ไนดาเรีย
CNIDARIANS
PHYLUM CNIDARIA
ไนดาเรีย หรือ ซีเลนเตอเรท (coelenterates) เป็นกลุ่มสัตว์ที่มีเนื้อเยื่อสองชั้น ร่างกายมีสมมาตรแบบัศมี ทางเดินอาหารมีลักษณะเป็นท่อ มีปากแต่ไม่มีทวารหนัก บริเวณรอบปากและหนวดมีนีมาโตซีส (nematocyst) เป็นโครงสร้างช่วยในการจับเหยื่อ ไนดาเรียมีรูปร่าง 2 แบบ คือ โพลิป (polyp) และเมดูซา (medusa) รูปร่างแบบโพลิปมีลักษณะเป็นทรงกระบอก ด้านปากมีหนวดเรียงรายกันอยู่รอบ ด้านตรงข้ามแากเป็นฐานสำหรับยึดเกาะ โพลิปบางพวกมีการสร้างสารจำพวกหินปูนเป็นฐานรองรับ เช่น ปะการัง โพลิปส่วนใหญ่เกาะอยู่กับที่ หรืออาจเคลื่อนที่ไดโดยการขยับฐานส่วนรูปร่างแบบเมดูซา มีลักษณะคล้ายร่ม ด้านปากเว้ามีหนวดเรียงรายอยู่ตามขอบร่ม สำหรับแมงกะพรุน บริเวณรอบปากอาจมีส่วนยื่นออกไปคล้ายด้ามร่ม ด้านตรงข้ามปากโค้งนูนและผิวเรียบ ไนดาเรียที่มีรูปร่างแบบเมดูซาได้แก่ พวกแมงกะพรุน และ ไฮโดรซัวบางชนิด
ไนดาเรียสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อและแบบอาศัยเพศ บางพวกมีการสืบพันธุ์แบบสลับโดยการสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศ พบในระยะโพลิป และสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศในระยะเมดูซาทุกชนิดอาศัยอยู่ในน้ำ ส่วนใหญ่อยู่ในทะเล สามารถจัดจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ
1. ไฮโดรซัว (Hydrozoa)
ไฮโดรซัวเป็นไนดาเรียกลุ่มหนึ่งที่เรียกชื่อสามัญว่า ไฮดรอยท์ มีจำนวนรวมกันประมาณ 3,000 ชนิด
ส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็นโพลิป และส่วนน้อยมีรูปร่างเป็นเมดูซาบางชนิดอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนี และมีรูปร่างหลายแบบภายในโคโลนีเดียวกัน (pohymorphism) การดำรงชีวิตอาจอยู่แบบเดี่ยวหรือโคโลนี บางชนิดมีวงชีวิตแบบสลับ (metagenesis) ซึ่งมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศในระยะโพลิป และสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศในระยะเมดูซา
สมาชิกส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเล และมีเพียงส่วนน้อยที่พบในแหล่งน้ำจืด ตัวอย่างไฮดรอยท์ที่พบในทะเลได้แก่ ขนนกทะเล ปะการังไฟ แมงกะพรุนเหรียญ เป็นต้น
2. ไซโฟซัว (Scyphozoa)
ไซโฟซัวเป็นไนดาเรียอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีรูปร่างเป็นเมดูซาคล้ายร่มเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะของเมดูซาเป็นรูป
ด้วยครึ่งวงกลม ตรงกลางทางด้านเว้าของร่มมีส่วนยื่นคล้ายด้ามร่ม โดยมีปากอยู่ตรงกลาง ที่ขอบร่มมีหนวดขนาดเล็กเรียงรายอยู่โดยรอบ รอบปากมีส่วนยื่นออกไปจำนวน 4 อัน หรือเชื่อมรวมกันคล้ายช่อดอกกะหล่ำ
เมดูซามีร่างกายประกอบด้วยน้ำเป็นส่วนใหญ่ และมีลักษณะล้ายก้อนวุ้นที่เคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำ การ
สืบพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นแบบอาศัยเพศ บางชนิดมีวงชีวิตแบบสลับยระหว่างการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศกับแบบอาศัยเพศ ไซโฟซัวส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในทะเลได้แก่ แมงกะพรุนชนิดต่าง ๆ
3. แอนโทซัว (Anthozoa)
แอนโทซัวเป็นไนดาเรียกลุ่มใหญ่ที่สุด ทุกชนิดมีรูปร่างเป็นโพลิปโดยไม่มีชนิดใดมีรูปร่างเป็นเมดูซาเลย
บางชนิดดำรงชีวิตอยู่แบบเดี่ยว บางชนิดเป็นโคโลนี แต่จะไม่มีความแตกต่างกันของสมาชิกแต่ละตัวในโคโลนีเดียวกัน แอนโทซัวไม่มีวงชีวิตแบบสลับการสืบพันธุ์เป็นได้ทั้งแบบไม่อาศัยเพศและอาศัยเพศ
แอนโทซัวเกือบทุกชนิดไม่เคลื่อนที่ บางพวกมีการสร้างหินปูนหรือสารจำพวกเขาสัตว์ออกมาเป็นฐานรอง
รับโพลิป ตัวอย่างเช่น ดอกไม้ทะเล ปะการัง ปะการังอ่อน กัลปังหา แส้ทะเล และปากกาทะเล เป็นต้น
3.1 ดอกไม้ทะเล (Sea anemone)
ดอกไม้ทะเลเป็นไนดาเรียกลุ่มหนึ่งที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกหรือโพลิป ด้านหนึ่งเป็นฐานใช้สำหรับยืด
เกาะอีกด้านหนึ่งมีหนวดจำนวนมาก ซึ่งมักเป็นจำนวนทวีคูณของ 6 จัดเรียงตัวเป็นแถวตามแนวรัศมีคล้ายกลีบดอกไม้ โดยมีปากอยู่ตรงกลาง อาหารของดอกไม้ทะเลได้แก่ สัตว์น้ำตัวเล็ก ๆ ที่ว่ายไปมา ดอกไม้ทะเลมีปากแต่ไม่มีทวารหนัก ดอกไม้ทะเลไม่มีสมองแต่มีเส้นประสาทที่ประสานกันไปมาเป็นตาข่าย อยู่ตามผนังลำตัวและบริเวณหนวด เพื่อรับความรู้สึกสัมผัสจากสิ่งแวดล้อมได้
ดอกไม้ทะเลมีกรสืบพันธุ์ได้ทั้ง 2 แบบ คือ แบบอาศัยเพศ ดอกไม้ทะเลแต่ละเพศมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์
ปล่อยออกไปผสมกันในน้ำทะเล แล้วเจริญไปเป็นตัวอ่อนที่มีซีเลีย (cilia) ช่วยในการว่ายน้ำได้ระยะหนึ่งขนกระทั่งไปเกาะกับวัตถุในน้ำเจริญเติบโตเป็นดอกไม้ทะเลตัวใหม่ ส่วนการสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศนั้น ดอกไม้ทะเลจะใช้วิธีการแบ่งตัวตามยาวแล้วขาดออกไปจากกันได้ ดอกไม้ทะเลตัวใหม่ 2 ตัว
3.2 ปะการัง (Corals)
ปะการังเป็นไนดาเรียกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่อาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนี มีบางชนิดส่วนน้อยที่พบอยู่แบบเดี่ยว
(solitary) ปะการังทุกชนิดมีการสร้างหินปูนเป็นฐานหรือปลอกรองรับโพลิป ลักษณะโพลิปของปะการังคล้ายคลึงกับดอกไม้ทะเลมาก โดยมีหนวดจัดเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบบริเวณรอบปาก
ผิวหนังชั้นนอกมีเซลล์อยู่ชิดติดกันมากคล้ายคลึงกับที่พบในดอกไม้ทะเล กลุ่มเซลล์ที่แทรกอยู่ในชั้นนี้มี
เซลล์ทำหน้าที่ผลิตเมือกและหินปูนออกมา นอกจากนี้ยังพบสาหร่ายซูแซนเทลลี (zooxanthellae) ซึ่งทำให้โพลิปของปะการังส่วนใหญ่มีสีเขียว นอกจากนี้ความเข้มของแสงในบริเวณที่ปะการังอาศัยอยู่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งทำให้โพลิปของปะการังมีสีเข้มหรือจากได้ โดยปะการังที่ถูกแสงจัดมักมีสีซีดกว่าปะการังที่อยู่ในบริเวณที่มีแสงน้อย
ในการจำแนกชนิดของปะการัง นักสัตว์ศาสตร์ใช้ลักษณะโครงร่างหินปูนที่รองรับโพลิปเป็นเกณฑ์ โดย
การพิจารณาจากขนาดและรูปร่างของ คอรอลไลท์ (corallite) ซึ่งเป็นโครงหินปูนรองรับแต่ละโพลิป และถ้าปากโครงรองรับโพลิปนั้นมีผนังกั้น (theca) คล้ายกำแพงเรียกว่า แคลไลซ์ (calice) และเรียกโครงหินปูนทั้งโคโลนีว่า คอรอลลัม (corallum) นอกจากนี้ ยังพิจารณาจากลักษณะของ เซพตา (septa) ซึ่งเป็นสันที่จัดเรียงตัวในแนวรัศมีของแต่ละคอรอลไลท์หรือแต่ละแคลไลซ์ด้วย
3.3 สัตว์คล้ายคลึงปะการัง
สัตว์ทะเลจำพวกแอนโทซัวหลายชนิดมีโครงสร้างและลักษณะคล้ายคลึงกับปะการัง และอาจมีชื่อเรียก ปะการัง นำหน้าด้วย เช่น ปะการังท่อ ปะการังสีน้ำเงิน เป็นต้น สัตว์เหล่านี้ล้วนไม่ใช่ปะการังอย่างแท้จริง รวมทั้งชนิดอื่นที่ไม่มีชื่อปะการังนำหน้า คือ กัลปังหา ปากกาทะเล (Subxlass Octacorallia) ด้วย โดยสัตว์คล้ายคลึงปะการังที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้มีลักษณะเฉพาะตัวคือ ทุกชนิดดำรงชีวิตอยู่รวมกันเป็นโคโลนี แต่ละโคโลนีมีโพลิปจำนวนมาก โดยแต่ละโพลิปมีหนวดจำนวน 8 เส้น ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์เหล่านี้ มักพบอยู่ในบริเวณแนวปะการังปะปนกับปะการังแท้จริงชนิดอื่น ๆ