แผ่นเสียงร่องกลับทางของวังบ้านหม้อ
เมื่อปีพ.ศ. 2523 มีรายการโทรทัศน์ของคุณเศรษฐาและคุณญาณี ได้ส่งเจ้าหน้าที่บันทึกภาพโทรทัศน์ มาสัมภาษณ์เรื่องแผ่นเสียงโบราณชนิดร่องกลับทางหรือที่ฝรั่งให้ชื่อว่า Berliner Record (ค.ศ. 1895 หรือ พ.ศ.2438 )อันหมายถึงแผ่นเสียงโบราณที่มีทั้งขนาดใหญ่พิเศษ (13.5 นิ้วฟุต) หนามาก และหนักมากเมื่อจะนำมาเล่นกับเครื่องจานเสียงนั้น เพลงจะเริ่มที่กลางแผ่นใกล้กระดาษกลมตรงกลางแล้วเข็มจะเลื่อนออกมาจบเพลงที่ขอบแผ่น ซึ่งฟังดูแล้วเหมือนเล่าเรื่องตลกแต่ก็เป็นไปแล้วจริงๆ ปรากฎว่าท่านผู้ทายปัญหาตอบถูก
เมืองไทยเรานั้นทันสมัยมิใช่เล่น พอฝรั่งคิดแผ่นเสียงได้ไทยก็ซื้อเขามาเล่นทันทีเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อ Emile Berliner จดทะเบียนแผ่นเสียงชนิดแผ่นแบนแบบดังกล่าวได้ ก็มีฝรั่งหัวใสนำเข้ามาเพื่อบันทึกเสียงเพลงไทยออกขายทันที ที่น่าสนใจมากก็คือ บันทึกทั้งเพลงพื้นบ้านเช่นเพลงเป๋(เพลงฉ่อย)ของแม่อิน และเพลงจากละครดึกดำบรรพ์ เช่นเรื่องคาวีของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์โดยบันทึกกันที่วังบ้านหม้อ อันเป็นที่ตั้งของกรมมหรสพในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นบ้านของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) มีหม่อมเจริญ กุญชร ณ อยุธยา (ต่อมาคือนางเจริญ พาทยโกศล ภรรยาท่านครูจางวางทั่ว พาทยโกศล) เป็นต้นเสียงขับร้อง และเข้าใจว่าคงบันทึกกันราวปี 2440 หรือหลังจากนั้นนิดหน่อย
ได้มีโอกาสไปสำรวจแผ่นเสียงโบราณรุ่นนี้ที่หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี ก็ได้พบสิ่งที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกว่า มีแผ่นเสียงรุ่นเดียวกันนี้บันทึกเพลงตับอยู่ไม่น้อยกว่าสามเรื่อง คือเรื่องสามก๊ก ตอนจูล่งออกไปช่วยนางบีฮูหยินเมียเล่าปี่แล้วนำเอาเต๊า ลูกนางบีฮูหยินฝ่าดงข้าศึกมามอบให้เล่าปี่ ได้เรียกเพลงชุดนี้ว่า "ตับจูล่ง " ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ ใช้ครั้งแรกปี 2437 ในงานชุดเพลงภาพนิ่งตาโบลวิวังต์ ( Tableux Vivante ) มีเพลงตับเรื่องเรื่องอาบูหะซันตอนแต่งงานเรื่องพระลอ ตอนพระลอคลั่งรัก ที่เรียกว่า " ตับพระลอคลั่ง '' กับยังมีเพลงเกร็ดต่างๆรวมมาด้วยซึ่งในคราวนี้จะเขียนเฉพาะส่วนของเพลงที่เป็นของวังบ้านหม้อเท่านั้น
วังบ้านหม้อนั้น ปัจจุบันในปี 2540 ยังคงอยู่ดีที่ตำบลบ้านหม้อถนนอัษฏางค์ริมคลองหลอดฝั่งตรงกันข้ามกับศาลาเจ้าพ่อหอกลอง (ซึ่งอยู่ด้านหลังของกรมรักษาดินแดน) มีประตูก่อด้วยหินและซีเมนต์สีขาว ภายในมีต้นไม้ร่มรื่นและมีท้องพระโรงอันเป็นที่เสด็จออกของเสด็จในกรม พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระพิทักษ์เทเวศร์พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 ผู้เป็นต้นราชสกุล กุญชร ท้ายที่สุดมีหม่อมหลวงแฉล้ม กุญชร เป็นผู้รักษาวังนี้สืบทอดเป็นเจ้าของต่อมา ที่วังนี้เคยเป็นที่ชุมนุมศิลปินน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายดนตรีและนาฎศิลป์ เพราะเป็นกรมมหรสพของหลวงและเป็นแหล่งต้นกำเนิดของปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์กับละครดึกดำบรรพ์อันลือชื่อ (ปัจจุบันโรงละครรื้อไปแล้วเป็นร้านค้าขายเพชรพลอยบนถนนบ้านหม้อ)
วังนี้เป็นแห่งเดียวเท่านั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์และนักร้องเพลงดึกดำบรรพ์ซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง เช่น หม่อมเจริญ หม่อมมาลัย หม่อมคร้าม หม่อมคล้าย แม่แป้น แม่ปุ่ม แม่แจ๋ว เป็นต้น
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วนั้น แผ่นเสียงร่องกลับทางแบบ Berliner แผ่นไหนก็ตามที่มีตัวหนังสือเขียนว่า วงดนตรีปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์แล้ว จะต้องเป็นผลงานของวังบ้านหม้อนี้อย่างแน่นอน
ได้ค้นพบแผ่นเสียงตับเพลง " เรื่องอาบูฮาซันน่าหนึ่ง " ( เขียนตามภาษาอย่างเก่าที่ปรากฎบนหน้าแผ่นเสียง ) หมายเลข 47056/1 เพลงสร้อยสม ร้องโดยนายอิน นายใหญ่ ที่น่าสังเกต คือ ตัวหนังสือนั้นเขียนด้วยลายมือ แสดงว่ายังไม่ได้ใช้พิมพ์ดีด แถมผู้เขียนข้อความบนหน้าแผ่นเสียงซึ่งเป็นกระดาษสีดำ ก็เขียนภาษาบกพร่อง คือคำว่า " ตอน " เขียนว่า " ตอ " ตกตัวอักษร "น" ไปหนึ่งตัว ซึ่งเรื่องความผิดพลาดในอักขรวิธีนี้ พบได้บ่อยๆในแผ่นเสียงรุ่นนี้
ขอขยายความเรื่องเพลงตับอาบูหะซันต่อไปอีกเล็กน้อยว่า เป็นเพลงชุดที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงจัดขึ้นโดยใช้บทร้องมาจากพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2421) อันเป็นคำประพันธ์ประเภทลิลิต เรียกว่า"ลิลิตนิทราชาคริต" (เรื่องอาบูหะซัน)เดิมใช้ร้องประกอบการแสดงภาพนิ่ง ( Tableux Vivante) คือใช้ละครแต่งตัวสวยงาม ให้ตรงตามบทร้อง ในที่นี้ก็จะแต่งเป็นแขก มีฉากสวยงามเป็นภาพแขก แล้วให้ตัวแสดงยืนหรือนั่งอยู่ในท่านิ่ง ไม่กระดุกกระดิกตาก็ไม่กระพริบ ใช้ไฟส่องให้เห็นเด่นชัด แล้วบรรเลงร้องเพลงประกอบ พอถึงตอนดนตรีบรรเลงรับร้อง ก็ดับไฟ ผู้แสดงก็ขยับเขยื้อนได้นิดหน่อย พอเพลงบรรเลงรับร้องจะหมด ไฟก็จะสว่างขึ้น ตัวแสดงก็นิ่งอยู่เหมือนการจัดภาพนิ่งหรือหุ่นนิ่งนั่นเอง
เพลงตับเรื่องอะบูหะซันนี้ เล่าเรื่องฉากการแต่งงานของอะบูหะซันกับนางนอซาตลอัวดัด โดยมีพระทางศาสนาอิสลามเรียกว่า "อีแมน" เป็นผู้ทำพิธีและยังมีพรเจ้ากาหลิบพระนางโชบิเดกับตัวประกอบอื่นๆมาร่วมอยู่ในฉากนี้เป็นจำนวนมาก การแสดงเป็นภาพนิ่งหรือหุ่นนิ่งจึงดูสวย เหมือนไปชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไม่ผิดกันเลย
เพลงที่ร้องในตับนี้ขึ้นต้นด้วยเพลงแขกกล่อมเจ้าสองชั้น ติดตามมาด้วยเพลงแขกถอนสายบัว แขกหนัง แขกต่อยหม้อ แขกเจ้าเซ็น และพราหมณ์ดีดน้ำเต้า รวมหกเพลงซึ่งจะใช้เวลาบรรเลงราว 25-30 นาทีครบทั้งตับ
สำหรับปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์นั้น เป็นวงปี่พาทย์ที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นต้นคิดขึ้นในปี พ.ศ.2435 โดยตัดแปลงวงปี่พาทย์ไม้แข็งเดิม ซึ่งมีเสียงดังมาก ให้มากลายเป็นวงที่มีเสียงทุ้มไพเราะนุ่มนวลเหมาะที่จะใช้บรรเลงเพลงในอาคาร คือใช้ไม้นวมตีระนาด เอาฆ้องวงเล็กและปี่ออก เพราะเสียงจ้าเกินไป เพิ่มฆ้องหุ่ย (ฆ้องขนาดใหญ่) ที่เรียกว่าหุ่ยดึกดำบรรพ์เข้าไปแปดใบท่วงทำนองเพลงจึงกระหึ่มไพเราะน่าฟังยิ่งนัก
ทั้งหมดที่เล่านี้ เป็นเรื่องประวัติการดนตรีไทยที่เกิดจากการหยิบแผ่นเสียงโบราณขึ้นมาแผ่นเดียว แล้วบรรยายไปได้เป็นคุ้งเป็นแควถึงปานนี้
นี่คือคุณความดีของเพลงเก่า และเป็นลำนำแห่งสยามที่น่าสนใจอีกตอนหนึ่งในฉบับหน้า จะเล่าเรื่องแผ่นเสียงร่องกลับของวงดนตรี "ขุนเสนาะดุริยางค์" ต่อไป
นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล