ศึกหนักของทาทา
โดย สาวข่าวซานฟราน วันที่ 2 มีนา 2547
 



" หากหญิงใดใฝ่เซ็กซ
์
หรือถูกจับได้ว่า กำลังช่วยตัวเองอยู่
หญิงนั้น ก็อาจถูกตัด
clitoris ได้... "


 
 


... เพลง
ใหม่ของทาทา ที่ชื่อว่า
“Sexy, Naughty, Bitchy Me” จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรนัก เพราะเป็นลูกผสมของเพลง Material Girl ของ Madonna กับเพลง Bitch ของ Meredith Brooks และทำนอง และสไตล์การร้องแบบ Britney Spears

แต่สามารถดึงดูดทั้งคำชมและคำประนาม จากคนไทยมากมายได้ทางเวปบอร์ดและอีเมล์

ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในชมรมคนเกลียดทาทา ยัง  ได้แปลคำร้องของเพลงใหม่ของทาทา ไว้ได้แสบคัน อย่างท่อนหนึ่งที่ทาทาร้องว่า

“When I'm out with my girls I always play a bit bitchy                          
 Can't change the way I am sexy naughty bitchy me                                

เขาแปลว่า….“เวลาฉันออกไปเที่ยวฉันมักจะทำตัวอีดอกหน่อยๆ    มันเปลี่ยนไม่ได้หรอกความเซ็กซี่ เจ้าชู้ ด_กทอง ในตัวฉัน”

หยอดความลำเอียงของผู้แปลไปนิดนิด บวกกับความอนุรักษ์นิยมเข้่าไปอีกหน่อย การวิจารณ์เพลงของเขา จึงฟังดูทะแม่งๆ สำหรับเด็กรุ่นใหม่อย่างเรา 

ทำไม  ทาทา ถึงเลือกที่จะร้อง หรือแต่งเพลงที่มีเนื้อความส่อไปในทางต่อต้านสังคมเล่า ผู้อ่านอาจจำได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ทาทาถูกกระแสต่อต้าน เมื่อหล่อนไปเจ๊าะแจ๊ะกับเจ้าบอล นักเทนนิสมือหนึ่งของไทย นอกจากนี้ก็มีกระแสต่อต้านต่างชาติหรือคนเชื้อต่างชาติทั่วไปที่ทักษิณกระพือขึ้นมา ทำให้สาวไทยไม่เต็มร้อยอย่าง “ทาทา” ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก จึงไม่แปลกที่เธออยากจะสวนกลับและพยายามสร้างกระแสใหม่ในหมู่วัยรุ่นไทยด้วยเนื้อร้องที่ว่า…

People think it's intimidating                                                  
when a girl is cool with her sexuality                                          
I'm 180 to the stereotype girls like staying home                              
and being innocent          

อย่างที่ทาทาแนะไว้ในเพลงว่า ผู้หญิง(ไทย)ตามมาตรฐานซึ่งเป็นประเภทเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้นั้้น เป็นสิ่งที่ไม่เก๋เท่าใดนัก ต้องกล้าแสดงออกทางเซ็กซ์อย่างเธอสิ ถึงจะเท่ห์

เห็นได้ชัดว่าทาทากำลังทำศึกหนักกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมในสังคมไทย ที่มีผู้นำคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม การแสดงออกอย่างเปิดเผยของผู้หญิงไทยเป็นสิ่งที่สังคมโดยส่วนรวมยังยอมรับไม่ได้ เพราะมันขัดกับภาพของหญิงไทยในอุดมคติ ที่พวกเราถูกป้อนใส่ไว้ในจิตใต้สำนึกตั้งแต่ยังเล็กๆ โดยผ่านทางกระบวนการศึกษา และ สื่อ ละครต่างๆ

หญิงไทยในอุดมคติ ผู้ซึ่งมีกิริยางดงาม เงียบ เรียบร้อย นั่งร้อยมาลัยอย่างแม่พลอย
หญิงผู้ซึ่งรักษาพรหมจารีย์อันบริสุทธิ์ของเธอเอาไว้ รอวันที่ผู้ชายที่เลือกเธอได้มาเด็ดดม

ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่ชอบแสดงออกด้วยการเปิดตรงนั้น โชว์ตรงนี้ ต้องการเซ็กซ์ มักถูกประณามด้วยคำหยาบคายหลายประเภท (ที่มักเกี่ยวกับดอกไม้)

……….เราได้รับวัฒนธรรมอนุรักษ์นิยมนี้มาจากไหน?………………

สมัยโบราณ การโชว์เต้าของหญิงไทย คงเป็นเรื่องปกติเพราะเราไม่ได้มีวัฒนธรรมการใส่เสื้อ จนเมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 นั่นแหละหญิงไทยจึงเริ่มใส่ผ้าแถบ (ซึ่งสมัยนี้เรียกว่า เกาะอก) จากวันนั้นถึงวันนี้ อวัยวะของผู้หญิงกลายเป็นสิ่งที่ต้องปกปิด เพราะถ้าเปิดออกมา ผู้หญิงคนนั้นมักถูกตราหน้าว่าไร้ค่า และเป็นของต่ำ

อันที่จริงแล้ว วัฒนธรรมที่ถูกพัฒนาขี้นมาและยึดถือจนมาถึงปัจจุบันนี้ เป็นการตามก้นฝรั่งสมัย Victorian (1839-1901) ซึ่งเน้นการใส่เสื้ออย่างมิดชิด เพราะนางในอุดมคติของ Victorian Culture นั้น คือ พระแม่มารี ผู้ซึ่งเป็นสาวบริสุทธิ์

ภายใต้้วัฒนธรรมแบบ Victorian นั้น ผู้หญิงจะต้องไม่มีเซ็กซ์ ยกเว้นเวลาวางแผนจะมีลูกกับสามี คุณค่าของผู้หญิงก่อนแต่งงานอยู่ที่ความเป็นพรหมจารีย์ของเธอ และหลังแต่งงานเธอจะร่วมเพศกับสามีได้ก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น หากหญิงใดใฝ่เซ็กซ์ หรือช่วยตัวเองทางเซ็กซ์หญิงคนนั้นก็จะถูกตราหน้าว่าไร้ศีลธรรมและเป็นโรคจิต และหากผู้หญิง Victorian คนไหนถูกจับได้ว่ากำลังช่วยตัวเองอยู่ ก็อาจถูกตัด clitoris ได้!!!!!!

อูย…ฟังแล้วหวาดเสียว

เป็นที่น่าแปลกใจ ว่าสมัยนี้เราต่อต้านการใส่สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้นจู๋ และการมีเซ็กซ์ก่อนแต่งงานเพราะเรากลัวการแทรกซึมของวัฒนธรรมตะวันตก

แต่เราหารู้ไม่ว่าวัฒนธรรมที่เราเชิดชูหนักหนาว่าถูกต้องและดีงามนั้น แท้จริงแล้วเป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากตะวันตกเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วนู่น!!!

ติดตามเรื่อง Victorian Culture และสังคมไทยได้เร็วๆ นี้


>> แสดงความคิดเห็น <<

 
ติดต่อเราได้ที่>> thaifriendforum@yahoo.com

เนื้อหาทั้งหมดในเวปนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ของผู้เขียนในฐานะปัจเจกชน
หาได้เป็นความเห็นโดยรวมของกลุ่ม Thai Friend Forum ไม่