:: Homepage ::

:: Home

:: Profile

:: Gallery

:: Webboard

:: Chat Room

:: University Link ::

:: Bangkok University

:: Assumption University

:: UTCC

:: Siam University

:: My School ::

:: ACC

:: ทำนายทายทัก ::

:: ดวงชะตาวันนี้

:: Radio Online :: 

:: 106.5 Green wave
:: 104.5 Fat Radio
:: 103.5 Modern love
:: 102.5 Radio
:: 93.5 Radio Vote
:: 91.5 Hotwave
:: 89.0 Bangkok Radio
:: 88.0 Radio noproblem

:: E-Mail :: 

:: Kunmail
:: Yahoo
:: Hotmail
:: Thaimail
:: Chaiyo
:: Maildozy

:: TV Channel :: 

:: ช่อง 3
:: ช่อง 5
:: ช่อง 7
:: ช่อง 9
:: ช่อง 11
:: ITV
:: UBC
:: IP-TV
:: TGN
Welcome to Threestrokesix Web for 3/6

1.รู้ความไวแสงฟิล์ม (film speed)

ฟิล์มชนิดขาว-ดำ และฟิล์มสี ตามปกติจะมีเลขบอกอัตรา หรือบอกหน่วยความไวแสงไว้ให้ที่กล่องของฟิล์มแต่ละชนิด ยกเว้นฟิล์มบางประเภทที่ผลิตสำหรับช่างภาพอาชีพจะบอกเป็นเลขรหัสเท่านั้น
เมื่อซื้อฟิล์ม สิ่งที่ต้องดูอันดับแรกคือ จะต้องดูเลขบอกความไวแสงฟิล์ม ซึ่งจะมีบอกไว้ที่ข้างกล่องฟิล์มเสมอ
ตามปกติเลขบอกอัตราความไวแสงฟิล์มมีอยู่หลายระบบด้วยกัน เช่น
ASA (American Standards Association) หรือ DIN (Deutsche Industrie Norm)
เลขแต่ละอัตราหรือแต่ละระบบ จะบอกควบคู่กันไปทั้งตัวเลขและตัวอักษร เช่น ASA 100, DIN 21 หรือ ASA 125, DIN 22 ดังนี้เป็นต้น ในปัจจุบันผู้ผลิตฟิล์มได้มีข้อตกลงให้ใช้เป็นหน่วยเดียวกัน คือ ISO ย่อมาจากคำว่า “International Standards Organization”
อัตราความไวแสงฟิล์มที่ต้องการให้ดูนี้ เป็นตัวเลขบอกให้รู้ว่าฟิล์มม้วนนั้นจะสามารถรับแสงได้มากน้อยเพียงใด ถ้ารับได้น้อยจะบอกเป็นตัวเลขอัตราต่ำ เช่น ISO 25,ISO 32 และค่อย ๆ มากขึ้นไปตามลำตับ
เรื่องของตัวเลขหรือเรื่องของอัตราความไวแสงนี้ ถ้าจะเปรียบเทียบคล้ายกับขวดหรือแก้วที่บรรจุน้ำเหมือนกัน เช่น ขวดใบหนึ่งใช้บรรจุน้ำได้ 200 ซีซี. ฟิล์มขนาดนี้รับแสงได้ ISO 200 เป็นต้น
เมื่อรู้อัตราบรรจุ หรืออันครารับแสงได้เช่นนี้แล้ว เรื่องต่อไปจะต้องหาวิธีการบรรจุแสงลงฟิล์มการบรรจุแสงลงฟิล์มคือ การถ่ายภาพดีๆ นั่นเองและเครื่องมือถ่ายภาพอย่างสำคัญคือกล้องถ่ายภาพ การที่จะรู้วิธีบรรจุแสงลงฟิล์มได้ จะต้องรู้เรื่องกลไกการทำงานของกล้องถ่ายภาพเป็นสำคัญ ซึ่งเรื่องในนี้ตอนเริ่มต้น ขอให้รู้แต่เพียงสิ่งจำเป็นตามลำดับ
 
 

2.ความไวชัตเตอร์ (shutter speed)

กล้องถ่ายภาพชนิดที่ดี จำเป็นต้องมีเลขบอกอัตราความเร็วชัตเตอร์ไว้ให้ แต่สำหรับกล้องถ่ายภาพจำพวกกล้องที่ให้เด็ก ๆ ใช้ และกล้องสมัยใหม่ ที่มีเครื่องถ่ายภาพแบบอัตโนมัติ เช่นกล้องประเภท Electro กล้อง Instamatic กล้อง Auto จะไม่มีเลขบอกให้รู้

ตัวเลขที่บอกความเร็วชัตเตอร์มีอยู่สองระบบ แบบหนึ่งให้สำหรับเครื่องชัตเตอร์หน้า (leaf shutter, shutter blade) จะทำเป็นขอบหรือวงแหวนรอบกระบอกเลนส์ กับอีกชนิดหนึ่งเป็นชัตเตอร์หลัง ชนิดผ้าดำหรือแผ่นโลหะบาง (focal-plane shutter) ตัวเลขบอกความเร็วทำเป็นแป้นหมุนอยู่บนกล้องด้านขวา แล้วมีคัวเลขบอกอัตราความเร็วชัตเตอร์อยู่บนแป้นนั้น
อัตราที่ใช้เป็นความเร็วชัตเตอร์กำหนดเป็นตัวเลข เมื่อผู้ใช้จะใช้อัตราใด ให้หมุนตัวอักษรลงมาให้ตรงกับเครื่องหมายหัวลูกศร หรือเครื่องหมายสามเหลี่ยม หรือเครื่องหมายเส้นตรง
ตัวอักษรความเร็วชัตเตอร์มีอยู่ 2 ตัว คือตัว T และตัว B กล้องบางกล้องจะมีเพียงตัว B เพียงตัวเดียว บางกล้องมี 2 ตัว และบางกล้องไม่มีเลยทั้ง 2 ตัว
เครื่องหมาย T ย่อมาจาก Time แปลว่า เวลา การใช้ชัตเตอร์นี้ จำเป็นต้องตั้งกล้องให้นิ่งเวลาใช้ให้กดปุ่มลั่นไกซัตเตอร์แล้วใบชัตเตอร์จะเปิด เมื่อเปิดแล้วก็ปล่อยให้แสงสว่างผ่านเลนส์เข้ากล้องได้ตามเวลาที่ต้องการ เมื่อครบเวลาแล้วจึงกดไกชัตเตอร์อีกครั้ง ใบชัตเตอร์จะปิด การใช้ชัตเตอร์ T นิยมใช้ถ่ายภาพในที่มืด ที่มีแสงสว่างน้อย จึงต้องเปิดให้แสงสว่างเข้าบรรจุในฟิล์มนาน ๆ พอคะเนว่าแสงเข้ากล้องเต็มฟิล์มแล้วจึงกดปุ่มลั่นไก ใบชัตเตอร์จะปิด
เครื่องหมาย B ย่อมาจากคำว่า Brief Time หรือ Bulb ใช้ถ่ายในกรณีคล้ายกับชัตเตอร์ T แต่เวลาอาจจะสั้นกว่า หรือใช้แทนชัตเตอร์ T ในกรณีที่กล้องนั้นไม่มีชัตเตอร์ T
การทำงานของชัตเตอร์ B ต้องอาศัยการใช้สายลั่นไก (cable release) ขันเกลียวปุ่มลั่นไกแล้วตั้งกล้องให้นิ่ง พอกดลั่นไกชัตเตอร์ระหว่างที่กดปุ่มอยู่นั้นใบชัตเตอร์จะเปิดให้แสงเข้ากล้องได้ตลอดเวลาพอปล่อยไกใบชัตเตอร์จึงปิด

เครื่องหมายตัวเลขส่วนมากจะเริ่มจากตัว 1 คือ ใบชัตเตอร์จะเปิดให้แสงผ่านแลนส์เป็นเวลา 1 วินาที และต่อไปคือ 2 และมากขึ้นทีละเท่าตัวคือ 4, 8, 16, 30, 60, 125, 250, 500 เลขเหล่านี้เป็นความเร็วเศษส่วนของวินาทีทุกอัตรา เช่น 1/125 วินาที, 1/250 วินาที แต่การที่ไม่เขียนที่กล้องเป็นเพราะไม่มีเนื้อที่ จึงจำเป็นต้องละไว้ให้เข้าใจกันเอง เวลาเขียนบันทึกแสดงรายละเอียดการถ่ายภาพ ผู้ถ่ายจะต้องเขียนแสดงเศษส่วน และบอกเป็นวินาที ให้เต็มที่ทุกครั้งด้วยและอีกประการหนึ่งสำหรับอัตราความเร็วที่ใช้สำหรับชัตเตอร์หน้าส่วนมากจะมีเพียงอัตรา 1/300 – 1/500 วินาที แต่ถ้าเป็นกล้องชัตเตอร์ม่านจะมีถึง 1/1,000 – ?,000 วินาที หรือ ?,000 วินาที
เมื่ออ่านถึงตอนนี้ ต้องนึกถึงตอนสำคัญอีกตอนหนึ่ง คือตอนเริ่มแรกเรามีกล่องฟิล์ม เรามีอัตราความไวแสงของฟิล์มบอกเอาไว้ที่ข้างกล่อง ต่อไปเมื่อถึงเวลาใช้ฟิล์ม เราก็แกะกล่องเอาฟิล์มใส่กล้อง เมื่อแกะกล่องเอาฟิล์มออกแล้วโปรดระวังอย่างทิ้งกล้องเป็นอันขาด ก่อนอื่นขอให้หยิบเอาคำอธิบายที่เขามีแถมให้อยู่ในกล่องฟิล์มไว้ก่อน หรือฟิล์มบางยี่ห้อพิมพ์ไว้ข้างในกล่องฟิล์ม คำอธิบายนี้จะช่วยแนะนำให้เราถ่ายภาพได้ดียิ่งขึ้น โปรดศึกษาให้กระจ่างด้วย

ตารางนี้คือคำอธิบายที่สอดไว้ในกล่องฟิล์ม มีไว้ให้หลายภาษา จึงเลือกเอาตารางภาษาอังกฤษเพราะแพร่หลาย และอาจทำความเข้าใจได้ดีกว่าภาษาอื่น ๆ
เลขแถวบนคือ เลขบอกอัตราความไวแสงฟิล์ม ISO 100 ตัวอักษรในช่องล่าง 2 ช่องแนะนำให้เอาเลขบอกอัตราความไวแสงของฟิล์มที่ระบุไว้ไปตั้งที่เครื่องวัดแสงและวัดแสง, กล้องที่ไม่มีเครื่องวัดแสง และตารางข้างล่างเป็นตารางบอกสภาพของแสงแดด เช่น แดดจัด แดดอ่อน หรือมืดฟ้ามัวฝนอย่างไร และเมื่อนำไปใช้กับกล้องถ่ายภาพประเภทที่ตั้งความเร็วชัตเตอร์ และช่องรับแสงด้วยตนเอง (กล้องที่ไม่ต้องใช้เครื่องอัตโนมัติ) ก็ให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที เพราะความเร็วชัตเตอร์ขนาดนี้ เหมาะสำหรับใช้ถ่ายภาพความเป็นอยู่ปกติโดยทั่วไปได้ และเมื่อใช้ความเร็วตามอัตราดังกล่าว ในแสงแดดที่สว่างหรือมืดไม่เท่ากัน เรื่องนี้ตามหลักการถ่ายภาพให้ได้แสงพอดีก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีเปิดขนาดช่องรับแสง เพื่อควบคุมให้แสงสว่างบรรจุบนฟิล์มได้เต็มอัตราที่ฟิล์มต้องการ
พออ่านถึงตรงนี้ ก็ถึงเรื่องการควบคุมแสงสว่างให้เข้ากล้องน้อยหรือมาก ตามอัตราความไวแสงของฟิล์มที่บรรจุไว้ในกล่อง เรื่องการควบคุมแสงที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้หมายถึงการหรี่หรือขยายขนาดช่องรับแสงจึงเป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันต่อไปอีก

 
 

3. ช่องรับแสง (APERTURE)

ในกระบอกเลนส์ถ่ายภาพ ถ้ามองผ่านเลนส์ชั้นหน้าเข้าไปข้างใน จะเห็นแผ่นโลหะบาง ๆ สีดำเรียงตัวซ้อนเป็นลายขัดกันอย่างมีระเบียบ และตรงระหว่างลายขัดนั้น จะเห็นมีช่องว่างเป็นรูโหว่อยู่ตรงกลางกระบอกเลนส์พอดี แผ่นโลหะบาง ๆ สีดำทั้งชุดนี้มีชื่อเรียกว่า ม่านเลนส์ (diaphragm) มีหน้าที่สำหรับหรี่หรือขยายตัว ทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดเล็กหรือใหญ่ได้ตามต้องการ ชองโหว่ที่ว่านี้เรียกว่า ช่องรับแสง (aperture) และช่องรับแสงนี้เมื่อต้องการให้มีขนาดเรียกกันได้เป็นที่แน่นอนเขาจึงทำเลขกำกับไว้ให้ เลขกำกับนี้เรียกว่า เลขขนาดช่องรับแสง (f. number) ตัวเลขแต่ละตัวหรือแต่ละช่องจะมีปริมาณของแสงผ่านได้เป็นอัตราช่องละ 1 เท่า มากหรือน้อยกว่ากันทีละช่องเลขแต่ละช่องเรียกกันว่า ขั้นหนึ่ง หรือเท่าหนึ่ง หรือหนึ่งสตอป (stop)
อนึ่ง การเรียกช่วงของเลขกำกับขนาดช่องรับแสง เพื่อให้เข้าใจในตอนเริ่มแรกนี้ ขอให้นึกเอาเพียงง่าย ๆ ประหนึ่งว่าเป็นป้ายรถประจำทางก็แล้วกัน เดินทางไปทีละป้าย จะลงป้ายไหนก็เรียกชื่อป้ายนั้น และถ้าจะให้ง่ายยิ่งขึ้น ขอให้จำเลขกำกับขนาดช่องรับแสงซึ่งมีแสดงไว้ที่วงแหวนรอบเลนส์อย่างชัดเจนเป็นเลขที่เรียงลำดับดังนี้ f. 22, 16, 11, 8, 5.6, 4, 2.8, 2, 1.5

ตามตัวเลขกำกับขนาดช่องรับแสง ตัวเลขที่ f.22 จะเป็นตัวเลขที่หรี่ช่องรับแสงได้เล็กที่สุด (บางกล้องมีเลขมากกว่า เช่น 32 และ 45) สำหรับกล้องบางกล้องอาจจะเริ่มตั้งแต่เลข f.16 เลขแต่ละช่อง เช่น จาก f.16 – f.11 เมื่อใช้เปิดขนาดช่องรับแสง แสงจะผ่านเข้ากล้องได้ลำดับละ 1 เท่าเสมอ (เพิ่มทีละ 1 เท่า เช่น 1, 2, 3 และเข้าใจว่าเพิ่มทีละเท่าตัว เช่น 2 แล้วเป็น 4 และเป็น 8 เป็นต้น)
ขนาดช่องรับแสงที่ม่านเลนส์เปิดขนายให้กว้างหรือหรี่ให้เล็กลงนั้น ใช้ประโยชน์ในการปรับแสงให้เข้ากล้อง และไปบรรจุลงบนเยื่อไวแสงของฟิล์มตามต้องการเสมอ เช่นเวลาถ่ายภาพตอนแดดจัดจะเปิดขนาดช่องรับแสงแต่น้อย ๆ ก็พอ แต่พอแดดค่อยๆ มืดลง หรือไปถ่ายภาพในที่ร่มซึ่งมีแสงสว่างน้อยลง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องเปิดขนาดช่องรับแสงให้กว้างขึ้น เพื่อให้แสงสว่างผ่านเข้ากล้องไปถึงฟิล์มได้ตามอัตราที่ต้องการ เพื่อความเข้าใจมากขึ้นโปรดย้อนกลับไปอ่านคำแนะนำที่บริษัทผู้ผลิตฟิล์มได้สอดมาซึ่งได้นำมาพิมพ์ได้ดูข้างบนนี้ด้วย
ในช่องแรก ทางด้านซ้ายมือมีคำอธิบายว่า ถ่ายภาพสิ่งที่อยู่กลางแดดจัด หรือตอนที่มีหมอกแดด (เห็นแสงและเงาชัดเจน) สภาพแสงเช่นนี้เมื่อใช้อัตราความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที จะต้องเปิดช่องรับแสง f.16 จึงจะได้แสงเข้ากล้องพอดี
ดูเลยไปอีกช่อง ทางด้านซ้ายมือมีคำอธิบายว่า แดดอ่อนลง (เห็นแสงและเงาเพียงเลือนลาง) แสดงว่า แดดไม่จ้าเท่าตอนแรก เขาแนะนำให้เปิดขนาดช่องรับแสดงให้โตเป็น f.11 แสงจึงจะเข้ากล้องได้พดดี ทีนี้ให้อ่านคำอธิบายในตาราง ช่องต่อๆ ไป จะเห็นได้ว่าตัวเลขขนาดช่องรับแสงจะค่อย ๆ โตขึ้นตามลำดับในขณะสภาพแสงสว่างในที่ที่ต้องการถ่านน้อยลง ถ้าเปิดขนาดช่องรับแสงและตั้งความเร็วชัตเตอร์ได้ตามคำแนะนำดังกล่าวนี้แล้วรับรองว่าจะถ่ายภาพได้แสงเข้าฟิล์มได้พอดีเสมอ
ถ้าอธิบายในกล่องฟิล์มเป็นรูปภาพ ยิ่งจะเข้าใจสะดวกยิ่งขึ้น

 
 

ดังนั้นจะสรุปได้ว่า หลักของการถ่ายภาพเบื้องต้นมีหัวในสำคัญที่เรียกว่าเป็นหัวใจของการถ่ายภาพอยู่ 3 ประการ คือ

1.ต้องรู้อัตราความไวแสงของฟิล์ม (ทั้งฟิล์มขาว-ดำ และฟิล์มสี)
2.ต้องตั้งอัตราความเร็วชัตเตอร์ตามใบแทรกในกล่องฟิล์มกำหนดให้
3.ต้องตั้งเลขขนาดช่องรับแสง ให้ตรงตามคำอธบายของสภาพแสงสว่างให้ถูกต้องตามความเป็นจริง
ถ้าปฏิบัติได้ครบถ้วนทั้ง 3 หัวข้อ จะแน่ใจว่า การถ่ายในขั้นเริ่มต้นนี้ ท่านจะได้เป็นเจ้าของเนกาตีฟที่พอดี และเมื่อนำไปอัดหรือขยายเป็นภาพแล้วควรจะดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องนี้มาอย่างแน่นอน


อันที่จริง ข้อแนะนำการถ่ายภาพขั้นเริ่มต้นนี้ควรจบลงเพียงเท่านี้ เพราะท่านได้รู้เรื่องบันได 1 ขั้นหรือหัวใจของหลักการถ่ายภาพเบื้องต้นแล้ว และเพราะได้เริ่มเรื่องความสำคัญของหัวใจต่าง ๆ ทั้ง 3 ประการนั่นแหละ จึงอยากจะขอให้ศึกษาต่อไปอีก เพื่อจะได้ใช้กล้องให้ได้ประโยชน์มากขึ้น ซึ่งเรื่องควรจะมีอีกเพียง 2 ประการเท่านั้น
เรื่องแรกคือในใบคำอธิบายน่าจะสงสัยว่า เหตุใดจึงกำหนดให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที ทีเดียว ทั้ง ๆที่วงแหวนแสดงค่าอัตราความเร็วมีเป็นจำนวนมาก ดังได้กล่าวไว้แล้วตั้งแต่ตอนต้น เรื่องนี้ตอบได้ง่ายมาก คือว่าที่เขากำหนดให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที หรือในฟิล์มไวแสงสูง กำหนดเป็น 1/125 วินาที นั้น เขากำหนดไว้เพียงกลาง ๆ เพื่อให้ถ่ายกับสภาพสิ่งแวดบ้องหรืออาการเคลื่อนไหวของสิ่งที่ต้องการถ่ายตามธรรมดาโดยทั่วๆไปเท่านั้น ถ้าเป็นกรณีพิเศษ เช่น รถวิ่งเร็ว ๆ หรือคนกระโดดโลดเต้น หรือเล่นกีฬา จะต้องเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/500 หรือ 1/1,000 วินาที เป็นต้นและในทางตรงกันข้าม ถ้าถ่ายภาพสิ่งที่อยู่นิ่งๆ หรือในที่มีแสงสว่างน้อยอาจจะต้องลดความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลง 1/60 1/30 หรือถึง 1 นาที หรือเปิดชัตเตอร์ ให้แสงเข้ากล้องนานเป็นหลาย ๆ นาทีก็ทำได้

 
 
OVER 1 STOP
วัดแสงพอดี
UNDER 1 STOP

การชดเชยแสดง

ดังได้กล่าวไว้แล้วว่า ความเร็วชัตเตอร์ของกล้องนั้นได้กำหนดไว้ให้เหมาะกับการถ่ายภาพสิ่งต่าง ๆ เช่น ถ่ายภาพนิ่งก็กำหนดความเร็วชัตเตอร์ช้า ๆ ไว้ให้ และต้องการถ่ายภาพสิ่งเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ต้องเลือกใช้อัตราความเร็วชัตเตอร์สูง ๆ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ภาพที่ไม่สั่นไหวพร่ามัวนั่นเอง เรื่องนี้เคยมีท่านผู้รู้พูดไว้อย่างน่าฟังว่า อัตราความเร็วชัตเตอร์สูง ๆ มีไว้สำหรับพิชิตความเร็วของสิ่งที่ต้องการถ่าย ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่ต้องการถ่ายแม้จะเคลื่อนไหวรวดเร็วเท่าใด ผู้ผลิตกล้องถ่ายภาพได้จัดทำความเร็วชัตเตอร์ไว้ให้พอเหมาะกับความเคลี่อนไหวทุก ๆ ระดับแล้ว

การเปลี่ยนแปลงอัตราความเร็วชัตเตอร์ให้พอเหมาะกับสิ่งเคลื่อนไหวที่ต้องการถ่าย ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างคำแนะนำในกล้องฟิล์มบอกไว้ว่า กลางแดดจัดใช้ฟิล์มไว้แสง ISO 100 ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที ตั้งขนาดช่องรับแสง f.16 (โปรดดูที่ตารางคำแนะนำในกล่องฟิล์ม ISO 100) ในโอกาสเดียวกันนี้ถ้าเราต้องการถ่ายภาพนักกีฬากำลังวิ่งแข่งขัน เราต้องเปลี่ยนอัตราความเร็วชัตเตอร์จาก 1/125 เป็น 1/250 หรือ 1/500 วินาที ตามแต่นักกีฬาที่แข่งขันนั้นจะเคลื่อนไหวเร็วเท่าใดเพื่อให้ง่ายเข้า สมมติว่าจะต้องเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์จาก 1/125 มาเป็น 1/250 วินาที ซึ่งขนาดช่องช่องรับแสงแต่เดิมกำหนดไว้ f.16 ต่อมาเมื่อเปลี่ยนเป็นความเร็วชัตเตอร์ 1/250 วินาที ความเร็วชัตเตอร์อัตรานี้มีความเร็วมากขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ แสงที่เข้ากล้องได้ในอัตราความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที จึงต้องลดน้อยลง 1 เท่าตัว ถ้าถ่ายไปตามนี้ เนกาตีฟที่ล้างจะมีการเปิดรับแสงน้อยไป 1 เท่า (underexposure) เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะต้องมีการชดเชยแสงให้เข้าฟิล์มพอดี คือเพิ่มแสงให้เข้ากล้องอีก 1 ขั้น ให้เท่ากับที่ขาดไป การเพิ่มแสงหรือชดเชยแสงนี้ กระทำได้ด้วยการขยายขนาดช่องรับแสงให้กว้างขึ้นอีก 1 ช่อง เช่นแต่เดิมกำหนดไว้ ที่ f.16 พอเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์เป็น 1/250 วินาที จาก 1/125 วินาที เมื่อนับจาก f.16 ให้ช่องรับแสงกว้าง 1 ขั้น ก็เป็น f.11 จะได้ 1 เท่าตัวพอดีดังนี้เป็นต้นและในทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการเปลี่ยนความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้นเป็น 1/500 วินาที ต้องเพิ่มขนาดช่องรับแสงจากที่กำหนดไว้เดิม (f.16) มาเป็น f.8 คือ ความเร็วชัตเตอร์เพิ่มจากเดิม 1/125 มารเป็น 1/500 วินาที นับเป็น 2 ขั้น หรือ เรียก 2 สตอป (stop) จะต้องชดเชยแสงจากเดิมที่ f.16 เป็น f.8 รวมเป็น 2 สตอป เช่นเดียวกัน

จากความรู้ในเรื่องการชดเชยแสงนี้ พอจะสรุปได้ว่า เมื่อจะถ่ายภาพในที่มีแสงสว่างเช่นใดให้ตรวจดูคำแนะนำในกล่องฟิล์มว่าให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ และขนาดช่องรับแสงเท่าใดให้ตั้งกล้องไปตามนั้นก่อนอันดับต่อไปให้พิจารณาถึงเรื่องที่ต้องการถ่ายว่ามีอาการเคลื่อนไหวเร็ว หรือช้าพอเหมาะกับอัตราความเร็วชัตเตอร์มากขึ้น เมื่อเพิ่ม มากขึ้นอีกกี่เท่า ให้เพิ่มขนาดช่องรับแสงเท่านั้นด้วย และในทางตรงกันข้าม ถ้าต้องการลดความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลงกี่เท่าก็คงใช้วธธีหรี่ขนาดช่องรับแสงให้เล็กลงไปตามลำดับเช่นเดียวกัน

 
 

ช่วงความชัดลึก (Depth of field) หรือ (DOF)

จากการหรี่ขนาดช่องรับแสงให้เล็กลง และขยายช่องรับแสงให้กว้างขึ้นเพื่อเป็นการชดเชยแสงดังกล่าวแล้วในการนี้จะมีผลเพิดกับภาพถ่ายขึ้ยอย่างหนึ่งคือ ช่วงความชัดลึก กล่าวคือ ในการถ่ายภาพครั้งใด ถ้าเปิดขนาดช่องรับแสงกว้างมาก ช่วงความชัดในการถ่ายภาพจะน้อยลง และในคราวใดถ้าหรี่ขนาดช่องรับแสงให้เล็กลง ช่วงความชัดเจนก็จะมากขึ้น

F-Stop 4
F-Stop 8

ช่วงความชัดที่มากขึ้นหรือน้อยลงนี้ให้วัดจากศูนย์กลางของระยะที่ปรับในกล้องถ่ายภาพ เช่นปรับระยะถ่ายภาพไว้ 15 ฟุต ก็จะเปิดขนาดช่องรับแสงให้กว้างปานกลาง ภาพอาจจะชัดใกล้ จากศูนย์กลางเข้ามา 3 ฟุต คือเริ่มชัดตั้งแต่ระยะ 12 ฟุต และไกลจากศูนย์กลางออกไปอีก 5 ฟุต คือชัดไปถึง 20 ฟุต รวมความแล้วการถ่ายภาพคราวนี้ภาพถ่ายจะชัดตั้งระยะ 12-20 ฟุต แต่วัตถุที่ใกล้เข้ามา และไกลออกไห จะอยู่นอกระยะชัด ภาพที่อยู่ในระยะชัดดังกล่าวแล้วเรียกตามภาษาการถ่ายภาพว่า ช่วงความคมชัด (depth of field)
ประโยชน์ของช่วงความชัด ช่วงความชัดมีอยู่ 2 อย่างคือ ช่วงความชัดน้อย และช่วงความชัดลึก ช่วงความชัดนี้ ถ้าผู้ถ่ายภาพเป็นผู้ที่ได้ศึกษาเรื่องนี้เมื่อถ่ายภาพแต่ละครั้งก็สามารถควบคุมให้เกิดประโยชน์ และเป็นไปตามความต้องการได้ แต่ถ้าเป็นกล้องอัติโนมัติ ช่วงความชัดจะเกิดขึ้นเองโดยมิได้ตั้งใจไว้ให้เป็น ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นผลดี และบางครั้งก็เสียประโยชน์ไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การถ่ายภาพในห้องที่มีแสงสว่างพอสมควร อย่างห้องเรียนหรือห้องประชุมในสภาพแสงสว่างเช่นนี้ ถ้าอ่านคำอธิบายในกล่องฟิล์มเขาจะกำหนดไว้ว่า ถ้าใช้ฟิล์มไวแสง ISO 100 ใช้อัตราความเร็วชัตเตอร์ 1/120 วินาที ขนาดช่องรับแสง f.4 หรือ f.28 ดังนี้เป็นต้น เมื่อศึกษามาถึงตอนนี้แล้ว พอจะทราบแล้วว่า เลขบอกขนาดช่องรับแสง f.4 และ f.2.8 นั้นเป็นเลขที่บอกขนาดช่องรับแสงที่กว้างมาก เมื่อถ่ายภาพ ภาพที่ได้จะมีช่วงความชัดน้อยมาก คือ ชัดเฉพาะตรงระยะที่กำหนด พื้นที่ใกล้เข้ามาและไกลออกไปจะอยู่นอกระยะชัดหมดคือ มัวพร่าจนอาจดูไม่รู้เรื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้เป็นอันผิดความมุ่งหมาย เพราะการถ่ายภาพในห้องประชุม ควรจะต้องถ่ายให้เห็นคนให้ห้องนี้เป็นจำนวนมาก และคนที่เห็นควรจะต้องให้ชัดด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านที่รู้ความเป็นไปแล้ว ก็คงจะใช้วิธีตั้งกล้องให้นิ่ง แล้วลดความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลงจากเดิม 1/125 วินาที ลดลงทีละช่อง เมื่อลดความเร็วลงช่องหนึ่ง ก็ให้หรี่ขนาดข่องรับแสงให้เล็กลงตามไปทีละช่องด้วย หรี่ชดเชยแสงทีละเท่าจนได้ช่องรับแสงขนาด f .11 หรือ f.16 พอหรี่ได้ขนาดนี้ ภาพที่ได้ก็คมชัดตลอด เรื่องนี้จึงเป็นประโยชน์ในการควบคุมความชัดลึกได้อย่างหนึ่ง
อีกกรณีหนึ่ง เป็นผลที่ตรงกันข้าม คือภาพบางประเภทที่ต้องการจะเน้นจุดสำคัญของภาพให้เด่นโดยการถ่ายภาพให้ชัดตรงจุดแห่งความสนใจเพียงจุดเดียว นอกนั้นปล่อยให้พร่ามัวอยู่นอก ระยะชัดหมด อย่างเช่นภาพคนสวย ๆที่หน้าปกหนังสือพิมพ์ ภาพประเภทนี้ถ้าช่างภาพมือดีจะถ่ายให้ฉากหน้าพร่าข้างหลังมัว ให้ชัดเจนแต่เฉพาะผู้เป็นแบบเท่านั้น การถ่ายภาพประเภทนี้จึงจำเป็นจะต้องเปิดขนาดรับแสงให้กว้างมาก ๆ เมื่อเปิดกว้าง ก็ต้องเพิ่มความเร็วชัดเตอร์มากซึ่งอาจจะถึง 1/500 หรือ 1/1000 วินาที ทั้ง ๆ ที่ผู้เป็นแบบยืน ๆ นั่ง ๆ ไม่ได้กระโดดดลดเต้นแต่อย่างใดทั้งนี้มิใช่อื่นใดเพียงแต่เป็นการใช้ความเร็วชัตเตอร์เพื่อเป็นการชดเชยแสงกับการเปิดช่องรับแสงให้กว้างมากขึ้นเท่านั้นเอง


<< back to Photo main page

© Copyright 2003 Threestrokesix All right reserved :

Web Size : 15 MB