ชื่อสามัญ Tailflower
ชื่อวิทยาศาสตร์ Anthurium andreanum
หน้าวัวเป็นไม้ตัดดอกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีราคาค่อนข้างแพง แต่หน้าวัวก็ยังเป็นไม้ตัดดอกที่อยู่ในความต้องการของตลากทั้งในและนอกประเทศ จึงเชื่อได้ว่าการเลี้ยงหน้าวัวจะมีอนาคตที่สดใส โดยธรรมชาติหน้าวัวเป็นไม้ดอกที่เจริญออกดอกได้ตลอดทั้งปี ดอกจะติดอยู่กับต้นมีความคงทนเป็นยอดนับแรมเดือน ซึ่งต่างกับไม้ตัดดอกประเภทอื่นที่มีการเจริญออกดอกเป็นครั้งคราว
ลักษณะทั่วไป
หน้าวัวจัดเป็นไม้ตัดดอกประเภทเนื้ออ่อน ลำต้นมีข้อสั้นๆ การเจริญเติบโตค่อนไปทางไม้เลื่อยเมื่อต้นสูงขึ้นเรื่อยๆ จะทิ้งใบล่าง ทำให้ลำต้นสูงพ้นเครื่องปลูก โตเต็นที่สูงประมาณ 80-100 ซม. รัศมีใบแผ่กว้าง 60-90 ซม. ใบหน้าวัวมีลักษณะรูปร่างยาวรี คล้ายรูปหัวใจ ปลายใบแหลมยาวสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวเรียวเกือบกลม ดอกหน้าวัวเกิดจากตาที่อยู่เหนือก้านใบประกอบด้วยปลี (ช่อดอก) และจานรองดอก จานรองดอกมีรูปร่างลักษณะคล้ายใบติดที่โคนปลี มีสีสันสวยงามมากมายและมีขนาดที่แตกต่างกัน เช่น สีแดง สีขาวสีชมพู และสีส้ม ปลีหรือช่อดอกคือส่วนที่แท้จริงของดอกประกอบด้วยก้านช่อ ช่อดอกส่วนโคนใหญ่ มีขนาดรอบวงประมาณ 2.5-3.5 ซม. ปลายเรียวยาว 5-10 ซม. มีดอกย่อยเล็กๆ สีเหลือง เป็นดอกสมบูรณืเพศ ระบบรากของหน้าวัวเป็นระบบรากพิเศษแตกตามบริเวณข้อลำต้น มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 มม. สีเขียวอมน้ำตาล แข็งและเหนียว
พันธุ์
ที่ปลูกกันมักเกิดจากพันธุ์ลูกผสมหลากหลายสายพันธุ์แปลกๆ ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดมากมาย สำหรับพันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์ดั้งเดิมของไทยแบ่งได้ดังนี้
พันธุ์จานรองดอกสีแดง ได้แก่ พันธุ์ดวงสมร พันธุ์จักรพรรดิ พันธุ์แดงนุกูล พันธุ์กษัตริญ์ศึก พันธุ์นครธน พันธุ์กรุงธน พันธุ์ศรีสำราญ
พันธุ์จานรองดอกสีส้ม ได้แก่ พันธุ์ผกาวลี พันธุ์ดาราทอง พันธุ์โพธิ์ทอง พันธุ์สุหรานากง พันธุ์ประไหมสุหรีพันธุ์ผกามาศ พันธุ์ผกาทอง
พันธุ์จานรองดอกสีชมพู ได้แก่ พันธุ์ศรียาตรา พันธุ์ศรีสง่า พันธุ์จักรเพชร พันธุ์ศรีเงินยวง
พันธุ์จานรองดอกสีขาว ได้แก่ พันธุขาวคุณหนู พันธุ์ขาวเศวต พันธุ์ขาวพระสังข์ศาสตร์
การปลูก
ในสัยก่อนการปลูกหน้าวัวโดยมากนิยมใช้อิฐมอญทุบให้ละเอียดเป็นก้อนเล็ดๆ เพียงอย่างเดียว หรือใส่ปุ๋ยเสริมอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของหน้าวัว ต่อมาได้มีการทดลองไช้วัสดุอื่นๆ มาแทนเครื่องปลูกให้กับต้นหน้าวัว เช่น อิฐมอญทุบ + ใบก้ามปู + มูลเป็ด (1:2:1) ใบก้ามปูแห้ง + มูลเป็ด (5:1) เปลือกถั่ว + ปุ๋ยคอก (5:1) ขี้กบ + มูลเป็ด (5:1) หรืออิฐมอญอย่างเดียว การปลูกลงแปลงนั้นก่อนปลูกควรขุดดินให้ลึกประมาณ 1 ฟุต แล้วใส่ขี้เถ้าแกลบ 1/2 ฟุต จากนั้นให้ใส่เครื่องปลูก ถ้าปลูกในกระบะอาจก่อด้วยอิฐมอญหรือซีเมนต์บล็อกกว้าง 1.80 เมตร ยาวตามความต้องการ ปูพื้นด้วยขี้เถ้าแกลบหรือทราย แล้วใช้อิฐวางตามยาวในแนวตั้ง เพื่อเก็บความชื้นและระบายน้ำได้ดี การให้น้ำ หน้าวัวเป็นไม้ตัดดอกที่ต้องการความชื้นสูง ปกติจะรดน้ำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและเย็น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมด้วย ถ้าโรงเรือนพรางแสงได้มาก เครื่องปลูกเก็บความชื้นดี หรืออากาศไม่ร้อนอาจรดนำเพียงครั้งเดียวก็พอ แต่ถ้าวันใดมีอากาศร้อนจัควรให้นำเพิ่มอีกครั้งหนึ่งในตอนกลางวัน สำหรับการใส่ปุ๋ย นักเลี้ยงหน้าวัวไม่ค่อยเห็นความสำคัญมากนัก แต่การให้ปุ๋ยเสริมทำให้หน้าวัวมีการเจริญเติบโตดี และมีดอกขนาดใหญ่ ปุ๋ยที่ใส่คือปุ๋ยสูตร 16-21-27 ,13-13-20 ละลายน้ำให้ความเข้มข้นเจือจางอัตราส่วน 1 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วฉีดพ่นทางใบประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือใช้สูตร 13.5-27.27 ,16-21-27 แสงแดดก็นับว่าอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของหน้าวัว กล่าวคือถ้าหน้าวัวได้รับแสงแดดมากเกินไป และมีความชื้นลดลงจะแสดงจะแสดงอาการผิดปกติคือขอบใบแห้ง แผ่นใบเหลือง จานรองดอกเหี่ยวอ่อนเห็นได้ชัดฉะนั้นโรงเรือนควรตีไม้ระแนงห่างกัน 6 นิ้ว จะพรางแสงได้ประมาณ 70 % แต่ถ้าหน้าร้อนมีแสงแดดจัด ควรหาวัสดุพรางแสงเพื่อลดแสงแดดที่จัดให้น้อยลง
การขยายพันธุ์
หน้าวัวสามารถขยายพันธุ์ได้ 2 ประเภท คือ การตัดยอดต่างๆ และการเพาะเมล็ด
การตัดยอด เป็นวิธีที่ง่ายและนิยมปฏิบัติกันมาก เมื่อลำต้นหน้าวัวสูงเหนือระดับเครื่องปลูกพอสมคสร และมีรากอย่างน้อย 2-3 ราก หรือมีอายุเกิน 1 ปี ซึ่งมีรากยาวพอที่จะยึดเกาะติดกับเครื่องปลูกและหาอาหารได้การตัดยอดควรให้มีใบเหลือทิ้งไว้กับต้นตอเดิมประทาณ 2-3 ใบ เพื่อช่วยสร้างอาหาร แผลบริเวณรอยตัดควรทาด้วยกำมะถันผง ยากันเชื้อรา หรือปูนแดง เพื่องป้องกันไม่ให้เชื้อราเข้าทำลาย จากนั้นให้รดน้ำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง หน้าวัวจะเริ่มแตกใบอ่อนและดอกระยะนี้ควรเด็ดทิ้งแล้วปล่อยไว้จนกว่าต้นหน้าวัวสมบูรณ์แข็งแรงดีเสียก่อนจึงปล่อยให้มีดอกที่เกิดใหม่ได้
การเพาะเมล็ด โดยปาตินักเลี้ยงหน้าวัวต้องการปรับปรุงพันธุ์ให้ดีขึ้นและได้พันธุ์ที่แปลกใหม่ ภาชนะที่ใช้เพาะควรมีปากกว้างพอประมาณ ระบายน้ำได้ดี เมื่อเตรียมภาชนะที่ต้องการแล้วให้ใช้อิฐมอญละเอียดขนาด 1/8-1/4 นิ้วร่อนให้สะอาด แช่น้ำหรือรดน้ำให้ชุ่ม เติมใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ให้ต่ำกว่าขอบประมาณ 1 นิ้ว ภาชนะนั้นต้องมีจานรองก้นและหล่อน้ำไว้ให้เต็มเพื่อเก็บรัษาความชื้น แล้วนำเมล็ดที่สะอาดวางไว้บนอิฐมอญห่างกันประมาณ 1-3 ซม. แล้วรดน้ำอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นใช้แผ่นกระจกใสหรือผ้าพลาสติกใสคลุม เมล็ดหน้าวัวจะงอกหลังจากเพาะแล้วประมาณ 10-15 วัน
โรคและแมลง
โรคใบแห้ง เกิดจากเชื้อรา Phytophthora sp. เชื้อราชนิดนี้ชอบความชื้นสูง โดยเฉพาะในฤดูฝน เราอาจพบเชื้อสปอร์ของเชื้อรามีลักษณะเป็นขุยสีขาวเกิดขึ้นตามบริเวณขอบรอยแผล ลักษณะอาการ ระยะเริ่มแรกเป็นจุดช้ำเล็กๆ สีเขียวหม่น รอยแผลจะขยายไปเรื่อยๆ จนเป็นแผลขนาดใหญ่และเน่าเป็นสีน้ำตาลและแห้งกรอบ ถ้าสภาพอากาศไม่ชื้นพอ ดอกหรือหน่อที่เกิดใหม่จะถูกเชื้อราชนิดนี้เข้าทำลายเหี่ยวแห้งจนกระทั่งเน่าตาย การแพร่ระบาด สปอร์ของเชื้อราจะแพร่ไปตามน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่ใช้รดหรือน้ำฝน หรือปลิวไปตามกระแสลม การป้องกัน ควรฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น สารเคมีไดโฟลาเทน 80 อยู่เสมอ โดยเฉพาะในฤดูที่มีฝนตกชุก เนื่องจากสารเคมีชนิดอื่นใช้ไม่ได้ผล นอกจากนี้ยังพบโรคแอนแทรกโนส โรคใบด่าง โรคใบจุด โรครากเน่า และโรคยอดเน่าอีกด้วย
หอยทาก เป็นศัตรูที่สำคัญ เนื่องจากหน้าวัวเป็นพืชที่ชอบอยู่ในที่ร่มและต้องการความชื้นสูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปลูกหรือสถานที่วาง การเข้าทำลายของหอยทากมักชอบกัดกินใบและดอกหน้าวัว ทำให้ส่วนนั้นแหว่งเว้าเสียรูปทรง ปกติแล้วหอยทากจะเข้าทำลายในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะหลบซ่อนตัวตามซอกอิฐ การป้องกัน เมื่อพบควรเก็บทิ้ง อย่าทุบภายในโรงเรือน เพราะตัวเต็มวัยอาจมีลูกตัวเล็กๆ อยู่ หรือใช้ปูนขาวโรยบริเวณก้นกระถางหรือรอบๆ รังเพื่อให้หอยทากออกจากรังแล้วเก็บไปทำลายหรือใช้แคลเซียมคลอไรด์ผสมกับน้ำอัตราส่วน 80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ราดบริเวณที่หลบซ่อน เพื่อให้ออกจากที่ซ่อนแล้วจับทำลายให้หมด
ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่http://web.ku.ac.th/agri/rosecow