บทนำ
การจัดทำคู่มือเล่มนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ชี้แจงถึงข้อควรปฏิบัติ
12
ประการในการจัดฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งยังเป็นยังเป็นการให้แนวคิดในการติดตามและประเมินผลโครงการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนให้กับข้าราชการทั่วไป
ปัจจุบัน องค์การภาครัฐทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
ให้ความสนใจในการนำความรู้และหลักปฏิบัติในเรื่องสิทธิมนุษยชนมาจัดเป็นโครงการฝึกอบรมอย่างแพร่หลาย
อย่างไรก็ตาม องค์การนิรโทษสกรรมสากล
(Amnesty International)
พบว่า
โครงการฝึกอบรมให้ความรู้ในเรื่องสิทธิมนุษยชนขององค์การระดับต่าง ๆ
ยังขาดการวิเคราะห์ถึงความต้องการในการฝึกอบรมและการวิเคราะห์สภาพปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ประสบปัญหาอยู่ในขณะนั้น
โครงการฝึกอบรมที่จัดขึ้นในปัจจุบันมักใช้เครื่องมือหรือวิธีการฝึกอบรมแบบเก่า
นอกจากนี้ยังขาดการติดตามผลการฝึกอบรมเพื่อปรับปรุงรูปแบบการฝึกอบรม
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา
หรือวิธีการในการให้ความรู้และการนำเสนอประเด็นศึกษาใหม่ ๆ
ที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
องค์การนิรโทษสกรรมสากลจึงได้จัดทำหนังสือข้อแนะนำ
12
ประการในการจัดฝึกอบรมหลักสูตรสิทธมนุษยชนให้กับข้าราชการทั่วไปเล่มนี้
วัตถุประสงค์อีกประการหนึ่งในการจัดทำหนังสือคู่มือเล่มนี้ก็คือ
ผู้จัดทำปรารถนาที่จะช่วยเหลือ และให้การสนับสนุนองค์กรเอกชนหรือองค์กรNGOs
นำหลักสิทธิมนุษยชนไปจัดทำโครงการฝึกอบรมให้ความรู้กับบุคคลทั่วไป
องค์กรนิรโทษสกรรมสากล
ขอประกาศกิตติคุณแด่ผู้ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินงานจัดทำหนังสือคู่มือเล่มนี้ให้เสร็จสิ้นลุล่วงตามวัตถุประสงค์
และขอขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงคุณภาพของหนังสือคู่มือเล่มนี้
********************************************************
นิยาม
การจัดฝึกอบรม
ให้การศึกษา เรื่องหลักสิทธิมนุษยชน
ไม่ว่าจะเป็นองค์การใด ๆ
ก็ตามที่ต้องการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมในเรื่องสิทธิมนุษยชน องค์การนั้น
ๆ จะต้องมีการเตรียมความพร้อมทางด้านเอกสาร การเรียนการสอน
และข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนให้มีความพร้อม
ทั้งนี้ก็เพื่อจะบรรลุเป้าหมายของการฝึกอบรมก็คือทำให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้
ทัศนคติ
ตลอดจนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เป็นอยู่เดิมให้มีความสอดคล้องกับหลักปฏิบัติสิทธิมนุษยชน
การบรรลุวัตถุประสงค์ที่กล่าวไว้ข้างต้น
จะต้องประกอบไปด้วยความร่วมมือจากกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มด้วยกัน
การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี
ระหว่างวิทยากรและผู้เข้ารับการฝึกอบรม
การฝึกปฏิบัติและการเรียนรู้หลักการและแนวความคิดในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน
ในทางปฏิบัติ
การจัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนอย่างมืออาชีพ
จะต้องมีการกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการ
ซึ่งเป้าหมายในการดำเนินการนี้จะต้องชี้วัดได้ถึงประสิทธิผลในการเรียนรู้ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมว่าความรู้ดังกล่าวที่พวกเขาได้รับนั้นสอดคล้องกับหลักการและทฤษฎีที่ว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่
หลักสูตรฝึกอบรมใด
ๆ ก็ตามที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
วัตถุประสงค์ในการจัดทำควรมุ่งความสำคัญไปที่
ความสามารถในการนำหลักสิทธิมนุษยชนไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาทักษะความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต้องใช้ในเรื่องสิทธิมนุษยชนเมื่อพวกเขาสำเร็จการฝึกอบรมไปแล้ว
นั่นคือ ผู้เข้ารับการอบรมจะต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์วิจารณ์
(critical thinking)
มีความสามารถในการติดต่อสื่อสาร
มีความสารถในการตัดสินปัญหา
และมีความสามารถที่จะทำการการต่อรองเพื่อผลประโยชน์ได้
ในบางกรณี
การจัดหลักสูตรสิทธิมนุษยชนก็จำเป็นที่จะต้องจัดขึ้นมาในรูปแบบหลักสูตรเฉพาะ
เนื่องจากเป็นการมุ่งเน้นไปที่การชดเชย
และปูพื้นฐานความรู้สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ไม่เคยได้รับการอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนมาก่อน
แม้ว่าในทางทฤษฎีจะกล่าวไว้ว่า
หลักความรู้ในด้านสิทธิมนุษยชนควรจะถูกจัดเป็นวิชาหลักวิชาหนึ่งในหลักสูตรฝึกอบรมทุก
ๆ หลักสูตรก็ตาม
ข้อแนะนำ
12
ประการในการจัดฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชน
1.
การสำรวจความต้องการในการฝึกอบรมเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะลงมือฝึกอบรม
ก่อนที่จะลงมือฝึกอบรมให้กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ
สิ่งที่จำเป็นและจะละเลยไม่ได้ก็คือการสำรวจความเป็นไปได้ในการจัดโครงการศึกษาให้ความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศนั้น
ๆ ก่อน
ขั้นตอนการสำรวจหาความต้องการในการฝึกอบรมเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะดำเนินการทุกครั้งงก่อนการฝึกอบรม
ทั้งนี้เพื่อที่สามารถระบุถึงระดับความสำคัญของปัญหาและวิธีการแก้ไข
และเพื่อที่จะเขียนเป็นโครงร่างของหลักสูตรและวิธีการฝึกอบรมที่เหมาะสมตรงกับความต้องการขององค์การและสถานการณ์
ในบางกรณี
การฝึกอบรม/ให้ความรู้ที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนก็ไม่สามารถที่จะใช้เป็นขั้นตอนแรกในการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่าางรุนแรง
อาทิเช่น ในบางประเทศที่รัฐบาลทหาร
หรือรัฐบาลเผด็จการเข้ามาปกครองประเทศโดยใช้ความรุนแรงเป็นที่ตั้ง
หรือจะเป็นในกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายเน้นวิธีการอื่นนอกเหนือไปจากการอบรมให้การศึกษาในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
ไม่ว่าสถาานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนจะอยู่ในระดับไหนก็แล้วแต่
หากแต่การรณรงค์สร้างความตระหนักในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนถือเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องกระทำ
ซึ่งสามารถกระทำได้โดยการจัดสัมมนาอย่างเป็นทางการ
หรือมีการประชุมปรึกษาหารือเพื่อพิจารณาหาความต้องการในการฝึกอบรมหลักสิทธิมนุษยชนเพื่อที่จะพัฒนาแนวความคิดในเรื่องสิทธิมนุษยชนให้ถูกกลุ่มเป้าหมาย
2.
การให้การศึกษาในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนเป็นขั้นตอนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายหลัก
การให้การศึกษา/อบรมในเรื่องสิทธิมนุษยชนจะเกิดประโยชน์สูงสุดเมื่อผู้บริหารประเทศให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว
และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องเปิดใจกว้างยอมรับหลักปฏิบัติในเรื่องสิทธิมนุษยชน
ในประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
การให้การศึกษา/อบรมในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชนดูจะมีความสำคัญน้อยมากเปรียบเสมือนหยดน้ำในทะเล
แม้ว่ารัฐบาลหลาย ๆ
ประเทศพยายามที่จะให้ความรู้ในเรื่องหลักปฏิบัติสิทธิมนุษยชน
แต่สถานการณ์การละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนกลับไม่พัฒนาขึ้นมาเลย
รัฐบาลควรที่จะให้ความสำคัญในด้านสิทธิมนุษยชน
อาทิเช่น เป็นผู้ผลักดันในการเปลี่ยนแปลงร่างกฎหมาย อนุญาติให้มีการชุมนุมแสดงความคิดเห็นกันอย่างสงบ
สนับสนุนให้กลุ่มองคืกรสามารถทำการเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนเพื่อนำไปใช้ในชุมชน
หรือนำประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนมาเป็นหลักสูตร/วิชาที่ประชาชนทั่วไปสามารถศึกษาได้ทุกคน
ในบางกรณี
การสัมมนา/และการประชุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมายก็นับเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดการปฎิรูประบบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนได้
อาทิเช่น การประชุมหรือสัมมนาเฉพาะกลุ่มของผู้พิพากษา หรือนักการเมือง
ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
และเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันนำหลักสิทธิมนุษยชนไปใช้
ดังนั้น
การให้การศึกษา/อบรม
ควรจะเป็นส่วนหนึ่งในแผนกลยุทธ์พัฒนาประเทศ ที่สำคัญหลักสูตรการฝึกอบรม/ให้การศึกษาควรจะออกแบบให้มีความเหมาะสมกับโครงสร้างการปฏิรูปกฎหมายสิทธิมนุษยชน
3.
เจ้าหน้าที่ควรให้ความสำคัญกับการนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอบรมด้านสิทธิมนุษยชนไปใช้
เปรียบเสมือนสิทธิมนุษยชนเป็นหลักในการปฏิบัติงานระดับมืออาชีพ
รัฐบาลมีหน้าที่ในการจัดหลักสูตรฝึกอบรม/ให้ความรู้ในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการในการนำความรู้ที่ได้รับไปปฏิบัติจริง
และหลักสิทธิมนุษยชนควรเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางและกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน
หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ในการให้ความรู้/อบรมในเรื่องสิทธิมนุษยชนจะต้องกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบตลอดทั้งโครงการและรวมไปถึงการขอความสนับสนุนในการดำเนินการที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนในทุก
ๆ ด้านจากผู้บริหารในทุก ๆ ระดับ
ขั้นตอนแรกควรจะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลง พรบ.
ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงตระหนักถึงความสำคัญ
รวมทั้งเข้ามามี
บทบาทและให้ความสำคัญกับการนำหลักสิทธิมนุษยชนไปใช้และเพื่อเป็นหลักประกันถึง
เป้าหมายการให้การศึกษาในเรื่องสิทธิมนุษยชนระยะยาว
4.
การจัดารฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในขณะนั้นและของชุมชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
การให้การศึกษา/อบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนไม่ควรจัดขึ้นเองเฉพาะหน่วยงาน
ควรจัดโครงการฝึกอบรม/ให้ความรู้เรื่องหลักสิทธิมนุษยชนในระดับชาติ
และมุ่งผลไปยังการสร้างวัฒนธรรมความคิดในเรื่องของการตระหนักถึงหลักสิทธิมนุษยชน
รวมไปถึงหน่วยงานที่ถูกเพ่งเล็งในเรื่องการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหน่วยงานต่าง
ๆ ที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องด้วยกัน อาทิเช่น
หน่วยงานตำรวจและนักสังคมสงเคราะห์จะต้องทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาเด็กจรจัดไร้ที่อยู่
โดยใช้วิธีการปฏิบัติต่อเด็กจรจัดอย่างนุมนวลเพื่อที่จะช่วยแก้ปัญหาและเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญเป็นการขจัดอคติซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการปฏิบัติงานที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน
5.
องค์การ
NGOs
ควรเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการฝึกอบรม
ในการพิจารณาความเหมาะสมเพื่อดำเนินการหลักสูตรสิทธิมนุษยชนระดับชาติ
จะต้องเปิดโอกาสให้วิทยากรจากองค์การ
NGOs
เข้ามามีบทบาทในการให้ความคิดเห็นหรือมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการฝึกอบรมไม่ว่าจะเป็นในด้านรูปแบบการฝึกอบรม
การบริหารการฝึกอบรม และการติดตามประเมินผลการฝึกอบรม
เหตุผลสำคัญที่ควรเปิดโอกาสให้องค์การ
NGOs
เข้ามามีส่วนร่วมก็คือองค์การ
NGOs
เป็นองค์การที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
และเป็นองค์กรที่สามารถผลักดันรัฐบาลให้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนได้อีกด้วย
ในกรณีที่องค์การ
NGOs
ไม่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดฝึกอบรม
ผู้จัดหลักสูตรควรเชิญสมาชิกองค์การNGOs
เข้ามาเป็นผู้สังเกตุการณ์ในการฝึกอบรม
โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกองค์การ
NGOs
ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์
เพื่อที่จะนำไปปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น และ
การให้ความร่วมมือของ
NGOs
ในการฝึกอบรมจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชนว่ามีผลต่อการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐภาคต่าง
ๆ และมีผลต่อผู้ที่ได้รับการปฏิบัติจากหน่วยงานต่าง ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญ
ผู้จัดหลักสูตรฝึกอบรมจะต้องมั่นใจว่าสมาชิกองค์การ
NGOs
ที่เข้ามามีส่วนร่วมนั้น มีความเป็นกลางและมีความเป็นมืออาชีพ
6.
จะต้องมีการระบุกลุ่มเป้าหมายและประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรมอย่างชัดเจน
การอบรมเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสามารถกระทำได้หลายวิธีการ
อย่างไรก็ตามเนื้อหาและวิธีการฝึกอบรมเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจและการสำนึกร่วมกันย่อมต้องมีลักษณะเฉพาะและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ อาทิเช่น ระดับความรุนแรงในการละเมิด
ลักษณะประเทศ และปัจจัยอื่น ๆ
โดยทั่วไปแล้ววิธีการฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนสามารถแจกแจงได้อย่างคร่าว
ๆ 3
วิธี ดังต่อไปนี้
ตัวอย่างมีดังต่อไปนี้
:
วิธีการที่ 1
กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงว่าจะให้การฝึกอบรมแก่บุคคลากรทั้งหน่วยงานหรือสำนัก/กองที่เกี่ยวข้อง
วัตถุประสงค์ในการจัดฝึกอบรมวิธีการนี้ก็คือ
เป็นการจูงใจให้ผู้เข้ารับการอบรมตั้งใจฝึกอบรม
และเป็นการหลีกเลี่ยงอิทธิพลทางความคิดจากเพื่อนร่วมงานหลังจากที่ผู้เข้ารับการอบรมถูกส่งตัวกลับไปยังหน่วยงานของตน
วิธีการนี้ยังเป็นการง่ายที่จะติดตามและประเมินผลหลังจากที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้นไปแล้ว
นอกจากนี้ยังสะดวกต่อการสนับสนุนและสานต่อความรู้ให้กับหน่วยงานอีกด้วย
วิธีการที่ 2 :
เป็นการสร้างตัวคูณวิทยากร
โดยใช้วิธีการคัดเลือกวิทยากรจากหน่วยงานต่าง ๆ
ให้เข้ามาฝึกอบรมเพื่อที่จะให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมนำความรู้ที่ได้ไปจัดหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของตนต่อไป
การที่จะดำเนินการเช่นนี้ได้จะต้องแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่า
หน่วยงานที่ส่งวิทยากรให้เข้ารับการฝึกอบรมนั้นได้จัดให้มีการเรียนการสอนเรื่องสิทธิมนุษยชนรวมอยู่ในหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงานนั้น
ๆ
วิธีการที่ 3:
เป็นการรวมกันระหว่างการให้การฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ทั้งหน่วยงานและมีการคัดเลือกวิทยากรหรือเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภายนอกให้เข้ามาอบรมร่วมกัน
ข้อดีของการฝึกอบรมวิธีการนี้มีอยู่ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการอนุญาติให้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภายนอกเข้าฝึกอบรมร่วมกัน
เมื่อนั้นผู้เข้ารับการอบรมจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกันได้เป็นอย่างดี
7.
วิทยากรจะต้องมีความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย
ในการจัดฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนให้กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ
ควรคัดเลือกวิทยากรที่มีความสัมพันธ์กับหน่วยงานหรือกลุ่มเป้าหมายนั้น
ๆ อาทิเช่น
เมื่อจัดฝึกอบรมหลักสูตรสิทธิมนุษยชนให้กับตำรวจหรือข้าราชการพลเรือน
ควรที่จะเชิญวิทยากรผู้มีประสบการณ์ในการทำงานร่วมกับตำรวจหรือข้าราชการพลเรือนมาให้ความรู้เช่นเดียวกัน
เหตุผลที่จะต้องมีการคัดเลือกวิทยากรที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายเป็นเพราะวิทยากรที่ได้รับเชิญเป็นผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหรือกลุ่มเป้าหมายและยังเป็นผู้ที่เข้าใจถึงปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานภายในหน่วยงานได้อย่างดีอีกด้วย
การคัดเลือกวิทยากรจะต้องกระทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน
วิทยากรจะต้องมีความเป็นกลางและเป็นผู้ที่มีอำนาจในการบังคับบัญชา
ไม่ควรที่จะคัดเลือกวิทยากรผู้ขาดประสบการณ์การสอน
และเป็นผู้ขาดความคิดด้านหลักสิทธิมนุษยชนเชิงเปรียบเทียบ
ผลของการคัดเลือกวิทยากรที่คุณสมบัติไม่ครบถ้วนจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของหลักสูตร
การให้การฝึกอบรมแก่วิทยากรจากหน่วยงานเป้าหมายและจากองค์การ
NGOs
ที่ทำงานเกี่ยวข้องในด้านสิทธิมนุษยชน
นับว่าเป็นประเด็นสำคัญเนื่องจากเป็นการเพิ่มจำนวนวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและเป็นการขยายการเผยแพร่ความรู้ในวงกว้างยิ่งขึ้น
ดังนั้นการดำเนินการเบื้องต้นจึงจำเป็นจะต้องหาวิธีการให้ผู้เข้ารับการอบรม
(วิทยากรจากหน่วยงานและจากองค์การ
NGOs)
เข้ามามีส่วนร่วมในหลักสูตร
ในขณะเดียวกันก็ทำการพัฒนาทักษะความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชน
8.
วิธีการให้การศึกษา/ฝึกอบรมควรจะเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติของศาสนาและวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้น
ๆ และจะต้องบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในหลักสูตรฝึกอบรม
รูปแบบวิธีการฝึกอบรมในหลักสูตรสิทธิมนุษยชนไม่มีรูปแบบที่ตายตัว
ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับประเทศ
หรือท้องถิ่นนั้น ๆ อาทิเช่น กลุ่มเป้าหมายในการฝึก อบรม
ระดับความรุนแรงในการละเมิดสิทธิมนุษยชน
วิธีการในการฝึกอบรมจะต้องไม่ขัดต่อหลักศาสนาและวัฒนธรรมของประเทศนั้น
ๆ และที่สำคัญก็คือ
วิธีการฝึกอบรมจะต้องเป็นวิธีการที่สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้
9.
หลักสูตรการฝึกอบรมต้องเป็นหลักสูตรที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ในสถานการณ์จริง
และเป็นการรวบรวมเทคนิควิธีการที่ทำให้เกิดการเรียนรู้และสามารถนำไปใช้ได้
ในกรณีที่หลักสูตรสิทธิมนุษยชนมีผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมในหลักสูตร
ผู้จัดทำหลักสูตรจะต้องยกกรณีศึกษา
หรือมีการยกเหตุการณ์สมมุติที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงให้ผู้พิพากษาตอบแนวทางการตัดสินคดีตัวอย่าง
หรือในกรณีของตำรวจก็จะเป็นการยกกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมการสืบสวนและสอบสวนโดยจะถามถึงแนวทางแก้ปัญหาเมื่อเกิดการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนในขอบเขตหน้าที่ของตำรวจ
ในการดำเนินการฝึกอบรมให้ความรู้
วิทยากรควรหลีกเลี่ยงที่จะยกตัวอย่างวิธีการทรมานร่างกาย
การปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยมและหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
วิธีการที่ควรนำมาใช้ควรจะเริ่มโดยใช้การอภิปรายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการก่ออาชญากรรมสำคัญในระดับนานาชาติ
ระดับกลุ่มภูมิภาค และระดับประเทศ และพฤติกรรมเช่นนี้
สมควรที่จะได้รับการลงโทษ
10.
สื่อการสอน/ฝึกอบรมควรเป็นสิ่งที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
ควรมีการวางเนื้อหา/สื่อการสอนในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายผู้เข้ารับการ
อบรมก่อนที่จะดำเนินการฝึกอบรม
การจัดทำเอกสารประกอบการฝึกอบรมในเรื่องสิทธิมนุษยชนให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่จะฝึกอบรมและภาษาที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในชีวิตประจำวันถือว่าเป็นการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวของการฝึกอบรม
และเป็นการวางโครงสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมอย่างมีประสิทธิภาพ
11.
ควรมีการวางแผนในเรื่องการติดตามประเมินผลการฝึกอบรมตั้งแต่แรกเริ่มโครงการฝึกอบรม
กล่าวได้ว่าหากการฝึกอบรมหลักสูตรใด ๆ
ก็ตามที่ขาดการติดตามและประเมินผล ประสิทธิภาพของโครงการจะไม่เกิดขึ้น
การติดตามประเมินผลก่อให้เกิดการสนันสนุนและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
และโครงการติดตามและประเมินผลจะเป็นตัวเสนอแนะแก่วิทยากรและผู้วางนโยบายในการจัดหลักสูตรในการดำเนินการเพื่อรักษาระดับความต่อเนื่องและมาตราฐานการจัดฝึกอบรม
เทคนิควิธีการที่ใช้ในการติดตามประเมินผลมีมากมายหลายชนิด
อาทิเช่น การประชุมพบปะสังสรรค์ระหว่างผู้ที่สำเร็จการฝึกอบรมไปแล้ว
การออกจดหมายข่าวที่ชักจูงให้เกิดการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนประสบการณ์
การใช้แบบประเมินผล
และที่สำคัญในการติดตามประเมินผลทุกครั้งผู้ดำเนินโครงการจะต้องทำการติดต่อกับผู้เข้ารับการอบรมหลังจากที่เสร็จสิ้นหลักสูตรฝึกอบรมไปแล้ว
ทั้งนี้เพื่อที่จะตรวจสอบว่าผู้เข้ารับการอบรมได้นำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติหรือไม่เพียงใด
12.
การประเมินผลการฝึกอบรมเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะเป็นการค้นหาข้อผิดพลาดและนำข้อเสนอแนะที่ได้ไปพิจารณาดำเนินการ
การกำหนดตัวบุคคลในการทำหน้าที่ประเมินผลโครงการเป็นเรื่องสำคัญและควรมีการวางแผนตั้งแต่แรกเริ่มโครงการ
ทั่วไปแล้ว หน่วยงานที่ดำเนินการจัดฝึกอบรม ผู้เข้ารับการอบรม
และหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการฝึกอบรมจะไม่เป็นผู้เข้ามามีบทบาทในการประเมินผล
ในทางปฏิบัติ องค์การอิสระ
(เช่นองค์การ
NGOs
หรือสถาบันการศึกษาต่าง)
จะเป็นผู้รับหน้าที่ในการประเมินผลการฝึกอบรม
และเป็นผู้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขการดำเนินงานด้านต่าง ๆ
โดยมีหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง ประชาชน
และหน่วยงานระหว่างประเทศเป็นผู้ตรวจสอบข้อเสนอแนะต่าง
ๆที่จะนำไปปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
หน่วยงานที่มีลักษณะงานเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนควรให้ความร่วมมือเข้ารับการฝึกอบรม
ซึ่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์จากการเข้าร่วมฝึกอบรมของบุคคลากรจากหน่วยงานต่าง
ๆ
จะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในขณะนั้น
และเป็นการเสริมสร้างและพัฒนาจิตสำนึกในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน
รัฐบาลควรที่จะตรวจตราสอดส่องการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง
ๆ ว่ามีความสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนเพียงใด
และรัฐบาลควรให้รางวัลกับหน่วยงานที่มีการดำเนินงานสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน
ในขณะเดียวกันควรกำหนดมาตราการลงโทษหน่วยงานที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน
ซึ่งหากทำเช่นนี้แล้ว การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนก็จะประสบความสำเร็จ
ลุล่วงตามวัตถุประสงค์อย่างแน่นอน
จุฑารัตน์
สุวารี
แปลและเรียบเรียงจากหนังสือ
Amesty
International, International Secretaria (1998).
" a 12-Point Guide for Good Practice in the
training and Education for Human Rights of Government Officials",
London,
United Kingdom.
|