ในอดีตที่ช่างภาพมืออาชีพที่จริงจังจะนิยมใช้เลนส์เดี่ยวมากกว่าเลนส์ซูม
ด้วนเหตุผลที่ว่า
คุณภาพของภาพถ่ายที่ได้จากเลนส์ซูมนั้น
เทียบไม่ได้กับเลยเลนส์เดี่ยว
เพราะเทคโนโลยีการผลิตเลนส์ซูมในอดีตนั้น
ยังไม่ก้าวหน้าพออีกทั้งชิ้นเลนส์พิเศษต่างๆ
ก็มีราคาสูง
จนไม่คุ้มที่จะนำมาใช้กับเลนส์ซูมระดับตลาด
ทำให้คุณภาพของเลนส์ซูมในยุกต์แรกๆ
นั้น
เป็นรองเลนส์เดี่ยวอยู่มาก
แต่คุณภาพของเลนส์ซูมนั้น
ก็ได้พัฒนาดีขึ้นตามลำดับ
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเลนส์ซูม
เกิดขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของกล้อง
Auto Focus ช่วงปลายทศวรรษ 80 เลนส์ซูม
ของ Canon คือ EF 20-35 mm. f/2.8L, EF 28-80 mm. f/2.8L, EF
80-200 mm. f/2.8L
คือเลนส์ชุดแรกที่ปฏิวัติรูปแบบของเลนส์ซูม
เพราะมันเป็นเลนส์ซูมที่ให้ความสว่างสูงเทียบเท่าเลนส์เดี่ยว
ออกแบบโดยระบบออฟติคที่ก้าวหน้า
มีการใช้ชิ้นเลนส์พิเศษมากมาย
ช่วงทางยาวโฟกัสครอบคลุมการใช้งานแทบทุกรูปแบบ
และที่สำคัญที่สุด
มันให้คุณภาพของภาพถ่าย
แทบไม่แตกต่างกับเลนส์เดี่ยว
นี่คือเลนส์ซูมชุดแรก
ที่ทำให้มืออาชีพยอบรับคุณภาพ
และยังเป็นต้นฉบับให้กับเลนส์ยี่ห้ออื่นๆ
ต้องผลิตเลนส์ชุดแบบนี้ออกมาบ้าง
หลังจากนั้นมา เลนส์ซูมก็แทบจะเข้ามาแทนที่เลนส์ทางยาวโฟกัสเดี่ยว
นักถ่ายภาพรุ่นใหม่ๆ
ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพ
หรือมือสมัครเล่นแทบไม่มีใครสนใจเลนส์เดี่ยวกันแล้ว
ปัจจุบันเลนส์เดี่ยวหลายรุ่น
ถูกถอดจากสายการผลิตด้วยเหตุผลทางการตลาดคือ
ขายไม่ได้
เลนส์เดี่ยวที่ยังสามารถทำตลาดอยู่ได้นั้น
ต้องเป็นเลนส์ที่มีลักษณะพิเศษ
หรือจุดขายที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
เท่านั้นที่ยังสามารถทำตลาดได้อยู่
เช่น เลนส์มาโคร และเลนส์ Super
Tele ที่ทางยาวโฟกัสสูงมากๆ
เป็นต้น
|
เลนส์เทเลซูมไวแสง
Canon EF 70-200 mm. f/2.8L IS
|
|
เลนส์ซูมที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน
แบ่งแยกตลาดกันอย่างชัดเจน
คือ เลนส์ซูมเกรดโปร เลนส์ซูมเกรดธรรมดา
และเลนส์ซูมเกรดประหยัด ซึ่งการแบ่งแยกอย่างชัดเจนนี้นั้น
ทำให้การเลือกซื้อเลนส์ซูมไม่ยากอย่างที่คิด
และนอกจากนี้ยังมีเลนส์ซูมจากผู้ผลิตอิสระที่เป็นทางเลือกที่น่าสนใจอีกด้วย
ทำไมถึงน่าสนหรือครับ
นั้นเพราะว่า
ราคาขายของมันนั้น
ต่ำกว่าเลนส์ในระดับเดี่ยวกันของยี่ห้อกล้อง
2-3 เท่าตัว
แม้ว่าคุณภาพของมันนั้น
จะไม่สามารถเทียบกับเลนส์โปรของยี่ห้อกล้องได้
แต่ถ้าเทียบกับเลนส์เกรดธรรมดาแล้วละก็
เลนส์ซูมเกรดโปรจากผู้ผลิตอิสระ
จะมีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
มีระบบออฟติดที่ดีกว่าเลนส์
เกรดธรรมดาของยี่ห้อกล้องเสมอ
และยังได้รูรับแสงที่กว่างกว่า
1-1/2 สตอป
ในราคาที่ใกล้เคียงกับเลนส์ธรรมดาของยี่ห้อกล้อง
ทำให้เลนส์ซูมเกรดโปรของผู้ผลิตอิสระ
มียอดขายใกล้เคียงกับเลนส์เกรดธรรมดาของยี่ห้อกล้อง
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
เลนส์ซูมไวแสง
ในเรื่องของคุณภาพนั้น
ตองยอมรับว่าเลนส์ซูมไวแสงนั้น
เป็นเลนส์ที่ผู้ผลิตนั้น
ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน
เพื่อคุณภาพในระดับที่มืออาชีพต้องการ
ทั้งความคมชัด
และการถ่ายทอกสีสัน
แต่ก็อย่าไปซีเรียสมาก
เพราะถ้าเทียบเลนส์ระดับโปร
กับเลนส์ระกับธรรมดา
กับภาพถ่ายขนาด 4x6
ที่อัดกันอยู่เป็นประจำแล้ว
แทบจะมองความแตกต่างไม่เห็นเลยครับ
นอกจากว่าคุณมีความจำเป็นที่จะต้องนำภาพไปอัดขยายใหญ่
10x15 ขึ้นไปอยู่บ่อยๆ
ส่วนในเรื่องการใช้งานนั้นต้องยอมรับว่าเลนส์ไวแสงนั้น
สามารถถ่ายภาพแสงน้อยโดยไม่ต้องใช้แฟลชได้
หวังผลได้มากกว่า
แต่มือสมัครเล่นบางคนชอบเลนส์ขนาดเล็กและเบา
ดังนั้น
ก็อย่าคิดมากกับการเลือกซื้อครับ
แน่นอนว่าถ้ามีงบประมาณพอ
เลนส์ซูมไวแสงย่อมน่าสนกว่าแน่นอน
แต่หากมีงบประมาณไม่พอ
เลนส์ระดับกลางนั้น
คุณภาพไม่แตกต่างกับเลนส์โปรมากมายจนน่าเกลียดหรอกครับ
|
เลนส์ครอบจัรวาล
Tamron 28-300 mm.
|
|
เลนส์ซูมตัวเดียวครอบจักรวาล
หรือ แยกเป็น2 ตัว
เป็นคำภามที่พบมากเสมอ
สำหรับมือใหม่ที่คิดจะซื้อเลนส์ซูม
เพราะนักถ่ายภาพกลุ่มนี้
จะชอบเลนส์ตัวเดียวจบอย่าง
28-200 มม. หรือ 28-300 มม. เพราะ
สะดวกในการพกพา
แต่ยังอาจลังเล
เพราะได้รับคำแนะนำว่า
ซื้อแยกเป็น 2 ตัวดีกว่า คือ
28-80 มม. F/3.5-5.6 กับ 75-300 f/4-5.6 ดีกว่า
เพราะราคาเลนส์ 2 ตัว
นี้รวมกัน
ใกล้เคียงกับราคาของเลนส์
28-200 มม. และ 28-300 มม.
แต่สิ่งที่เลนส์ช่วงสั้นได้เปรียบคือ
ที่ช่วง 300 มม.
รูรับแสงจะอยู่ที่ 5.6
สว่างกว่ากัน ? สตอป และเลนส์
75-300 มม. จะมีระบบมาโคร 1:2
ให้ด้วย ทำให้ใช้งานได้เอนกประสงกว่า
และเลนส์ 75-300 มม.
จะไม่มีการเสียทางยาวโฟกัส
เหมือนกับเลนส์ 28-300 มม.
ดังนั้น เมื่อใช้งานที่ช่วง
200-300 มม เลนส์ 75-300 มม.
จะได้ทางยาวโฟกัสแบบเต็มๆ
ซึ่งจะเห็นผลชัดเมื่อถ่ายระยะใกล้
เลนส์ 75-300 มม.
จะให้อัตราการขยายที่สูงกว่าเสมอ
เลนส์ไวแสงอิสระ
หรือเลนส์เกรดธรรมดายี่ห้อกล้อง
ราคาขายที่ใกล้เคียงกัน
ของเลนส์ซูมเกรดโปรจากผู้ผลิตอิสระ
กับเลนส์
เกรดธรรมดาของยี่ห้อกล้อง
อาจทำให้หลายคนเกิดความสับสนได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ผลิตอิสระ
แต่เทคโนโลยีการผลิต
ก็ไม่ได้ต่างกันมาก
เพราะเมื่อเทียบกับเลนส์เกรดธรรมดาแล้วละก็
เลนส์ซูมเกรดโปรจากผู้ผลิตอิสระ
จะมีโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
มีระบบออฟติดที่ดีกว่าเลนส์
เกรดธรรมดาของยี่ห้อกล้องเสมอ
และยังได้รูรับแสงที่กว่างกว่า
1-1/2 สตอป
ในราคาที่ใกล้เคียงกับเลนส์ธรรมดาของยี่ห้อกล้อง
ทำให้เลนส์ซูมเกรดโปรของผู้ผลิตอิสระ
มียอดขายใกล้เคียงกับเลนส์เกรดธรรมดาของยี่ห้อกล้อง
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
แต่สิงที่ชัดที่สุดที่เลนส์อิสระเสียเปรียบ
คือ ความแมทช์กับบอดี
ซึ่งเลนส์จากยี่ห้อกล้องเอง
จะทำได้ดีกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระบบ AUTO
FOCUS เลนส์ยี่ห้อกล้อง
จะทำงานได้รวดเร็วกว่าอย่างชัดเจน
ชุดเลนส์ซูมที่น่าสนใจ
สำหรับชุดเลนส์โปรนั้น
คงไม่ต้องคิดอะไรมาก
เพราะผู้ผลิตจากทุกค่าย
ทำออกมาอย่างลงตัว
เพียงชุดเดียว นั้นคือ 17-35 มม.
f/2.8, 28-80 มม. f/2.8, 80-200 มม. f/2.8, หรือ 17-35 มม.
f/2.8, 28-70 มม. f/2.8, 70-200 มม. f/2.8,
แล้วแต่ยี่ห้อกล้องนั้นๆ
เป็นชุดมาตรฐานที่มือาชีพใช้เป็นส่วนใหญ่
(ผมเองยังอยากมีเลยครับ
แต่กระเป่ายังไม่หนักพอ)
แต่ถ้าเราต้องการประหยัดงบแล้ว
เรามาจำเป็นต้องใช้เลนส์โปรทั้งชุดเสมอไป
เช่นที่ช่วงมุมกว้าง
โอกาสที่จะได้ใช้รูรับแสงกว่าสุดนั้น
น้อย
ถ้าเปลี่ยนไปใช้เลนส์เกรดกลางๆ
f/3.5-4.5 ก็เพียงพอ
เพราะคุณภาพไม่ต่างกันมากนัก
จะประหยัดได้ ราว 20000-30000 บาท
ส่วนเลนส์ช่วงกลาง 28-70 มม.
นั้นเปลี่ยนไปใช้เลนส์ไวแสงของผู้ผลิตอิสระจะประหยัดได้กว่า
20000 บาท ส่วนเลนส์ เทเลซูม
ถ้างบพอ ควรใช้เลนส์เทเลซูมจากผู้ผลิตกล้องโดยตรง
ชุดเลนส์ซูมเกรดกลางๆ
นั้น มีให้เลือกค่อนข้างมาก
ชุดที่น่าสนใจคือ 17-35 มม. F/2.8
ของผู้ผลิตอิสระ กับ 28-105 มม.
F/3.5-4.5 หรือ 35-135 มม. f/3.5-5.6
ของผู้ผลิตกล้องโดยตรง
ส่วนช่วง TELE เป็น 75-300 มม. f/4-5.6
หรือ 100-300 มม. f/4-5.6
ชุดนี้จะใช้เลนส์ 3 ตัว
หรือจะลดลงเป็น 2 ตัว
ก็น่าจะเป็น เลนส์ 24-85 มม. f/3.5-4.5
ของผู้ผลิตกล้อง กับ เป็น 75-300
มม. f/4-5.6
อีกชุดที่น่าสนใจคือ
17-35 มม. F/2.8 ของผู้ผลิตอิสระ กับ
28-200 มม. f/4-5.6 หรือ กับ 28-300 มม. f/4-6.7
ซึ่งชุดนี้จะเป็นชุดเลนส์น้ำหนักเบา
คุณภาพใช้ได้
ได้ทางยาวโฟกัสครบทุกช่วง
แต่ที่ช่วง เทเล
อาจหวังผลได้ไม่มากนัก
|