พระภิกษุให้กู้ยืมเงิน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 150 บัญญัติว่า "การใดมีวัตถุประสงค์
เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
เป็นการพ้นวิสัย
หรือเป็นการขัดต่อความ
สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
การนั้นเป็นโมฆะ"
พระภิกษุให้ชาวบ้านกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยได้หรือไม่
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
3773/2538 ว่า
ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้พระภิกษุนำเงินส่วนตัวออกให้บุคคลกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย
พระภิกษุก็เป็นบุคคล
ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
ทั้งการให้กู้ยืมเงินเป็น
การสงเคราะห์ผู้เดือดร้อนได้ทางหนึ่ง
การที่โจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุให้จำเลยที่
1
กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
จึงไม่ขัดต่อกฎหมายและ
ศีลธรรมอันดีของประชาชน
โจทก์ย่อมมีสิทธินำสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องเรียกต้นเงิน
และดอกเบี้ยจากจำเลยที่
1 ได้
คดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโดยให้เหตุผลในการ
วินิจฉัยว่า "พระภิกษุเป็นผู้อยู่ใน
สถาบันอนาถา
ต้องทำตนให้เป็นคนเลี้ยงง่าย
ประทังชีวิต
อยู่เพียงปัจจัยสี่
คือ
บิณฑบาตหรืออาหารที่มีคนเขาถวายจีวร
เครื่องนุ่งห่มได้มาจากผ้าติดศพ
คิลาณเภสัชคือยารักษาโรคประกอบด้วยยาดอง
ด้วยน้ำมูตรเน่า กับ
เสนาสนะ
คืออยู่อาศัยตามโคนไม้
แม้จะอยู่กุฏิที่มีคนเขาถวาย
ก็ห้ามสร้างยาวเกิน
เก้าคืบพระสุคต
ฉะนั้นจึงไม่ต้องด้วยนโยบาย
ทางศาสนาที่
จะยอมให้เจริญโลภสะสมทรัพย์
แม้กฎหมายบ้านเมืองก็ห้ามไว้ชัด
ดังจะเห็น
ได้จากประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา
1622 วรรคหนึ่งที่ห้าม
พระภิกษุมาเรียกร้องทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรม
เว้นแต่จะสึกจาก สมณเพศแล้วจึงมาเรียกร้องภายใน
อายุความ
ทั้งตามพระธรรมวินัย
เงินทองถือ เป็นนิสสัคคีย์
พระภิกษุรับหรือยินดี
เงินทองที่เขาเก็บไว้ให้
เป็นอาบัติปาจิตตีย์
ฉะนั้นการที่โจทก์เอาเงินส่วนตัวของ
โจทก์ให้ชาวบ้านกู้คิดดอกเบี้ย
จึงเป็นเรื่อง
ที่ขัดต่อศีลธรรมอันดี"
(วินิจฉัยและหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาโดย
ท่านประทีป
อ่าววิจิตรกุล)
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาต
จากศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ.
ม.223 ทวิ
แล้วศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำพิพากษา
ศาลชั้นต้น
ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานและทำคำพิพากษาใหม่ตาม
รูปคดี
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2538 เล่ม 6 หน้า 212)
|