![]()
บทสัมภาษณ์เรื่อง "นิเวศวิทยาการเมือง" (1)
ที่มา รายการ จับตาสถานการณ์สิ่งแวดล้อม
ออกอากาศวันพฤหัสบดีที่__ 2543 เวลา 18.00 น.
ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11พิธีกร สุริยงค์ หุณฑสาร
แขกรับเชิญ คุณสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์
ที่ปรึกษาสมัชชาคนจนคุณประชา หุตานุวัตร
ผู้เขียนหนังสือ การเมืองสีเขียว
พิธีกร : ผมขอเริ่มที่คุณประชาก่อนก็แล้วกัน ติดตามการเมืองสีเขียวมา สรุป
สั้นๆ ง่ายๆ ให้ผมฟังเข้าใจนิดนึงว่า อะไรคือการเมืองสีเขียว
ประชา : การเมืองสีเขียวคือการจัดระเบียบสังคมมนุษย์แบบใหม่ ที่ให้มนุษย์
อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เป็นมิตรกับธรรมชาติ ไม่ใช่เอาชนะธรรมชาติ ขณะ
เดียวกันก็ให้มนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน แทนที่จะ
แข่งขันแก่งแย่งและเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน แล้วก็ให้มนุษย์มีเวลาที่จะ
พัฒนาด้านในของตนเอง พัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง พัฒนาคุณภาพชีวิตของ
ตนเองให้สูงส่งขึ้น การเมืองสีเขียวจะแตกต่างจากการเมืองฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา
และฝ่ายกลาง ในแง่ที่ว่าทั้ง 3 ฝ่ายนี้มุ่งไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม แต่การเมือง
สีเขียวไม่ได้เน้นในเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่เน้นเรื่องความเป็นอยู่แบบ
ใหม่ของมนุษย์ ที่จะไม่เอาเปรียบธรรมชาติ และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ
ดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ
พิธีกร : จริงๆ แล้วเน้นเฉพาะเรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องของระบบนิเวศอย่างเดียว
หรือว่าไม่ใช่
ประชา : ดังผมพูดมาแล้วว่ามี 3 ด้าน ด้านหนึ่งเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องนิเวศ
สองเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่ต้องเป็นความสัมพันธ์แบบใหม่ ไม่ใช่
ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ แล้วก็เน้นเรื่องความสัมพันธ์กับตัวเอง ในแง่ที่
ไม่เอา เปรียบตัวเอง ส่งเสริมกิเลสวาสนาในตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ความคิดที่ผมพูดมานี้ส่วนหนึ่งเกิดจากแนวคิดการเมืองสีเขียวของตะวันตกนะครับ
แต่ว่าแนวคิดการเมืองสีเขียวของตะวันตกนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบตะวันออก
ไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการมองความจริงขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับโลกและ
ธรรมชาติ ในแบบใหม่ เพราะฉะนั้นในระยะนี้ก็มีการผสมผสานในระหว่าง 2 ความ
คิด
พิธีกร : อาจารย์สมเกียรติ อยู่กับประชาชน มองระบบการเมืองที่เรียกว่า พรรค
กรีน หรือพรรคสีเขียวอย่างไร
สมเกียรติ : คือนิเวศวิทยาการเมืองหรือการเมืองสีเขียวนี้เรามองในแง่ของการ
เคลื่อนไหวก็พบว่ามันมีส่วนผสมของเศรษฐศาสตร์การเมืองอยู่ไม่น้อยทีเดียวนะ
ครับ นอกจากว่าด้วยเรื่องนิเวศวิทยาสังคมแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ
ธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน แล้วก็ความสัมพันธ์ระหว่าง
มนุษย์กับภายในตัวมนุษย์ แต่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์นี้เป็นเรื่อง
ของเศรษฐศาสตร์การเมือง มีกลุ่มคนที่ได้เปรียบ มีกลุ่มคนที่ครอบครองทรัพยากร
มากกว่า ที่ดิน ป่าไม้ น้ำ อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการมองลักษณะนี้มันเป็นการ
ผสมผสานระหว่างเศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งมีการต่อสู้ระหว่างคนได้เปรียบกับคน
เสียเปรียบมานาน กับนิเวศวิทยาสังคม จากที่เราพยายามศึกษาอยู่ การเมืองสี
เขียวนี้จะพูดอยู่ 2 เรื่องด้วยกันนะครับ เรื่องแรกก็คือเรื่องความมั่นคงของ
ธรรมชาติ เอาตัวธรรมชาติมาเป็นแกนหลัก ในส่วนนี้ก็จะมีพูดถึงคนอยู่ 2 กลุ่ม
คนกลุ่มหนึ่งอยู่กับธรรมชาติ คนอีกกลุ่มหนึ่งขูดรีดธรรมชาติ หมายความว่าใช้
ธรรมชาติในทางที่ก่อให้เกิดปัญหามลภาวะของโลกหรือทำให้ระบบนิเวศสูญเสีย
ไป แล้วคนกลุ่มหนึ่งก็ลี้ภัยธรรมชาติ เช่นถูกกันให้ออกจากการจัดสรรที่ดิน คน
จนจะลี้ภัยไปเรื่อยๆ คนรวยก็จะมาครอบครองทรัพยากรมากขึ้น อย่างสมัชชา
ต่างๆ รวมทั้งสมัชชาคนจนเอง ดร.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ ก็เคยบอกว่าคนกลุ่ม
นี้เป็นพวกชนชั้น 3 คือพวกลี้ภัยธรรมชาติ พวกอยู่กับธรรมชาติ พวกขูดรีด
ธรรมชาติ พวกลี้ภัยธรรมชาติทีนี้การเมืองสีเขียวพูดอีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องความมั่นคงและยั่งยืนของชุมชน
สังคม ประเด็นนี้จะมีการพูดถึงแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนค่อนข้างมาก ถามว่า
การเมืองสีเขียวสนใจเรื่อง GDP ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือไม่ สนใจ
น้อยครับ แต่เขาจะไปสนใจ เรื่องความมั่นคงธรรมชาติและความมั่นคงของชุมชน
และสังคม การวัดความสำเร็จมันจะเป็นตรงนี้
ทีนี้กลุ่มสมัชชาต่างๆ เขาคิดยังไงต่อเรื่องการเมืองแบบนี้ เขาก็คิดว่าการเมือง
แบบปัจจุบันมันมีโครงสร้างอะไรที่ทำให้ธรรมชาติไม่มั่นคง อย่างเช่นคนบางคน
ครอบครองทรัพยากรมากกว่า ระบบอุตสาหกรรมนิยมทำลายระบบนิเวศ นะครับ
เราถึงมีการต่อต้านกันในหลายๆ พื้นที่ พออุตสาหกรรมจะมา โรงงานแม่เมาะก็
ดี เขื่อนปากมูลก็ดี โรงไฟฟ้าบ่อนอกก็ดี ท่อก๊าซก็ดี มันเป็นการต่อต้านอุตสาห-
-กรรมที่จะทำให้เกิดความทรุดโทรมทางธรรมชาติ ในขณะเดียวกันเวลาที่
สมัชชาคนจนเคลื่อนไหวหรือสมัชชาอื่นๆ เคลื่อนไหวก็จะมาพูดถึงเรื่องการปฏิรูป
ที่ดิน พูดถึงความมั่นคงและยั่งยืนของชุมชน พูดถึงเรื่องการสนับสนุนงบประมาณ
สนับสนุนเรื่องภูมิปัญญาชาวบ้าน ในขณะเดียวกันก็พูดถึงเรื่องเกษตรทางเลือก
เกษตรยั่งยืน อันนี้สมัชชาคนจนก็พยายามที่จะจับเรื่องนี้อยู่
พิธีกร : จริงๆ เขาสนใจศึกษาแนวทางอย่างที่เรียกว่าการเมืองสีเขียวนี้มานาน
ไหมครับ
สมเกียรติ : ผมคิดว่าในช่วงปี 34-35 ที่กำเนิดสมัชชาเกษตรรายย่อยนี้นะครับ
ก็มีการพูดถึง แต่มันไปอยู่ในขั้นที่ 1 ก่อนนะครับ คือการเมืองสีเขียวมันต้องผ่าน
ขั้นการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติก่อน ทีนี้โครงสร้างการจัดสรรทรัพยากรของ
สังคมไทยมันเกิดความเหลื่อมล้ำกันมาก แล้วทำให้เห็นว่ามันมีกลุ่มหนึ่งที่ขูดรีด
ธรรมชาติ ถ้าเราเอาธรรมชาติเป็นตัวตั้งคนส่วนใหญ่รับได้ อันนี้มันมีความสนใจ
ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
พิธีกร : ถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทยประชา : เรามีการคุยกันมาในรอบ 6-7 ปีที่ผ่านมาในเรื่องของแนวความคิดนี้
ในแง่หนึ่งก็ใหม่ แต่ผมเองผมไม่ถือว่าเป็นของใหม่ ผมเห็นว่าความคิดในทาง
ปรัชญาที่จะหนุนเนื่องการเมืองสีเขียว ท่านอาจารย์พุทธทาสวางไว้ชัดเจนพอ
สมควร ความคิดของท่านในเรื่องธัมมิกสังคมนิยม ผมว่าสอดคล้องมาก
พิธีกร : นอกจากเรื่องของธรรมชาติที่ อ.สมเกียรติพูดถึงเมื่อสักครู่ ยังไปเชื่อม
โยงกับจุดที่เรียกว่าเป็นศาสนา เป็นพุทธศาสนาด้วย
ประชา : คือประเด็นที่ผมพูดในตอนต้นไงครับว่าเชื่อมโยงทางพุทธศาสนา คือ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับตัวเอง เพราะศาสนาพุทธจริงๆ แล้วมันไม่ได้แยก
จากสังคม แต่ปัจจุบันนี้เราเห็นศาสนาพุทธเป็นเรื่องแยกจากสังคม ซึ่งเป็นเหตุ
หนึ่งของปัญหาที่เราเจออยู่ปัจจุบันนี้ เพราะเราเดินตามการพัฒนาแบบตะวันตก
แล้วคนที่รับการศึกษาในสังคมไทยส่วนใหญ่เชื่อในเรื่องการพัฒนาแบบตะวันตก
ไม่ว่าฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา พอตะวันตกเขาสนใจเรื่องกรีน เราก็สนใจกับเขาด้วย
ผมคิดว่าถ้าเราจะคิดเรื่องการเมืองสีเขียวอย่างจริงจังในสังคมไทย ขบวนการ
อย่างสมัชชาคนจนและขบวนการเคลื่อนไหวอื่นๆ จะเป็นฐานที่สำคัญ เราต้อง
คิดจากรากเหง้าของเราเอง คนที่จะคิดเรื่องการเมืองสีเขียวจะต้องสามารถปลด
แอกตัวเองออกจากอาณานิคมทางความคิดของฝรั่งให้ได้ ต้องคิดจากรากเหง้า
ของเรา คิดจากวัฒนธรรมของเราเองให้ได้ เพื่อเราจะได้สังเคราะห์ขึ้นมาใหม่
มิฉะนั้นเราก็จะเป็นทาสทางวัฒนธรรมของฝรั่งตลอดไป
ถึงที่สุดแล้วผมเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความคิดแบบฝรั่งที่สอดคล้องกับกระแสหลักใน
ทางวัฒนธรรมของเราเอง ดูให้เห็นที่สุดผมว่าคนอย่างอาจารย์ปรีดีก็คิดมาแนว
นี้ ถ้าเราต่อสาย คนอย่างท่านอาจารย์พุทธทาสก็คิดมาแนวนี้ ฉะนั้นในแง่นี้ผม
เองเห็นว่าแม้จะมีกระแสใหม่ออกมาเป็นอุดมการณ์ เป็นพรรคเขียวในตะวันตก
ขึ้นมา แต่ว่าบางส่วนสามารถเชื่อมกับของเราได้
พิธีกร : มีสักกี่กลุ่มที่คิด ที่ศึกษาเรื่องการเมืองสีเขียวกันจริงจัง
ประชา : อ.สมเกียรติคงตอบได้ดีกว่ามั้งครับ ช่วงนี้ผมว่าในแวดวงของพวกที่
ทำงานเคลื่อนไหวในหมู่ประชาชน ในหมู่องค์กรพัฒนาเอกชน เราตรึกตรอง
เรื่องนี้กันมานานพอสมควร
สมเกียรติ : 2-3 กลุ่มนะครับ ไม่มากอย่างที่คิด เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2542
เรามีการประชุมแกนนำกลุ่มสหภาพแรงงาน และกลุ่มสมัชชาต่างๆ โดยเฉพาะ
กลุ่มสมัชชาคนจน แล้วก็ NGO 3 ส่วนนี้นะครับ เราพูดถึงเรื่องการเมืองทาง
เลือก การเมืองที่หนีไปจากการเมืองแบบปัจจุบัน แล้วการเมืองทางเลือกนี้เรา
เห็นว่ามันมี 2 อย่าง คือลักษณะแรกเราเรียกว่า พรรคมหาชน Mass Party
อันนั้นต้องการมวลชนเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ แล้วก็ทำการปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลง
ประเทศ ในขณะเดียวกันการเมืองทางเลือกอีกทางหนึ่งก็คือ การเมืองสีเขียว
นิเวศวิทยาการเมือง เราดูแล้วในสังคมการเกษตรนี้ ที่อุตสาหกรรมนิยมมันเข้า
มาก่อผลกระทบอย่างมากนี่นะครับ ถ้าเอาธรรมชาติเป็นตัวตั้ง เพราะว่าคนส่วน
ใหญ่อยู่ในภาคชนบท จะอยู่กับพื้นนาที่ป่านะครับ ถ้าเราเอาธรรมชาติเป็นตัวตั้ง
มวลชนมันจะมากกว่า เราจึงคิดว่าการเมืองสีเขียวนี้น่าจะเป็นการเมืองทางออก
แต่เรื่องนี้ต้องอาศัยการทำความเข้าใจมากนะครับ อยู่ในขั้นริเริ่มของคณะผู้คิด
ผู้อะไรนี่นะครับ
คือการเมืองสีเขียวจะพูดอยู่ 2 เรื่องนะครับ เรื่องแรกก็คือเรื่องความมั่นคงทาง
ธรรมชาติ ความมั่นคงทางธรรมชาติจะต้องพูดถึงเรื่องจิตสำนึกแนวนิเวศด้วย
ถ้าไม่มีจิตสำนึกแบบนี้มันเคลื่อนไหวทางธรรมชาติไม่ออก อย่างกรณีของ 55
หมู่บ้านในเขื่อนปากมูลต้องการที่จะรักษาพันธุ์ปลาพื้นบ้านเอาไว้ อาชีพประมง
นะครับ เพราะฉะนั้นชาวประมงปากมูลถึงมาเรียกร้องครั้งที่ 2 หลังจากเขาจ่าย
ค่าชดเชยเรื่องที่ดินไปแล้ว อันนี้เรียกร้องเมื่อปี 38 นะครับ แล้วได้รับการจัดตั้ง
กองทุนให้หลังคาเรือนละ 60,000 บาท ตั้งเกือบ 2 ร้อยล้าน ค่าปลาที่หายไป
ก็คือแนวทางความมั่นคงทางธรรมชาติ และแนวมั่นคงอันที่ 2 หรือจิตสำนึก
ตรงนี้เรายังปลูกฝังกันน้อย ส่วนความมั่นคงในเรื่องชุมชนสังคมนี้อันนี้มีมาก
พิธีกร : ผมขอพักตรงนี้สักครู่เดียวนะครับ เดี่ยวเราจะกลับมาดูรูปธรรมของ
การเมืองสีเขียวในบ้านเรา มีอะไรที่เป็นตัวบ่งชี้ มีอะไรที่เป็นตัวบ่งบอกว่า
เป็นพรรคที่ประกาศยึดแนวทางนี้จะเป็นของจริงหรือไม่
(พักโฆษณา)
พิธีกร : กลับเข้ามาสู่การสนทนาในช่วงที่ 2 นะครับ เราคุยกับ อ.สมเกียรติ
พงศ์ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน คุณประชา หุตานุวัตร จากอาศรมวงสนิท
ทั้งสองท่านคุยกันพอจะเห็นหน้าตาเรื่องของการเมืองสีเขียวนะครับ เมื่อสัก
ครู่คุณประชาบอกว่า จริงๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่อง GDP เรื่องความเจริญเติบโต
ทางเศรษฐกิจ ทำให้ฉุกคิดได้เหมือนกันคุณประชา ว่าถ้าเรามีพรรคการเมือง
อย่างนี้ การเมืองสีเขียวอย่างนี้ในบ้านเราจริงๆ เขาจะมองเรื่องของความ
มั่งคั่งทางเศรษฐกิจตรงนี้ยังไง
คุณประชา : ก่อนที่จะมองเรื่องเศรษฐกิจนะครับ ผมว่าต้องเห็นภาพสังคมใน
อุดมคติแบบสีเขียวเสียก่อน คือสังคมอุดมคติแบบสีเขียวมันจะกลับมาหาหลัก
การที่ผมพูดเมื่อกี้นะครับว่า หนึ่งมนุษย์จะต้องอยู่กับธรรมชาติแบบสอดคล้อง สอง
จะต้องอยู่แบบเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เอารัดเอาเปรียบกัน และสามต้องรู้จัก
หาความสุขที่ละเอียดอ่อนกว่าการหาความร่ำรวยและอำนาจชื่อเสียง อันนี้เป็น
นามธรรม รูปธรรมหมายความว่าเราต้องการอยู่ในสังคมที่มีต้นไม้มาก แม่น้ำ
สะอาด ในแม่น้ำลำคลองเต็มไปด้วยปูด้วยปลาหอยเต็มไปหมด อากาศบริสุทธิ์
และขยะทั้งหมดนี้ไม่เป็นพิษเป็นภัย ขยะทั้งหมดถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และ
บ้านเรือน การเกษตร จะไม่มีการใช้สารเคมี คนก็ใช้แต่สมุนไพร ใช้การรักษา
ดูแลสุขภาพตัวเอง คนจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะไปโรงพยาบาลสมัยใหม่ แล้วการ
เดินทาง คนก็จะเดินทางด้วยรถส่วนตัวน้อย ใช้รถส่วนตัวน้อย จะมีรถบริการ
สาธารณะมาก ถ้าใกล้ก็ใช้รถจักรยานมาก ใช้รถสาามล้อกันมากขึ้นนะครับ
การบริโภค วิถีชีวิตคนก็ต้องเปลี่ยนไป หมายความว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่การ
บริโภค ไม่ได้อยู่ที่การไปช้อปปิ้งมอลล์ ไปซื้อของ ความสุขอยู่ที่การให้ความ
สำคัญกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง กลับมาให้ความสำคัญกับชุมชน กับครอบครัว
สำคัญมากกว่าความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว คือสังคมสมัยใหม่นี้เน้นเหลือเกินว่า
มนุษย์ต้องมีความสำเร็จ แต่นี่ไม่ใช่ มนุษย์ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีงาม
เราจะเห็นว่าเมื่อสังคมเป็นแบบนี้นะครับ ระบบเศรษฐกิจมันจะต้องจัดอีกแบบ
หนึ่ง ในระยะสั้นผมเห็นว่าอาจจะต้องใช้มาตรการบางอย่างที่เราใช้อยู่ปัจจุบัน
โดยเน้นบางมาตรการมากขึ้นเช่น การเก็บภาษีสีเขียว การเก็บภาษีก้าวหน้า
ภาษีก้าวหน้าก็หมายความว่าคนรวยต้องจ่ายภาษีมาก เพื่อเจือจานคนที่มีโอกาส
น้อยในสังคม
พิธีกร : ภาษีสีเขียวหมายถึง
ประชา : ภาษีสีเขียวหมายความว่า อุตสาหกรรมหรือธุรกิจอะไรก็ตามที่ทำให้เกิด
มลภาวะ ต้องจ่ายภาษีมาก แล้วจ่ายภาษีอันนั้นเพื่อเอามาทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น
สะอาดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันนี้แม่น้ำลำคลองเราสกปรกเหลือเกิน เราต้อง
การโครงสร้างที่จะทำให้แม่น้ำลำคลองนี้สะอาด เงินพวกนี้มาจากไหน ก็มาจาก
คนที่ทำให้แม่น้ำสกปรก หรือว่าอากาศเราสกปรกเหลือเกิน คนใช้รถยนต์ต้อง
จ่ายภาษีมาก โดยเฉพาะรถยนต์ส่วนตัว ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมทั้งหลายก็
เหมือนกัน เงินพวกนี้ทั้งภาษีก้าวหน้า ภาษีมรดก แล้วก็ภาษีสีเขียว ต้องนำ
มาทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้น
ตรงนี้กลับมาหาประเด็นของ อ.สมเกียรติ เพราะว่าการเมืองสีเขียวนี้ สำคัญอยู่
ที่ชุมชนที่เข้มแข็ง หมายความว่าชุมชนข้างล่างจะต้องพึ่งตนเองได้มากขึ้น มี
เศรษฐกิจธุรกิจชุมชน เศรษฐกิจแบบพึ่งตัวเอง หมายความว่าในสถาบันชุมชน
เขาจะจัดการการเงินของเขาเองได้โดยไม่ต้องพึ่งธนาคาร ไม่ต้องพึ่งระบบนาย
ทุนเงินกู้ต่างๆ ที่ตอนนี้เป็นตัวเอาเปรียบชาวบ้าน ทำอย่างไรชุมชนจะผลิตเพื่อ
บริโภคเป็นหลัก แล้วขายเป็นรอง อันนี้จะต้องมีเรื่องการตลาดมีอะไรด้วย อันนี้
เป็นมาตรการระยะสั้นนะครับในทางเศรษฐกิจ
อ.สมเกียรติ : ผมว่าคนเริ่มพูดถึงความเป็นธรรมแบบใหม่ ที่เราเรียกว่าความ
ยุติธรรมทางนิเวศ อันนี้เป็นศัพท์เฉพาะเลย ความยุติธรรมทางนิเวศ หมาย
ความว่า ผมยกตัวอย่างนะครับ สมมติว่าคนรวยครอบครองที่ดินมาก คนจนก็
ต้องลี้ภัย การครอบครองอย่างนี้ไม่เกิดความเป็นธรรมทางนิเวศ เพราะ
ทรัพยากรมันสัมพันธ์กับคนรวยมากกว่า คนจนไมได้สัมผัสกับธรรมชาติมันจึง
เกิดพวกลี้ภัยขึ้น ในขณะเดียวกันความยุติธรรมในระบบปัจจุบันนี้ไม่ได้พูดถึง
คนรุ่นต่อไปในอนาคต มันจะใช้หมด มีน้ำมันก็จะขุดเจาะให้หมด มีแร่ธาตุก็จะ
ขุดออกให้หมด มีป่าไม้ก็จะขุดเจาะออกให้หมด ความยุติธรรมคิดเฉพาะคน
รุ่นเดียว ไม่คิดถึงคนรุ่นอื่น ในระบบการอุตสาหกรรมนิยมก็คิดถึงแต่กำไรสูงสุด
ส่งขายแล้วได้กำไรเท่าไร ความสำเร็จอยู่ที่เป้าหมายทางกำไร แต่ว่าผู้ก่อมลภาวะ
ไม่เป็นผู้จ่าย อย่างเข้ามาถึงภาษีสีเขียว ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ความยุติธรรมทาง
นิเวศจะเป็นเรื่องที่พูดกันมากขึ้น หมายถึงว่าจะเป็นวาทกรรมทางการเมืองของ
การเมืองแนวประชาชนว่าอย่างนี้มันไม่ยุติธรรมนี่ เมื่อก่อนไม่ยุติธรรมในแง่ที่รัฐ
จ่ายไม่เท่ากัน แต่ตอนนี้เอาธรรมชาติมาเป็นตัวตั้ง คุณได้เปรียบธรรมชาตินี่ แต่
เราเสียเปรียบธรรมชาติ (ได้เปรียบ-เสียเปรียบในการครอบครอง หรือบริหาร
จัดการธรรมชาติ - ผู้เรียบเรียง) กลุ่มสมัชชาต่างๆ เขาก็คิดเรื่องนี้นะครับ อย่าง
กรณีที่เป็นรูปธรรมเลยตอนที่เขาจะไล่คนออกจากป่าในพื้นที่ภาคเหนือ แต่เรา
บอกว่าคนขออยู่กับป่านะครับ คือเป็นวาทกรรมคนขออยู่กับป่า ขออยู่กับระบบ
นิเวศได้ไหม เราจะจัดต้นน้ำลำธาร แต่ในขณะเดียวกันปี 2535 รัฐบาลกลับไป
ออก พรบ. สวนป่า เปิดโอกาสให้เอกชนไปสัมปทานปลูกป่า แต่เวลาคนจะขออยู่
กับป่า จะเสนอรูปธรรมในแง่การเมืองแนวนิเวศ จะเสนอ พรบ. ป่าชุมชนกลับ
ไม่ได้ อันนี้ชัดเจนที่สุดเลยนะครับว่า เป็นการต่อสู้รูปธรรมเลยว่ารัฐนิยมและ
เอกชนนิยมได้จัดการป่าโดยวิธีคิดรัฐนิยมกับเอกชนนิยม โดยมี พรบ. สวนป่า
2535 แต่คนจนจะขอสักฉบับ ปี 43 พรบ.ป่าชุมชน ไม่ได้
พิธีกร : ก็ขอ 50,000 คนไปเลย
อ.สมเกียรติ : เข้าไปแล้วครับ ผมจะบอกว่าเรื่องความเป็นธรรมทางสังคมเมื่อเอา
มาใช้กับแนวทางที่เรียกว่า นิเวศวิทยาการเมือง หรือการเมืองสีเขียวนี้ เราต้อง
ใช้คำว่าความยุติธรรมทางนิเวศ แล้วเราจะชัดขึ้น แต่วันนี้ที่เรายังหนักใจอยู่ก็คือ
ว่าพอจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรมแล้ว สำนึกในทางนิเวศของคนไทยยังต้อง
พัฒนาขึ้นอีก
พิธีกร : คือระเบียบทางสังคม เสริมด้วยสำนึกของคน
อ.สมเกียรติ : ถ้ามีสำนึกทางนิเวศ สมมติว่าเราแจก สปก.4-01 ไปในพื้นที่ป่า
โดยเอาที่ดินของรัฐมาแจก แต่คนก็ไปฟันเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวอุตสาหกรรม
เพื่อส่งออก เลยเข้าไปแนวอุตสาหกรรมนิยมหมดเลย แต่ไม่มีสำนึกทางนิเวศ
ว่าจะอยู่กับป่าอย่างไร กรณีแบบนี้ถ้าเอาการเมืองสีเขียวเข้าไปจับ หนึ่งเข้าไป
ในแง่การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม แบ่งที่ดินเท่าๆ กัน สองคุณต้องมีจิต
สำนึกทางนิเวศ คุณจะจัดการคนอยู่กับป่าแล้วเกื้อกูลป่าให้ครอบครัวเข้มแข็ง
ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างไร แต่ถ้าแต่คุณกลับไปปลูกมันสำปะหลัง ข้าว หรือว่า
ข้าวโพดเพื่อส่งออกอย่างเดียว แม้จะจัดสรรทรัพยากรเป็นธรรม แต่เข็มมุ่ง
การพัฒนาของคุณยังอยู่ที่การส่งออกอยู่ อันนี้เราไม่ได้เรียกว่าการเมืองสีเขียว
พิธีกร : จริงๆ การเมืองสีเขียวปฏิเสธการพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจไหม
สมเกียรติ : ไม่ปฏิเสธนะครับ เพียงแต่ว่าอุตสาหกรรมต้องเป็นอุตสาหกรรมทาง
เลือกที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศและสังคมน้อย คือการเมืองสีเขียวพูดถึงความ
มั่นคงของธรรมชาติ ความมั่นคงของชุมชนและสังคม ถ้าอุตสาหกรรมทำลาย 2
อย่างนี้ การเมืองสีเขียวปฏิเสธ แต่ถ้ามาเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือน ชุมชน
สังคม อุตสาหกรรมขนาดเล็กขนาดกลางที่ดูแลระบบนิเวศดีก็ใช้ได้ อย่างขณะนี้
ผมต้องยืนยันว่าโลกตะวันตกพยายามเอาแนวคิดของผู้ประกอบการรายย่อย ที่
เรียกว่าอุตสาหกรรมในครัวเรือน ของการเมืองสีเขียวไปปรับปรุงใหม่ว่าถ้าจะเข้า
สู่รูปอุตสาหกรรมเต็มรูปจะพัฒนายังไง แต่รากฐานมันจริงๆ ก็คือ อุตสาหกรรม
ครัวเรือนจากภูมิปัญญาชาวบ้าน
พิธีกร : คือต้องทำให้จุดเล็กๆ ที่เป็นขนาดย่อมเข้มแข็งเสียก่อน แล้วค่อยเดิน
หน้าไปสู้กับเขา
คุณประชา : แต่ว่าการเดินหน้าไม่ใช่แบบปัจจุบันนี้ ไม่ใช่สู้แบบปัจจุบันนี้ มันจะ
เป็นอีกแบบหนึ่ง เราพัฒนาคุณภาพชีวิตมากกว่าการพัฒนาวัตถุ เราเน้นเรื่องของ
การที่ชีวิตจะมีความสุขมากกว่าชีวิตที่จะมีการบริโภคมากขึ้น และก็ในระยะยาว
เรื่องของเศรษฐกิจที่ อ.สมเกียรติพูดมา อีกประเด็นหนึ่งที่น่าจะเน้นขึ้นมาคือเรื่อง
ของการปฏิรูปที่ดิน แน่นอนเลยครับว่าจะต้องมีการกระจายการถือครองที่ดิน
ปัจจุบันนี้ การถือครองที่ดินแบบนี้ ไม่มีทางที่สังคมจะพัฒนาต่อไปได้ นอกจากนั้น
ในระยะยาวผมยังเห็นว่าจะต้องคิดใหม่ในเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในปัจจัยการผลิตทั้งหลาย จะต้องมีการจำกัดคนไม่ให้รวยเกินไป คนใน
สังคมสีเขียวระยะยาวนี้มีเนื้อที่น้อยสำหรับคนที่โลภ สังคมจะไม่ส่งเสริมความ
โลภ เพราะความโลภจะนำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมและก็เอาเปรียบมนุษย์
ด้วยกันเอง แล้วคนก็ไม่มีความสุขด้วยถ้ามองในแง่มุมทางพระพุทธศาสนา
พิธีกร : ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนแต่ละคนหรือเปล่าครับ
คุณประชา : ใช่ครับ เพราะปัจจุบันนี้ละเมิดอยู่แล้วครับ การโฆษณาทั้งหลาย
ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะทำให้คนโลภมากขึ้น อันนี้ชัดเจนเลย เรามีสิทธิ
อะไรที่ให้บริษัทไม่กี่บริษัทโฆษณาแล้วโฆษณาอีกเพื่อกระตุ้นความอยากของคน
อันนี้เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล มองจากแง่มุมของเศรษฐกิจและแง่มุมของ
ศาสนาด้วย เป็นการละเมิดศีลด้วยครับ
พิธีกร : อย่างนี้ขัดกับโลกที่บอกว่ากำลังจะเดินไปในทางเสรีไหมครับ อ.สมเกียรติ
สมเกียรติ : มันเป็นการเมืองทางเลือกย่อมขัดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ขัดแบบ
ปะทะนะครับ มันขัดแบบว่ายังมีทางแพร่งอื่นให้เลือกนะ สังคมไหนอยากเลือกก็
เลือกนะ เมื่อสังคมกระแสหลักเข็มมุ่งทางใหญ่บอกว่าไปถึงทางตันแล้ว คนจะเริ่ม
หาทางออก แล้วการเมืองสีเขียวก็บอกว่า เรามีชุดทางออกแล้วชุดหนึ่ง เรามีตัว
แบบอยู่แล้ว ถ้าคุณอยู่ในสังคมตะวันออกคุณจะมาประยุกต์ก็ได้
พิธีกร : เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมคิดว่าเราคงต้องคุยกันต่อในสัปดาห์หน้าก็คือว่า การ
เมืองสีเขียว การเมืองเชิงระบบนิเวศอย่างนี้นะครับ ทางเลือกนี้จะเกิดขึ้นได้ใน
สังคมไทยหรือไม่ สัปดาห์นี้ต้องขอขอบคุณทั้ง 2 ท่านที่มาร่วมรายการในวันนี้นะ
ครับ