ผู้เสียหายคดีเช็ค
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 2(4)
วางหลักกฎหมายไว้ว่า
คำว่า "ผู้เสียหาย"
หมายถึงผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง
รวมทั้งผู้ที่มีอำนาจจัดการแทนได้ดังบัญญัติไว้ในมาตรา
4,5 และ 6
หลักเกณฑ์ในการเป็นผู้เสียหาย
ก็คือ
1.
มีการกระทำความผิดทางอาญาฐานใดฐานหนึ่งเกิดขึ้น
2.
บุคคลนั้นได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญาดังกล่าว
3.
บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
หมายถึงผู้เสียหายจะต้องไม่ได้ร่วม
หรือใช้ให้กระทำความผิดไม่มีส่วนในการกระทำความผิดหรือรู้เห็นสนับสนุนใน
การกระทำความผิดด้วย
เช็คที่รวมเอาดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในอัตราร้อยละ
10 ต่อเดือนเข้าไปด้วย
ผู้ทรงเช็ค
มีสิทธิดำเนินตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ
ได้หรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยในคำพิพากษาศาลฎีกาที่
30/2543 ว่า
จำนวนเงินในเช็คพิพาทได้รวมดอกเบี้ยเงินกู้ยืมในอัตราร้อยละ
10 ต่อเดือนเข้า
ไว้ด้วยกัน
ซึ่งเป็นการต้องห้ามตาม
พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
พ.ศ.2475 มาตรา 3(1)
ประกอบด้วย ป.พ.พ. ม.654
การที่ผู้เสียหายรับเช็คพิพาทจากจำเลย
เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมซึ่งมีดอกเบี้ยที่ผู้เสียหายคิดเกินอัตราตามกฎหมายรวมอยู่ด้วย
ถือได้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้กระทำผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่ผู้เสียหายคิดเกินอัตราตาม
กฎหมาย ดังนั้น
แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท
ก็จะถือว่าผู้เสียหาย
เป็นผู้ทรงโดยชอบและเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม
ป.วิ.อ. ม.2(4) ไม่ได้
ผู้เสียหายจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ตาม
ม.3(1)
การสอบสวนของพนักงานสอบสวน
จึงเป็นไปโดยไม่ชอบและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตาม
ม.120,121
(คำพิพากษาศาลฎีกาของสำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ปี 2543 เล่ม 2 หน้า 5)
Thailegal
16/11/43
|