จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์


ย้อนอดีต..ยุคเผด็จการครองเมือง


สั่งยิงเป้าศัตรูทางการเมือง


  เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารลูกพี่จอมพล ป.พิบูลสงครามสำเร็จก็สืบอำนาจเผด็จการต่อทันที

เมธีหรือนักปรัชญาทางการเมืองชาวอังกฤษที่มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี ค.. 1632-1704 ชื่อจอห์นล็อค กล่าวไว้ว่า....


“ สิทธิมูลฐานของพลเมืองนั้นสิทธิที่จะก่อกบฏเป็นสิทธิตามธรรมชาติสิทธินี้จะนำมาใช้ก็เฉพาะกรณีที่ชนชั้นปกครองกลายเป็นทรราชกฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมกลายเป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการเท่านั้น ”


มาตรา 17 คือกฎหมายที่จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ได้ร่างขึ้นมีอำนาจครอบคลุมจักรวาลในการกำจัดศัตรูทางการเมืองได้อย่างสมบูรณ์แบบกฎหมายนี้ประหารชีวิตได้แม้กระทั่งนายศุภชัย ศรีสติ ที่เพียงแค่ออกใบปลิวคัดค้านการจับกุมสามล้อเครื่องชื่อนายศิลา วงศ์สินชาวบ้านจังหวัดนครราชสีมาที่เพียงสำคัญตนเองอวดว่าเป็นผู้วิเศษผู้ศักดิ์สิทธิ์ และผู้ที่โดนข้อหา วางเพลิง ที่ถูกจอมพลสฤษดิ์ สั่งยิงเป้า โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน มาตรา 21 สั่งจบชีวิตใครก็ได้ตามอำเภอใจของผู้ปกครองในสมัยนั้นภายใต้ข้ออ้างว่า “เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประเทศชาติ” 

 ครูครอง จันดาวงศ์  เป็นผู้หนึ่งที่ได้ต่อสู้กับอำนาจเผด็จการปกครองในการสมัยนั้นไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงและเขียนเรื่องราววิถีการต่อสู้ของเขามากนักเหมือนเหมือนกับจิตรภูมิศักดิ์นักคิดนักเขียนนักต่อสู้ร่วมสมัยกับเขา

ครูครอง จันดาวงศ์เคยถูกจับข้อหาทางการเมือง 3 ครั้งใหญ่ๆคือครั้งแรกเมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ข้อหากบฎแบ่งแยกดินแดงและกบฏภายในราชอาณาจักร มีผู้ร่วมถูกจับกุม 18 คน

ครั้งที่สอง ถูกจับเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 ในข้อหากบฏสันติภาพ มีผู้ร่วมถูจับกุม 38 คน

ครั้งที่สาม ถูกจับเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2504ในข้อหามีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์และกบฏแบ่งแยกดินแดง มีผู้ถูกร่วมจับกุม 108 คน ถูกสอบสวนที่กรุงเทพฯ 20 กว่าวัน ก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิตที่อำเภอสว่างดินแดงเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2504

ปลายปี พ.ศ. 2503รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  ทำการปราบปรามอย่างหนัก องค์กรสามัคคีธรรมก็เช่นกัน ครูครองจันดาวงศ์และเพื่อนครูถูกล่าไล่จนต้องหนีหัวซุกหัวซนหลบลี้ภัยไปอยู่ภูพานชั่วคราว ก่อนแอบกลับมาบ้านวันที่ 4 พฤษภาคม 2504 เพื่อเตรียมสัมภาระสำหรับอยู่บนภูและรอเพื่อนแต่เพื่อนไม่มาตามนัด จนถึงเช้าตรู่วันที่ 16 เดือนเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจยกกำลังมาล้อมจับเขาพร้อมนายภักดี พงษ์สิทธิศักดิ์ น้องภรรยา นำไปฝากขังที่สถานีตำรวจอำเภอสว่างดินแดง ลูกชายคนโตชื่อวิทิตกับเพื่อน ชื่อสมพงษ์ ราชพลีที่ไปเยี่ยมที่โรงพักก็พลอยถูกจับขังด้วย หลังจากนั้นครูครองก็ถูกย้ายไปขังที่จังหวัดอุดรธานี ขังอยู่ สองสามวันก็ถูกนำตัวมาขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาสอบสวนที่กรุงเทพฯ  

 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ควบทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและอธิบดีกรมตำรวจ

ครูครอง จันดาวงศ์  และนายทองพันธ์ สุทธิมาศ ถูกเบิกตัวเข้าพบ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทั้งสองรู้ตัวทันทีว่าใครก็ตามที่ถูกเบิกตัวเข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่นหมายความว่าโดนคำสั่งประหารชีวิตด้วย ม. 17 แน่ เมื่อไปถึงตึกกองบัญชาการกรมตำรวจซึ่ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ควบทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และอธิบดีกรมตำรวจ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พูดอย่างยโสโอหังว่า “พวกมึงรู้หรือเปล่าว่าการกระทำของพวกมึงเป็นการขายชาติ” ครูครอง จันดาวงศ์ตอบอย่างสุภาพ “................ในที่สุดประชาชนต้องเป็นฝ่ายชนะอธรรม พวกเผด็จการจะต้องพินาศผมขอภาวนาว่าเมื่อถึงวันนั้นมาถึงขอให้ท่านยังอยู่และอย่าหนีทัน..........”

เมื่อมาถึงตอนนี้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอาการโกรธจัดไม่สามารถทนฟังต่อไปได้อีกแล้ว จึงออกคำสั่งต่อนายตำรวจที่อยู่ข้างๆว่า “จับมันไปประหารเดี๋ยวนี้ ตามแผนที่กูสั่งไว้แล้ว”  แล้วนักโทษการเมืองทั้งสองก็ถูกนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปยังสนามบินลับเสรีไทย อำเภอสว่างดินแดง จ.สกลนคร สาเหตุที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ให้ประหารชีวิตที่นี่เพราะต้องการข่มขู่อดีตพลพรรคเสรีไทยทั้งหมดให้สยบ เมื่อไปถึงสกลนครเวลา 11.30. ผู้นำทางได้แจกจ่ายข้าวผัดให้ทั้งสองคนละห่อ พร้อมด้วยน้ำดื่มคนละขวดทั้งสองรับประทานอาหารด้วยใจสงบก่อนเข้าถูกมัดกับหลักประหารพร้อมใช้ผ้ามัดตาเป็นที่เรียบร้อย บุคคลเหยื่อ ม.17 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  ครูครองได้เปล่งคำขวัญ “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” ก่อนเสียงปืนรัว 90 นัด เวลา 12.13. ครูครอง จันดาวงศ์ ถูกประหารเมื่ออายุได้ 54 ปี

ท่านเคยตำรงตำแหน่งที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมมาหลายตำแหน่งเช่นเป็นครูประจำชั้นและครูใหญ่ตามโรงเรียนประชาบาลต่างๆในเขตอำเภอสว่างดินแดงไม่น้อยกว่า 5 แห่งเคยเป็นผู้จัดการโรงเรียนมัธยมศิริขันธ์ 2 ของครูเตียง ศิริขันธ์เป็นผู้ปฎิบัติการดีเด่นของขบวนการเสรีไทยสายอีสาน

เป็นสมาชิกสภาจังหวัดสกลนครในปี 2489เป็นสมาชิกขบวนการสันติภาพแห่งประเทศไทยเป็นประธานองค์กรมวลชนช่วยเหลือตนเองที่เรียกว่า “กลุ่มสามัคคีธรรม”เป็นสมาชิกพรรคเศรษฐกรและแนวร่วมสังคมนิยมที่ต่อสู้เพื่อนโยบายเป็นกลางคัดค้านการรวมกลุ่มของทหารเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรในช่วงปี 2501 และสภาถูกยึดเพราะการยึดอำนาจครั้งที่ 2 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 

ส่วนนายทอง สุทธิมาศ เป็นรุ่นน้องอายุน้อยกว่าครูครอง 20 ปี บุคคลทั้งสองเคียงคู่กันในการหาเสียงการรณรงค์เป็นปากเสียงให้ชาวบ้านช่วยเหลือกันอย่างดี นายทองพันธ์เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดสกลนคร ในเขตอำเภอวานรนิวาส และเคยลงเลือกตั้งในนามพรรคสังคมนิยม ท่านเป็นที่เคารพอย่างสูงของประชาชนสกลนครเช่นกัน ขณะนั้นจิตร ภูมิศักดิ์ถูกคุมขังอยู่ในคุกลาดยาว บางเขน กรุงเทพมหานคร ได้ประพันธ์เพลงสดุดีวีรกรรมให้กับครูครอง จันดาวงศ์และนายทองพันธ์ ทั้งๆที่ตัวเองก็อยู่ในคุกโดยให้ชื่อเพลงว่า “วีรชนปฎิวัติ”


จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เปิดเผยตนเองออกมาเป็นเผด็จการอย่างล้อนจ้อน
ดำรงโยบาย
3 เรียบคือ จับเรียบ ฆ่าเรียบ และเผาเรียบ

กลุ่มปกครองไทยในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มิเพียงเข่นฆ่าครูครองและคุณทองพันธ์เท่านั้น หากยังทำให้ครอบครัวของทั้งสองแตกสลายอีกด้วย บางคนเข้าป่าบางคนต้องหลบลี้ภัยไปอยู่ต่างแดน ครอบครัวของครูครองยังถูกอำนาจมืดรังควานตลอดเวลา ลูกชายคนที่สองถูกคุกคามจนอยู่ไม่ได้ ต้องลี้ภัยไปประเทศลาว ต่อมาลูกสาวคนสุดท้องก็หลบภัยไปอยู่ต่างประเทศเช่นกัน

ต่อมาวันที่ 5 มกราคม 2506 นางแตงอ่อนภรรยาครูครอง จันดาวงศ์ ถูกจับอีกครั้งพร้อมคนอื่นๆอีก 90 คน นายแตงอ่อนถูกแยกตัวออกไปขังที่อำเภอเมือง 11 วัน แล้วส่งไปขังเดี่ยวที่อำเภอโนนสังข์ 1 เดือน ต่อมานางแตงอ่อนถูกย้ายไปขังที่กองบังคับการสันติบาล กรุงเทพฯ ถูกขังลืมนานปีกว่าโดยไม่มีการสืบสวนและไม่มีการส่งฟ้อง จนกระทั่งทรราชสฤษดิ์ป่วยตาย นายวิชิต จันดาวงศ์ลูกชายได้ยื่นคำร้องต่อ พล...ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ ท้วงติงเร่งรัดดำเนินคดี ไม่นานก็ได้รับคำสั่งการปล่อยตัวพร้อมนายทองปาน วงศ์สง่า และคณะทั้งหมด

นางแตงอ่อนเมื่อถูกปล่อยตัวออกมายังถูกสายลับไปรังควานอยู่เสมอ ในที่สุดภรรยาครูครองจินดาวงศ์ตัดสินใจอำลาบ้านเกิดและญาติพี่น้องไปพำนักในต่างประเทศชั่วคราวอีกผู้หนึ่ง


 


วันที่
24 เมษายน 2505 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ได้ก่อกรรมทำเข็ญอีกรายโดยสั่งประหารชีวิตนายราม วงศ์พันธ์ ผู้เรียกร้องประชาธิปไตย

 

เกือบ 6 ปีแห่งอำนาจเผด็จการ ถูกหนังสือพิมพ์เปิดโปงตีแผ่ พฤติกรรมชั่วอันโสมมของเขาในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์แก่พรรคพวก มั่วกามโลกีย์ผิดลูกผิดเมียชาวบ้านในที่สุด ทรราชสฤษดิ์ก็ถูกลูกน้องของตนเองคือจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้สืบอำนาจเผด็จการคนต่อมายึดทรัพย์ด้วยมาตรา 13 ฐานโกงชาติโกงแผ่นดิน ยึดทรัพย์เข้าหลวงได้ถึง 3,000 ล้านบาทในสมัยนั้น!


จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ผู้มั่วกามโลกีย์ผิดลูกผิดเมียชาวบ้าน
เป็นไข้ไม่สบายจนม้ามแตกตายไปเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2506

เกือบ 6 ปีแห่งอำนาจเผด็จการ ถูกหนังสือพิมพ์เปิดโปงตีแผ่ พฤติกรรมชั่วอันโสมมของเขาในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์แก่พรรคพวก มั่วกามโลกีย์ผิดลูกผิดเมียชาวบ้านในที่สุดทรราชย์สฤษดิ์ก็ถูกลูกน้องของตนเองคือจอมพลถนอม กิตติขจร ผู้สืบอำนาจเผด็จการคนต่อมายึดทรัพย์ด้วยมาตรา 13 ฐานโกงชาติโกงแผ่นดิน ยึดทรัพย์เข้าหลวงได้ถึง 3,000 ล้านบาทในสมัยนั้น!
 

สิ้นยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจรและจอมพลประภาส จารุเสถียร ก็สืบอำนาจเผด็จการต่อ กระทั่งถูกประชาชน นักศึกษาขับไล่ เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาและประชาชนกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เมื่อ 14 ตุลาลาคม 2514 และ 6 ตุลาคม 2519 เรียกว่าเป็นวันมหาวิปโยค.
 


ประมวลจาก
หนังสือเผด็จการครองเมือง
หนังสือชุดประวัติศาสตร์ประชาชน ครูครอง จันดาวงศ์ ชะตากรรมที่เลือกไม่ได้
หนังสือเบื้องหลังการปฏิวัติ 2475
หนังสือเล่าความจริงขบวนการนักศึกษายุคต้น 2514-2519