ศาลลดดอกเบี้ยของธนาคารได้หรือไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 379 บัญญัติว่า
"ถ้าลูกหนี้สัญญาแก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้
ก็ดีหรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรก็ดี
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็ให้ริบเบี้ยปรับถ้าการ
ชำระหนี้อันจะพึงทำนั้นได้แก่งดเว้นการอันใดอันหนึ่งหากทำการฝ่าฝืนมูลหนี้เมื่อ
ใดก็ให้ริบเบี้ยปรับเมื่อนั้น"
มาตรา
383 "ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน
ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้
ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น
ท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้
ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน
เมื่อได้ใช้
เงินตามเบี้ยปรับแล้ว
สิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไป
นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในมาตรา
379 และ 382
ท่านให้ใช้วิธีเดียวกันนี้บังคับ
ใน
เมื่อบุคคลสัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนกระทำหรืองดเว้นกระทำการอันหนึ่งอันใด
นั้นด้วย"
อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารประกาศกำหนดเรียกเก็บจากลูกหนี้ที่ผิดนัดหรือผิดเงื่อนไข
ถือเป็นเบี้ยปรับหรือไม่
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่
132/2534 ว่า
อัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงินกำหนดไว้
2 อัตรา
คิดอัตราสูงสุดกรณีผู้กู้มิได้
ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตามสัญญา
และอัตราสูงสุดกรณีผู้กู้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขตาม
สัญญา
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยทั้งสองดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงโดยเพิ่มหรือลดได้
ตามที่โจทก์ผู้ให้กู้จะประกาศกำหนดเป็นคราว
ๆ
เมื่อตามสัญญาดอกเบี้ยสูงสุด
ผิดเงื่อนไขมีอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยสูงสุดไม่ผิดเงื่อนไข
แสดงให้เห็นเจตนาของ
โจทก์และจำเลยคู่สัญญาประสงค์จะให้อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นค่าเสียหาย
แก่โจทก์ในกรณีที่จำเลยผิดนัดหรือผิดเงื่อนไขตามสัญญาโดยกำหนดเป็น
ค่าเสียหายล่วงหน้าในรูปของดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
จึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตาม
ป.พ.พ.ม.379
หากสูงเกินส่วน
ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม
ม.383 วรรคหนึ่ง
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 1 หน้า 55)
Thailegal
16/11/43
|