BURNS PRINCIPLE

               เมื่อฝึกมาถึงช่วงปลายเซ็ต ผู้ฝึกไม่สามารถเคลื่อนไหวท่าฝึก ได้อย่างเต็มพิสัยอีกต่อไป จึงเคลื่อนไหวท่าฝึกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ อีกสองสามครั้ง จนกล้ามเนื้ออ่อนล้า และเกิดกรดแลคติค ในกล้ามเนื้อมากขึ้นกว่าเดิม สภาวะที่กรดแลคติคมีมากขึ้น จนกล้ามเนื้อไม่สามารถ ออกแรงบีบตัวได้อีกต่อไป ส่งผลให้รู้สึกร้อนผ่าว อยู่ภายในเซลล์ของกล้ามเนื้อส่วนที่ฝึก เราเรียกสภาวะนี้ว่า เบิร์นส์
               ในทางสรีรวิทยา ของเสียภายในเซลล์ ที่เกิดจากการออกกำลังกายเป็นผลให้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกระแสโลหิต ที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายส่วนที่ฝึกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะทำให้เซลล์ขยายพองขึ้น และหลอดโลหิตฝอย (capillary beds) เปล่งปลั่งขึ้น ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้นี่เอง ทำให้กล้ามเนื้อขยายตัวขึ้น และมีโลหิตในกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น
               ทั้งเทคนิคฟอร์ส เร็ป และดีสเซ็นดิง เซ็ต ต่างก็ต้องอาศัยเพื่อนคู่ฝึกคราวละหนึ่งคน และสองคนตามลำดับ ทว่าสำหรับเทคนิคเบิร์นส์นี้ ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพื่อนคู่ฝึกเลย แต่ก็สามารถฝึกจนผ่านจุดอ่อนแรงได้เช่นกัน โดยอาศัย หลักการเคลื่อนไหวท่าฝึกเร็ว ๆ และมีพิสัยสั้น ๆ (ไม่เต็มแนวขอบข่าย การเคลื่อนไหวท่าฝึก) ทั้งนี้ภายหลังจากที่ ผู้ฝึกไม่สามารถเคลื่อนไหวท่าฝึก แบบเคร่งครัดได้อย่างเต็มพิสัย
               ยกตัวอย่างการฝึกกล้ามน่อง ด้วยเครื่อง Calf Machine เมื่อเวลาที่ผู้ฝึกยกส้นเท้าขึ้น จนถึงจำนวนครั้ง ที่ผู้ฝึกไม่สามารถออกแรงต้าน (Positive) ยกส้นเท้า ได้อย่างเต็มพิสัยอีกต่อไป ดังนั้นผู้ฝึกจึงเขย่งส้นเท้าขึ้น แบบขย่มเร็ว ๆ พยายามยกส้นเท้า ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกประมาณ 8-12 ครั้ง แล้วจึงพักเซ็ต แม้ว่าแต่ละครั้ง ที่ออกแรงต้านนั้น ส้นเท้าของผู้ฝึก จะยกสูงจากพื้นได้เพียง 2-3 นิ้วก็ตาม แต่วิธีนี้ทำให้กล้ามน่อง ได้รับการออกกำลังกายอย่างหนัก และอย่างต่อเนื่อง จนผ่านจุดอ่อนแรงไปได้
               การฝึกวิธีนี้ทำให้กรดแลคติค และของเสียอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการออกกำลัง มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนรู้สึกร้อนผ่าว ภายในกล้ามเนื้อส่วนที่ฝึก
               การฝึกกล้ามน่องด้วยเทคนิคนี้ ไม่ควรใช้เทคนิคนี้เกินเซ็ตละ 12-15 ครั้ง เพราะถ้าใช้เทคนิคนี้ได้เกิน 15 ครั้ง แสดงว่าผู้ฝึก ไม่ได้ฝึกจนถึงจุดอ่อนแรงจริง เมื่อฝึกแบบเคลื่อนไหวท่าฝึก อย่างเต็มพิสัย (เคลื่อนไหวท่าฝึก ด้วยการยกส้นเท้าได้อย่างเต็มพิสัย 20 ครั้ง และไม่สามารถออกแรงยกส้นเท้า ได้อย่างเต็มพิสัยอีกต่อไป อย่างแท้จริง + เคลื่อนไหวท่าฝึกแบบเบิร์นส์ 12 ครั้ง พักเซ็ต)
                ข้อสังเกตประการหนึ่งคือ โดยปกติแล้ว เทคนิคเบิร์นส์ นอกจากใช้ภายหลังจากบรรลุจุดอ่อนแรง จนไม่สามารถเคลื่อนไหวท่าฝึก ได้อย่างเต็มพิสัยภายในเซ็ตแล้ว ยังมีลักษณะการเคลื่อนไหว เริ่มจากจุดเริ่มต้น ของการเคลื่อนไหวท่าฝึกอีกด้วย คือเริ่มจากจุดที่ กล้ามเนื้อยึดตัวมากที่สุด ดังนั้นผู้ฝึก อาจพลิกแพลงการใช้กลวิธีนี้ โดยเริ่มจากจุดสิ้นสุด ของการเคลื่อนไหวท่าฝึกได้ คือ เริ่มจากจุดที่กล้ามเนื้อหดเกร็ง หรือบีบตัวอย่างมากที่สุด เช่น ในการฝึกท่า เหยียดขา (Leg Extension) ท่างอขา (Leg Curl) ท่าดึงรอกในลักษณะต่าง ๆ เพื่อสร้างกล้ามปีก (Various Types of Rows) ท่าดึงตัวขึ้นบนบาร์เดี่ยว (Chin) ท่านั่งดึงคานรอก (Lat Machine Pulldown) เป็นต้น
               นักเพาะกายผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้เทคนิคนี้ ในช่วงเตรียมตัวแข่งขัน เป็นคนแรกคือ ลารี สก็ตอ เขาเคยครองตำแหน่ง มร.โอลิมเปียสองสมัย เขาฝึกท่า พรีเชอร์ เคิร์ล (Preacher Curl) ด้วยบาร์เบลล์ซึ่งหนัก พอที่ฝึกได้สูงสุด 6 ครั้ง แล้วต่อด้วยเทคนิคเบิร์นส์อีก 6 ครั้ง ในช่วงปลายเซ็ต แล้วจึงพักเซ็ต เพื่อจะฝึกเซ็ตต่อไป และวิธีนี้นี่เอง ที่ทำให้การสร้างกล้ามแขนของเขา กลายเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ไปแล้ว




</body> <noscript>