พิพิธภัณท์
พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง
เช้าวันอังคารที่ ๒๔ มิถุนายน
๒๕๔๐
เป็นวันที่กองทัพเรือแห่งราชอาณาจักรไทยจะต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ว่า
ณ
วันนั้นกองทัพเรือมีพิพิธภัณฑ์เรือหลวงขึ้นเป็นครั้งแรก
โดยพลเรือวิจิตร ชำนาญการณ์
ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธีเปิด
ณ ป้อมพระจุลจอมเกล้า
กิ่งอำเภอพระสมุทรเจดีย์
จังหวัดสมุทรปราการก่อนหน้านี้
กองทัพเรือมีโครงการอนุรักษ์เรือรบไทยไว้เช่นกัน
แต่เป็นการอนุรักษ์ไว้เพียงอุปกรณ์ที่สำคัญ
ๆ บางส่วนเท่านั้น
สำหรับเรือหลวงแม่กลองจึงนับเป็นครั้งแรกที่กองทัพเรือจัดเรือรบทั้งลำขึ้นเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อแสดง
นิทรรศการเกี่ยวกับประวัติ-ศาสตร์ของเรือ
และแสดงกิจกรรมของกองทัพเรือในโอกาสต่างๆ
พิพิธภัณฑ์เรือหลวง
แม่กลองเป็นโครงการหนึ่งที่กองทัพเรือน้อมเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวโรกาสเสด็จฯเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบ
๕๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙
เนื่องจากกระทรวงกลาโหมพิจารณาเห็นว่า
เรือหลวงแม่กลองมีอายุราชการถึง
๖๐ ปีแล้ว
และเป็นเรือรบที่ประจำการนานที่สุดของกองทัพเรือ
มีสภาพทรุดโทรมมาก
หากจะทำการซ่อมแซมเพื่อใช้ในราชการต่อไปคงไม่คุ้มค่า
จึงมีมติให้ปลดระวางประจำการในวันที่
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙
และอนุรักษ์ไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางทหารเพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเรือหลวงแม่กลอง
มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
โครงการสั่งต่อเรือเป็นผลจากพระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือง
พ.ศ.๒๔๓๘ ในรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๘
ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
โดยมี นายพันเอก
พระยาพหลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
แม้ว่ากองทัพเรือจะพยายามดำเนินการจัดหาเรือรบไว้ป้องกันประเทศก่อนหน้านี้เป็นระยะเวลานานแล้ว
ประมาณ ๓๐ ปี
แต่เนื่องจากมีปัญหาทางด้านงบประมาณที่ไม่เพียงพอ
จึงไม่ประสบความสำเร็จ
กองทัพเรือสั่งต่อเรือหลวงแม่กลองและเรือหลวงท่าจีน
ซึ่งเป็นเรือฝึกหัดนักเรียนหรือเรือสลุป
พร้อมกับเรือตอร์ปิโดเล็กอีก ๓
ลำที่ประเทศญี่ปุ่น
ทำให้เป็นที่รู้จักในหมู่ทหารเรือว่า
เรือหลวงแม่กลองและเรือหลวงท่าจีนเป็นเรือพี่น้องกัน
โดยเรือรบทั้งสองลำนี้จะปฏิบัติภารกิจในการป้องกันประเทศทางทะเล
ทำการรบอย่างมีประสิทธิภาพยามประเทศชาติมีศึกสงคราม
ในยามสงบก็จะแปรสภาพเป็นเรือฝึกนักเรียนทหารและนายทหาร
ให้มีความรู้ความชำนาญในการเดินเรือสำหรับการฝึกภาคทะเลเป็นระยะทางไกลไปยังเมืองท่าต่างประเทศ
วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๓๙
ถือเป็นวันกำเนิดเรือหลวงแม่กลอง
ณ อู่ต่อเรืออูรางา เมืองโยสึกะ
ประเทศญี่ปุ่น โดยมี
พระมิตรกรรมรักษา
อัครราชฑูตที่โตเกียวเป็นผู้ประกอบพิธี
ประมาณ ๘ เดือนต่อมา
ตัวเรือภายนอกก็เสร็จเรียบร้อย
มีพิธีปล่อยเรือลงน้ำเมื่อวันที่
๒๗ พฤศจิกายน ๒๔๗๙
จากนั้นจึงสร้างส่วนประกอบตัวเรือภายนอก
พร้อมกับวางเครื่องจักรใหญ่ติดตั้งอาวุธประจำเรือ
ในชั้นแรกมีทั้งปืนใหญ่ ปืนกล
ตอร์ปิโด เครื่องบินทะเล
เมื่อต่อเรือหลวงแม่กลองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ได้ทำการทดลองเครื่องจักรในทะเลตั้งแต่วันที่
๒๐ เมษายน ๒๔๘๐ เป็นต้นมา
ซึ่งผลการทดลองก็เป็นที่เรียบร้อยทุกประการ
กระทรวงกลาโหมจัดนายทหาร
และทหารไปรับเรือหลวงแม่กลอง
เรือหลวงท่าจีน
พร้อมด้วยเรือตอร์ปิโดเล็กทั้ง
๓ ลำกลับสู่ประเทศไทย
โดยให้นักเรียนนายเรือร่วมเดินทางไปด้วย
มี นายนาวาโท หลวงยุทธกิจพิลาส
(มี ปัทมะนาวิน)
เป็นผู้บังคับคับการเรือหลวงแม่กลองคนแรก
โดยตั้งเป็นหมวดเรือชั่วคราวขึ้น
มี นายนาวาโท หลวงเนาพลรักษ์
(จุ่น สุวรรณคดี)
ซึ่งเป็นผู้บังคับการเรือหลวงท่าจีน
เป็นผู้บังคับหมวดเรือทั้งหมดอีกชั้นหนึ่ง
ออกเดินทางจากเมืองโกเบในวันที่
๑๖ กรกฎาคม ๒๔๘๐ ขณะเดินทางกลับ
หมวดเรือประสบกับพายุดีเปรสชั่นและพายุไต้ฝุ่นหลายลูก
แต่ด้วยความพยายามและความสามารถของนายทหาร
นักเรียนนายเรือ
และนายทหารประจำเรือ
ทำให้หมวดเรือรอดพ้นอันตรายมาได้
นับว่าเรือหลวงแม่กลองได้ปฏิบัติภารกิจแรก
โดยทำหน้าที่เป็นเรือฝึกหัดนักเรียนนายเรือในทันทีที่ต่อเสร็จ
ตรงกับวัตถุประสงค์แรกเริ่มของการต่อเรือ
หมวดเรือเดินทางถึงสัตหีบในวันที่
๒๔ กันยายน ๒๔๘๐
รวมเป็นเวลาเดินทางจากประเทศญี่ปุ่น
๒ เดือนเศษ
จากนั้นในวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๔๘๐
หมวดเรือเดินทางจากสัตหีบมายังกรุงเทพฯ
โดยแล่นขึ้นไปตามลำน้ำเจ้าพระยา
เข้าเทียบท่าราชวรดิษฐ์
เพื่อเข้าพิธีต้อนรับ
เจิมเรือและขึ้นระวางประจำการ
โดยมี นาวาเอก พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้า อาทิตยทิพอาภา
ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ใน
พระบาทสมเด็จพระ-เจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘
เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธี
เนื่องจากเรือหลวงแม่กลองได้รับพระราชทานชื่อตามชื่อแม่น้ำ
แม่กลอง
ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม
กองทัพเรือจึงส่งเรือหลวงแม่กลองเดินทางไปจังหวัดสมุทรสงคราม
จอดทอดสมอในแม่น้ำแม่กลอง
เพื่อให้บรรดาชาวสมุทรสงคราม
ซึ่งต่างก็มีความภาคภูมิใจ
และถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่เรือหลวงได้รับพระราชทานนามชื่อแม่น้ำสายสำคัญของจังหวัด
ทำการจัดพิธีฉลองเป็นเวลา ๓ วัน
ตั้งแต่วันที่ ๓ - ๖ กุมภาพันธ์
๒๔๘๑
มีพิธีมอบพระพุทธรูปและโล่แก่เรือหลวงแม่กลอง
เพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งหลายทั้งปวงแก่เรือและนายทหารประจำเรือ
เรือหลวงแม่กลองนำนักเรียนนายเรือฝึกภาคทะเล
อวดธง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๕
พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๑ (ปีการศึกษา ๒๔๘๐)
ผ่านเมืองท่าต่างประเทศ ได้แก่
ไซ่ง่อน มะนิลา คูชิง (ซาราวัด)
และเดินทางกลับมาเยี่ยมชายทะเลภาคใต้ของไทย
ตั้งแต่ ตากใบ ปัตตานี สงขลา
นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์
เรื่อยมาจนกลับถึงกรุงเทพฯ
ในวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๔๘๑
ส่วนการฝึกภาคทะเลครั้งสุดท้าย
เรือหลวงแม่กลองนำนักเรียนนายเรือออกฝึกภาคทะเลเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๓๘ (ปีการศึกษา ๒๕๓๗)
ระหว่างวันที่ ๓๐ มกราคม
ถึงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๘
ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะให้เรือหลวงแม่กลองเดินทางไปเยี่ยมอำลาประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสงครามที่แม่น้ำแม่กลอง
กองทัพเรือจึงร่วมกับจังหวัดสมุทรสงคราม
จัดพิธีอำลาเรือหลวงแม่กลองระหว่างวันที่
๑๗๑๘ มีนาคม ๒๕๓๘
ตลอดระยะเวลาในการรับใช้ราชการเรือหลวงแม่กลองปฏิบัติภารกิจทั้งในยามสงบและในยามสงครามด้วยดีมาโดยตลอด
ครั้งสำคัญคือการออกลาดตระเวนเป็นกองเรือป้องกันอ่าวไทยอย่างเข้มแข็งในกรณีพิพาทกับอินโดจีนของฝรั่งเศส
สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
นอกเหนือจากนั้น
ยังปฏิบัติภารกิจในหน้าที่
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์
หลายครั้ง เช่น
เป็นเรือพระที่นั่งนำเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙
จากท่าราชวรดิษฐ์ไปยังเรือซีแลนเดียที่เกาะสีชัง
เพื่อเสด็จฯ กลับไปศึกษาต่อ ณ
เมืองโลซานน์
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เป็นเรืออัญเชิญพระบรมอัฐิของ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗
จากสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยามายังท่าราชวรดิษฐ์
และทำหน้าที่เป็นเรือพระที่นั่งรับเสด็จ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ
นิวัติพระนครจากสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยามายังท่าราชวรดิษฐ์
เป็นต้น
ถึงวันนี้เป็นเวลา ๖๐ ปีแล้ว
ที่เรือหลวงแม่กลองทำงานรับใช้ประเทศชาติอย่างเต็มความสามารถตลอดเวลา
เป็นเรือรบที่สามารถได้รับการยกย่องให้เป็น
เรือครู
และถ้านับรวมระยะทางของการเดินทางเป็นระยะทางที่มากที่สุดในกองทัพเรือ
ปัจจุบัน
เรือหลวงแม่กลองได้รับภารกิจสำคัญชิ้นใหม่
คือการเป็นพิพิธภัณฑ์เรือหลวง
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงกาลเวลาระหว่างอดีตและปัจจุบัน
ซึ่งจะเป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังได้มองย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมา
ทั้งของตัวเรือเองและกองทัพแห่งราชนาวีไทย
สำหรับผู้สนใจที่จะเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สามารถเข้าชมได้ในเวลาราชการ ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( พ.ศ.๒๓๙๔๒๔๑๑)
พิพิธภัณฑสถานในเมืองไทยได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ในพระบรมมหาราชวัง
เพื่อเก็บรักษาศิลปโบราณวัตถุและเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ
ลุถึงแผ่นดินต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง มิวเซียม ณ ศาลาสหทัยสมาคมหรือหอคองคอเดีย ในพระบรมมหาราชวัง เป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๑๗ และต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๓๐ จึงได้ย้ายมาอยู่ ณ พระที่นั่ง ๓ องค์หน้า ในพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า คือพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พระที่นั่งศิวโมกข์พิมานและพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย จนถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระที่นั่งทั้งหมดและหมู่พระวิมานในพระราชวังบวรสถานมงคลเป็น พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๙ และประกาศให้เป็น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร แบ่งลักษณะการจัดแสดงออกเป็นหมวดใหญ่ ๆ คือ
๑. ประวัติศาสตร์ชาติไทย ในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน
๒. ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย แบ่งตามยุคสมัยคือ
- สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในอาคารส่วนหลังของพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน
- สมัยประวัติศาสตร์ จัดแสดงในอาคารใหม่สองหลัง ได้แก่สมัย ทราวดี ศรีวิชัย และลพบุรี จัดแสดงในอาคารมหาสุรสิงหนาทและสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นไปจัดแสดงในอาคาประพาสพิพิธภัณฑ์
๓. ประณีตศิลป์และชาติพันธุ์วิทยา ในอาคารหมู่พระวิมาน จัดแสดงเครื่องทอง เครื่องถม เครื่องมุก เครื่องดนตรี เครื่องไม้จำหลัก ผ้าโบราณ เครื่องถ้วย ของสูงราชยานคานหาม อาวุธโบราณ เครื่องใช้ในพระพุทธศาสนาและอัฐบริขารของพระสงฆ์ เครื่องการละเล่นต่าง ๆ เช่น หัวโขน หุ่นกระบอก และหนังใหญ่ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีบรรดาราชรถสำหรับใช้การการพระบรมศพ และเครื่องประกอบต่างๆ จัดแสดงในอาคารโรงราชรถ
นอกจากโบราณวัตถุล้ำค่าที่จัดแสดงแล้วอาคารต่าง ๆ ที่มีมาแต่เดิมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ยังเป็นสถาปัตยกรรมไทยที่งดงาม เช่น พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์พระพุทธรูปสำคัญของบ้านเมือง อีกทั้งยังมีพระที่นั่งขนาดย่อมและศาลาทรงไทยที่รื้อย้ายมาจากที่ต่าง ๆ อีกหลายองค์ ล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมไทยแบบประเพณีที่งดงามเก่าแก่ และหาดูได้ยากทั้งสิ้น
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร จึงเป็นสถานที่ที่รวบรวมเอกลักษณ์ทั้งทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมไทยที่โดดเด่นที่สุดในเกาะรัตนโกสินทร์
พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน ลพบุรี
เพราะการคมนาคมในสมัยก่อน ถนนหนทางยังไม่เจริญ ตัดแยกเข้าตามซอยตามหมู่บ้านต่าง ๆ เหมือนเช่นทุกวันนี้ ชาวบ้านภาคกลางในสมัยนั้น ซึ่งได้แก่ ชาวฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สิงห์บุรี ลพบุรี เป็นต้น จึงต้องพึ่งพาเรือพื้นบ้านเป็นยานพาหนะ
ในช่วงเวลานั้น การสัญจรไปมาทางน้ำเป็นสิ่งจำเป็น เรือ จึงเป็นพาหนะสำคัญในการเดินทางไปตามลำแม่น้ำ ลำคลอง และลำกระโดงเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว การค้าขาย ตลอดจนเดินทางไปทำบุญในงานประเพณีตามวันต่าง ๆ เป็นประจำ ซึ่งในสมัยก่อน ชาวสวน ชาวหมู่บ้าน ตามเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ลำคลอง จะใช้เรือพื้นบ้านพายไปมาอย่างหนาตา
มาถึงปัจจุบัน การเดินทางทางน้ำเพื่อกิจกรรมดังกล่าวลดลงไปมาก เนื่องจากการคมนาคมเจริญเติบโตรุดหน้า คนไทยรุ่นใหม่จึงพบเห็นการใช้เรือเพื่อการเดินทางเพียงในภาพยนตร์สารคดี หรือมาเที่ยวตลาดน้ำที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เรือพื้นบ้านจึงถูกทอดทิ้งเป็นเพียงภูมิปัญญาของชนรุ่นเก่าเท่านั้น
กลุ่มภาคเอกชนในนามชมรมอนุรักษ์โบราณวัตถุสถานและสิ่งแวดล้อม จังหวัดลพบุรี จึงก่อตั้งพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านที่วัดยาง ณ รังสี ขึ้นมา เนื่องจากเห็นความสำคัญของเรือพื้นบ้านเหล่านี้ว่า จะเป็นประโยชน์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาชีวิต วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของคนรุ่นก่อนว่าเป็นอย่างไร โดยรวบรวมเรือพื้นบ้านจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ วัด กับที่ชาวบ้านนำเรือพื้นบ้านชนิดต่าง ๆ ไปบริจาคให้กับทางพิพิธภัณฑ์เป็นประจำ หลายลำอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ก็มีอีกหลายลำผุพังต้องซ่อมแซม
เรือส่วนใหญ่ในพิพิธภัณฑ์เป็นเรือพื้นบ้านที่ชาวบ้านใช้งานมาแล้วในอดีต มีรูปร่างและชื่อเรียกแตกต่างกันตามคุณประโยชน์ของการใช้สอย มีตั้งแต่เรือพายม้า เรือเข็ม เรือบด เรือสำปั้น เรือกระแซง เรือมาด เรือแจว และเรือหมู
เรือแต่ละลำที่กล่าวมาแล้วมีทั้งเรือขุดและเรือต่อ เรือขุดคือเรือที่ขุดจากไม้ซุง เช่นไม้ตะเคียน ไม้มะค่า ไม้สัก ได้แก่เรือหมู ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเรือพายม้า หัวและหางเรือเหลาเป็นรูปแท่งเรียวแหลม ใช้พายเรือถ่อเพื่อหาปลา ถ้าเป็นเรือหมูขุดจากไม้ตะเคียน จะเหนียวและทนต่อทุกสภาพมีอายุนับร้อย ๆ ปีล่วงมาแล้ว
ส่วนเรือขุดขนาดใหญ่ได้แก่เรือชะล่า เป็นเรือขุดจากซุงทั้งต้น ทำให้เป็นรูปเรือโดยไม่ต้องเบิกปากเรือให้กว้าง ท้องเรือแบน ความกว้างของลำเรือเท่ากันเกือบตลอดลำ โดยปกตินิยมใช้ถ่อให้เคลื่อนที่
สำหรับเรืออีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าเรือต่อนั้น มีอาทิ เรือกระแชง ซึ่งส่วนมากทำจากไม้สัก ท้องเรือจะโค้งกลม นิยมผูกเรือกระแชง ต่อกันยาวเป็นขบวนและใช้เรือยนต์ลากจูง ที่เรียกว่าเรือกระแชงก็เพราะแต่เดิมใช้กระแชงซึ่งก็คือใบเตยหรือใบจาก นำมาเย็บเป็นแผงทำเป็นประทุนบังแดดฝน ใช้บรรทุกของที่มีน้ำหนักมาก เช่น ข้าวเปลือก ไม้ฟืน เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน ตั้งอยู่ในศาลาการเปรียญหลังเก่าที่วัดยาง ณ รังสี ในตำบลตะลุง อำเภอเมือง จ.ลพบุรี ห่างจากตัวเมือง ๘ กิโลเมตร ในวัดมีต้นยางยักษ์ขนาด ๑๓ คนโอบ อายุมมากกว่า ๔๐๐ ปีเป็นสัญลักษณ์
หากมีโอกาสเดินทางมาจังหวัดลพบุรีแวะเยี่ยมพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน ชมมรดกตกทอดของบรรพบุรุษไทย ที่สะท้อนวิถีชีวิตและภูมิปัญญาไทยในอดีตอีกอย่างหนึ่ง
พิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำเมืองกำแพงเพชร
เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ
๕๐ ปี ทางจังหวัดกำแพงแพชร
กรมศิลปากร กรมสามัญศึกษา
และมูลนิธิปริยัติศึกษา
ญสส.
ในสังคมราชูปถัมภ์จึงร่วมจัดสร้างขึ้นในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์
จังหวัดกำแพงเพชรตัวอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นเรือนไทยหมู่แบบเรือนไทยภาคกลางบนพื้นที่กว้างขวาง
ซึ่งจัดผังวางตำแหน่งพิพิธภัณฑ์ตามอย่างเรือนไทยโบราณ
ประกอบด้วยใต้ถุนโล่ง สูง
ด้านล่างจัดวางโต๊ะแสดงขนบประเพณีวิถีไทย
เช่น ขนมไทย
ตุ๊กตาไทยซึ่งปั้นตามอิริยาบถต่างๆ
ของชาวไทยพื้นบ้านดั้งเดิม
ส่วนด้านบนทำเรือนชานกว้าง
แต่ละห้องบนพิพิธภัณฑ์เรือทนไทยแห่งนี้เป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุ
ศิลปวัตถุ
และจัดแสดงงานศิลปหัตถกรรมอันแสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพชนในท้องถิ่น
แหล่งข้อมูลด้านมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
ตลอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
และวัฒนธรรมของจังหวัด
การจัดแสดงแบ่งเป็น ๕ ส่วนคือ
๑. ประวัติศาสตร์และโบราณคดีทั่วไป เกี่ยวกับความเป็นมาของจังหวัด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีมาก่อนกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ประกอบด้วยเมืองโบราณที่บ้านคลองเมือง เมืองนครชุม เมืองเทพนคร เมืองบางพาน และเมืองกำแพงเพชร
๒. ประวัติศาสตร์เมืองกำแพงเพชร ทั้งสภาพธรณีวิทยา สภาพดินฟ้าอากาศ สภาพเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
๓. ชาติพันธุ์วิทยา แสดงเรื่องราวสภาพชีวิต เศรษฐกิจ ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี และการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มชนต่าง ๆ อันได้แก่ พม่า ไต ลาวโซ่ง ชาวล้านนา ฯลฯ
๔. มรดกดีเด่นของกำแพงเพชร ทั้งมรดกธรรมชาติและมรดกทางวัฒนธรรม เริ่มตั้งแต่พัฒนาการของพระเครื่องเมืองกำแพง พระเครื่องที่สำคัญ ๆ ได้แก่ พระนางพญากำแพงเพชร พระกำแพงซุ้มกอ พระกำแพงกลีบบัว เป็นต้น โดยได้รวมเอากล้วยไข่ ประเพณีกล้วยไข่ ผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดพัฒนาการทางอุตสาหกรรมและศิลปหัตถกรรม เมืองกำแพงเพชร
๕. การจัดแสดงความเป็นมาของเมืองในรูปแบบของภาพสี ภาพโปร่งใส แผนผัง แผนที่ หุ่นจำลอง และเทคนิคพิเศษในรูปของมัลติมีเดีย เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดกำแพงเพชร เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและหวงแหนถิ่นฐานบ้านเกิดของตน
สถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ไม้สักทอง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร อยู่ต่อเนื่องกับที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกำแพงเพชร (พิพิธภัณฑ์เดิม) ภายในเขตเมืองเก่า ของกำแพงเพชร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ถ้าใครมีเวลาผ่านไป ขอเชิญแวะชมพิพิธภัณฑ์ล่าสุดของประเทศไทยเพื่อชื่นชมเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นของเมืองมรดกโลกแห่งนี้