ชีวิตและผลงาน พระุพุทธพจน์วราภรณ์ (จันทร์ กุสโล) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ |
คำนำ
|
||
ถิ่นกำเนิด ณ เรือนไม้อันร่มรื่น ริมน้ำปิง บ้านท่ากองิ้ว ตำบลปากบ่อง อำเภอปากซาง จังหวัดลำพูน ตรงกับปีพุทธศักราช ๒๔๖๐ นายนารินต๊ะ กับ นางแสงทอง ผู้ภรรยา ได้มีโอกาสรับขวัญ ทายาทคนที่ ๖ ท่ามกลางความปิติยินดี ของพี่ชายและพี่สาวทั้ง ๕ ในวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เืดือน ๑ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ปีมะเส็ง ทารากชายสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ผิวพรรณ สะอาดหมดจด มีนามว่า " เด็กชาย จันทร์ แสงทอง"
|
||
ปฐมวัย หลังจากที่โยมบิดา-มารดา แต่งงานกันไป ได้ไปทำการค้าขายอยู่ที่ตลาดท่ากองิ้ว ตำบล ปากบ่อง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน จนให้กำเนิดบุตรชายคนสุดท้อง (พระพุทธพจน์วราภรณ์) เมื่อท่่านอายุได้ ๘ เดือน โยมบิดาได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคระบาดคือ กาฬโรค หลังจากโยมบิดาเสียชีวิตแล้ว มารดาได้ย้ายครอบครัว มาอยู่ในตลาดเมืองลำพูน ทำกิจการค้าขาย ซึ่งต่อมาเมื่อไม่อาจที่จำดำเนินการค้าขายได้อีกต่อไป จึงได้ย้ายไปอยู่ที่บ้าน ป่าแดด ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เนื่องจากมีปัญา และอุปสรรคทางชีวิตครอบ ครัว คือโยมบิดาเสียชีวิตและต้องย้ายที่อยู่บ่อย จึงทำให้โอกาสทางการศึกษาผ่านไป จนกระทั่งอายุเลยเกณฑ์ภาคบังคับ ( โรงเรียนในสมัยนั้น ถ้าเด็กอายุเลยเกณฑ์แล้ว จะไม่รับ เข้าเรียน) ท่านจึงต้องใช้ชีวิตอยู่แบบชาวบ้าน ที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษา ต้องช่วยโยมมารดา ทำงานตามฐานะ คือเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ท่านเล่าให้ฟังว่า สถานที่เลี้ยงวัวเลี้ยงควายของท่าน ในสมัยเด็กๆ นั้นคือบริเวณทางรถไฟตั้งแต่แม่น้ำกวง เรื่อยไปจนถึงบริเวณดอยติ (อนุสาวรีย์ ครูบาศรีวิชัย ในปัจจุบัน) เมื่อปี พุทธศักราช ๒๔๗๔ เมื่อท่านอายุย่างเข้า ๑๔ ปี โยมมารดาได้พากันไปฝากเป็น ศิษย์วัดป่าแดด ตำบลเวียงยอง จังหวัดลำพูน เป็นศิษย์วัดร่วมกับพี่ชาย ( นายบุญปั๋น) ซึ่งบวช เป็นสามเณรอยู่ที่นั่น ท่านได้มีโอกาสเรียนอักษรพื้นเมือง ท่องบทสวดเจ็ดตำนาน และคำขอ บวชเพื่อเตรียมรตัวบวชเป็นสามเณร ในระหว่างเป็นศิษย์วัด ท่านเล่าให้ฟังว่า ลูกศิษย์ที่เป็น เพื่อนๆกัน เมื่อพวกเขาได้รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ได้ไปโรงเรียนกันหมด ส่วนตัวท่าน ไม่ได้ไปเรียน เนื่องจากอายุเลยเกณฑ์ เลยต้องทำหน้าที่ขโยม(เป็นภาษาเหนือ หมายถึง ศิษย์วัด) ไปเก็บอาหารจากชาวบ้าน มาถวายท่านสมภาร ประมาณเดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ขณะที่ท่่านกำลังตัดไม่ไผ่จะทำรั่ว พี่ชายได้มา ตามให้ไปอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงๆ เนื่องจากญาติที่อยู่ในเมืองลำพูนจะบวชเป็นสามเณรอยู่ที่นั่น ท่านจึังได้มีโอกาสเข้ามาเป็นศิษย์วัดเจดีย์หลวงๆ โดยได้รับการศึกษาชชั้นเตรียม(ก่อนเรียน ชั้นประถม) นับเป็นการเิริ่มต้นเรียนภาษาไทยของท่่าน ที่โีรงเรียนพุทธโสภณ ( ซึ่งในสมัย ตั้งอยู่ในวัดเจดีย์หลวงๆ ทางด้านเหนือของวิหาร ตรงที่เป็นศาลาเอนกประสงค์ ในปัจจุบัน) เป็นเวลาประมาณ ๔ เดือน พออ่านออกเขียนได้แล้ว ท่านพระครูสังฆรักษ์(แหวว ) ( ต่อมา ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระพุทธโสภณ) เห็นว่าอายุมากแล้ว จึงให้บรรพชาเป็นสามเณร นับว่า เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่ศาสนา
|
||
บรรพชา ท่านได้ทำการบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระครูนพีสีลพิศาล คุณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์
|
||
|
อุปสมบท เมื่อท่านมีอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้ทำการอุปสมบท เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พศ.๒๔๘๐ ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีพระพุทธโสภณ (แหวว) วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เป็นพระอุปั็ฌชาย์, พระญาณดิลก(สมเด็จพระมหาวีรวงศ์, พิมพ์ ธมฺมธโร วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพๆ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์, พระครูพุทธิโสภณ(บุญปั๋น) วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร, เป็นพระอนุสานาจารย์ ได้รับฉายว่า "กุสโล"
|
|
การศึกษา ในปีพ.ศ.๒๔๗๔ ท่านได้เข้าเรียนภาษาไทยที่โรงเรียนพุทธิืโสภณ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณ วัดเจดีย์หลวงๆ ด้วยความที่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย พูดจาสุภาพอ่อนน้อม กิริยามารยาท เรียบร้อย มีความมะนะพยายามขยันท่องบ่น สวดมนต์ และเรียนนักธรรม ซึ่งท่่านสอบ นักธรรมตรีได้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ , ในปี พ.ศ.๒๔๗๗ สอบได้บาลีไวยกรณ์, ในปีพ.ศ.๒๔๗๘ สอบได้นักธรรมโท, ในปี พ.ศ.๒๔๘๑ ท่านได้ย้ายไปเรียนที่วัดบรมนิวาส ที่กรุงเทพๆ สอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค, ในปี พ.ศ.๒๔๘๒ สอบได้นักธรรมเอก และ เปรียญธรรม ๔ ประโยค, ในปี พ.ศ.๒๔๘๓ ท่านได้ย้ายกลับมาจำพรรษาอยู่ทีวัดเจดีย์หลวง วรวิหาร และสอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค หลังจากนั้นท่านได้พยายามลงไปสอบเปรียญ ธรรม ๖ ประโยค ที่กรุงเทพๆ อยู่หลายปี แต่ไม่ผ่าน เนื่องจากในสมัยนั้นเต็มไปด้วยปัญหา อุปสรรคนานัปการ เพราะว่าอยู่ช่วงของสงครามโลก อีกทั้งการติดต่อสื่อสารกันลำบากมาก โดยเฉพาะการเดินทางจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพๆ
|
||
การไ้ด้รับสมณศักดิ์ วัี่นที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๖ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ " พระครูวินัยโกศล"
|
||
ตำแหน่งงานทางศาสนา พ.ศ.๒๔๘๗ * พ.ศ.๒๕๑๔ * พ.ศ.๒๕๑๖ * พ.ศ.๒๕๒๒ * พ.ศ.๒๕๒๔ * พ.ศ.๒๕๓๐ * พ.ศ.๒๕๓๔ * พ.ศ.๒๕๓๕ * พ.ศ.๒๕๓๖ * พ.ศ.๒๕๓๗
|
||
|
ตำแหน่งงานอื่นๆ(จนถึงปัจจุบัน) * พ.ศ.๒๕๐๒ * พ.ศ.๒๕๑๗ * พ.ศ.๒๕๑๘ * พ.ศ.๒๕๒๑ * พ.ศ.๒๕๒๕ * พ.ศ.๒๕๒๖ * พ.ศ.๒๕๒๗ * พ.ศ.๒๕๓๒ * พ.ศ.๒๕๓๔ * พ.ศ.๒๕๓๕ |
|
|
ประสพการณ์ และการเผยแพร่ผลงาน * พ.ศ.๒๔๘๑ * พ.ศ.๒๔๙๘ * พ.ศ.๒๕๐๓ * พ.ศ.๒๕๐๔ * พ.ศ.๒๕๒๕ * พ.ศ.๒๕๒๘ * พ.ศ.๒๕๒๙ * พ.ศ.๒๕๓๒ * พ.ศ.๒๕๓๓
|
|
|
ในประเทศไทย * พ.ศ.๒๔๙๔ * พ.ศ.๒๔๙๖ * พ.ศ.๒๕๑๓ * พ.ศ.๒๕๒๗
|
|
ต่างประเทศ * พ.ศ.๒๔๙๙ * พ.ศ.๒๕๒๓ * พ.ศ.๒๕๒๓ * พ.ศ.๒๕๒๕
|
||
การไปศึกษาและดูงานด้านศาสนาในค่างประเทศ * พ.ศ.๒๔๙๗ และ ๒๔๙๘ * พ.ศ.๒๕๑๐ และ๒๕๓๕ * พ.ศ.๒๕๑๑ * พ.ศ.๒๕๒๕ * พ.ศ.๒๕๒๖ และ ๒๕๒๙ * พ.ศ.๒๕๓๑ * พ.ศ.๒๕๓๗ * พ.ศ.๒๕๓๙ * พ.ศ.๒๕๔๐
|
||
การพัฒนาการศึกษาและชนบท * พ.ศ.๒๕๐๒ * พ.ศ.๒๕๓๔ |
||
สิ่งพิมพ์ * พ.ศ.๒๕๐๐ * พ.ศ.๒๕๐๓ * พ.ศ.๒๕๐๙,๒๕๒๒, และ๒๕๒๔ * พ.ศ.๒๕๐๙ * พ.ศ.๒๕๑๒ * พ.ศ.๒๕๒๔ * พ.ศ.๒๕๒๘ * พ.ศ.๒๔๓๐ * พ.ศ.๒๕๓๕ * พ.ศ.๒๕๓๖ * พ.ศ.๒๕๓๗ * พ.ศ.๒๕๓๙ * พ.ศ.๒๕๔๐ * พ.ศ.๒๔๙๔ จนถึงปัจจุบัน
|
||
|
ผลงานดีเด่น * พ.ศ.๒๕๐๒ ถึงปัจจุบัน * พ.ศ.๒๕๐๔ ถึงปัจจุบัน
|
|
|
งานพัฒนาชนบท ริเริ่มงานพัฒนาชนบทแบบผสมผสานและครบวงจร ในระดับหมู่บ้านของ ๓ จังหวัด ภาคเหนือ เชียงใหม่-ลำพูน -แม่ฮ่องสอน คือการก่อตั้งมูลนิธิศึกษาพัฒนาชนบท * พ.ศ.๒๕๒๓ * พ.ศ.๒๕๒๔ * พ.ศ.๒๕๒๕ * พ.ศ.๒๕๒๘ * พ.ศ.๒๕๓๐ * พ.ศ.๒๕๓๒ * พ.ศ.๒๕๓๒ ประเภทส่งเสริมและพัฒนาชุมชน โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา พ.ศ.๒๕๓๒ ในพระสสังฆราชูปถัมภ์ ซึ่งได้รับการมอบหมายจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเ็ด็จพระสังฆราช สกลมาหสังฆปรินายก ประธานคณะกรรมการจัดงานฝ่ายบรรพชิต และพลเอกเชาวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก รักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด ประธานคณะกรรมการ จัดงานฝ่ายคฤหัสถ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาๆ สยามบรมราชกุมารี เสด็จมาพระราชทาน รางวัล ที่กองอำนวยการบริเวณปะรำพิธี ท้องสนามหลวง กรุงเทพๆ ในวันเสาร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๒ เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติที่พระธรรมดิลก เป็นตัวอย่่างอันดีแก่สังคม และเยาวชนของชาติ และช่วยส่งเสริม สนับสนุนงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้มั่นคง สถาพร สืบไป * พ.ศ.๒๕๓๓ * พ.ศ.๒๕๓๔ * พ.ศ.๒๕๓๕ * พ.ศ.๒๕๓๘
(รวบรวมและเรียบเรียงเพิ่มเติมจากต้นฉบับเดิม ของ ดร.วันเพ็ญ สุรฤกษ์ หนังสือที่ระลึก ๗๒ ปี พระเทพกวี
|
|
HOME |