักวิชาการบ้างในบางโอกาสเพื่อจะแสดงให้โลกเขารู้ว่าเราก็มีสมอง ไม่ใช่รับคำสั่งอย่างเดียวผมเห็นด้วยกับคุณชัยณรงค์และก็เข้าใจคุณมองต่างมุมครับ


จาก : หมอดอย - 02/10/2002 07:17

ข้อความ :
คราวนี้ ขออนุญาตคุยด้วยคน (แบบยาวๆ)

จากข้อเขียนของ "คุณมองต่างมุม" ดูเหมือนจะยืนอยู่คนละฝ่ายกับ "นักวิชาการ" นะครับ !

คล้ายๆ จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับ NGOS ยุคเก่า (บางกลุ่ม..ขอย้ำ) ที่มองว่า "นักวิชาการ" เป็นเสมือนเหลือบของชาวบ้าน เข้าไปทำลายระบบ เข้าไปทำลายโครงสร้างของชุมชน เอาประโยชน์ (ข้อมูล) มาใช้เพื่อไต่เต้าทางสังคม นำไปสู่ความเป็น "เอกะทักคะ" ทางสายวิชาการ แต่หามีประโยชน์ใดๆ ต่อชุมชนต่อสังคมในภาพรวมไม่?

บางส่วนมีจริงครับ บางพวก "เลว" อย่างนั้นจริง ผมไม่เถียง (เดี๋ยวนี้ ก็ยังมี!)

แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ!!!

และอยากบอกว่า การแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวิจัยนั้น มีประโยชน์จริง (หากมีความซื่อสัตย์และมีใจให้กับงาน)

เพราะสามารถแก้ปัญหา บูรณาการกับความเป็นจริงทางสังคมได้ (คงไม่ต้องอธิบายนะว่า บูรณาการอย่างไร?)

และสามารถขับเคลื่อนสังคมได้ ถ้าคุณเชื่อเหมือนกับที่ "หมอประเวศ" เชื่อ ว่าด้วยเรื่อง "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา"

การเกิด "รูปแบบ" ของการวิจัยหลายๆ รูปแบบ ที่คุณยกตัวอย่างมา นั่นคือทางเลือกครับ เป็นทางออกให้กับกระบวนการศึกษาหลายๆ แบบ ไม่ให้ติดที่กรอบการศึกษาแบบใดแบบหนึ่ง สามารถมาค้ำยันความถูกต้องกันได้ด้วยการเปรียบเทียบและการผสานวิธีการ

จนมาถึงจุดที่เรียกว่า "ประชาพิจัย" ที่คุณบอกว่าเป็นเพียงการกำหนดแนวคิดใหม่ๆ ของบรรดานักวิชาการ โดยเรียกให้มันโก้ เขาจะได้ว่าเราเริ่ด นั่นแหละครับ.....!

ไม่เถียงครับ... ไม่เถียง ! ว่านั่นเป็นแนวคิดที่เกิดจาก "นักวิชาการ" ครับ

แต่ถ้าเรายอมรับได้ว่า แท้จริงแล้ว สังคมไทยเป็นแบบสังคมอุปถัมน์ มันจะอะไรนักหนา ถ้าจะอุปถัมน์ความรู้ อุปถัมน์แนวคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และกลุ่มนักวิชาการกลุ่มนี้ เขาไม่ได้มองชาวบ้านว่า "โง่" เหมือนที่นักวิชาการสาธารณสุขที่หล่อหลอมพวกเรามา ว่า ปัญหาสาธารณสุขเกิดขึ้น เพราะความ "โง่ จน เจ็บ" คุณก็เคยกาข้อสอบนิ เรื่องนี้อยู่ในวิชา สสม. ไง รึจะเถียง?

เพราะฉะนั้น ถ้ากลุ่มนี้เขาคิดจะทำดี คิดจะคืนอิสรภาพให้ชาวบ้าน คุณจะไม่ฟังเขาหน่อย หรือครับ?

การที่เสนอรูปแบบให้ชาวบ้านมีบทบาทในการวิจัยเอง นั่นคือทางเลือกที่ให้ชุมชนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้เอง และก่อประโยชน์กับชุมชนเองมากกว่านักวิชาการข้างนอกกระทำ เพราะผู้วิจัยก็คือเจ้าของข้อมูล เข้าใจสภาพและวัฒนธรรมของตนเองดี

ที่คุณบอกจากประโยค

"ผมว่าจริงๆ แล้ว องค์ความรู้ต่างๆ ในชุมชนมีอยู่เยอะแล้วล่ะครับ ไม่จำเป็นต้องทำวิจงวิจัยอะไรอีกหรอก"

นั่นหละครับ ความรู้ที่มีอยู่ในชุมชนนั่นแหละครับ ที่ยังกระจัดกระจายอยู่ แต่ยังไม่เป็น "องค์" เลยครับ หรือคุณจะเถียง

ดูเหมือนผมเล่นลิ้นใช่มั้ยครับ?

แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น

ทางเลือกนี้คือ การรวบรวมความรู้ต่างๆ ที่เราเรียกว่าภูมิปัญญาของชาวบ้านนั่นแหละครับ มาสร้างเป็น "องค์ความรู้" โดยอาศัยกระบวนการวิจัยที่ตรวจสอบแล้วว่า สามารถอ้างอิงได้ มีทั้งประโยชน์ในแง่ของหลักฐานทางวิชาการ ข้อมูลที่เป็นรูปธรรมให้ลูกหลานผู้สนใจ ค้นคว้าศึกษาได้ในอนาคต ขณะเดียวกันก็สามารถกระตุ้นให้คนในชุมชนเรียนรู้ร่วมกัน สร้างเป็นสังคมเครือข่ายของการเรียนรู้ (ซึ่งเดิมเราเคยมี แต่หายไปนานมากแล้ว ระบบการถ่ายทอด เริ่มหายไปเรื่อยๆ เพราะรูปแบบสังคมเปลี่ยน) ให้ชุมชนกลับมาร่วมสืบสาวรากฐานของตนเอง และสานต่อภูมิปัญญาและประยุกต์และปรับใช้กับความจริงได้อย่างไม่ขัดเขิน

อย่างนี้ ไม่ดีตรงไหนครับ เริ่ดด้วย ดีด้วย ก่อประโยชน์ด้วย!!!!

ชุมชนบางส่วน ชาวบ้านบางกลุ่ม เห็นประโยชน์ตรงนี้ครับ

"บ่อนอก" "หินกรูด" มีการทำวิจัยกันเองนะครับ

ชาวบ้านแถบ "เขื่อนปากมูล" มีการรวบรวมข้อมูลพันธุ์ปลา หลังการเปิดเขื่อนครับ

เขาเชื่อว่า "ข้อมูลวิชาการ" สามารถใช้เป็นข้อต่อรองกับนโยบาย ต่อรองกับการสร้างไม่สร้างโครงการได้

นี่คือตัวอย่าง ของ "ประชาพิจัย" ครับ!

ขณะที่เราดูเหมือนจะฟูมฟายบ่นพร่ำ คิดแทนชาวบ้านว่าเขาโดนเอาเปรียบโดนกระทำ โดนชำแหรกความบริสุทธิ์ !

แต่เชื่อมั้ยครับ ชาวบ้านเดี๋ยวนี้ เขาก้าวไปไกลครับ เขาอ่าน เขาศึกษา "รัฐธรรมนูญ" นะครับ ขอบอก !

เขาอยากทำวิจัย เขาต้องการกระบวนการวิจัยที่ถูกต้องชัดเจน

เขาไม่ยะโสหรอกครับ เขาเรียนรู้และจับเข่าคุยกันกับนักวิชาการครับ

ว่างๆ แวะไปเชียงใหม่ ดูชุมชนวิชาการที่นั่น ว่าชาวบ้านกับนักวิชาการเขาอาทรกันอย่างไร?

ทำไม "อาจารย์ชยันต์ วรรธนะภูติ" ถึงยอมลงมาเล่นกับชาวบ้านกับชุมชน ยอมเอาตำแหน่งตัวเองมาค้ำประกันความเดือดร้อน
ให้ชาวบ้าน

ผมว่า แกมีใจให้จริง ไม่ได้ต้องการความหรูเริ่ด อลังการ ต้องการชื่อเสียงหรอกนะครับ ผมเชื่อ เพราะแกไม่ได้ทำธุรกิจมือถือ!

(ผมไม่ได้เป็นน้าม้าของแก แต่ผมศรัทธาในความดีและนิยมในความเป็นนักวิชาการของแก)

คุณมองต่างมุม ครับ

มุมเราค่อนข้างต่างกันนะครับ

ที่เป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะ

เรายืนอยู่บนฐานความคิดต่างกัน มีต้นทุนของข้อมูลต่างกัน มีมุมมองต่อโลกไม่เหมือนกัน

แต่ที่เข้ามาแลกเปลี่ยน เพราะเชื่อว่าคุณต้องการเห็นสังคมดีขึ้น ไม่ต่างจากที่ผมอยากให้เป็น

ผมเขียนมายาวเลยครับ

อ่านแล้ว คุณ "มองต่างมุม" อาจจะควันขึ้น

ไม่เป็นไรครับ อารมณ์คน ร้อนได้ ก็ เย็นได้ :-)

มีอะไรก็คุยกันได้อีกครับ !



จาก : หมอเมฆ...ขอมองด้วยสักมุม - 02/10/2002 09:14

ข้อความ : การวิจัยเป็นเรื่องจำเป็นของชีวิตมนุษย์ สัตว์โลกที่อยู่ได้อย่างยืนยง คือ "มนุษย์" อันผลมาจากมีวิธีคิด ระบบคิดที่ปรับเปลี่ยนเรียนรู้ กระบวนดังกล่าวมาจาก "การศึกษาวิจัย" การสร้างสมประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอธิบายถึงอนาคต ซึ่งในปัจจุบันเองทุกฝ่ายที่ทำงานร่วมกับชุมชน / ท้องถิ่น โดยเฉพาะกองทุนที่สนับสนุนการพัฒนา / การแก้ไขปัญหาในชุมชน จะเน้นการวิจัยชุมชน / ท้องถิ่น โดยการสร้าง "นักวิชาการชุมชน" ขึ้นมาแก้ไขปัญหาของเขาเอง อันมาจากสำนึกชุมชน ความเป็นเจ้าของชุมชน และความรัก เอื้ออาทร ญาติ มิตร พี่น้อง เครือญาติของเขาเอง ซึ่งส่งผลถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน ขอให้หมอนามัยทุกคนให้ปรับทัศนะในการทำงานเสียใหม่ (สำหรับผู้หลงผิด / หลงตนเอง / อัตตาเกินพิกัด ) งานวิจัยมีคุณค่าถ้าเราจะหยิบมาใช้ หยิบให้พวกพ้อง และชาวบ้าน ยุคแห่งการเรียกร้องกระแสสังคมที่เข้ามาหาพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ
1. การมีส่วนร่วมภาคประชาชน
2. ชุมชนเข้มแข็ง
3. การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
4. ภูมิปัญญาท้องถิ่น
5. สิทธิชุมชน
สังคมเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่งกำลังอยู่ในช่วงของความไร้ระเบียบของสังคม ให้หมออนามัยใจเย็น ๆ ทำงานใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์ และอย่างใช้ความรู้สึกมากความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แล้วใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยการสร้างองค์ความรู้ จากการวิจัย




จาก : หมออนามัย ใน อบต. - 03/10/2002 00:21