.. กุสะหรือหญ้าคา
การมาไหว้พระที่ประเทศอินเดีย
อันเป็นแดนพุทธภูมิ ที่บางท่านเรียกว่า การไปแสวงบุญ ฟังดูประหนึ่งว่าบุญ
มีอยู่แถวนั้นจึงต้องไปหา ที่จริงก็คือการไปบำเพ็ญบุญนั่นเอง
หลายครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางไปประเทศนเดียโดยการนิมนต์ของผู้ไปแสวงบุญทั้งหลาย
เมื่อได้ไปนมัสการสังเวชนียสถานแห่งแรกคือสถานที่ตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ต้นโพธิ์ตรัสรู้ที่เมืองคยา
ได้มีโอกาสข้ามแม่น้ำเนรัญชราอันเป็นสถานที่ที่นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาสแด่พระโพธิสัตว์ก่อนคืนวันตรัสรู้
ตรงกันข้ามกับฝั่งต้นโพธิ์และเจดีย์ตรัสรู้ ณ บนฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานี้
มีรูปปั้นแสดงการถวายหญ้ากุสะแด่พระพธิสัตว์ โดยโสตถิยพราหมณ์
..หญ้ากุสะนี้ได้รับการชี้บอกโดยทั้งคนอินเดียและพระไทยบางรูปที่นั่นว่านี่แหละหญ้ากุสะ
เห็นมีขึ้นอยู่ทั่วๆไปริมฝั่งแม่น้ำ เป็นกอใหญ่ๆเป็นแถว
..หญ้ากุสะนี้
.ตอนที่เรียนภาษาบาลี
โบราาจารย์ของเราท่านแปลว่า
หญ้าคา
แต่มองดูหญ้ากุสะแล้วไม่ใช่หญ้าคาแบบของไทยเรา ทำให้นึกสงสัยอยู่นานว่า
กุสะน่าจะไม่ใช่หญ้าคา อาจจะเป็นตระกูลเดียวกัน
.คราวนี้ได้เดินทางไปในงานทอดกฐินที่วัดไทยพุทธคยา
ซึ่งคุณณรงฤทธิ์ เอี่ยมเจริญยิ่ง เป็นเจ้าภาพได้นิมนต์ไปด้วย
ได้มีโอกาสไปถึงริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราอีกครั้ง ได้มีอดีตเอกอัครราชทูตไทย
ธวัชชัย ทวีศรี ร่วมเดินทางไปด้วยได้ชี้ให้ท่านทูตดูว่านี่แหละหญ้ากุสะที่พระพุทธเจ้าได้รับ ๘ กำ
แล้วทรงนำไปปูลาดที่โคนพระศรีมหาโพธิ์ในคืนวันตรัสรู้ ท่านทูตก็สนใจว่า
น่าจะได้นำไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพราะพระองค์สนพระทัยในหญ้าแฝกอยู่
.บอกท่านทูตว่า
ทุกครั้งที่มาเห็นหญ้ากุสะนี้ ก็นึกถึงหญ้าแฝกของในหลวงท่านทุกครั้งไป
ถ้าท่านทูตจะได้นำไปถวายในหลวงก็น่าจะดี
เพราะหญ้ากุสะนี้มีลักษณะคล้ายหญ้าแฝก ก็ได้ให้เด็กช่วยกันถอนหญ้ากุสะให้
ท่านทูตก็ไปจ้างเด็กให้ขุดให้อีกปรากฏว่าพอกลับมาที่วัดไทย
พวกแขกรู้เข้าว่าท่านทูตต้องการหญ้ากุสะ
ก็พากันไปขุดมาให้กันมากมาย(จะเอาสตางค์)
พอเอามาแล้วก็บอกว่า
.อันนี้หญ้ากุสะ
..อันนั้นไม่ใช่
.คนที่เอามาทีหลังก็บอกว่าของคนก่อนไม่ใช่
.เลยเกิดปัญหาขึ้นว่า
อันไหนคือหญ้ากุสะกันแน่ ?
..ท่านทูตเลยขอให้เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยาตัดสิน
ท่านเจ้าคุณราชโพธิวิเทศ
จึงให้คนงานวัดที่เป็นเชื้อสายพราหมณ์เป็นผู้ไปหามาให้ใหม่
จึงได้หญ้ากุสะมา
..หญ้ากุสะนี้ใบนุ่มไม่แข็งมากและรากหอม
หญ้านี้พราหมณ์เขาใช้ในพิธีกรรมของเขา โดยเฉพาะใช้สลัดน้ำมนต์
และหญ้ากุสะชนิดนี้ยังสามารถใช้ถักเป็นเชือกขึงเป็นเตียงนอนได้อีกด้วย
ซึ่งชาวอินเดียเขาใช้อยู่ทั่วไปส่วนหญ้ากุสะ
ที่เป็นกอสูงใหญ่นั้นยังใช้มุงหลังคาได้อีกด้วย
..สรุปแล้วหญ้ากุสะมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่คล้ายหญ้าคา
และชนิดที่มีใบนุ่มมีรากหอม สำหรับชนิดที่โสตถิยพราหมณ์ถวายนั้น
สันนิษฐานว่า
น่าจะเป็นชนิดที่มีใบนุ่มและรากหอม
และโสตถิยพราหมณ์น่าจะนำหญ้าไปทำพิธีมงคล (เพราะโสตถิยะ
ก็แปลว่าสวัสดีอยู่แล้ว)
โสตถิยะน่าจะเป็นชื่อของพราหมณ์ที่ทำพิธีเพื่อความสวัสดีมงคล
..ในหนังสือคัมภีร์ปฐมสมโพธิของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ก็ทรงใช้คำว่าโสตถิยพราหมณ์ถวายหญ้าคา ๘ กำ ดังข้อความว่า ในกาลนั้น
มีมหาพราหมณ์ผู้หนึ่งมีนามว่าโสตถิยพราหมณ์ ถือซึ่งหญ้าคา ๘ กำ
เดินสวนทางมา พอพบพระมหาบุรุษราชเจ้า ก็นำหญ้าคาทั้ง ๘
กำนั้นน้อมเข้ามาถวาย
..แต่ในหนังสือพุทธประวัติ
ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงแต่งไว้ว่าครั้นเวลาเย็น เสด็จมาสู่ต้นพระมหาโพธิ
ทรงรับหญ้าของคนหาบหญ้าชื่อโสตถิยะ ถวายในระหว่างทาง มิได้ทรงใช้คำว่า
หญ้าคา
..ซึ่งเมื่อไปดูในคัมภีร์อัฏฐกถาปปัญจสูทนี มัชฌิมนิกาย
มูลปัณณาสและอัฏฐกถาชาดกเล่มหนึ่ง
ซึ่งกล่าวถึงพุทธประวัติตอนตรัสรู้ไว้ข้อความคล้ายกันว่า สายณฺหสมเย
โสตฺถิเยน ทินฺนา อฏฺฐติณมุฏฺฐิโย คเหตฺวา โพธิมณฺฑํ อารุยฺห =
ในเวลาเย็น พระมหาสัตต์ รับหญ้า ๘ กำที่นายโสตถิยะถวาย
แล้วขึ้นสู่โพธิมณฑล"
..ในพระบาลีทั้งสองแห่ง ใช้คำว่า ติณะ
ซึ่งแปลว่า หญ้า เท่านั้น ไม่ได้ระบุว่าเป็นหญ้ากุสะ
แต่คนในละแวกนั้นกล่าวกันว่าเป็นหญ้ากุสะ คำว่า
หญ้ากุสะที่พระโบราณาจารย์ของเราท่านแปลไว้ว่าเป็นหญ้าคานั้น
มีบาลีในพระธรรมบทที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า กุโส ยถา ทุคฺคหิโต
หตฺถเมวานุกนฺตติ = เหมือนอย่างหญ้ากุสะที่คนจับไม่ดีย่อมบาดมือ
..พระอรรถกถาจารย์ยังได้อธิบายคำว่า
กุสะ ไว้ว่า ตตฺถ กุโสติ ยงฺกิญฺจิ ติขิณธารํ ติณํ อนฺตมโส ตาลปณฺณํปิ =
หญ้าที่มีคมชนิดหนึ่งชนิดใด โดยที่สุดใบตาลท่านเรียกว่ากุสะ"
..สรุปแล้วหญ้ากุสะนั้น เป็นหญ้าตระกูลที่มีใบคม
เป็นลักษณะของหญ้าคา มีหลายชนิด
สำหรับหญ้ากุสะที่พระโพธิสัตว์รับจากโสตถิยพราหมณ์นั้น มีความเห็นกันว่า
น่าจะเป็นหญ้ากุสะชนิดที่พราหมณ์นำไปประกอบพิธีมงคล ซึ่งมีใบไม่คมนัก
นุ่ม และมีรากหอมตามที่ปรารภไว้แต่ต้น
..อย่างไรก็ตามหญ้ากุสะนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นหญ้ามงคล
เพราะเป็นที่รองรับประทับนั่งของพระบรมโพธิสัตว์ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖
ที่ทรงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกในโลก
พระเมธีวรญาณ
วัดราชโอรสาราม
๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๔