พระยากงพระยาพาน
พระยากง มีมเหสีและีพระกุมารองค์หนึ่ง
เมื่อพระกุมารประสูตรออกมา พานที่ใช้รองรับนั้นกระทบถูกหน้าผากเป็นรอบแผลเป็น
โหรจึงทำนายว่า กุมารองค์นี้มีบุญญาธิการมาก แต่จะทำปิตุฆาต พระยากงจึงรับสั่งให้นำกุมารไปฆ่าทิ้งเสียในป่า
ราชบุรุษสงสารจึึงนำกุมารไปทิ้งไว้ในป่าไผ่ ยายหอมมาพบกุมารเข้าจึงเก็บไปเลี้ยงเป็นบุุต
รยายหอมเลี้ยงกุมารไว้จนโตกุมารลายายหอม ขึ้นไปเมืองเหนือถึงสุโขทัย บังเอิญไปพบช้างพระเจ้าแผ่นดินสุโขทัยอาละวาดสลัดหมอควาญไล่แทงผู้คนอยู่
แต่ไม่มีผู้ใดสามารถจับช้างนั้นได้
กุมารไปดู ช้างก็อาละวาดไล่แทงกุมาร กุมารจึงฆ่าช้างนั้นเสียความทราบถึงพระเจ้าแผ่นดินสุโขทัย
จึงชุบเลี้ยงกุมารไว้เป็นบุตรบุญธรรม และตั้งชื่อให้ว่าพระยาพาน เพราะที่หน้าผากมีรอยแผลเป็นเป็นรอยขอบพาน
จนกระทั่งพระยาพานเจริญวัยพอที่จะปกครองเมืองได้ จึงจัดให้พระยาพานไปตั้งบ้านเจ็ดเสมียน
ได้ซ่องสุมผู้คนไว้เป็นอันมากแล้ว จึงยกมาตั้งอยู่บ้านเล่าได้รวบรวมพล อีกประมาณสี่หมื่น
ยกมาตั้งอยู่ที่ป่าแดง แล้วมีหนังสือเข้าไปถึงพระยากงให้พระยากงออกมากระทำยุทธหัตถีกัน
พระยากงกับกุมารบุตรบุญธรรมได้กระทำยุทธหัตถีกัน พระยากงเสียที ถูกพระยาพานฟันด้วยของ้าวคอขาดกับช้างพระที่นั่ง
ที่ตรงนั้นจึงเรียกว่า ถนนขาด และเรียกตำบลนั้นว่าตำบลถนนขาด มาจนทุกวันนี้
กุมารจึงยกรี้พลเข้าไปตั้งอยู่ในเมือง และต้องการให้พระมเหสีพระยากง ซึ่งเป็นมารดาของตนเป็นภรรยา
แต่ก็ม ีแมวแม่ลูกอ่อนนอนขวางบันไดปราสาทของมเหสี กุมารเดินขึ้นบันไดข้ามสัตว์แม่ลูก
ในขณะนั้นได้ยินลูกสัตว์พูดกับแม่ว่า "เราเป็นสัตว์เดรัจฉาน ท่านจึงข้ามเราไป"
แม่สัตว์จึงเสริมว่า "นับประสาอะไรกับเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน แม้มารดาของท่าน
ๆ ยังจะเอาเป็นเมีย" สาเหตุนี้เองที่ทำให้กุมารเกิดความละอายใจ เมื่อพบพระมเหสี
กุมารจึงตั้งสัจ อธิฐานว่า ถ้าหญิงคนนี้เป็นมารดาจริง ขอให้น้ำนมไหลออกจากถันทั้งคู่
ถ้าไม่ใช่ก็อย่าให้เกิดปรากฏเช่นนั้นออกมา ปรากฏว่ามีน้ำนมไหลออกมาจากถันทั้งคู่จริง
เมื่อแม่ลูกรู้จักกันก็ทราบพระยากงนั้นเป็นบิดาบังเกิดเกล้าก็เสียใจโกรธยายหอมที่ไม่บอกให้ทราบตั้งแต่ต้น
จึงจับยายหอมฆ่าเสีย ครั้นยายหอมตายแล้วแร้งลงมากินศพยายหอม บ้านยายหอมก็เรียกว่าเนินยายหอมมาจนทุกวันนี้
เหตุที่เป็นผู้ฆ่าบิดาและยายหอมนี้เอง พระยาพานจึงกลัวว่าจะรับกรรมหนัก เมื่อพุทธศักราชล่วงได้ 569 ปี พระยาพานจึงได้ประชุมพระอรหันต์ และพระสงฆ์ทั้งปวงว่าจะทำกุศลสิ่งใดกรรมนั้นจึงจะเบาลง ที่ประชุมมีมติให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ สูงชั่วนกเขาเหินกรรมจึงจะเบาบางลง พระอรหันต์ที่มาประชุมนั้นชื่อ พระคิริมานนท์ พระองคุลิมาลเป็นประธานการประชุม ที่ประชุมพระอรหันต์ จึงเรียกว่า ธรรมศาลามาจนที่วันนี้ พระยาพานได้ทำฐานเพื่อจะก่อเจดีย์ที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาบรรทมในส่วนแท่นไว้ท้ายมหาพรหม แล้วเอาฆ้องที่ตีสามโหม่งแล้วดังกระหึ่มไปจนค่ำ มาหนุนไว้ใต้แท่นบรรทม แล้วก่อเจดีย์ขึ้นเป็นลอมฟาง (คล้ายกองฟาง) สูงชั่วนกเขาเหิน พร้อมกับบรรจุพระทันตธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ไว้องค์หนึ่ง สร้างเสร็จถวายเขตแดนโดยรอบชั่วเสียงช้างร้อง คำว่าสูงชั่วนกเขาเหิน คงจะหมายถึง มองเห็นนกขนาดตัวเท่านกเขาบินสูงจนเห็นเป็นจุดหรือระยะความสูงที่สุดที่นกเขาสามารถบินได้ ถ้าสูงกว่านั้นแล้วไม่สามารถบินต่อไปได้ หรือคำว่า อาณาเขตชั่วเสียงช้างร้อง คงจะไกลขนาด 3 - 4 กิโลเมตรในสมัยนั้น เพราะไม่มีเสียงยวดยานรบกวน คำว่า ฆ้องตีสามโหม่งดังกระหึ่มไปจนค่ำ ก็คงจะดังประมาณเกือบครึ่งวัน แต่ไม่ได้บอกว่าตีเวลาใดจึงคาดคะเนยาก มีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีกหลายองค์จนถึงสมัยพระเจ้าหงสาวดีแห่ง เมืองมอญ มีพระราชประสงค์ฆ้องตีสามโหม่งดังกระหึ่มไปจนค่ำ จึงยกรี้พลมาขุดฆ้องที่ฝังไว้ใต้แท่นพระบรรทม พอขุดลงไปถึงฆ้อง ฆ้องก็ทรุดลงไปพระเจดีย์ก็ทรุดลงไปด้วยเจ้าเมืองหงสาวดีเห็นว่า การกระทำของพระองค์ไม่สมควรแน่ คงจะเป็นบาปกรรมเพราะเจ้าของคงจะไม่อนุญาต จึงให้ก่อเป็นองค์ปรางค์ตั้งขึ้นบนหลังองค์ระฆังเดิมที่พังแต่ก็ยังสูงไม่เท่าเดิม