ปีที่ 2 ฉบับที่ 713 ประจำวันอาทิตย์ที่ 27 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2542
บทความพิเศษ
นิพพานนั้น เป็นเช่นไร? (ต่อ)
นิพพานไม่รู้จักเต็มด้วยพระอรหันต์
มีพระพุทธพจน์อีกแห่งหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระอรหันต์ดับขันธ์แล้ว มิได้สูญหายไปเลย เหมือนทัศนะของ พวกถือนิพพาน แบบจิตวิทยา แต่ได้บรรลุถึง หรือเข้าถึง นิพพานธาตุ ชนิดที่เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ที่มีอยู่จริงในเอกภพ พระพุทธองค์ตรัสไว้ในคัมภีร์อุทานแห่งขุททกนิกาย (25/118(5)/157) ว่า
เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ยา จ โลเก สวนติโย มหาสมุทฺทํ อปฺเปนฺติ ฯ ยา จ อนฺตลิขา ธารา ปตนฺติ น เตน มหาสมุทฺทสฺส อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ปญฺญายติ เอวเมว โข ภิกฺขเว พหูปิ ภิกฺขู อนุปาทิเสสาย นิพฺพานธาตุยา ปรินิพฺพานยนฺติ น เตน นิพฺพานธาตุยา อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ปญฺญายติ ฯ
แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำทั้งหลาย ในโลกและสายน้ำจากห้วงเวหา ย่อมหลั่งไหลสู่มหาสมุทร แต่มหาสมุทร ก็ไม่ปรากฏว่า มีความพร่อง หรือความเต็มเพราะเหตุนั้น ฉันใด แม้ภิกษุทั้งหลายจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้พร่องหรือเต็มด้วยเหตุนั้นฉันนั้น
พระพุทธพจน์บทนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า นิพพานในฐานะเป็นแดนอายตนะอันหนึ่ง มีอยู่จริง เปรียบเหมือนมหาสมุทรมีอยู่จริง และแสดงให้เห็นต่อไปว่า พระอรหันต์ดับขันธ์แล้ว มิได้สูญหายไปเลย แต่ยังไปมีความสัมพันธ์ ความเกี่ยวพัน ความต่อเนื่อง หรือการต่อเชื่อม แบบใดแบบหนึ่งกับนิพพานนั้น แบบเดียว กับสายน้ำทั้งหลายในโลก มีความต่อเชื่อมกับมหาสมุทร ลักษณะของการต่อเชื่อม ชวนให้คิดว่า นิพพานอยู่นิ่งๆ พระอรหันต์ทั้งหลาย เคลื่อนไหวไปหา หรือ เข้าสู่ หรือบรรลุถึง แบบเดียวกับสายน้ำทั้งหลาย เป็นฝ่ายเคลื่อนไหว เข้าสู่มหาสมุทร
ในพระพุทธพจน์บทนี้ มีการพูดถึงการที่พระนิพพาน ไม่รู้จักตื้นเต็ม หรือพร่อง แสดงให้เห็นว่า นิพพานนั้นยิ่งใหญ่เหมือนมหาสมุทร สามารถรับพระอรหันต์ได้ไม่จำกัด
พระอรหันต์นิพพานแล้วไม่สูญ
มติฝ่ายเถรวาท ยุคอรรถกถา คือยุคที่นักปราชญ์ต่างๆ เขียนคัมภีร์อรรถกถาขึ้นอธิบายความ หมายของพระไตรปิฎกบาลี (น่าจะอยู่ในยุค พ.ศ.700 ถึง 1000) เห็นว่า พระอรหันต์ ปรินิพพาน ไปแล้ว ดับสูญไปเลย ดุจเปลวไฟดับไปเพราะหมดเชื้อ แต่หลักฐานในพระไตรปิฎกบาลี ไม่สอดคล้องกับมตินี้
ในอัคคิวัจฉโคตตสูตร (13/248-51/245-8) ปริพพาชก ชื่ออัคคิวัจฉะ ทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระอรหันต์ดับขันธ์แล้วยังมีอยู่หรือไม่? พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า
ดูก่อนวัจฉะ บุคคลเมื่อบัญญัติว่า สัตว์ พึง บัญญัติ เพราะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น ตถาคต ละได้แล้ว มีรากเหง้าที่ตัดขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
ตถาคตพ้นจากการนับว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก เปรียบเหมือนมหาสมุทร ฉะนั้น จึงไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควร จะกล่าวว่า ไม่เกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่
พระพุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อพระอรหันต์หรือแม้พระตถาคตสิ้นชีพดับขันธ์ลง ขันธ์ 5 ย่อมดับไปตามธรรมชาติของมัน แม้สมมุติบัญญัติทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่กับขันธ์ 5 ก็พลอยดับ ไปด้วย แต่ยังมีอะไรบางอย่างเหลืออยู่ และมีคุณลักษณะที่พออธิบายได้ เช่น มีคุณอันลึก อันใครๆ ประมาณ ไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก (เข้าใจได้ยาก) เปรียบเหมือนมหาสมุทร ฉะนั้น ที่พระพุทธองค์ สรุปในตอนท้ายว่า จะว่าเกิดก็ไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่นั้น แสดงว่า สิ่งนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยภาษาของมนุษย์ ไม่ว่าจะพูดถึง ในแง่ไหน มันไม่ถูกทั้งสิ้น
แม้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกก็ทรงรับรองว่า เพราะฉะนั้น ที่ซึ่งไม่ตายนั้นก็ต้องเป็นที่ที่ไม่เกิด คือนิพพานในพระพุทธศาสนา เมื่อได้บรรลุถึง นิพพาน อันดับกิเลส และกองทุกข์ ทั้งสิ้น ไม่เกิดอีก จึงเป็นอันว่าได้บรรลุอมตธรรม ธรรมที่ไม่ตายก็คือ ไม่แก่ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงได้ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งปวง เป็น อนัตตา คือไม่พึงยึดถือว่า เป็นตัวเราของเรา แม้ว่า จะบรรลุถึงนิพพาน ไม่เกิดอีก แต่ก็ไม่สูญ เป็นสิ่งที่มีอยู่ แต่ว่า เมื่อถอนธรรมทั้งปวงเสียได้หมด ก็เป็นอันว่า ถอนวาทะที่จะพูดเสียทุกทาง จึงไม่มีทางที่จะบัญญัติถ้อยคำขึ้น พูดถึงว่าอะไรต่อไป เป็นอันยุติ เพราะเมื่อยังไม่ยุติ ยังพูดถึงกันอยู่ว่า เป็นนั่นเป็นนี่ ก็แปลว่า ยังไม่จบยังไม่สิ้น เมื่อจบสิ้น ก็แปลว่า ยุติที่จะพูดถึงกันต่อไป ไม่มีที่จะยกขึ้นมา เป็นนั่นเป็นนี่อะไร อีกต่อไป ท่านจึงเปรียบเหมือนดังว่า ไฟสิ้นเชื้อดับไป ไม่ถึงความนับว่า ไฟไปทางไหน อย่างไร แต่ว่าไฟก็ไม่สูญ ฉันใดก็ดี ท่านผู้ที่บรรลุนิพพาน สิ้นกิเลส และกอง ทุกข์ทั้งหมดแล้ว ดับขันธ์ไม่เกิดอีก ก็เป็นผู้ที่ไม่สูญ แต่ก็พ้นจากทางถ้อยคำ ที่จะกล่าวถึงว่าอะไร เป็นอันยุติกันเสียทีหนึ่ง จะพูดว่าจิต ว่าวิญญาณ หรืออะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น จะพูดว่าตัวตนก็ไม่ได้ทั้งนั้น (พุทธชยมังคลคาถาบรรยาย ใน ธรรมจักษุ ปีที่ 83 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนมีนาคม 2542 หน้า 18-19)
สิ่งนั้นมีมากดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาและดุจน้ำในมหาสมุทร
บางสำนักถูกกล่าวหาว่า สอนพระนิพพานที่เป็นอัตตา เพราะสอนว่า พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้วในอดีต ยังอยู่ในแดนนิพพาน มีจำนวนมากกว่า เม็ดทรายในมหาสมุทร เป็นการ บิดเบือนพระไตรปิฎก เป็นการจ้วงจาบพระธรรมวินัย
แต่ปรากฏว่า ในพระไตรปิฎก สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย (18/754-761/456-462) มีพระพุทธพจน์ที่มีลักษณะ เปรียบเทียบ พระตถาคตที่ปรินิพพานไปแล้ว กับเม็ดทราย ในแม่น้ำ คงคา และกับปริมาตรของน้ำในมหาสมุทรดังนี้
วันหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลได้สนทนาธรรม กับนาง เขมาภิกษุณี และได้ตรัสถามปัญหาสำคัญที่คนมักจะถามกันอยู่ เสมอว่า โหติ ตถาคโต ปรํ มรณา ฯ เป็นต้น
แปลว่า เบื้องหน้าแต่ตาย พระตถาคตยังมีอยู่หรือ? ไม่มีอยู่หรือ? มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย หรือ? มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ หรือ?
นางเขมาภิกษุณีทูลตอบว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบปัญหาเหล่านี้ พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสถามว่า เพราะเหตุใด นางเขมาภิกษุณียังไม่ตอบคำถามนั้นโดยตรง แต่ย้อนถาม พระเจ้า ปเสนทิโกศลก่อน เพื่อเป็นการปูทางเดินไปสู่คำตอบในขั้นสุดท้าย นางถามว่า อตฺถิ เต โกจิ คณโก วา มุทฺทิโก วา สงฺขายโก วา โย ปโหติ คงฺคาย วาลิกํ คเณตุํ
เอตฺตกา วาลิกา อิติ วา
เอตฺตกานิ วาลิกสตานิ อิติ วา
เอตฺตกานิ วาลิกสหสสานิ อิติ วา
เอตฺตกานิ วาลิกสตสหสฺสานิ อิติ วา
แปลว่า พระองค์มีนักคำนวณ หรือนักประเมิน หรือนักประมาณอยู่หรือไม่ ที่จะคำนวณเม็ดทรายแห่งแม่น้ำคงคาได้ว่า
เม็ดทรายมีเท่านี้ หรือว่า
เม็ดทรายมีเท่านี้ร้อย หรือว่า
เม็ดทรายมีเท่านี้พัน หรือว่า
เม็ดทรายมีเท่านี้แสน ?
พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสตอบว่า ไม่มีนักคำนวณที่จะสามารถนับเม็ดทรายแห่งแม่คงคาได้
เท่านั้นยังไม่พอ นางเขมาภิกษุณียังถามย้ำต่อไปอีกว่า พระองค์มีนักคำนวณ หรือนักประเมิน หรือนักประมาณ ที่สามารถคำนวณน้ำในมหาสมุทรได้ ว่า
มีเท่านี้ขัน (อาฬหกะ)?
มีเท่านี้ร้อยขัน หรือว่า
มีเท่านี้พันขัน หรือว่า
มีเท่านี้แสนขัน?
พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสตอบว่าไม่มีนักคำนวณคนใด ที่จะคำนวณน้ำ ในมหาสมุทร ออกมาเป็นขันๆ ได้ นางเขมาภิกษุณี ทูลถามว่า เพราะเหตุใดจึงคำนวณไม่ได้ พระเจ้า ปเสนทิโกศล ตรัสตอบว่า เพราะมหาสมุทร ล้ำลึกประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้ยากยิ่ง พระนางเขมาภิกษุณีได้ทูลตอบ ในลักษณะสรุปประเด็นสำคัญว่า
เอวเมว โข มหาราช เยน รูเปน ตถาคตํ ปญฺาปยมาโน ปญฺเยถฯ ตํ รูปํ ตถาคตสฺส หินํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลวตฺถุกตํ อนภาวงฺคตํ อายตึ อนุปฺปาทธมฺมํฯ รูปสงฺขยาวิมุตฺโต โข มหาราช ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมยฺโย ทุปฺปริโยคาฬฺโหฯ เสยฺยถาปิ มหาราช มหาสมุทฺโทฯ
แปลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เช่นเดียวกันนั้น แล บุคคล เมื่อจะบัญญัติว่า ตถาคตพึงบัญญัติด้วยรูปใด รูปนั้น พระตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากตัดขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตอต้นตาล ถึงความเป็นสภาพ ไม่มีอยู่ มีความไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา
ข้าแต่มหาราชเจ้า ตถาคตพ้นแล้วจากการนับว่าเป็นรูป เป็น สภาพล้ำลึกประมาณไม่ได้ เข้าใจได้ยากเปรียบเหมือนมหาสมุทร นั้นแหละ มหาราชเจ้า
ต่อจากนั้น นางเขมาภิกษุณีก็ได้กล่าวถึงการที่พระตถาคตละขันธ์ที่เหลืออีก 4 อย่างคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พ้นจากการนับว่าเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น สภาพล้ำลึก แบบเดียวกับ กรณีของการละรูป
ต่อมาภายหลัง พระเจ้าปเสนทิโกศล คล้ายๆ กับจะยังไม่แน่พระทัยว่า คำตอบที่พระองค์ได้ฟังจาก เขมาภิกษุณีนั้น จะถูกต้องหรือไม่ เมื่อได้โอกาสจึง ได้ทูลถามปัญหาเดียวกันนั้น กับ พระพุทธเจ้า ปรากฏว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทาน คำตอบแบบเดียว กับคำตอบของนางเขมาภิกษุณีแบบคำต่อคำทีเดียว จนกระทั่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล ต้องทรงเปล่ง พระอุทาน ออกมาว่า
อจฺฉริยํ ภนฺเต อพฺภูตํ ภนฺเต ยตฺรหิ นาม สตฺถุ เจว สาวิกาย จ อตฺเถน อตฺโถ พยญฺชเนน พยญฺชนํ สํสนฺทิสฺสติ สเมสฺสติ น วิหายิสฺสติ ฯ
อัศจรรย์จริง พระเจ้าข้า ไม่น่าเป็นได้ พระเจ้าข้า คือข้อที่คำพูดของพระศาสดา(ครู) และของพระสาวิกา(ศิษย์) จะปรากฏสอดคล้องกัน เข้ากันได้ ไม่ขัดแย้งกันเลย แบบใจความ ต่อ ใจความ แบบตัวอักษรต่อตัวอักษรเช่นนี้
ในพระพุทธพจน์บทนี้ ก็เช่นเดียวกับบทอื่น ที่ยืนยันว่า เมื่อพระอรหันต์หรือพระตถาคตสิ้นชีพดับขันธ์ลง ขันธ์ 5 เท่านั้น ดับไปอย่างสิ้นเชิง แต่มิใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง สิ้นสุดลงแค่นั้น ถ้าสิ้นสุดลงแค่นั้น พระองค์ก็น่าจะยืนยันแบบนั้น ให้ชัดเจนลงไปเลย แต่ พระองค์หาได้ทำเช่นนั้นไม่ ยังตรัสคล้ายกันว่า ยังมีอะไรบางอย่างเหลืออยู่ แต่สิ่งนั้นลึกซึ้ง ประมาณมิได้ ยากที่จะรู้ ยากที่จะเห็นสงบ ระงับ ประณีต เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นยังทรงนำเอา ลักษณะที่ประมาณไม่ได้ของสิ่งนั้น ไปเปรียบเทียบกับ เม็ดทรายแห่งแม่คงคา และน้ำในมหาสมุทรอีกด้วย
แต่ถึงจะเป็นสิ่งที่ประณีตล้ำลึกหยั่งถึงได้ยาก เพียงใด พระพุทธองค์ก็ตรัสยืนยันว่า คนบางพวกยังอาจรู้ได้ บางพวกก็ไม่สามารถรู้ได้ (มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย 13/248-251/245-248) ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
ธรรมนี้ เป็นธรรมลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ สงบ ระงับ ประณีต ไม่ใช่ธรรมที่จะหยั่งถึงได้ด้วยตรรกะ ผู้เป็นบัณฑิตเท่านั้น จึงจะรู้
ธรรมนั้น อันท่านผู้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น มีความชอบใจเป็นอย่างอื่น มีความพอใจเป็นอย่างอื่น มีความเพียรในทางอื่น อยู่ในสำนักของอาจารย์อื่น รู้ได้โดยยาก
ตอนสุดท้าย พระพุทธองค์ทรงเตือนไว้อย่างชัดเจนว่า เราไม่เห็น คนอื่นเขาอาจจะเห็น อย่าเพิ่ง ไปประณามเขาว่า งมงาย
ชื่อต่างๆ ของนิพพานในฐานะเป็นอายตนะอันหนึ่งในพระไตรปิฎก (18/720-.../450-452) มีการ เรียกนิพพานด้วยชื่อต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 30 ชื่อ บางชื่อ ก็แสดงว่า นิพพานมีลักษณะเป็น อายตนะอันหนึ่ง เช่น
ปารํ เป็นฝั่ง หมายความว่า เวลานี้สัตว์ทั้งหลายยังลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แต่เมื่อใดบรรลุถึงนิพพาน เมื่อนั้นก็พ้นทุกข์ถึงฝั่งอันปลอดภัย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ (18/123/450) ว่า
ปารํ จ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ ปารคามิญฺจ มคฺคํ ตํ สุณาถฯ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงฝั่ง (ข้างโน้น) และหนทางไปสู่ฝั่งแก่เธอทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายจงฟังข้อนั้น
ทีปํ เป็นเกาะ ธรรมดาเกาะในทะเล เมื่อเรือ อัปปางคนว่ายน้ำเข้าถึงเกาะแล้วย่อมปลอดภัย ดุจ บรรลุถึงนิพพานแล้ว ย่อมปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง
เสณํ เป็นถ้ำ คือเป็นที่หลบภัยอันมั่นคง
ตาณํ เป็นเครื่องป้องกัน เป็นเขื่อนป้องกันภัยคือ ทุกข์
อนฺตํ เป็นที่สุดแห่งทุกข์ทั้งปวง
สรณํ เป็นที่พึ่ง เมื่อถึงนิพพานแล้ว ก็ถึงที่พึ่งอันปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง
ปรายนํ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า นามนี้น่าสนใจมาก เพราะแสดงให้เห็นว่า อนุปาทิเสสนิพพานนั้น จะต้องสิ้นชีพดับขันธ์ก่อน จึงจะบรรลุ ถึงได้ เป็นธรรมชาติที่แยกอยู่ต่างหากจากชีวิตนี้ เพราะถ้ามีอยู่ในชีวิตนี้ ก็ต้องเป็นนิพพานแบบจิตวิทยา พระพุทธ องค์คงจะต้องใช้ศัพท์ว่า ทิฏฺธมฺมํ แต่กลับใช้คำว่า ปรายนํ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ซึ่งเป็นศัพท์ตรงกันข้ามกับ ทิฏฺธมฺมํ
นิพพาน 2 นัย หรือ 2 ความหมาย
เมื่อกล่าวโดยสรุป หลักฐานในพระไตรปิฎก แสดงให้เห็นว่า อนุปาทิเสสนิพพาน มีอยู่ 2 ลักษณะ คือลักษณะฝ่ายลบ (Negative) และลักษณะฝ่ายบวก (Positive)
พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เฉพาะอย่างยิ่ง ในยุค อรรถกถา(พ.ศ.700-1000) เน้นแง่ลบของพระนิพพานเป็นพิเศษ อธิบายนิพพานในฐานะเป็นความ ว่างอย่างยิ่ง (นิพพานํ ปรมํ สุญฺญํ) ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น เป็นอนัตตา เป็นความสูญอย่างสมบูรณ์ ไม่มีอะไรเลย
แต่ก็มีชาวเถรวาทบางพวกอธิบายนิพพานใน แง่บวก บอกว่า นิพพานมีอยู่จริง ในฐานะเป็นแดน (อายตนะ sphere) อันหนึ่ง มีอยู่ในเอกภพนี้เอง แต่ ชี้ไม่ได้ว่ามีอยู่ ณ จุดไหน พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย สิ้นชีพดับขันธ์แล้ว บรรลุถึงนิพพานธาตุนั้น แต่ไม่ได้บอกว่า ยังอยู่ในฐานะเป็นบุคคล เป็นอัตตาหรือไม่ บอกแต่เพียงว่า เป็นธรรมชาติล้ำลึก (คมฺภีโร) หยั่งรู้ได้ยาก (ทุปฺปริโยคาฬฺโห) อันใครๆ นับประมาณไม่ได้ (อปฺปเมยฺโย) ดุจเม็ดทรายแห่งแม่คงคา (คงฺคาย วาลิกา) ดุจน้ำในมหาสมุทร เพราะเหตุที่หลักฐาน ในพระไตรปิฎก ไม่ระบุไว ้ชัดเจนนี้เอง ฝ่ายเถรวาทบางสำนัก จึงอธิบายให้ชัดเจนลงไปเลยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ยังมีอยู่ในรูปของธรรมกาย ที่พุทธศาสนิกชน สามารถเข้าสัมผัสได้ ในสมาธิชั้นสูง
ถ้าเราดูหลักฐานในพระไตรปิฎก เราจะพบว่า มีการนำเสนอพระนิพพานในแง่บวก มากกว่าแง่ลบ แม้แต่ศัพท์ต่างๆ ที่เป็นไวพจน์ของนิพพาน ก็ล้วนแต่มีความหมายในทางบวกทั้งนั้น โปรดสังเกตศัพท์ที่เป็นไวพจน์ของนิพพานดังต่อไปนี้
อสงฺขตํ - ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นธาตุบริสุทธิ์
อมตํ - เป็นอมตะ ไม่รู้จักตาย (เพราะไม่มีการเกิด)
อนาสวํ -ไม่มีอาสวะทั้ง 3 คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ
อชฺชรํ - ไม่รู้จักแก่ ไม่มีความแก่ (เพราะไม่มีความเกิด)
อปโลกินํ - ไม่รู้จักทรุดโทรม ไม่มีอะไรทำลายได้
อนิทสฺสนํ - ไม่มีลักษณะที่เห็นได้ด้วยจักขุ วิญญาณ
นิปฺปปญฺจํ - ไม่มีกิเลสเครื่องทำให้เนิ่นช้า
อพฺภูตํ - ไม่กลับกลาย
อนีติกํ - ไม่มีความทุกข์
อนีติกธมฺมํ - เป็นธรรมอันหาทุกข์มิได้
อพฺยาปชฺฌํ -ไม่มีอันตราย ไม่มีการเบียดเบียน
อนาลยํ - ไม่มีอาลัย
ศัพท์เหล่านี้ แม้จะเป็นศัพท์ปฏิเสธ ก็มีความหมาย ในทางดี เช่นคำว่า อมตํ ไม่ตาย ก็หมาย ความว่า มีอยู่ตลอดกาล
ส่วนศัพท์ที่เป็นไวพจน์ของนิพพานต่อไปนี้มี ความหมาย เป็นฝ่ายบวกโดยตรง เช่น
สจฺจํ - เป็นความจริง
นิปุณํ - เป็นธรรมชาติละเอียด
สุทุทฺทสํ - เห็นได้ยากยิ่ง
ธุวํ - เป็นสภาพยั่งยืน
สนฺตํ - เป็นสภาพสงบ
ปณีตํ - เป็นสภาพประณีต
สิวํ - เป็นความสุข เยือกเย็น
เขมํ - เกษม ปลอดภัย
ตณฺหกฺขยํ - สิ้นความอยาก
อจฺฉริยํ - เป็นธรรมชาติน่าอัศจรรย์
วิราคํ - ปราศจากราคะ
สุทฺธิ - เป็นความบริสุทธิ์
มุตฺตํ - เป็นสภาพพ้น (จากทุกข์ทั้งปวง)
มีบางศัพท์ที่ฟังดูมีความหมายในทางลบ แต่คำอธิบายที่ท่านให้ไว้ กลับเป็นบวก เช่น
นิพฺพานํ - ความดับ ในที่มาแทบทุกแห่ง หมายถึง ความดับ โลภะ โทสะ โมหะ
สุญฺํ - ว่าง หมายถึง ว่างจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ
ผลทางจิตใจของการอธิบายนิพพาน 2 แบบ
ทัศนะหรือมุมมองที่คนมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อม มีอิทธิพล อย่างมากต่อจิตใจและพฤติกรรมของคน เช่น คนที่เห็นว่าตายแล้วสูญ มักจะเห็นว่าชีวิตสั้น และมีแนวโน้ม ที่จะทำให้ชีวิต มีความสุขสำราญ มากที่สุด โดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่า จะเป็นกุศลหรือ อกุศล ขอให้สุขสำราญก็แล้วกัน เพราะตายแล้วก็สูญ ไม่ต้องไปเกิด เสวยผลกรรมที่ไหนอีก ส่วนคนที่เชื่อเรื่อง ตายแล้ว เกิด มักจะมีทีท่ารับผิดชอบ ต่อการกระทำมากขึ้น จะคำนึงถึงความดีความชั่วมากขึ้น เพราะการกระทำใดๆ จะส่งผลถึง ชาติหน้าหรือชาติต่อๆ ไป
การมองนิพพานในแง่บวกหรือแง่ลบ ก็มีอิทธิพลเหนือจิตใจของบุคคลเช่นเดียวกัน
การมองนิพพานแบบลบ เห็นว่านิพพานเป็น ความสูญความว่าง ทำให้นิพพานขาดเสน่ห์ ไม่ดึงดูด ให้คนอยากบรรลุ ไม่กระตุ้นให้คนอยากปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน เพราะเกิด ความ รู้สึกว่า อุตส่าห์ปฏิบัติแทบล้มแทบตาย ในที่สุดกลับพบแต่ความว่างเปล่า
มีนักปราชญ์บางคนกล่าวว่า พระพุทธศาสนา แบบเถรวาทเสื่อมความนิยมจากอินเดียอย่างรวดเร็ว ก็เพราะสอนว่านิพพานเป็นความว่างเปล่านี้เอง เมื่อหลวงจีนยานฉว่าง ไปสืบทอด พระพุทธศาสนาในอินเดียใน พุทธศตวรรษที่ 12 นั้นได้พบว่า พระพุทธศาสนา เถรวาทยังเหลืออยู่น้อยมาก แต่พระพุทธศาสนามหายาน กลับเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่ง มีมหาวิทยาลัยนาลันทา วิกรมศิลา และโอทันตปุรี พระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นพระภิกษุเถรวาท ที่ยังหลงเหลืออยู่แถวพุทธคยา ต้องเดินทางไปถึงเกาะลังกา เพื่อศึกษาพระพุทธ ศาสนา แบบเถรวาท และได้แปล คัมภีร์ ต่างๆ จากภาษา สิงหลเป็นภาษามคธ พระพุทธศาสนาแบบมหายาน เพิ่งจะหายไปจากอินเดีย เมื่อถูกกองทัพมุสลิมเตอร์กทำลาย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 นี้เอง บางท่านถึงกับกล่าวว่า พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เป็นศาสนากลวง ข้างในคือ เมื่อค้นเข้าไปถึงแก่นแล้ว กลับพบแต่ความว่างเปล่า เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถจะยืนหยัดต่อสู้กับศาสนา ที่แน่นข้างในอย่าง ศาสนาฮินดูได้
ส่วนการนำเสนอนิพพานแบบเป็นรูปธรรม เป็นอายตนะที่เป็นบรมสุขนั้น เข้าใจง่ายกว่า มีเสน่ห์ดึงดูดชวนให้ไปมากกว่า เพราะฉะนั้น ในเมืองไทยเอง จึงเคยเสนอนิพพานในรูปของ เมืองแก้ว กล่าวแล้วคือ พระนฤพาน คนสมัยก่อนจึงอยากบรรลุถึงนิพพานกัน เวลาทำบุญทำทานก็ตั้งความปรารถนาว่า นิพฺพานปจฺจโย โหตุ ขอกุศลผลบุญครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยสู่ พระนิพพาน เถิด
เวลานี้มีคนน้อยคนที่อยากไปนิพพานเพราะ นักปราชญ์ ฝ่ายเถรวาทเน้นด้านลบของนิพพานมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะอธิบายในแง่ลบหรือแง่บวก นิพพานที่แท้จริงก็คงเป็นตัวของตัวเองอยู่อย่างนั้น หาได้เป็นลบหรือเป็นบวกไปตามคำอธิบายของคนไม่ แต่การอธิบายในแง่ บวกอาจจะเป็นอุบายวิธีที่ดีกว่าในการเชิญชวนให้คนอยากปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน และเมื่อบรรลุแล้ว เขาก็จะเห็นประ-จักษ์แจ้งด้วยตัวเอง การอธิบายในแง่บวกหรือแง่ลบ จะไม่มีความ หมายใดๆ ทั้งสิ้น
โดย ศาสตราจารย์ แสง จันทร์งาม
อดีตคณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่