ฐานิยปูชา
ธรรมะของจริง
ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มานั่งหลับตานึกเอาคิดเอา แล้วก็มาจัดเป็นศาสนา

มันเป็นความรู้ที่พระองค์ได้ทดสอบมาด้วยตนเอง เช่นอย่างว่า ทำสิ่งนี้มันเป็นบาป พระองค์ก็ได้ทดสอบมาแล้ว พระองค์ได้ทำมาด้วยตนเองแล้วก็ไปรับผลบาปมาด้วยตนเอง ทำสิ่งนี้เป็นบุญ พระองค์ก็ทำมาด้วยตนเองแล้วก็ได้รับผลบุญด้วยตนเองมาแล้ว ทรงเอาสิ่งที่พระองค์เคยผ่านมาแล้วมาสอนเรา

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอดีตคือปุพเพนิวาสานุสติญาณว่า ในอดีตพระองค์เคยทำอะไรมาแล้วได้รับความทุกข์ความสุขอย่างไร

ตรัสรู้เรื่องปัจจุบัน ในปัจจุบันประพฤติธรรมอะไรเป็นหลักจึงจะอยู่ด้วยกันโดยสันติสุข พระองค์รู้แล้ว

พระองค์ได้ประทานศีล ๕ กับเมตตาพรหมวิหารให้ ถ้าใครอยากอยู่เย็นเป็นสุขในภพปัจจุบัน ให้ยึดธรรม ๒ ข้อนี้เป็นหลักปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้กฎธรรมชาติ
ธรรมะของพระพุทธเจ้า
ที่พระพุทธเจ้ารู้
คือสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่โดยธรรมชาติ


สิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่โดยธรรมชาตินั้น พระพุทธเจ้ารู้ว่า
เราจะเอาประโยชน์จากธรรมชาตินั้นอย่างไร
ธรรมชาติที่นักวิทยาศาสตร์เขาวิจัยออกมาแล้ว
เขาค้นคว้าเอามาทำประโยชน์ได้
อันนั้นพระพุทธเจ้าท่านรู้ แต่พระองค์ไม่สอน
เพราะพระองค์เชื่อว่ายังมีคนสามารถที่จะค้นพบได้อยู่

แต่ธรรมะที่เป็นอมตะ
คือพระนิพพาน
นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียว ไม่มีใครค้นพบ

พระองค์จึงสอนแต่ทางปฏิบัติให้หลุดพ้นและทำความสุขให้แก่สังคม
อมตธรรม
ธรรมะที่ชื่อว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
บางอย่างอาจมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าเกิดก็ได้
ธรรมะที่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนั้นหมายถึง สภาวธรรม

กฎธรรมชาติของสภาวธรรมที่จะพึงเป็นไปตามกฎแห่งความเป็นจริง เราเรียกว่า กฎพระไตรลักษณ์ หมายถึง…
อนิจจตา - ความไม่เที่ยง
ทุกขตา - ความเป็นทุกข์
อนัตตตา - ความไม่เป็นตัวของตัว หรือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนตามที่ภาษาวิทยาศาสตร์เขาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้
ย่อมมีปรากฏการณ์ขึ้นในเบื้องต้น
ทรงตัวอยู่ขณะหนึ่ง
ในที่สุดย่อมสลายตัว
สภาวธรรมอันนี้
พระพุทธเจ้าจะเกิดก็ตาม ไม่เกิดก็ตาม
จะมีก็ตาม ไม่มีก็ตาม
เขาก็ย่อมมีอยู่โดยธรรมชาติมาแล้วแต่ไหนแต่ไรมา
พระพุทธเจ้าสอนให้เรารักกัน
เมื่อเรามาพิจารณาดูกันให้ถ่องแท้ ได้ความว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมะ ปลูกฝังความรักให้เกิดมีในจิตในใจทุกคน เพราะในเบื้องต้นท่านจะว่า

อย่าฆ่ากัน
อย่าเบียดเบียนกัน
อย่าข่มเหงกัน
อย่ารังแกกัน
จงแผ่เมตตา

คือ “ขอสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นผู้มีความสุขกายสุขใจ อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงรักษาตนให้พ้นภัยทั้งปวงเถิด”
นี่เป็นหลักแสดงให้เห็นได้ชัดว่า พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีความรักกัน มีความเมตตาปรานีต่อกันเพื่อตัดปัญหาที่จะต้องไปหวาดระแวงภัย

เมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว
คุณธรรมคือศีล ๕ นี้แหละ
จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยของสังคม
เป็นคุณธรรมตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม
เป็นคุณธรรมบั่นทอนกำลังกิเลสให้น้อยลงหรือหมดไป
เป็นคุณธรรมปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์
กลับหน้าหลัก