ร้องขัดทรัพย์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 288 วาง
หลักกฎหมายไว้ว่า
ถ้าบุคคลใดกล่าวอ้างว่าจำเลยหรือลูกหนี้ตาม
คำพิพากษาไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้
ก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินเช่นว่านี้ออกขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดย
วิธีอื่น
บุคคลนั้นอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ปล่อย
ทรัพย์สินเช่นว่านั้น
ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่าเป็นการร้องขัดทรัพย์
ภริยาได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวหลังจากจด
ทะเบียนหย่ากับสามีแล้ว
ต่อมาเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ไปยึดที่ดินและ
ตึกแถวของภริยาดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ของสามี
ภริยาจึงยื่นคำร้องขัดทรัพย์ต่อศาล
อ้างว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของ
ภริยาเพียงผู้เดียว
สามีมีชื่อในทะเบียนบ้านในฐานะเจ้าบ้าน
แต่อยู่
ในฐานะผู้อาศัย
โจทก์ไม่มีสิทธิยึด
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเป็นคำพิพากษาศาลฎีกาที่
9033/2542
เกี่ยวกับกรณีนี้ว่า
ผู้ร้อง(ภริยา)
กับจำเลย(สามี)
เป็นสามีภริยากันและร่วมกัน
ประกอบกิจการค้าขาย
ต่อมาผู้ร้องกับจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน
แต่
ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยาและประกอบกิจการค้าขายร่วมกัน
ระหว่างนั้น
ผู้ร้องได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาท
ผู้ร้องกับจำเลยและ
บุตรเข้าอยู่ในตึกแถวพิพาท
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ
จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินพิพาทเพื่อขายทอดตลาด
ชำระหนี้แก่โจทก์
ดังนี้
แม้ทรัพย์สินพิพาทจะได้มาภายหลังการหย่า
ทรัพย์สินดังกล่าวย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์รวมของผู้ร้องกับจำเลย
โจทก์
ย่อมมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์สินพิพาทเพื่อนำออกขายทอดตลาดได้
ผู้ร้อง
ไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยการยึดทรัพย์สินพิพาท
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลการ
เล่ม 12 หน้า 201)
|