1.รู้ความไวแสงฟิล์ม
(film speed)
ฟิล์มชนิดขาว-ดำ
และฟิล์มสี
ตามปกติจะมีเลขบอกอัตรา
หรือบอกหน่วยความไวแสงไว้ให้ที่กล่องของฟิล์มแต่ละชนิด
ยกเว้นฟิล์มบางประเภทที่ผลิตสำหรับช่างภาพอาชีพจะบอกเป็นเลขรหัสเท่านั้น
เมื่อซื้อฟิล์ม
สิ่งที่ต้องดูอันดับแรกคือ
จะต้องดูเลขบอกความไวแสงฟิล์ม
ซึ่งจะมีบอกไว้ที่ข้างกล่องฟิล์มเสมอ
ตามปกติเลขบอกอัตราความไวแสงฟิล์มมีอยู่หลายระบบด้วยกัน
เช่น
ASA (American Standards Association) หรือ DIN (Deutsche
Industrie Norm)
เลขแต่ละอัตราหรือแต่ละระบบ
จะบอกควบคู่กันไปทั้งตัวเลขและตัวอักษร
เช่น ASA 100, DIN 21 หรือ ASA 125, DIN 22
ดังนี้เป็นต้น
ในปัจจุบันผู้ผลิตฟิล์มได้มีข้อตกลงให้ใช้เป็นหน่วยเดียวกัน
คือ ISO ย่อมาจากคำว่า
International Standards Organization
อัตราความไวแสงฟิล์มที่ต้องการให้ดูนี้
เป็นตัวเลขบอกให้รู้ว่าฟิล์มม้วนนั้นจะสามารถรับแสงได้มากน้อยเพียงใด
ถ้ารับได้น้อยจะบอกเป็นตัวเลขอัตราต่ำ
เช่น ISO 25,ISO 32 และค่อย ๆ
มากขึ้นไปตามลำตับ
เรื่องของตัวเลขหรือเรื่องของอัตราความไวแสงนี้
ถ้าจะเปรียบเทียบคล้ายกับขวดหรือแก้วที่บรรจุน้ำเหมือนกัน
เช่น
ขวดใบหนึ่งใช้บรรจุน้ำได้
200 ซีซี.
ฟิล์มขนาดนี้รับแสงได้ ISO
200 เป็นต้น
เมื่อรู้อัตราบรรจุ
หรืออันครารับแสงได้เช่นนี้แล้ว
เรื่องต่อไปจะต้องหาวิธีการบรรจุแสงลงฟิล์มการบรรจุแสงลงฟิล์มคือ
การถ่ายภาพดีๆ
นั่นเองและเครื่องมือถ่ายภาพอย่างสำคัญคือกล้องถ่ายภาพ
การที่จะรู้วิธีบรรจุแสงลงฟิล์มได้
จะต้องรู้เรื่องกลไกการทำงานของกล้องถ่ายภาพเป็นสำคัญ
ซึ่งเรื่องในนี้ตอนเริ่มต้น
ขอให้รู้แต่เพียงสิ่งจำเป็นตามลำดับ |
|
 |
|
2.ความไวชัตเตอร์
(shutter speed)
กล้องถ่ายภาพชนิดที่ดี
จำเป็นต้องมีเลขบอกอัตราความเร็วชัตเตอร์ไว้ให้
แต่สำหรับกล้องถ่ายภาพจำพวกกล้องที่ให้เด็ก
ๆ ใช้ และกล้องสมัยใหม่
ที่มีเครื่องถ่ายภาพแบบอัตโนมัติ
เช่นกล้องประเภท Electro
กล้อง Instamatic กล้อง Auto
จะไม่มีเลขบอกให้รู้
ตัวเลขที่บอกความเร็วชัตเตอร์มีอยู่สองระบบ
แบบหนึ่งให้สำหรับเครื่องชัตเตอร์หน้า
(leaf shutter, shutter blade)
จะทำเป็นขอบหรือวงแหวนรอบกระบอกเลนส์
กับอีกชนิดหนึ่งเป็นชัตเตอร์หลัง
ชนิดผ้าดำหรือแผ่นโลหะบาง
(focal-plane shutter)
ตัวเลขบอกความเร็วทำเป็นแป้นหมุนอยู่บนกล้องด้านขวา
แล้วมีคัวเลขบอกอัตราความเร็วชัตเตอร์อยู่บนแป้นนั้น
อัตราที่ใช้เป็นความเร็วชัตเตอร์กำหนดเป็นตัวเลข
เมื่อผู้ใช้จะใช้อัตราใด
ให้หมุนตัวอักษรลงมาให้ตรงกับเครื่องหมายหัวลูกศร
หรือเครื่องหมายสามเหลี่ยม
หรือเครื่องหมายเส้นตรง
ตัวอักษรความเร็วชัตเตอร์มีอยู่
2 ตัว คือตัว T และตัว B
กล้องบางกล้องจะมีเพียงตัว
B เพียงตัวเดียว
บางกล้องมี 2 ตัว
และบางกล้องไม่มีเลยทั้ง
2 ตัว
เครื่องหมาย T ย่อมาจาก Time
แปลว่า เวลา การใช้ชัตเตอร์นี้
จำเป็นต้องตั้งกล้องให้นิ่งเวลาใช้ให้กดปุ่มลั่นไกซัตเตอร์แล้วใบชัตเตอร์จะเปิด
เมื่อเปิดแล้วก็ปล่อยให้แสงสว่างผ่านเลนส์เข้ากล้องได้ตามเวลาที่ต้องการ
เมื่อครบเวลาแล้วจึงกดไกชัตเตอร์อีกครั้ง
ใบชัตเตอร์จะปิด การใช้ชัตเตอร์
T นิยมใช้ถ่ายภาพในที่มืด
ที่มีแสงสว่างน้อย
จึงต้องเปิดให้แสงสว่างเข้าบรรจุในฟิล์มนาน
ๆ
พอคะเนว่าแสงเข้ากล้องเต็มฟิล์มแล้วจึงกดปุ่มลั่นไก
ใบชัตเตอร์จะปิด
เครื่องหมาย B
ย่อมาจากคำว่า Brief Time หรือ Bulb
ใช้ถ่ายในกรณีคล้ายกับชัตเตอร์
T แต่เวลาอาจจะสั้นกว่า
หรือใช้แทนชัตเตอร์ T
ในกรณีที่กล้องนั้นไม่มีชัตเตอร์
T
การทำงานของชัตเตอร์ B
ต้องอาศัยการใช้สายลั่นไก
(cable release)
ขันเกลียวปุ่มลั่นไกแล้วตั้งกล้องให้นิ่ง
พอกดลั่นไกชัตเตอร์ระหว่างที่กดปุ่มอยู่นั้นใบชัตเตอร์จะเปิดให้แสงเข้ากล้องได้ตลอดเวลาพอปล่อยไกใบชัตเตอร์จึงปิด
เครื่องหมายตัวเลขส่วนมากจะเริ่มจากตัว
1 คือ ใบชัตเตอร์จะเปิดให้แสงผ่านแลนส์เป็นเวลา
1 วินาที และต่อไปคือ 2
และมากขึ้นทีละเท่าตัวคือ
4, 8, 16, 30, 60, 125, 250, 500
เลขเหล่านี้เป็นความเร็วเศษส่วนของวินาทีทุกอัตรา
เช่น 1/125 วินาที, 1/250 วินาที
แต่การที่ไม่เขียนที่กล้องเป็นเพราะไม่มีเนื้อที่
จึงจำเป็นต้องละไว้ให้เข้าใจกันเอง
เวลาเขียนบันทึกแสดงรายละเอียดการถ่ายภาพ
ผู้ถ่ายจะต้องเขียนแสดงเศษส่วน
และบอกเป็นวินาที
ให้เต็มที่ทุกครั้งด้วยและอีกประการหนึ่งสำหรับอัตราความเร็วที่ใช้สำหรับชัตเตอร์หน้าส่วนมากจะมีเพียงอัตรา
1/300 1/500 วินาที
แต่ถ้าเป็นกล้องชัตเตอร์ม่านจะมีถึง
1/1,000 ?,000 วินาที หรือ ?,000
วินาที
เมื่ออ่านถึงตอนนี้
ต้องนึกถึงตอนสำคัญอีกตอนหนึ่ง
คือตอนเริ่มแรกเรามีกล่องฟิล์ม
เรามีอัตราความไวแสงของฟิล์มบอกเอาไว้ที่ข้างกล่อง
ต่อไปเมื่อถึงเวลาใช้ฟิล์ม
เราก็แกะกล่องเอาฟิล์มใส่กล้อง
เมื่อแกะกล่องเอาฟิล์มออกแล้วโปรดระวังอย่างทิ้งกล้องเป็นอันขาด
ก่อนอื่นขอให้หยิบเอาคำอธิบายที่เขามีแถมให้อยู่ในกล่องฟิล์มไว้ก่อน
หรือฟิล์มบางยี่ห้อพิมพ์ไว้ข้างในกล่องฟิล์ม
คำอธิบายนี้จะช่วยแนะนำให้เราถ่ายภาพได้ดียิ่งขึ้น
โปรดศึกษาให้กระจ่างด้วย
ตารางนี้คือคำอธิบายที่สอดไว้ในกล่องฟิล์ม
มีไว้ให้หลายภาษา
จึงเลือกเอาตารางภาษาอังกฤษเพราะแพร่หลาย
และอาจทำความเข้าใจได้ดีกว่าภาษาอื่น
ๆ
เลขแถวบนคือ
เลขบอกอัตราความไวแสงฟิล์ม
ISO 100 ตัวอักษรในช่องล่าง 2
ช่องแนะนำให้เอาเลขบอกอัตราความไวแสงของฟิล์มที่ระบุไว้ไปตั้งที่เครื่องวัดแสงและวัดแสง,
กล้องที่ไม่มีเครื่องวัดแสง
และตารางข้างล่างเป็นตารางบอกสภาพของแสงแดด
เช่น แดดจัด แดดอ่อน
หรือมืดฟ้ามัวฝนอย่างไร
และเมื่อนำไปใช้กับกล้องถ่ายภาพประเภทที่ตั้งความเร็วชัตเตอร์
และช่องรับแสงด้วยตนเอง (กล้องที่ไม่ต้องใช้เครื่องอัตโนมัติ)
ก็ให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์
1/125 วินาที เพราะความเร็วชัตเตอร์ขนาดนี้
เหมาะสำหรับใช้ถ่ายภาพความเป็นอยู่ปกติโดยทั่วไปได้
และเมื่อใช้ความเร็วตามอัตราดังกล่าว
ในแสงแดดที่สว่างหรือมืดไม่เท่ากัน
เรื่องนี้ตามหลักการถ่ายภาพให้ได้แสงพอดีก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีเปิดขนาดช่องรับแสง
เพื่อควบคุมให้แสงสว่างบรรจุบนฟิล์มได้เต็มอัตราที่ฟิล์มต้องการ
พออ่านถึงตรงนี้
ก็ถึงเรื่องการควบคุมแสงสว่างให้เข้ากล้องน้อยหรือมาก
ตามอัตราความไวแสงของฟิล์มที่บรรจุไว้ในกล่อง
เรื่องการควบคุมแสงที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้หมายถึงการหรี่หรือขยายขนาดช่องรับแสงจึงเป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันต่อไปอีก
|
|
 |
|
3.
ช่องรับแสง (APERTURE)
ในกระบอกเลนส์ถ่ายภาพ
ถ้ามองผ่านเลนส์ชั้นหน้าเข้าไปข้างใน
จะเห็นแผ่นโลหะบาง ๆ
สีดำเรียงตัวซ้อนเป็นลายขัดกันอย่างมีระเบียบ
และตรงระหว่างลายขัดนั้น
จะเห็นมีช่องว่างเป็นรูโหว่อยู่ตรงกลางกระบอกเลนส์พอดี
แผ่นโลหะบาง ๆ
สีดำทั้งชุดนี้มีชื่อเรียกว่า
ม่านเลนส์ (diaphragm)
มีหน้าที่สำหรับหรี่หรือขยายตัว
ทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดเล็กหรือใหญ่ได้ตามต้องการ
ชองโหว่ที่ว่านี้เรียกว่า
ช่องรับแสง (aperture) และช่องรับแสงนี้เมื่อต้องการให้มีขนาดเรียกกันได้เป็นที่แน่นอนเขาจึงทำเลขกำกับไว้ให้
เลขกำกับนี้เรียกว่า
เลขขนาดช่องรับแสง (f. number)
ตัวเลขแต่ละตัวหรือแต่ละช่องจะมีปริมาณของแสงผ่านได้เป็นอัตราช่องละ
1 เท่า
มากหรือน้อยกว่ากันทีละช่องเลขแต่ละช่องเรียกกันว่า
ขั้นหนึ่ง หรือเท่าหนึ่ง
หรือหนึ่งสตอป (stop)
อนึ่ง
การเรียกช่วงของเลขกำกับขนาดช่องรับแสง
เพื่อให้เข้าใจในตอนเริ่มแรกนี้
ขอให้นึกเอาเพียงง่าย ๆ
ประหนึ่งว่าเป็นป้ายรถประจำทางก็แล้วกัน
เดินทางไปทีละป้าย
จะลงป้ายไหนก็เรียกชื่อป้ายนั้น
และถ้าจะให้ง่ายยิ่งขึ้น
ขอให้จำเลขกำกับขนาดช่องรับแสงซึ่งมีแสดงไว้ที่วงแหวนรอบเลนส์อย่างชัดเจนเป็นเลขที่เรียงลำดับดังนี้
f. 22, 16, 11, 8, 5.6, 4, 2.8, 2, 1.5
ตามตัวเลขกำกับขนาดช่องรับแสง
ตัวเลขที่ f.22
จะเป็นตัวเลขที่หรี่ช่องรับแสงได้เล็กที่สุด
(บางกล้องมีเลขมากกว่า เช่น
32 และ 45)
สำหรับกล้องบางกล้องอาจจะเริ่มตั้งแต่เลข
f.16 เลขแต่ละช่อง เช่น จาก f.16
f.11
เมื่อใช้เปิดขนาดช่องรับแสง
แสงจะผ่านเข้ากล้องได้ลำดับละ
1 เท่าเสมอ (เพิ่มทีละ 1 เท่า
เช่น 1, 2, 3
และเข้าใจว่าเพิ่มทีละเท่าตัว
เช่น 2 แล้วเป็น 4 และเป็น 8
เป็นต้น)
ขนาดช่องรับแสงที่ม่านเลนส์เปิดขนายให้กว้างหรือหรี่ให้เล็กลงนั้น
ใช้ประโยชน์ในการปรับแสงให้เข้ากล้อง
และไปบรรจุลงบนเยื่อไวแสงของฟิล์มตามต้องการเสมอ
เช่นเวลาถ่ายภาพตอนแดดจัดจะเปิดขนาดช่องรับแสงแต่น้อย
ๆ ก็พอ แต่พอแดดค่อยๆ มืดลง
หรือไปถ่ายภาพในที่ร่มซึ่งมีแสงสว่างน้อยลง
เมื่อเป็นเช่นนี้
ต้องเปิดขนาดช่องรับแสงให้กว้างขึ้น
เพื่อให้แสงสว่างผ่านเข้ากล้องไปถึงฟิล์มได้ตามอัตราที่ต้องการ
เพื่อความเข้าใจมากขึ้นโปรดย้อนกลับไปอ่านคำแนะนำที่บริษัทผู้ผลิตฟิล์มได้สอดมาซึ่งได้นำมาพิมพ์ได้ดูข้างบนนี้ด้วย
ในช่องแรก
ทางด้านซ้ายมือมีคำอธิบายว่า
ถ่ายภาพสิ่งที่อยู่กลางแดดจัด
หรือตอนที่มีหมอกแดด (เห็นแสงและเงาชัดเจน)
สภาพแสงเช่นนี้เมื่อใช้อัตราความเร็วชัตเตอร์
1/125 วินาที
จะต้องเปิดช่องรับแสง f.16
จึงจะได้แสงเข้ากล้องพอดี
ดูเลยไปอีกช่อง
ทางด้านซ้ายมือมีคำอธิบายว่า
แดดอ่อนลง (เห็นแสงและเงาเพียงเลือนลาง)
แสดงว่า
แดดไม่จ้าเท่าตอนแรก
เขาแนะนำให้เปิดขนาดช่องรับแสดงให้โตเป็น
f.11
แสงจึงจะเข้ากล้องได้พดดี
ทีนี้ให้อ่านคำอธิบายในตาราง
ช่องต่อๆ ไป
จะเห็นได้ว่าตัวเลขขนาดช่องรับแสงจะค่อย
ๆ
โตขึ้นตามลำดับในขณะสภาพแสงสว่างในที่ที่ต้องการถ่านน้อยลง
ถ้าเปิดขนาดช่องรับแสงและตั้งความเร็วชัตเตอร์ได้ตามคำแนะนำดังกล่าวนี้แล้วรับรองว่าจะถ่ายภาพได้แสงเข้าฟิล์มได้พอดีเสมอ
ถ้าอธิบายในกล่องฟิล์มเป็นรูปภาพ
ยิ่งจะเข้าใจสะดวกยิ่งขึ้น
|
 |
|
ดังนั้นจะสรุปได้ว่า
หลักของการถ่ายภาพเบื้องต้นมีหัวในสำคัญที่เรียกว่าเป็นหัวใจของการถ่ายภาพอยู่
3 ประการ คือ
1.ต้องรู้อัตราความไวแสงของฟิล์ม
(ทั้งฟิล์มขาว-ดำ
และฟิล์มสี)
2.ต้องตั้งอัตราความเร็วชัตเตอร์ตามใบแทรกในกล่องฟิล์มกำหนดให้
3.ต้องตั้งเลขขนาดช่องรับแสง
ให้ตรงตามคำอธบายของสภาพแสงสว่างให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
ถ้าปฏิบัติได้ครบถ้วนทั้ง 3
หัวข้อ จะแน่ใจว่า
การถ่ายในขั้นเริ่มต้นนี้
ท่านจะได้เป็นเจ้าของเนกาตีฟที่พอดี
และเมื่อนำไปอัดหรือขยายเป็นภาพแล้วควรจะดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้มาอย่างแน่นอน
อันที่จริง
ข้อแนะนำการถ่ายภาพขั้นเริ่มต้นนี้ควรจบลงเพียงเท่านี้
เพราะท่านได้รู้เรื่องบันได
1
ขั้นหรือหัวใจของหลักการถ่ายภาพเบื้องต้นแล้ว
และเพราะได้เริ่มเรื่องความสำคัญของหัวใจต่าง
ๆ ทั้ง 3 ประการนั่นแหละ
จึงอยากจะขอให้ศึกษาต่อไปอีก
เพื่อจะได้ใช้กล้องให้ได้ประโยชน์มากขึ้น
ซึ่งเรื่องควรจะมีอีกเพียง
2 ประการเท่านั้น
เรื่องแรกคือในใบคำอธิบายน่าจะสงสัยว่า
เหตุใดจึงกำหนดให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์
1/125 วินาที ทีเดียว ทั้ง
ๆที่วงแหวนแสดงค่าอัตราความเร็วมีเป็นจำนวนมาก
ดังได้กล่าวไว้แล้วตั้งแต่ตอนต้น
เรื่องนี้ตอบได้ง่ายมาก
คือว่าที่เขากำหนดให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์
1/125 วินาที
หรือในฟิล์มไวแสงสูง
กำหนดเป็น 1/125 วินาที นั้น
เขากำหนดไว้เพียงกลาง ๆ
เพื่อให้ถ่ายกับสภาพสิ่งแวดบ้องหรืออาการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ต้องการถ่ายตามธรรมดาโดยทั่วๆไปเท่านั้น
ถ้าเป็นกรณีพิเศษ เช่น
รถวิ่งเร็ว ๆ
หรือคนกระโดดโลดเต้น
หรือเล่นกีฬา
จะต้องเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์เป็น
1/500 หรือ 1/1,000 วินาที
เป็นต้นและในทางตรงกันข้าม
ถ้าถ่ายภาพสิ่งที่อยู่นิ่งๆ
หรือในที่มีแสงสว่างน้อยอาจจะต้องลดความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลง
1/60 1/30 หรือถึง 1 นาที หรือเปิดชัตเตอร์
ให้แสงเข้ากล้องนานเป็นหลาย
ๆ นาทีก็ทำได้
|
 |
|
การชดเชยแสดง
ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า
ความเร็วชัตเตอร์ของกล้องนั้นได้กำหนดไว้ให้เหมาะกับการถ่ายภาพสิ่งต่าง
ๆ เช่น
ถ่ายภาพนิ่งก็กำหนดความเร็วชัตเตอร์ช้า
ๆ ไว้ให้
และต้องการถ่ายภาพสิ่งเคลื่อนไหวเร็ว
ๆ
ต้องเลือกใช้อัตราความเร็วชัตเตอร์สูง
ๆ
ทั้งนี้เพื่อให้ได้ภาพที่ไม่สั่นไหวพร่ามัวนั่นเอง
เรื่องนี้เคยมีท่านผู้รู้พูดไว้อย่างน่าฟังว่า
อัตราความเร็วชัตเตอร์สูง
ๆ
มีไว้สำหรับพิชิตความเร็วของสิ่งที่ต้องการถ่าย
ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่ต้องการถ่ายแม้จะเคลื่อนไหวรวดเร็วเท่าใด
ผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพได้จัดทำความเร็วชัตเตอร์ไว้ให้พอเหมาะกับความเคลี่อนไหวทุก
ๆ ระดับแล้ว
การเปลี่ยนแปลงอัตราความเร็วชัตเตอร์ให้พอเหมาะกับสิ่งเคลื่อนไหวที่ต้องการถ่าย
ยกตัวอย่างง่าย ๆ
อย่างคำแนะนำในกล้องฟิล์มบอกไว้ว่า
กลางแดดจัดใช้ฟิล์มไว้แสง
ISO 100 ความเร็วชัตเตอร์ 1/125
วินาที
ตั้งขนาดช่องรับแสง f.16 (โปรดดูที่ตารางคำแนะนำในกล่องฟิล์ม
ISO 100)
ในโอกาสเดียวกันนี้ถ้าเราต้องการถ่ายภาพนักกีฬากำลังวิ่งแข่งขัน
เราต้องเปลี่ยนอัตราความเร็วชัตเตอร์จาก
1/125 เป็น 1/250 หรือ 1/500 วินาที
ตามแต่นักกีฬาที่แข่งขันนั้นจะเคลื่อนไหวเร็วเท่าใดเพื่อให้ง่ายเข้า
สมมติว่าจะต้องเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์จาก
1/125 มาเป็น 1/250 วินาที
ซึ่งขนาดช่องช่องรับแสงแต่เดิมกำหนดไว้
f.16
ต่อมาเมื่อเปลี่ยนเป็นความเร็วชัตเตอร์
1/250 วินาที ความเร็วชัตเตอร์อัตรานี้มีความเร็วมากขึ้น
สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ
แสงที่เข้ากล้องได้ในอัตราความเร็วชัตเตอร์
1/125 วินาที
จึงต้องลดน้อยลง 1
เท่าตัว ถ้าถ่ายไปตามนี้
เนกาตีฟที่ล้างจะมีการเปิดรับแสงน้อยไป
1 เท่า (underexposure)
เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะต้องมีการชดเชยแสงให้เข้าฟิล์มพอดี
คือเพิ่มแสงให้เข้ากล้องอีก
1 ขั้น
ให้เท่ากับที่ขาดไป
การเพิ่มแสงหรือชดเชยแสงนี้
กระทำได้ด้วยการขยายขนาดช่องรับแสงให้กว้างขึ้นอีก
1 ช่อง
เช่นแต่เดิมกำหนดไว้ ที่
f.16 พอเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์เป็น
1/250 วินาที จาก 1/125 วินาที
เมื่อนับจาก f.16
ให้ช่องรับแสงกว้าง 1
ขั้น ก็เป็น f.11 จะได้ 1
เท่าตัวพอดีดังนี้เป็นต้นและในทำนองเดียวกัน
ถ้าเราต้องการเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้นเป็น
1/500 วินาที
ต้องเพิ่มขนาดช่องรับแสงจากที่กำหนดไว้เดิม
(f.16) มาเป็น f.8 คือ ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มจากเดิม
1/125 มารเป็น 1/500 วินาที
นับเป็น 2 ขั้น หรือ เรียก 2
สตอป (stop)
จะต้องชดเชยแสงจากเดิมที่
f.16 เป็น f.8 รวมเป็น 2 สตอป
เช่นเดียวกัน
จากความรู้ในเรื่องการชดเชยแสงนี้
พอจะสรุปได้ว่า
เมื่อจะถ่ายภาพในที่มีแสงสว่างเช่นใดให้ตรวจดูคำแนะนำในกล่องฟิล์มว่าให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์
และขนาดช่องรับแสงเท่าใดให้ตั้งกล้องไปตามนั้นก่อนอันดับต่อไปให้พิจารณาถึงเรื่องที่ต้องการถ่ายว่ามีอาการเคลื่อนไหวเร็ว
หรือช้าพอเหมาะกับอัตราความเร็วชัตเตอร์มากขึ้น
เมื่อเพิ่ม
มากขึ้นอีกกี่เท่า
ให้เพิ่มขนาดช่องรับแสงเท่านั้นด้วย
และในทางตรงกันข้าม
ถ้าต้องการลดความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลงกี่เท่าก็คงใช้วธธีหรี่ขนาดช่องรับแสงให้เล็กลงไปตามลำดับเช่นเดียวกัน
|
|
 |
|
ช่วงความชัดลึก
(Depth of field) หรือ (DOF)
จากการหรี่ขนาดช่องรับแสงให้เล็กลง
และขยายช่องรับแสงให้กว้างขึ้นเพื่อเป็นการชดเชยแสงดังกล่าวแล้วในการนี้จะมีผลเพิดกับภาพถ่ายขึ้ยอย่างหนึ่งคือ
ช่วงความชัดลึก กล่าวคือ
ในการถ่ายภาพครั้งใด
ถ้าเปิดขนาดช่องรับแสงกว้างมาก
ช่วงความชัดในการถ่ายภาพจะน้อยลง
และในคราวใดถ้าหรี่ขนาดช่องรับแสงให้เล็กลง
ช่วงความชัดเจนก็จะมากขึ้น
 |
 |
F-Stop 4
|
F-Stop 8
|
ช่วงความชัดที่มากขึ้นหรือน้อยลงนี้ให้วัดจากศูนย์กลางของระยะที่ปรับในกล้องถ่ายภาพ
เช่นปรับระยะถ่ายภาพไว้
15 ฟุต
ก็จะเปิดขนาดช่องรับแสงให้กว้างปานกลาง
ภาพอาจจะชัดใกล้
จากศูนย์กลางเข้ามา 3 ฟุต
คือเริ่มชัดตั้งแต่ระยะ
12 ฟุต
และไกลจากศูนย์กลางออกไปอีก
5 ฟุต คือชัดไปถึง 20 ฟุต
รวมความแล้วการถ่ายภาพคราวนี้ภาพถ่ายจะชัดตั้งระยะ
12-20 ฟุต
แต่วัตถุที่ใกล้เข้ามา
และไกลออกไห
จะอยู่นอกระยะชัด
ภาพที่อยู่ในระยะชัดดังกล่าวแล้วเรียกตามภาษาการถ่ายภาพว่า
ช่วงความคมชัด (depth of field)
ประโยชน์ของช่วงความชัด
ช่วงความชัดมีอยู่ 2
อย่างคือ
ช่วงความชัดน้อย
และช่วงความชัดลึก
ช่วงความชัดนี้
ถ้าผู้ถ่ายภาพเป็นผู้ที่ได้ศึกษาเรื่องนี้เมื่อถ่ายภาพแต่ละครั้งก็สามารถควบคุมให้เกิดประโยชน์
และเป็นไปตามความต้องการได้
แต่ถ้าเป็นกล้องอัติโนมัติ
ช่วงความชัดจะเกิดขึ้นเองโดยมิได้ตั้งใจไว้ให้เป็น
ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นผลดี
และบางครั้งก็เสียประโยชน์ไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น
การถ่ายภาพในห้องที่มีแสงสว่างพอสมควร
อย่างห้องเรียนหรือห้องประชุมในสภาพแสงสว่างเช่นนี้
ถ้าอ่านคำอธิบายในกล่องฟิล์มเขาจะกำหนดไว้ว่า
ถ้าใช้ฟิล์มไวแสง ISO 100
ใช้อัตราความเร็วชัตเตอร์
1/120 วินาที ขนาดช่องรับแสง
f.4 หรือ f.28 ดังนี้เป็นต้น
เมื่อศึกษามาถึงตอนนี้แล้ว
พอจะทราบแล้วว่า
เลขบอกขนาดช่องรับแสง f.4
และ f.2.8
นั้นเป็นเลขที่บอกขนาดช่องรับแสงที่กว้างมาก
เมื่อถ่ายภาพ
ภาพที่ได้จะมีช่วงความชัดน้อยมาก
คือ
ชัดเฉพาะตรงระยะที่กำหนด
พื้นที่ใกล้เข้ามาและไกลออกไปจะอยู่นอกระยะชัดหมดคือ
มัวพร่าจนอาจดูไม่รู้เรื่อง
เมื่อเป็นเช่นนี้เป็นอันผิดความมุ่งหมาย
เพราะการถ่ายภาพในห้องประชุม
ควรจะต้องถ่ายให้เห็นคนให้ห้องนี้เป็นจำนวนมาก
และคนที่เห็นควรจะต้องให้ชัดด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านที่รู้ความเป็นไปแล้ว
ก็คงจะใช้วิธีตั้งกล้องให้นิ่ง
แล้วลดความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลงจากเดิม
1/125 วินาที ลดลงทีละช่อง
เมื่อลดความเร็วลงช่องหนึ่ง
ก็ให้หรี่ขนาดข่องรับแสงให้เล็กลงตามไปทีละช่องด้วย
หรี่ชดเชยแสงทีละเท่าจนได้ช่องรับแสงขนาด
f .11 หรือ f.16
พอหรี่ได้ขนาดนี้
ภาพที่ได้ก็คมชัดตลอด
เรื่องนี้จึงเป็นประโยชน์ในการควบคุมความชัดลึกได้อย่างหนึ่ง
อีกกรณีหนึ่ง
เป็นผลที่ตรงกันข้าม
คือภาพบางประเภทที่ต้องการจะเน้นจุดสำคัญของภาพให้เด่นโดยการถ่ายภาพให้ชัดตรงจุดแห่งความสนใจเพียงจุดเดียว
นอกนั้นปล่อยให้พร่ามัวอยู่นอก
ระยะชัดหมด
อย่างเช่นภาพคนสวย
ๆที่หน้าปกหนังสือพิมพ์
ภาพประเภทนี้ถ้าช่างภาพมือดีจะถ่ายให้ฉากหน้าพร่าข้างหลังมัว
ให้ชัดเจนแต่เฉพาะผู้เป็นแบบเท่านั้น
การถ่ายภาพประเภทนี้จึงจำเป็นจะต้องเปิดขนาดรับแสงให้กว้างมาก
ๆ เมื่อเปิดกว้าง
ก็ต้องเพิ่มความเร็วชัดเตอร์มากซึ่งอาจจะถึง
1/500 หรือ 1/1000 วินาที ทั้ง ๆ
ที่ผู้เป็นแบบยืน ๆ นั่ง
ๆ ไม่ได้กระโดดดลดเต้นแต่อย่างใดทั้งนี้มิใช่อื่นใดเพียงแต่เป็นการใช้ความเร็วชัตเตอร์เพื่อเป็นการชดเชยแสงกับการเปิดช่องรับแสงให้กว้างมากขึ้นเท่านั้นเอง
|
|