สมัยผมเป็นเด็กวัยรุ่นก็ตื่นเต้นกับมันมาก ผมกับเพื่อนๆหลายคนก็พากันโดดเรียน
ไปแจมไปดิ้นกับรุ่นพี่เป็นประจํา แต่พี่ตุ่ยมักจะออกมาตักเตือนอยู่บ่อยๆว่า
"ถ้ามึงอยากจะเล่น Rock มึงต้องเข้าใจ Blues ก่อน และถ้ามึงจะเข้าใจ
Blues ได้ มึงจะต้องรู้ซึ้งถึงความทุกข์...."
ศิลปินที่เล่นบลูส์แบบ "ช้างตกมัน" ในช่วงแรกๆของการบันทึกเสียง
(1920s-1950s) ที่หาฟังกันได้ก็จะมี Robert Johnson, Muddy Waters, Mead
"Lux" Lewis, Chuck Berry, Little Richard, และ Bo Diddley
ศิลปินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนผิวดําทั้งนั้น
ทําให้สังคมอเมริกัน (ซึ่งเป็นสังคมเหยียดผิวในขณะนั้น) รับไม่ได้ และจําต้องพยายามหานักร้องฝรั่งอย่างเช่น
Elvis Presley, Pat Boon, Jerry Lee Lewis, Bill Haley มาเสียบมาร้องแทน
แม้ว่าเพลงที่นํามาขับร้องนั้น จะเป็นเพลงของศิลปินผิวดําแทบทุกเพลงก็ตาม
(คงเหมือนกับบ้านเราในช่วงหนึ่ง ที่จะต้องมีนักร้องเป็น"ลูกครึ่ง"
ละกระมัง)
ในช่วง 1950s นั้น แม้ว่าวัยรุ่นมะกันจะรับศิลปินผิวดําไม่ได้ก็ตาม เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรแอ็ดแลนติก
กําลังบ้าคลั่งกับศิลปินผิวดําเป็นจํานวนมาก จนทําให้เกาะอังกฤษนั้นกลายเป็นจุดกําเนิดของวง
Rock กันหลายวง และที่ออกจะมีชื่อเอามากในช่วง 1960s ก็คือ The Beatles และ
The Rolling Stones
วงคนตรีทั้งสองนี้แตกต่างจากนักร้องอย่าง Elvis Presley หรือ Pat Boon ตรงที่
พวกเขาสามารถแต่งเพลงเองได้ และทําให้เกิดกระแสใหม่หลายอย่างในเพลง
Rock อย่างเช่นการใช้กีต้าร์ "เสียงแตก"(Distortion) เพื่อสร้างนํ้าหนักและตอบสนองวิญญาณกบฎ
ของเด็กรุ่นใหม่ The Beatles และ The Rolling Stones สามารถเข้าถึงวิญญาณที่แท้จริง
ของเด็กวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาได้ดีกว่าศิลปินมะกันอย่าง Elvis Presley ซึ่งเลือกที่จะอยู่ฝ่ายรัฐบาล
(อย่างการยอมเข้าเกณฑ์ทหาร) นอกจากนั้นแล้วเพลงของ The Beatles สมัยปลายปี
1960s ยังมีเรื่องกบฎการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสียด้วย อย่างเช่นเพลง "Back
in the USSR" และ "Revolution" ซึ่งทําให้ John
Birch Society ในสหรัฐต้องออกมาประกาศว่าวง The Beatles นั้นเป็นวง "คอมมิวนิส"
ไม่เหมาะสมสําหรับเยาวชน (ฮา)
พอถึงยุค 1970s กระแสของวง Rock จากเกาะอังกฤษก็ยิ่งกําเริบหนักโดยมีวงใหม่ๆอย่าง
The Who และ Led Zeppelin มาร่วมแจมด้วยทําให้ตลาดบันเทิงในสหรัฐเต็มไปด้วยศิลปิน
Rock จากอังกฤษ จนเรียกได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้อย่างใหญ่หลวงของวงการเพลงสหรัฐในการตอบสนอง
ความต้องการของคนรุ่นใหม่ เหมือนกับจะเป็นข้อเตือนให้เห็นว่า การเหยียดผิว
ไม่ยอมรับศิลปินผิวดําของตน หรือการ "White Wash" ศิลปินดังกล่าวโดยใช้
Elvis หรือ Pat Boon นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน และทําให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่
กับวงการบันเทิง
เรื่องสุดท้ายที่ขาดไม่ได้จากประวัติของดนตรี Rock ก็คือเรื่องเซ็กซ์ ผมยังจําได้ถึงเมื่อคราวเริ่มแตกหนุ่ม
ได้ไปชม concert ของศิลปินสาวท่านหนึ่ง
ทําไมเพลง Rock จึงมีเรื่องเซ็กซ์เจอปนอยู่มากนั้น เราคงต้องไม่ลืมว่า จริงๆแล้วเพลง
Rock ก็คือเพลง Blues แบบ "ช้างตกมัน" นั่นเอง ในเพลงบลูส์นั้นเรื่องเซ็กซ์มักจะเป็นเรื่องที่ขับร้องกันได้เป็นของธรรมดา
เพราะมันเป็นคนตรีของชนชั้นล่าง แล้วชนชั้นล่างที่เป็นทาสหรือคนจนในสังคมมะกัน
เขาจะมีทางเลือกหรือทางออกในแง่บันเทิง อะไรได้เล่า นอกจากการเขย่าเคล้าคลึงกันบนเตียง
อย่างที่เคยมีคํากล่าวไว้ว่า "Bed is a poor man's grand opera"