ทรัพย์สินของสามีภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1357 บัญญัติว่า
"ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
ผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากัน"
มาตรา
1457 บัญญัติว่า
"การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนสมรสแล้วเท่านั้น"
มาตรา
672 บัญญัติว่า
"ถ้าฝากเงิน
ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกัน
กับที่ฝาก
แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวน
อนึ่ง
ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้
แต่หากจำต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น
แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม
ผู้รับฝากก็จำต้องคืนเงินเป็นจำนวน
ดั่งว่านั้น"
มาตรา
306 บัญญัติว่า
"การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น
ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ
ท่านว่าไม่สมบูรณ์
อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอก
ได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้
หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น
คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้
ท่านว่าจักต้องทำเป็นหนังสือ
ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงินหรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับคำบอกกล่าว
หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้
ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้"
สามีภริยาที่อยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมกันทำมาหากินร่วมกัน
ได้เงินมาแล้ว
นำเข้าบัญชีเงินฝากที่มีชื่อภริยาเพียงลำพัง
ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเงินดังกล่าว
ศาลฎีกา
ได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่
620/2543 ว่า
ฉ.
อยู่กินฉันสามีภริยากับ
ช.
โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและได้ร่วมกันทำมาหากินโดยการปล่อย
เงินกู้
ซื้อขายที่ดิน
และเป็นนายหน้าขายที่ดิน
เงินในบัญชีเงินฝากประจำเป็นทรัพย์สินที่
ช. และ ฉ.
ทำมาหาได้ร่วมกันในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา
ช. และ ฉ.
จึงต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในเงิน
ดังกล่าวและต้องแบ่งให้คนละเท่า
ๆ กัน
โดยเป็นทรัพย์มรดกของ
ช. กึ่งหนึ่ง
และเป็นทรัพย์มรดก
ของ ฉ. กึ่งหนึ่ง
การที่
ฉ.
ฝากเงินประจำไว้แก่ธนาคารจำเลยที่
2
เงินที่ฝากประจำย่อมตกเป็นของจำเลยที่
2 จำเลยที่ 2
คงมีหน้าที่ต้องคืนเงินที่ฝากประจำให้ครบจำนวนเมื่อถึงกำหนดแก่
ฉ.
ฉ.
มีเจตนายกเงินในบัญชีเงินฝากประจำให้แก่จำเลยที่
1
และทำหนังสือถึงผู้จัดการจำเลยที่
2
ให้เพิ่มชื่อจำเลยที่
1
มีสิทธิถอนเงินและปิดบัญชีเงินฝากได้แทนการถอนเงินออกมาฝากใน
นามของจำเลยที่ 1
เนื่องจากเงินที่ฝากประจำยังไม่ครบกำหนด
หากถอนเงินในขณะนั้นจะไม่
ได้ดอกเบี้ย
ถือได้ว่า ฉ.
มีเจตนาโอนสิทธิเรียกร้องของ
ฉ.
ที่ฝากเงินไว้แก่จำเลยที่
2 ให้แก่
จำเลยที่ 1
ในลักษณะการโอนหนี้อันจะพึงชำระแก่เจ้าหนี้โดยเฉพาะเจาะจง
เมื่อได้มีการ
ปฏิบัติถูกต้องตาม ป.พ.พ.ม.306
วรรคหนึ่ง โดย ฉ.
ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อและบอกกล่าว
ไปยังจำเลยที่ 2
ซึ่งเป็นลูกหนี้แห่งสิทธิเรียกร้อง
การโอนสิทธิเรียกร้องในเงินฝากประจำของ
ฉ. ให้แก่จำเลยที่ 1
เป็นอันสมบูรณ์
สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เงินฝากประจำจึงตกเป็นของจำเลยที่
1
กรณีไม่ใช่เป็นเพียงมอบอำนาจให้จำเลยที่
1
มีสิทธิถอนเงินและปิดบัญชีเงินฝากแทน
ฉ.
เท่านั้น
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 2 หน้า 134)
Thailegal
18/01/44
|