midnight's art and Philosophy
ผมคิดว่าประเด็นสำคัญของศิลปะในยุคโมเดิร์น
สิ่งที่เป็นประเด็นหลักๆของยุคนี้ก็คือ จะเน้นในเรื่องของ originality
ซึ่งหมายความว่า ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ"ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นของตนเอง
และไม่เหมือนใคร". ในคณะวิจิตรศิลป์ เท่าที่ผ่านมายังมุ่งเน้นให้นักศึกษาค้นหา
original ตัวนี้ ซึ่งอันนี้คือเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์อันหนึ่งของศิลปะในยุคโมเดิร์น
ต่อมา ศิลปะในยุคโมเดิร์น จะเน้นและให้ความสำคัญในผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาแล้วต้องมี unity หรือ"เอกภาพ"ในงาน. งานศิลปะชิ้นใดก็ตามที่ทำออกมาแล้ว ขาดเอกภาพ ก็จะไม่ถือว่าเป็นผลงานศิลปะที่ดี ประการต่อมา ศิลปะในยุคโมเดิร์น ได้มีการแบ่งแยกระหว่าง High arts กับ Low Arts ออกจากกัน. งานศิลปะซึ่งเป็นที่ยอมรับกันที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะ หรือหอศิลป์ต่างๆ รวมทั้งผลงานศิลปะที่นักศึกษาทำกันขึ้นมา โดยร่ำเรียนกันมาจากสถาบันสอนศิลปะ เราจะจัดให้ศิลปะเหล่านี้อยู่ในกลุ่มของ High Arts. ขณะเดียวกัน เราก็กันเอางานศิลปะที่ไม่ได้ผลิตขึ้นมาจากสถาบัน หรือผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะ(ซึ่งอาจไม่ต้องเรียนมาจากสถาบันใดเลยก็ได้) รวมทั้งงานที่ไม่ได้ผลิตขึ้นมาจากกลุ่มผู้ทำงานในกระแสหลักว่า Low Arts, อันนี้ก็อย่างเช่น ศิลปะนอกกระแสต่างๆ ศิลปะของชาวบ้าน หรือศิลปะของใครก็ตามที่ทำกันโดยบุคคลซึ่งไม่ได้อยู่ในวงการศิลปะ เช่น ศิลปะข้างถนนของสมัชชาคนจน เป็นต้น. อันต่อมา ศิลปะในยุคโมเดิร์น เน้นสไตล์ของศิลปะที่เป็น international หรือความเป็น universal อันนี้หมายความว่า ผลงานศิลปะและรวมไปถึงสถาปัตยกรรม จะต้องมีสไตล์ที่มีความเป็นนานาชาติ หรือมีความเป็นสากล. ศิลปินไม่ว่าชาติใด อยู่ในเขตภูมิศาสตร์ไหน หรือวัฒนธรมจะแตกต่างกันอย่างไรก็ตาม เช่น เอเชีย ยุโรป อเมริกา แอฟริกา สไตล์ที่ผลิตออกมาจะต้องมีลักษณะเป็น international โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานทางด้านสถาปัตยกรรมจะมีแนวโน้มในลักษณะนี้มากตามเมืองใหญ่ๆของโลก ผมคิดว่าประเด็นต่างๆเหล่านี้ (ซึ่งจริงๆแล้วมีมากกว่านี้) เราจะต้องจับให้เข้าใจเสียก่อนว่า ศิลปะในยุคโมเดิร์น มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวมันเองอย่างไร ? ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจศิลปะในยุคโพสท์โมเดิร์น. |
ศิลปะในยุคโพสท์โมเดิร์น ปฏิเสธสิ่งที่ผมพูดมานี้ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ ศิลปะในยุคโมเดิร์น บอกว่าจะต้องมี originality, พวกโพสท์โมเดิร์นไม่สนใจ และบอกกับเราว่า ศิลปะที่ทำขึ้นมานั้นจะลอกหรือ copy ของคนอื่นมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องของ originality.
อันที่สอง ศิลปะในยุคโมเดิร์น บอกว่าจะต้องมี unity หรือมีเอกภาพในงานศิลปะ, พวกโพสท์โมเดิร์น บอกว่าไม่จำเป็น. คุณสามารถที่จะสร้างผลงานศิลปะขึ้นมาโดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักเอกภาพ คุณสามารถที่จะผสมผสานหรือปนเปมันได้อย่างเต็มที่ หรือเราเรียกกันว่า hybrid (ลูกผสม หรือพันธุ์ผสม) อันนี้ตัวอย่างเช่น การผสมกันทางด้านสถาปัตยกรรมในอาคารหลังหนึ่ง หรือผลงานทัศนศิลป์สมัยหลังนี้ มีลักษณะที่เป็นการข้ามทั้งทางด้านรูปแบบและเนื้อหา คือข้ามทั้งสไตล์ และข้ามทั้งประวัติศาสตร์ อย่างเช่น นำเอาผลงานศิลปะที่มีสไตล์เหมือนจริงแบบกรีก หรือเรอเนสซองค์ มาผสมผสานกับมิคกี้เมาส์ก็ได้ อันนี้ไม่เกี่ยว และไม่ต้องไปสนใจเรื่องของหลักการของศิลปะในยุคโมเดิร์น ซึ่งไม่ยินยอมให้ทำอย่างนั้น
เรื่องของ High Arts กับ Low Arts ในยุคหลังสมัยใหม่(postmodern) ก็ไม่สนใจเช่นเดียวกัน ถือว่าไม่เกี่ยว. ศิลปะในยุคโพสท์โมเดิร์น ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างศิลปะชั้นสูง กับ ศิลปะชั้นต่ำ. ศิลปะข้างถนนก็เป็นศิลปะที่มีคุณค่าได้ หรืองานศิลป์ที่ซื้อมาจากร้าน gift shop ก็เป็นศิลปะได้.
ศิลปะในยุคนี้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน museum อย่างเดียว ไม่ต้องให้สถาบันเกี่ยวกับศิลปะยอมรับหรือให้การยกย่อง. และที่บอกว่า สไตล์จะต้องเป็น international หรือ universal อันนี้ก็บอกว่าไม่จำเป็นเช่นกัน, สไตล์ในแบบ local หรือ vernacular ก็ได้ มีคุณค่าเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ หัวใจสำคัญของยุคโมเดิร์น อีกอันหนึ่งก็คือ ในยุคนี้ให้การยอมรับความเป็น specialist หรือความผู้เชี่ยวชาญ, ยุคโพสท์โมเดิร์นบอกว่า ไม่สนใจ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะผู้เชี่ยวชาญจะทำสิ่งที่ผมเขียนเอาไว้บนกระดานนี้ได้หมดเลย(originality, unity, high art, international style ...). แต่พวกโพสท์โมเดิร์น บอกว่า ให้ against มัน, ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ
นอกจากนี้ในยุคโมเดิร์น ยังเน้นในเรื่องของฝรั่งผิวขาว หรือคนตะวันตก เป็นผู้นำของโลก หรือเป็นเอตทัคคะในทุกๆศาสตร์ เป็นคนที่ประกาศวาทกรรมที่จริงแท้ที่สุดอันปฏิเสธไม่ได้ พวกโพสท์โมเดิร์นปฏิเสธเรื่องนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาบอกว่า ethnic group หรือชนกลุ่มน้อยที่เป็นรองในสังคม, พวก minority หรือใครก็แล้วแต่ที่เคยด้อยกว่าในยุคโมเดิร์น สามารถที่จะประกาศวาทกรรมของตนได้เช่นเดียวกัน สามารถที่จะสร้าง discourse ของตนเองได้เช่นเดียวกันเหมือนกับคนผิวขาวหรือคนตะวันตก. จะเห็นได้ว่าในยุคโพสท์โมเดิร์น เป็นการตีกลับยุคโมเดิร์น อย่างค่อนข้างชัดเจน ประการต่อมา ในยุคโมเดิร์นนั้น เป็นยุคซึ่งได้สืบทอดความคิดเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิงมาตามลำดับ แต่ในยุคโพสท์โมเดิร์น ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ บอกว่าผู้หญิงก็มีสิทธิของพวกเธอเท่าเทียมกับผู้ชาย ผู้หญิงก็มีวาทกรรมของตนเอง ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ผู้ชายเป็นฝ่ายกำหนด โดยเฉพาะโครงสร้างทางสังคม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ. ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆที่ออกมา ผู้หญิงเป็นเบี้ยล่างมาโดยตลอด เช่น การใช้นามสกุลของผู้ชายหลังแต่งงานก็ดี กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวก็ดี รวมไปถึงเรื่องของการจัดการด้านทรัพย์สิน และกระทั่งความไม่เท่าเทียมในเรื่องของการประกอบอาชีพและค่าแรง จะเห็นถึงความไม่เสมอภาคกันเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ในยุคโมเดิร์น ยังให้ความสำคัญในเรื่องของความเจริญ และการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ยุคโพสท์โมเดิร์นบอกว่าไม่จำเป็น เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ทำลายธรรมชาติ ทั้งความเป็นมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น การรณรงค์ต่างๆซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิเวศวิทยา เรื่องสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เรื่องของสิทธิสตรี เรื่องอะไรต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด เป็นความคิดที่ against ต่อยุคโมเดิร์น แนวคิดของฟูโกที่พูดถึงเรื่องของ"ความจริง", ว่าอะไรคือ"ความจริง", ซึ่งทำให้ทุกๆคนเชื่อตาม. ฟูโกบอกว่า"ความจริง"เหล่านั้นเป็นเพียง constructing truth เท่านั้น เป็นความจริงที่สร้างขึ้นมาโดยคนที่มีอำนาจ ไม่ใช่เป็นความจริงที่ต้องถือว่าเป็นสัจธรรม เปลี่ยนแปลงไม่ได้. อันนี้เป็นประเด็นที่สำคัญอีกอันหนึ่งที่นักสังคมวิทยา นักปรัชญา นักมานุษยวิทยาให้ความสนใจกันมาก. "ความจริง" คุณสามารถที่จะสร้างขึ้นมาได้ โดยการประกาศวาทกรรมของคุณเอง ให้อำนาจกับตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องไปยอมรับวาทกรรมของคนอื่นหรือของคนที่มีอำนาจ. |
ผมอยากจะอธิบายคำว่า"วาทกรรม"ในความเข้าใจของผมตรงนี้
เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันก่อนคือ วาทกรรมที่ผมพูดเอาไว้หลายที่ในการเสนอประเด็นเรื่องนี้คนแรกนั้น
ผมหมายถึง "ความรู้ ความคิด ความเห็น ที่มีอำนาจในการอธิบายให้คนอื่นเชื่อตาม"
เช่น ปัจจุบัน เราเชื่อความรู้ ความคิด ของวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกมากกว่าอย่างอื่น (ยกตัวอย่างเช่น เราเชื่อความรู้ทางการแพทย์แผนตะวันตก มากกว่าการแพทย์แผนตะวันออก) อะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับหลักของวิทยาศาสตร์ หลักการอันนั้นจะถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ วิทยาศาสตร์จึงเป็นเอกอุอัครมหาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ในยุคโพสท์โมเดิร์นไม่สนใจ. ฉะนั้น วิทยาศาสตร์จึงเป็นวาทกรรมหลักในยุคโมเดิร์น ซึ่งคุณไม่สามารถที่จะปฏิเสธมันได้ แต่บรรดาฟูโกเดี่ยนถือว่า อันนี้เป็นเพียง constructing truth อันหนึ่งเท่านั้น
ตัวอย่างผลงานศิลปะในยุค
modern ซึ่งมีการตัดทอนเนื้อหาลง
จนเหลือน้อยที่สุด ให้เหลือแต่เพียง
รูปทรงล้วนๆ
ในส่วนของรูปทรงเอง
ก็ลดลงมาให้
เหลือน้อยที่สุด และบริสุทธิ์
ศิลปะประเภทนี้เรียกว่า
Minimal Art
ตัวอย่างผลงานศิลปะ
Conceptual Art ไม่มีแม้กระทั่งรูปทรง ทั้งหมดเหลือ
เพียงความคิดเท่านั้น ซึ่งแสดงออกมาเป็นตัวหนังสือ
Jan : ผมเตรียมเรื่องที่จะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องของ โพสท์โมเดิร์น นิดหน่อย ซึ่งบังเอิญก็ตรงกับสิ่งที่ อ.สมเกียรติ พูดมาแล้ว ซึ่งจะมีหลายอย่างที่ซ้ำกันและจะไม่ได้พูด
ถ้าจะพูดถึงเรื่อง โพสท์โมเดิร์น อยากจะให้มาพิจารณากันดูหน่อยว่า โพสท์โมเดิร์นมันเริ่มต้นที่ตรงไหน ? บางคนก็บอกว่า มันเริ่มต้นเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บางคนก็บอกว่ามันเริ่มต้นมาจาก pop art, บางคนก็บอกว่า มันเริ่มต้นมาจากตอนที่ฟูโกเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง(ซึ่งอันนี้ อ. Jan ไม่ได้บอกว่าเรื่องอะไร ?)
Charles Jencks ซึ่งเป็นสถาปนิกบอกว่า โพสท์โมเดิร์นมันเริ่มต้นขึ้นมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ปี 1972 เวลา 15.32 นาที. ที่เขาระบุลงไปอย่างนี้ก็เพราะ มันเป็นเวลาที่มีการระเบิดตึกสูงหลังหนึ่งในเซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา. ตึกสูงดังกล่าวได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้หลักการของ Bauhaus (เบาเฮาส์) หรือหลักของโมเดิร์น โดยสถาปนิกในกลุ่มนี้. วัตถุประสงค์ของการสร้างตึกสูงหลังนี้ก็เพื่อจะให้มันมีประโยชน์ใช้สอยสูงสุด แต่สำหรับการใช้ชีวิตในตึกหลังนี้ มันค่อนข้างแย่มาก และคนที่อยู่ในตึกสูงหลังนั้นก็ทนอยู่ต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว สภาพความเป็นอยู่มันเลวร้ายมาก ดังนั้นจึงมีการระเบิดตึกหลังนี้ลง ซึ่งเขาถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุค โพสท์โมเดิร์น
สำหรับสถาปัตยกรรมในยุคโพสท์โมเดิร์นนั้น ลักษณะเด่นก็คือ มีการประดับตกแต่งมากขึ้น แต่สำหรับในยุคโมเดิร์น ทุกอย่างต้องเป็นเรื่องของประโยชน์ใช้สอย ทุกอย่างต้องมีความลงตัวพอดี แต่ในยุคโพสท์โมเดิร์น คุณสามารถที่จะตกแต่งมันได้ เล่นกับมันได้ สนุกได้ และมีลวดลายประดับมากขึ้น ซึ่งอันนี้เป็นลักษณะอันหนึ่งของโพสท์โมเดิร์น
ในเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ หลายคนบอกว่า"โพสท์โมเดิร์น"มันเริ่มต้นขึ้นมาราวปี 1980 หลังจากยุคของ Minimal Art กับยุคของ Conceptual Art เริ่มจะมีบทบาทน้อยลง และเริ่มจะมีศิลปินพวกหนึ่งซึ่งมาจากอิตาลี ตั้งต้นที่จะเขียนรูปสีน้ำมัน ซึ่งเขียนเป็นภาพ Figure หรือภาพคนซึ่งออกไปทาง Expressionist. อันนี้เป็นการปฏิเสธการลดเรื่องของรูปทรงในงานศิลปะลงมาจนกระทั่งแทบไม่มีอะไรเหลือในงานแบบ minimal art และ conceptual art. ในยุค Postmodern เริ่มที่จะมี Figurative มีคน มีสีสรรมากขึ้น มีการใช้สีน้ำมันล้วนๆ...
โพสท์โมเดิร์น มีลักษณะในเชิงวัฒนธรรม ศิลปะในยุคโมเดิร์น มันจบลงตรงที่ Minimal Art, Conceptual Art ซึ่งศิลปินทำอะไรต่อไปอีกไม่ได้ เช่นเดียวกับในเชิงความคิด ในเชิงวัฒนธรรม มีกระแสของผู้คนมากพอสมควรที่เห็นว่า ความคิดในอุดมคติเป็นสิ่งที่พึ่งพาไม่ได้อีกแล้ว มีคนซึ่งผิดหวังในอุดมคติต่างๆ มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องของศีลธรรมเหมือนกัน. ถ้าเราไม่มีความเชื่อที่แน่นอน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ดีคืออะไร, แล้วไม่ดีคืออะไร ? สีขาวคืออะไร, สีดำคืออะไร ?... ในวัฒนธรรมหนึ่ง, สีขาวก็เป็นสีดำ สีดำก็เป็นสีขาว หรือดีคือเลว เลวคือดี อะไรเป็นตัวกำหนดว่าอะไรถูกอะไรผิด. ศีลธรรม จริยธรรม มันจะตั้งอยู่บนฐานของอะไร ? ซึ่งอันนี้เป็นคำถาม ไม่ได้บอกว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี. |
นอกจากนี้ โลกในยุคโมเดิร์น
พยายามที่จะ"สร้างโลกขึ้นมาให้มีความสมบูรณ์แบบ" ให้ทุกคนมีความสุข ให้เป็นโลกที่เต็มอิ่ม.
แต่พวกโพสท์โมเดิร์น สงสัยว่า โลกแบบนี้มันสร้างขึ้นมาเป็นจริงได้หรือไม่ มันเป็นไปได้หรือเปล่าที่เราจะสร้างโลกขึ้นมาให้มีความสมบูรณ์แบบโดยให้ทุกคนมีความสุข
อันนี้เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ?
หลายคนในยุคโมเดิร์น มีความมั่นใจในเรื่องของความเจริญ ในความก้าวหน้า ในการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ในการมีความคิดริเริ่ม แต่ก็มีศิลปินหลายคนซึ่งเริ่มสงสัยว่า เราจะทำอะไรต่อ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเคยถูกทำมาแล้ว เราจะทำอะไรต่อไป. ศิลปินเริ่มที่จะเขียน figurative หรือเขียนภาพคนขึ้นมาใหม่ ศิลปินบางคนถึงกับบอกออกมาอย่างชัดเจนว่า "หวังว่าจะไม่มีอะไรใหม่ๆอยู่ในงานของผม, ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างขึ้นมา มันมาจากสิ่งเก่าๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาอีกแล้ว".
มีนักปรัชญาคนหนึ่งที่ชื่อ Danto บอกว่า ประวัติศาสตร์มันสิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้น ศิลปินมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรทุกอย่าง ขอให้มีความสุขก็แล้วกัน จะเขียนคนป่าก็ได้ เขียนวัวเขียนควายก็ได้ เขียนภาพนามธรรมก็ได้ เขียน monochrome ก็ได้ เขียนทิวทัศน์ก็ได้ จะทำอะไรก็ได้เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น. ไม่มีอะไรที่จะมาควบคุมหรือมาบอกว่า อะไรเป็นสิ่งที่ดี หรืออะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดี
วัฒนธรรมของโพสท์โมเดิร์น เห็นว่า การพัฒนาสามารถที่จะทำลายวัฒนธรรมได้ ไม่มีแก่นสารอีกแล้ว ไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความแน่นอน. โดยเฉพาะในวัฒนธรรมฝรั่ง มีอะไรที่ค่อนข้างน่าสงสัยเกี่ยวกับแก่นสารทางวัฒนธรรมของเขา
เฉพาะเรื่องของ"การพัฒนา" หมายถึงความเจริญ ที่เราคิดว่าชาวตะวันตกมีความเจริญ แต่ในความเป็นจริง มันมีคนเพียงแค่ 20-30 % เท่านั้น ที่ได้รับผลประโยชน์จริงๆจากการพัฒนาหรือความเจริญที่พูดถึงนี้. เราจะเห็นว่า ครึ่งหนึ่งของพลเมืองโลกยังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก
และที่น่าแปลกใจก็คือว่า มีนักเขียนคนหนึ่งที่เขียนหนังสือเรื่อง วิธีหาอาหารของคนจรจัด หรือคนเร่ร่อน ซึ่งไปหาอาหารในถังขยะ. ในหนังสือเล่มนั้นได้ให้ความรู้เกี่ยวกับว่า คุณจะไปหาอาหารเหล่านั้นได้จากที่ไหน ตรงมุมไหนของเมือง ซึ่งคุณจะได้พบอาหารที่ดีที่สุด มีเศษอาหารเหลือมากที่สุด แล้วควรจะกินอาหารแบบไหนซึ่งไม่ได้เป็นผลเสียต่อสุขภาพมากจนเกินไป.
หลังจากหนังสือเล่มนี้ออกมา มีคนค่อนข้างต่อต้านมาก แต่นี้เป็นข้อเท็จจริง ที่บอกกับเราว่า มีคนเร่ร่อน มีคนจรจัด มีคนยากจนอยู่ตามเมืองใหญ่ๆจำนวนมาก ซึ่งอันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ (มันเป็นสิ่งที่ตกค้างของการพัฒนา หรือเป็นผลลัพธ์ของการพัฒนา)
แสดงว่าความเจริญ ที่เราถือว่าเป็นสิ่งที่ดีซึ่งจะนำผลประโยชน์มาให้กับพลเมือง มันเป็นสิ่งที่ล้มเหลว เป็นสิ่งที่ใช้งานไม่ได้. การพัฒนาที่เราได้เห็นมานี้ มักจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่องเล่า ซึ่งอยากจะบอกว่าเป็นโครงสร้างเชิงเอกภาพ อย่างเช่น เชื่อกันว่า ถ้าทุกคนนับถือศาสนาคริสต์ ทุกคนก็จะดีขึ้น ทุกคนจะมีความสุข หรือเป็นเรื่องของมนุษยนิยมก็ได้ หรือเป็นเรื่องของเหตุผลนิยม หรือเป็นเรื่องของสังคมนิยม ซึ่งอันนี้ก็เป็นโครงสร้าง หรือแนวความคิดที่เป็นอุดมคติ ซึ่งพยายามสร้างเอกภาพให้กับทุกคนให้เชื่ออย่างนั้น แล้วจะมีความสุข สังคมจะมีความสมบูรณ์แบบ. แต่ความเป็นจริงที่ปรากฏ จะเห็นว่าระบบแบบนี้มันล้มเหลว และใช้การไม่ได้. หลายคนไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์อีกแล้ว
ความคิดในเชิงการเมืองนั้น ที่อันตรายที่สุดก็คือ ความปรารถนาที่จะทำให้ทุกคนมีความสมบูรณ์แบบ มีความเต็มอิ่ม และมีความเป็นสุข. เมื่อเราพยายามสร้างสวรรค์บนโลกนี้ ผลที่ตามมาก็มักจะเป็นนรก ถ้าเราพยายามให้ทุกคนเชื่อตามที่เราเชื่อ ทุกคนต้องมีความเชื่ออันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดนรกขึ้นมา มีสงครามเกิดขึ้น มีคนที่ไม่เห็นด้วย มีการต่อต้าน มีความขัดแย้ง ซึ่งถ้าเราไม่ยอมรับในความแตกต่างกันของคนอื่น ก็จะเกิดปัญหาขึ้นมามากมาย. อันนี้เราควรจะต้องระวัง
อีกอย่างที่ผมอยากจะเพิ่มเติมในเรื่องศิลปะ ซึ่ง อ.สมเกียรติก็ได้พูดไปมากแล้ว ก็คือ เรื่องของพิพิธภัณฑ์. โลกของศิลปะ สถาบันเกี่ยวกับศิลปะ รวมทั้งสื่อต่างๆ มันกลายเป็นเครื่องมือที่ตามกระแสของค่านิยมกันมาก อันนี้ทำให้ผลงานศิลปะที่เราเห็นใน gallery หรือ museum โดยมากจะเป็นงานที่สร้างความอึกทึก ตื่นเต้น หรือเรียกว่า spectacular แต่มันไม่ค่อยมีอะไรที่ลึกซึ้ง เพราะว่าภัณฑารักษ์ต่างๆ และนักจัดนิทรรศการต่างๆ มักจะเน้นในการดึงคนมหาศาลมาดูงาน ดังนั้นผลงานศิลปะมันจะต้องมีความน่าตื่นเต้น น่าประทับใจ. อันนี้มันตรงกันข้ามกับ medern art ที่เน้นเรื่องความเงียบ ความสงบ เวลาดูก็ต้องค่อยๆพิจารณาดูกันนานๆ
อีกประการหนึ่งก็คือ ในโลกของศิลปะมีการเน้นเกี่ยวกับทฤษฎีค่อนข้างมากในยุคโพสท์โมเดิร์น ยกตัวอย่างเช่น การดูงานศิลปะในปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่การอ่านศิลปะ เช่น เราสามารถอ่านศิลปะได้ตามหน้านิตยสาร หรือสูจิบัตรต่างๆ และมักจะเป็นเรื่องของทฤษฎีซึ่งค่อนข้างจะอ่านยาก ใช้ภาษาที่สูงมากจนอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
มีสูจิบัตรงานศิลปะซึ่งออกมาในคราวแสดงผลงาน ducumenta ครั้งที่ 10 ซึ่งงานแสดงศิลปะ documenta ถือว่าเป็นการแสดงผลงานศิลปะที่ใหญ่มาก ระดับโลก เมื่อ 3 ปีที่แล้ว งานเขียนนี้เขียนโดย แคเธอลีน เดวิด เป็นการรวบรวมบทความจำนวนมากมาไว้ในที่เดียวกัน ซึ่งน้ำหนักของบทความที่รวมเล่มนี้มีน้ำหนักรวมกันแล้วถึง 5 กก.ด้วยกัน ทั้งหมดออกมาในรูปของตำรา และมีภาพงานศิลปะ. ภาพงานศิลปะดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ภาพประกอบให้กับตำราอันนี้เท่านั้น. ซึ่งอันนี้ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าเราอ่านเกี่ยวกับศิลปะ มันก็พอแล้ว เราก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปดูผลงานศิลปะอีกแล้ว ทั้งหมดนี้ก็คือแนวโน้มที่เราจะเห็นในโลกของศิลปะปัจจุบันนี้ค่อนข้างมาก แล้วมันจะดีหรือไม่ดี ก็อยากจะให้เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราจะพูดคุยกันต่อได้.
ต่อบทสนทนาหน้าถัดไป
คลิกที่ปุ่มข้างล่างนี้
|