คนปางแดง ปางตาย เซ่นนโยบายการจัดการป่าของรัฐ
โดย อาทิตย์ สุวรรณมุสิกะสมร
 
 
 

 
รุ่งเช้าวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2547 ก่อนตะวันจะโพล่ขอบฟ้า ทุกชีวิตในหมู่บ้านปางแดงนอก ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ กว่า 300 คนไม่มีใครหยั่งรู้ชะตากรรมของตนเองเลยว่า กำลังตกเป็นเหยื่ออำนาจรัฐครั้งใหม่อันน่ากลัว การดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติ คนหนุ่มสาวเตรียมลงไร่ลงสวนดูแลพืชผลช่วงฤดูฝนที่ตกชุกเป็นพิเศษ คนเฒ่าคนแก่เข้าครัวหุงหาอาหาร เด็กน้อยวิ่งเล่นเตรียมแต่งชุดนักเรียนไปเรียนหนังสือ

            ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครเห็นดวงตาของหมาป่ากว่า 200 ตัว พวกมันเฝ้ามองฝูงแกะอย่างใจเย็น

เวลา 05.30 น.ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจประกอบด้วยหน่วยงาน 11 หน่วย คือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเชียงดาว , เจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังผาเมือง , ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงดาว , เจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวนชายแดนที่ 335  กำกับ ตชด. 33 , เจ้าหน้าที่ป่าไม้สังกัดสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 16 , เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม , เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันรักษาป่าที่ 6 เชียงใหม่, เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ 1 ลำพูน, เจ้าหน้าที่หน่วยประสานป้องกันรักษาป่า(นปป.ประจำเชียงใหม่ที่ 1) , เจ้าหน้าที่ตำรวจป่าไม้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ , เจ้าหน้าที่สายตรวจเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทรัพยากรป่าไม้สายที่ 1 (ภาคเหนือ) เข้าปฏิบัติการณ์สนธิกำลังประมาณ 200  นายเข้าปิดล้อมหมู่บ้านปางแดงนอก หมู่ที่ 9 (ทุ่งหลุก) และหมู่ที่ 11 (แม่เตาะ) รวม 3 หย่อมบ้าน เข้าจับกุมชาวบ้านเผ่าลาหู่ ปะหล่อง ลีซูและคนพื้นราบ รวม 48 คนเป็นชาย 34 คน หญิง 14 คน  ขณะที่ชาวบ้านบางคนนอนหลับอยู่ บางคนเพิ่มตื่นนอน  บางคนกำลังทำธุระส่วนตัว หุงข้าว และบางคนเตรียมออกไปรับจ้าง

ชุดปฏิบัติการณ์อันมีรถกะบะ  รถหกล้อ  รถสำหรับขังนักโทษเป็นจำนวนมากประมาณ 50 กว่าคันเข้ามาปิดล้อมทั้งหมู่บ้านโดยมีอาวุธครบมือและประกาศตามโทรโข่งว่า อย่ากลัว ไม่เป็นไร  อย่างหนี มาจับคนต่างด้าว ขอให้นำหลักฐานเอกสารมาแสดง  เอาบัตรประชาชนทะเบียนบ้านออกมา  บอกว่าจะพาไปประชุมอบรมที่โรงเรียนบ้าง  ไปรับแจกผ้าห่มบ้าง  ไปสอบปากที่อำเภอบ้าง  แล้วจะพากลับมาส่งที่บ้าน   มีการจัดชุดปฏิบัติการ กระจายไปตามหย่อมบ้าน บ้านละ 4 คน 2 คนขึ้นไปบนบ้าน  อีก 2 คน เอาปืนสงครามคุมอยู่นอกบ้าน  ให้เจ้าบ้านนำหลักฐานบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านมาแสดง  เอาหมายเลขให้เจ้าของบ้านถือแล้วถ่ายรูป แล้วกวาดต้อนขึ้นรถที่เตรียมไว้ (รถทหาร,รถตำรวจ,รถป่าไม้และรถอื่นๆ อีกมากมาย) บางคนถูกลากตัวออกจากที่นอนเพื่อให้ถือหมายเลขแล้วถ่ายรูป บางคนไม่อยากไปก็ถูกทำร้ายตบตี เตะ บางคนวิ่งหนีลงแม่น้ำเกือบจมน้ำตาย เสียงลูกเด็กเล็กแดงร้องหาพ่อแม่ร้องดังระงมไปทั่ว

เมื่อมาถึงที่ว่าการอำเภอเชียงดาว  เจ้าหน้าที่ก็ให้กินข้าวเช้า โดยมีเจ้าหน้าที่ล้อมไว้ตลอดเวลา ถ้าใครอยากจะไปเข้าห้องน้ำ ก็มีเจ้าหน้าที่ตามประกบไปด้วย จากนั้นบังคับให้ชาวบ้านพิมพ์ลายนิ้วมือ โดยไม่รู้ว่าเอกสารมีข้อความว่าอย่างไร  แล้วนำไปขังไว้ในห้องขังที่สถานีตำตรวจภูธรอำเภอเชียงดาว  พร้อมแจ้งข้อหาว่าบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าเชียงดาว  รวม 54 คดี  แต่ชาวบ้านทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา  ขอให้การในชั้นศาล และยังสับสนชุลมุนไม่เข้าใจในพฤติกรรมอันเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐในครั้งนี้

เมื่อครบเวลา 48 ชั่วโมง แล้วพนักสอบสวนได้นำตัวผู้ต้องหามาขออำนาจศาลฝากขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ ชาวบ้านทั้ง 48 คนก็ไม่สามารถประกันตัวเองได้ เพราะฐานะยากจนอนาถาหาเช้ากินค่ำ

นี่ไม่ใช่ ครั้งแรกที่ชาวบ้านปางแดงถูกกลั่นแกล้ง ชาวบ้านยืนยันว่า เมื่อประมาณปี 2524 กรมป่าไม้ได้ย้ายชาวบ้านปะหล่อง ลงมาจากบ้านนอแล อ.ไชยปราการ เพื่อมาปลูกป่าในพื้นที่สวนป่าและให้ทำกินในพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่มีการอพยพหรือขับไล่ออกไปจากพื้นที่แต่อย่างใด หากแต่เมื่อไหร่ที่รัฐมีนโยบายปราบปรามจับกุม หรือหาแพะข้อหาบุกรุกทำลายป่าเมื่อไหร่ พวกเขาย่อมตกเป็นเหยื่อทุกคราวไป

ทันทีที่รัฐประกาศปิดป่าหลังจากน้ำท่วมใหญ่ที่กระทูน นครศรีธรรมราช ในปี 2532 ชาวปะหล่อง(ดาระอั้ง) บ้านปางแดงก็ถูกจับครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2532 ซึ่งในครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่า “ไปประชุม” แล้วก็จับผู้ชายยกหมู่บ้านทั้ง 29 คนถูกแจ้งข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ศาลสั่งตัดสินจำคุก 5 ปี 9 เดือน ปล่อยให้เด็ก ผู้หญิงและคนแก่ เผชิญชะตากรรมที่ไม่รู้อนาคตไว้ในหมู่บ้าน โดยไม่มีผู้นำครอบครัวและหวาดกลัวในชะตากรรมที่แขวนไว้บนเส้นด้ายบางๆ

เก้าปีต่อมา หลังจากนโยบายการจัดป่าของรัฐ สร้างความขัดแย้งกับชาวบ้านที่ทำกินในเขตป่าทั่วประเทศ ความพยายามของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ขณะนั้นเพื่อยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่เกิดจากการเจรจาระหว่างสมัชชาคนจนกับรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 17 และ 29 เมษายน 2540 กรณีปัญหาป่าไม้และที่ดินในเขตป่าระหว่างการชุมนุม 99 วัน ที่ทำเนียบรัฐบาล

เช้าวันที่ 26 มีนาคม 2541 พวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อครั้งที่สอง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจป่าไม้ อส.ราว 120 คนพร้อมอาวุธครบมือบุกจับชาวบ้านปางแดงนอก ทั้งปะหล่อง ลาหู่ ลี่ซูและคนเมืองชุมชนใกล้เคียงรวม 56 คน สถานการณ์ครั้งนี้นั้น มีความพยายามประโคมข่าวอย่างครึกโครมว่าชาวเขาเผาทำลายป่า กระทั่ง นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น ขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาดูสถานการณ์ตรวจพื้นที่ก่อนการจับกุมไม่กี่วัน ภายหลังจากหน้าที่ป่าไม้ประกาศจะผลักดันให้หมดภายใน 15 วัน (นายวรวิทย์ เชื้อสุวรรณ์ ป่าไม้เขตเชียงใหม่ สัมภาษณ์ไทยนิวส์ 2 เมษายน 2541)

ชาวบ้านที่ถูกฟ้องคดีทั้งหมด ถูกพิพากษาลงโทษข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และให้เนรเทศออกนอกประเทศ ข้อหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตาม พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522

หากแต่สถานการณ์บ้านปางแดง หลังการจับกุม ปี 2541 ได้สร้างกระแสการต่อสู้ด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับชนเผ่าและชาติพันธุ์และปัญหาป่าไม้ในประเทศและระดับนานาชาติอย่างกว้างขวาง  จนในที่สุดกรมป่าไม้ก็ยอมรับการอยู่ด้วยกันระหว่างคนกับป่าที่บ้านปางแดง ดังจะเห็นได้จาก คำสั่งสำนักงานป่าไม้เขตเชียงใหม่ที่ 831/2542 เรื่อง กำหนดโครงสร้างบริหารและผู้รับผิดชอบปฏิบัติงานโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติป่าเชียงดาว(บ้านปางแดง) ลุ่มน้ำแม่เตาะ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2542 โดยนายบุญชนะ กลั่นคำสอน ป่าไม้เขตเชียงใหม่ โดยอ้างว่า

“ด้วยกรมป่าไม้ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ กษ 0701.4/10381 ลงวันที่ 30 เมษายน 2542 อนุมัติให้ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติงาน งานพัฒนาป่าชุมชนประจำปี 2542 (เพิ่มเติม) พื้นที่เป้าหมายหมู่บ้านภายในเขตลุ่มน้ำแม่เตาะ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ การปฏิบัติเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นของตนเอง”

จึงได้นำเสนอแผนต่อที่ประชุมคณะทำงานพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินป่าไม้ของชุมชนในท้องที่สำนักงานป่าไม้เขตเชียงใหม่ ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบและให้ปฏิบัติงานภายใต้ “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเชียงดาว(บ้านปางแดง) ลุ่มน้ำแม่เตาะ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน” โดยให้นายบุญชนะ กลั่นคำสอน ป่าไม้เขตเชียงใหม่ทำหน้าที่หัวหน้าโครงการและ นายวิริยะ ช่วยบำรุง หัวหน้าฝายส่งเสริมการปลูกและบำรุงป่า ทำหน้าผู้ช่วยหัวหน้าโครงการฯ

ห้าปีต่อมาเค้าลางแห่งหายนะของแพะปะหล่องผู้รับรับบาปก็มาเยือนอีกครั้ง

เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือ เรื่อง “การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 ที่ทำเนียบรัฐบาล     ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผล การหารือสรุปได้ดังนี้

สืบเนื่องจาก การรายงานการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้มีปริมาณมากขึ้น จากเดิมที่เคยมีถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ซึ่งเป็นเป้าหมายในการรักษาพื้นที่ป่าไม้ให้คงอยู่ ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้มีเพียงร้อยละ 32 โดยมีสาเหตุจากการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเป็นผลมาจาก การดำเนินการปฏิรูปที่ดินตามนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนของรัฐบาล ที่มีกลุ่มคนฉกฉวยโอกาสดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ดังนั้น นายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้ จึงเห็นควรให้มีการหารือในเรื่องดังกล่าว เพื่อดูแลควบคุมให้พื้นที่ป่าไม้เป็นระเบียบทั้งระบบ และเพื่อป้องกันการบุกรุกป่าไม้ โดยยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นหลัก และเน้นย้ำ ให้ประชาชนมีที่ดินทำกินอย่างเพียงพอ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีทรัพยากรธรรมชาติอย่างพอเพียง

นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเห็นควร ให้นำปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้เป็นวาระแห่งชาติ และเพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีประสิทธิภาพ จึงควรรวมคณะทำงานหรือคณะสั่งการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เป็นหนึ่งเดียวกัน รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งประชาคมเอกสารสิทธิ์แห่งชาติ เพื่อระดมสมองหาทางวางรูปแบบเอกสารสิทธิ์ที่ดินทั่วประเทศ ภายใต้หลักการว่าที่ดินในประเทศไทยทุกตารางนิ้วจะต้องมีเจ้าของและมีโฉนด รัฐจะทำหน้าที่เป็นเจ้าของที่ดินสาธารณะ และที่ดินที่ไม่มีเจ้าของในปัจจุบัน โดยรัฐจะเป็นผู้จัดสรรให้กับบุคคลต่างๆ ที่มีความประสงค์จะใช้ที่ดินทำกิน ...

สำหรับ การปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้น นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าควรจะมีการออกกฎหมายใหม่หรือไม่ โดยกฎหมายดังกล่าว จะมีความหมายกว้างๆ และมีศักดิ์ทางกฎหมายเหนือกว่ากฎหมายที่ดิน เพื่อให้การแก้ไขปัญหา ดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ภายใต้หลักการที่ชัดเจนว่า ที่ดินจะเป็นเครื่องมือทำมาหากินให้แก่ คนที่จดทะเบียนและขออย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เป็นสินค้าที่มีซื้อขายกัน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ ว่าภายในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีการดำเนินคดีการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้กับใครบ้าง หากเป็นประชาชนบุกรุกเพื่อทำเป็นที่ดินทำกิน ก็เห็นควรให้ดำเนินคดีอย่างมีเมตตาธรรม แต่หากเป็นการบุกรุกเพื่อพื้นที่ดังกล่าวไปเป็นสินค้าที่มีการซื้อขาย ก็เห็นควรให้ดำเนินคดี อย่างเคร่งครัด”

ดังนั้น ปฏิบัติการเมื่อวันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2547 จึงเกิดขึ้นอย่างมีการวางแผนและเป็นกระบวนการเพื่อเชือดแพะอีกครั้งหนึ่ง สนองนโยบายรัฐโดยอ้างว่า “ชาวบ้านบุกรุกป่าเพื่อนายทุน”

จากสถานการณ์ข้างต้น จะเห็นว่าได้การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 11 หน่วย กระทำเกิดกว่าเหตุและไม่เป็นธรรมต่อชาวบ้านที่ถูกจับกุมทั้ง 48 คน ดังต่อไปนี้

1.การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 48 คนครั้งนี้ ถือว่าเป็นการจับกุมมิชอบ เพราะไม่มีการขออำนาจศาลออกหมายจับตามหลักฉบับรัฐธรรมนูญปัจจุบัน มาตรา 237 และ 238 โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้อ้างว่าชาวบ้านกระทำผิดซึ่งหน้า ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14

ข้อหา “ก่นสร้างแผ้วทางเผาป่าทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า ยึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตและยึดถือครอบครองทำประโยชน์อยู่อาศัยในที่ดินก่อสร้างแผ้วถางเผาป่าหรือทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนโดยไม่ได้รับอนุญาต”

และการสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร(กองกำลังผาเมือง) มาร่วมจับกุม ก็เพื่อจะใช้กฎอัยการศึกตามแนวตะเข็บชายแดนประกอบการจับกุม ข้อเท็จจริงความผิดซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80 “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น  ได้แก่ความผิด ซึ่งเห็นกำลังกระทำ หรือพบในอาการ ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้วสดๆ”

ซึ่งข้อเท็จจริงในพื้นที่พบว่าชาวบ้านตั้งบ้านเรือนอย่างถาวร มีการตัดถนนคอนกรีตผ่านหมู่บ้าน มีการจัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ ตั้งโรงเรียนก่อนปี 2527 มีการพัฒนาสาธารณูปโภค การประปาไฟฟ้าในหมู่บ้าน การฉีดมาเลเรีย บริเวณรอบๆ หมู่บ้านมีการออกโฉนด นส.3 สปก.4-03 เต็มพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ย่อมมีการลาดตระเวณ แลพื้นที่ตลอดเวลา ย่อมทราบดีชาวบ้านสร้างถิ่นฐานบ้านเรือนทำกินมานานแล้ว

2.เจ้าหน้าที่ป่าไม้ อ้างว่า “ชาวบ้านบุกรุกถางป่าเพื่อขายที่ให้นายทุน” จึงต้องเข้าจับกุม ข้อกล่าวนี้มีเจ้าหน้าที่มีข้อมูลอยู่แล้ว ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็น “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเชียงดาว(บ้านปางแดง) ลุ่มน้ำแม่เตาะ โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน” มีทั้งการส่งเสริมทำการเกษตรตามแนวกรมป่าไม้เก่า คือ โครงการ Food Bank มีเจ้าหน้าที่ดูแลและวิถีชีวิตชาวบ้านก็อยู่ภายใต้การควบคุมอยู่แล้ว ไม่มีการขยายพื้นที่เพิ่มเติม ชาวบ้านโดยอาศัยพื้นที่สร้างบ้านเรือน แต่มีอาชีพรับจ้างรายวันอยู่นอกพื้นที่

3.การจับกุมครั้งนี้ ยังถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ เพราะพื้นที่ที่ทางการปักป้ายว่าเป็นพื้นที่ป่ามีเนื้อที่มากกว่าที่ถูกจับอีกหลายกิโลเมตร แต่เลือกจับเฉพาะคนจนชนเผ่า ขณะที่กลุ่มนายทุนบุกรุกป่าของรัฐไม่ว่า นายทุนทำสวนส้ม นายทำรีสอร์ต สนามกอล์ฟ สปา โฮมสเตย์ และอื่นๆ ยังไม่เจ้าหน้ารัฐคนไหน ทั้งตำรวจ ทหาร ป่าไม้ ฉก.ทั้งหลาย กล้าจัดชุดจับกุมแม้แต่รายเดียว

การจับกุมชาวบ้านปางแดงซ้ำซาก ครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นนี้ มิต่างอะไรกับจับปลามาใส่อ่าง วันไหนไม่อะไรกิน ก็หากินกับคนไม่มีทางสู้ แม้ว่ารัฐบาลมีนโยบายลงทะเบียนคนจน เอาพื้นที่ป่าสงวนมาจัดที่ทำกินให้คนจน นโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนอันสวยหรู ดูเหมือนแพะที่ปะหล่องและชนเผ่าที่ปางแดง อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์การช่วยเหลือจากนโยบายรัฐทั้งมวล

20 ปีแห่งความล้มเหลวนับจากชาวบ้านตั้งถิ่นฐานที่นี้ พวกเขาเป็นเสมือนเหยื่อแห่งล้มเหลวจากนโยบายการจัดการป่าของรัฐ ที่ไม่เคยสรุปบทเรียนด้วยการกระทำอันป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานต่อไป

 
ติดต่อเราได้ที่>> thaifriendforum@yahoo.com

เนื้อหาทั้งหมดในเวปนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ของผู้เขียนในฐานะปัจเจกชน
หาได้เป็นความเห็นโดยรวมของกลุ่ม Thai Friend Forum ไม่