กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ข้อ
8. แม้ ป.พ.พ.ม.1557(3)
บัญญัติให้การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผลนับแต่วันมี
คำพิพากษาถึงที่สุดก็ตาม
แต่เมื่อนางบ่ายในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงเย็นได้ร้องขอ
ให้ศาลมีคำสั่งว่าเด็กหญิงเย็นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายเช้าภายหลังจากนายเช้าตายได้
10 เดือน
อันอยู่ภายในกำหนดอายุความฟ้องคดีมรดกตาม
ม.1754 วรรคหนึ่ง
และศาลได้มี
คำสั่งถึงที่สุดว่าเด็กหญิงเย็นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายเช้าแล้ว
กรณีจึงต้องด้วย ม.1558
วรรคหนึ่ง
เด็กหญิงเย็นจึงมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมของนายเช้าได้
ส่วนนางสายคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่
แม้จะเป็นทายาทโดยธรรมของนายเช้าตาม
ป.พ.พ.ม.1629 วรรคท้ายก็ตาม
แต่เมื่อนางสายต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทำให้นายเช้าเจ้ามรดก
ถึงแก่ความตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
นางสายจึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร
ตาม ม.1606(1)
เมื่อนายเช้าไม่มีญาติอื่นนอกจากนี้อีกแล้ว
มรดกของนายเช้าทั้งหมดจึง
ตกทอดแก่เด็กหญิงเย็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายเช้าซึ่งเป็นทายาทตาม
ม.1629(1) แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อปรากฏว่าภายหลังได้แบ่งสินสมรสระหว่างนายเช้ากับนางสายแล้ว
มีสินสมรสส่วนของนายเช้า
เป็นเงิน 300,000 บาท
สินสมรสส่วนของนายเช้าดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่เด็กหญิงเย็น
ส่วนสิทธิที่จะได้รับเงินชดเชยตามข้อบังคับของบริษัทที่จ่ายให้แก่พนักงานที่เสียชีวิตนั้น
เป็นสิทธิ
ที่เกิดขึ้นเนื่องจากความตายของนายเช้า
มิใช่เป็นทรัพย์สินที่นายเช้ามีอยู่แล้วในระหว่างมีชีวิต
หรือขณะถึงแก่ความตาย
จึงมิใช่กองมรดกของนายเช้าที่จะตกทอดแก่ทายาทตาม
ป.พ.พ. ม.1599,1600 (ฎ.4714/2542)
แต่อย่างไรก็ดี
กรณีดังกล่าว
หากข้อบังคับของบริษัทไม่ได้ระบุ
ผู้รับประโยชน์ไว้
เด็กหญิงเย็นก็ย่อมได้รับเงินชดเชย
100,000 บาท
เสมือนหนึ่งเป็นมรดกโดย
กฎหมายว่าด้วยมรดกในฐานะเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม
ป.พ.พ.ม.4 วรรคสอง
Thailegal
17/01/44
|