นิตยสาร
In Motion : ะไรคือความเชื่อมโยงกันทางประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับวิศวพันธุกรรม
กับ การปรับปรุงเผ่าพันธุ์มนุษย์ ด้วยการควบคุมการแพร่พันธุ์ที่มีการเลือกสรร(eugenics)
?
ดร.วันทนา ศิวะ : ภาพลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสธารต่างๆ อย่าง วิศวพันธุกรรม ด้วยเหตุผลบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มักจะบังเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นไปเองตามธรรมชาติ, มันมาจากความเฉลียวฉลาดและการเป็นนักประดิษฐ์ของมนุษย์, และบางคนมีไอเดียที่สุกใส และสาขาวิชาใหม่ๆก็ถือกำเนิดขึ้นมา. ซึ่งเคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อย้อนมองกลับไปในอดีต.
นับจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
เมื่อ Bacon กล่าวว่า "มันเป็นการแต่งงานกันระหว่างความรู้และอำนาจ".
คำพูดนี้เป็นการยืนยันว่า การปรากฎตัวขึ้นมาเองของไอเดียต่างๆ ไม่ใช่หนทางหรือวิธีการที่วิทยาศาสตร์เจริญงอกงามขึ้น.
ที่จริงแล้ว วิทยาศาสตร์เติบโตขึ้นมาโดยผ่านทิศทางที่มีการใคร่ครวญอย่างสุขุม
ผ่านเงินอุดหนุนบางอย่างที่มีเป้าหมายอย่างชัดเจน. รากเหง้าของวิศวพันธุกรรมย้อนกลับไปสู่ทศวรรษที่ 1930 เมื่อตอนที่ชีววิทยาระดับโมเลกุลได้รับการเพาะขึ้นมา ในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่โดยไม่มีรากฐานอะไรเลย. พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป. แต่สิ่งที่พวกเขารู้อยู่สองอย่างก็คือ หนึ่งนั้นคือ การปรับปรุงสายพันธุ์มนุษย์(eugenics)ได้สูญเสียชื่อเสียงไปในยุโรป และโครงการปรับปรุงสายพันธุ์มนุษย์ จะต้องมีการนำเสนอในลักษณะซ่อนเร้นต่อสาธารณชน. มันไม่อาจที่จะเปิดเผยต่อสังคมได้มากนัก. มันจะต้องถูกฝังรากลงไปในสิ่งที่เรียกขานว่าพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์. มันจะต้องถูกฝังรากลงไปในชีววิทยา. โครงการเหล่านี้ทั้งหมดได้รับการให้ทุนสนับสนุนโดยผ่านมูลนิธิ Rockefeller. มันได้รับการเรียกว่าโปรแกรมจิตวิทยาทางสังคม(the social psychology program). สิ่งเดียวที่พวกเขารู้ในประเด็นนี้ก็คือ การค้นหาอะไรบางอย่างที่ลึกลงไปในหนทางที่สิ่งต่างๆทำงานในเชิงชีววิทยา กล่าวคือ อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้. การคัดสรรเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลบเลี่ยง, ดังนั้นการคัดเลือกเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ก็ไม่อาจจะหลีกหนีไปได้เช่นกัน ทั้งนี้เพราะมันเป็นหนทางที่ได้รับการตัดสินทางชีววิทยาให้เป็นไปนั่นเอง. - ประเด็นเกี่ยวกับความยากจน, อาชญากรรม ฯลฯ - เหล่านี้คือข้อถกเถียงหรือเหตุผลการโต้เถียงที่พวกเขานำมาใช้สำหรับกระบวนการการปรับปรุงสายพันธุ์ของมนุษย์ในยุโรปที่ผ่านมาในอดีต. พวกเขาได้ตั้งชื่อมันขึ้นมาเป็นครั้งแรกในทางทฤษฎีว่า"ชีววิทยาระดับอะตอม"(biological atoms). พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นเช่นไร. พวกเขาเพียงแต่กล่าวว่า มันเป็นชีววิทยาระดับอะตอมที่กำหนดลักษณะเฉพาะ. มันน้อมนำพวกเขาถึงห้าสิบปีให้เข้าไปทำการจัดการ ยักย้าย เปลี่ยนแปลง และมีการได้รับรางวัล. มีการให้รางวัล Nobel prizes ถึง 10 ครั้งแก่พวกเขา ในฐานะที่เป็นประชาคมที่ทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้, มีการเชื่อมต่อกันและกันโดยผ่านทุนสนับสนุน. ถัดจากนั้น คุณก็ได้ Watson และ Crick ซึ่งทั้งสองได้รับรางวัลสำหรับโครงสร้าง DNA. แต่โครงสร้าง DNA นั้นมันเป็นอะตอมหนึ่งที่ทำหน้าที่กำหนดคุณลักษณะโดยเฉพาะทั้งหมดที่ได้รับการขนานนามเมื่อห้าสิบปีมาก่อน. ถ้าหากว่าไม่ใช่ Crick และ Watson (ที่ได้ค้นพบโครงสร้างอันนี้) มันก็จะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งของบรรดานักวิทยาศาสตร์(ค้นพบเรื่องราวเหล่านี้อยู่ดี). ทั้งนี้เพราะ มันจะต้องถูกพัฒนาไปในทิศทางนี้เท่านั้น นั่นเอง. เหตุผลสองประการที่พวกเขาได้ดำเนินไปบนเส้นทางอันนี้ก็คือ อันดับแรก, อย่างที่ดิฉันได้พูดไปแล้วว่า การเริ่มต้น มาจากเรื่องอคติทางสังคม. โดยการใส่มันลงไปในชีววิทยาและใส่มันลงไปในอะตอมต่างๆทางชีววิทยา. พวกเขาอาจจะถกเถียงว่า อันนี้มีอยู่ในธรรมชาติของสิ่งต่างๆ. นี่เป็นสภาพของเหตุการณ์ต่างๆ และวิธีการอันนี้พวกเขา อาจเริ่มต้นจากความรับผิดชอบทางการเมืองของการผูกพันโดยพื้นฐานกับการกระทำทางการเมือง และใส่มันลงไปในอาณาเขตของวิทยาศาสตร์. สิ่งที่พวกเขารู้อย่างที่สอง, และอันนี้ได้ป้อนเข้าไปสู่การทำให้วิศวพันธุกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพเป็นอุตสาหกรรมมานานปี, ก็คือ พวกเขาเห็นว่า ยิ่งคุณสามารถจัดการยักย้าย หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสิ่งที่มีชีวิตได้ลึกมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถควบคุมอาหารและยาได้มากขึ้นเท่านั้น. รากำลังได้มาซึ่งวัฎจักรใหม่ของการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งตอนนี้กำลังเสนอแนะว่า, ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง การจัดการยักย้ายในระดับจีนส์ มักจะให้ผลผลิตต่างๆแก่คุณเป็นพิเศษเสมอๆ, แต่นั้นไม่ใช่ทั้งหมดในกรณีนี้. มันอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงมากต่างๆแก่คุณ. พวกเขากำลังใช้ประโยชน์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า คุณกำลังเข้าไปแทรกแซงโครงสร้างสิ่งที่มีชีวิตในระดับลึกระดับหนึ่ง และทำให้มันเท่ากันกับความพิเศษ, หรือกับความก้าวหน้าของมนุษย์. อันที่จริงมันไม่มีความสัมพันธ์กันระหว่างทั้งสองสิ่งนี้เลย ที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้. ความจริงคือว่า ผู้คนไม่ได้ให้การยอมรับเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ มันเป็นที่ชัดเจนตามข้อเท็จจริงที่ว่า ประชาชนกำลังปฏิเสธอาหารที่ทำขึ้นมาจากกระบวนการวิศวพันธุกรรมต่างๆ. พวกเขามิได้ปฏิบัติกับการยักย้าย เปลี่ยนแปลงในระดับจีนส์ในฐานะที่เป็นระบบการผลิตอาหารซึ่งมีความพิเศษหรือเหนือว่าบางอย่าง. พวกเรากำลังได้ยินได้ฟังคำถามต่างๆเหล่านี้มากขึ้นๆ ไม่ใช่หรือ ? ดิฉันคิดว่า มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะไม่ลืมว่า รากเหง้าต่างๆของวิศวพันธุกรรมเป็นเรื่องที่อยู่ในศาสตร์ว่าด้วยการปรบปรุงสายพันธุ์ของมนุษย์ และดังที่วิศวพันธุกรรมได้เคลื่อนคล้อยจากเรื่องทางการเกษตรมาสู่การยักย้ายเปลี่ยนแปลงมนุษย์ เราก็กำลังถอยกลับไปสู่โปรแกรมหรือโครงการการปรับปรุงสายพันธุ์มนุษย์อันชั่วร้ายนั่นเอง. นิตยสาร In Motion : หนึ่งในข้อถกเถียง ตอนที่คุณพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีชีวภาพก็คือ ชาวนาหรือเกษตรกรทั้งหลายในประวัติศาสตร์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงเมล็ดพันธุ์พืชโดยผ่านการเลือกสรรมานานแรมปีอย่างไร. เรากำลังกระทำกระบวนการนั้นให้มันรวดเร็วขึ้น, แล้วความแตกต่างของมันคืออะไรกันล่ะ ? ดร.วันทนา ศิวะ : อันนี้มันไม่จริงในสองทาง อันดับแรก เมื่อชาวนาหรือเกษตรกรทำการคัดสรรนั้น พวกเขาได้ทำการคัดสรรไปตามขอบเขตและข้อจำกัด ซึ่งพวกเขาได้ทำการตัดสินใจเพื่อตัวของพวกเขาเอง. อย่างแรกคือข้อจำกัดทางระบบนิเวศ. ชาวนาหรือเกษตรกรเลือกสรรพืชผลไปตามระบบนิเวศซึ่งพวกเขาทำการผลิต. ไม่มีชาวนาหรือเกษตรกรคนใดในโลก ทำการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ในเขตร้อนของแอฟริกา และพยายามที่จะนำมันไปปลูกในเขตอากาศอบอุ่นที่สวีเดน. ชาวแอฟริกันจะบ่มเพาะพืชผลสำหรับแอฟริกา, และชาวนาหรือเกษตรกรสวีดีช ก็จะพัฒนาพืชผลสำหรับสวีเดน. วิศวพันธุกรรมกำลังฝ่าฝืนหรือไปละเมิดต่อขอบเขตอันนี้. มันเป็นการข่มขืนต่อระบบนิเวศวิทยา. มันเป็นการบ่มเพาะพืชผลต่างๆเพื่อนำไปปลูกบนที่ดินเป็นล้านๆเอเคอร์ เพราะมันไม่ใช่จุดประสงค์ในการมีสิทธิบัตรต่างๆเกี่ยวกับฝ้าย Bt (Biotecnology) ถ้าคุณเพียงแต่ต้องการจะปลูกมันสัก 20 เอเคอร์เท่านั้น ในที่ที่มันเหมาะกับการเพาะปลูกอย่างหลายหลาก. ดังเช่นบริษัท Monsanto คุณต้องการตลาดทั่วโลกเพื่อทำให้เกิดผลกำไรมหาศาลเท่าที่จะเป็นไปได้ เกี่ยวกับการคืนกลับมาเกี่ยวกับสิทธิบัตรของคุณ, นั่นมันเป็นรายได้ของคุณ. นี่หมายความว่า คุณจะต้องปลูกมันในทุกๆที่. คุณจะต้องข่มขืนหรือละเมิดต่ออาณาเขตของระบบนิเวศวิทยา. แต่สิ่งซึ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้น สำหรับโอกาสแรกสุด วิศวพันธุกรรมกำลังกระทำบางสิ่งบางอย่างแตกต่างไปจาก นักแพร่พันธุ์ตามขนบธรรมเนียมเขาทำกัน. และขอเน้นว่าในหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาพูดโกหก มันไม่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้. สิ่งมีชีวิตที่มีการข้ามพันธุ์กันต่างๆ(transgenic organisms)ไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับการบ่มเพาะของชาวนาหรือเกษตรกร ที่ทำกันมาในอดีตตามจารีตนิยม เพราะการข้ามพันธุ์โดยนิยามความหมายที่แท้ของมันนั้น มันหมายถึงบางสิ่งซึ่งมีการข้ามขอบเขตของสายพันธุ์, บางสิ่งที่จีนส์ที่แปลกๆตัวหนึ่งได้ถูกนำเข้ามาในพืช. ในกรณีของเทคโนโลยีชีวภาพ มันเป็นแบคทีเรียจีนส์ที่เป็นพิษ. ส่วนในกรณีของพืชผลอื่นๆ มันจะมีจีนส์ที่เป็นปฏิชีวนะ. มันเป็นบางสิ่งบางอย่างในพืชนั้นที่จะไม่เป็นอย่างนั้นเลย ถ้าหากว่าคุณเพียงบ่มเพาะมันด้วยวิธีการธรรมดาอย่างที่ชาวนาหรือเกษตกรทำกัน. พวกเขาเร่งกระบวนการดังกล่าว และพวกเขาได้ก้าวข้ามธรณีประตูอันหนึ่งเข้าไป. นิตยสาร In Motion : คุณจะพูดถึงกลุ่มนวธัญญะสักเล็กน้อยได้ไหม : กระบวนการเคลื่อนไหวเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และสิทธิต่างๆของชาวนาและเกษตรกร. ดร.วันทนา ศิวะ : นวธัญญะเป็นโครงการระดับชาติ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเพื่อต่อสู้กับการผูกขาดเรื่องของเมล็ดพันธุ์. ดิฉันเริ่มต้นโครงการนี้มาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เมื่อตอนที่ดิฉันเห็นถึงการปรากฎตัวขึ้นมาของโลกแห่งการควบคุมเอาไว้ทั้งหมดชนิดนี้. นวธัญญะ หมายถึง เมล็ดพันธุ์พืช 9 ชนิด. โดยผ่านกระบวนการอันนี้เราได้รักษาเมล็ดพืชพื้นเมืองของเราเอาไว้ได้. ในประเทศอินเดีย เรายังคงมีชาวนาและเกษตรกรในไร่นาเป็นจำนวนมาก. เรายังมีเมล็ดพันธุ์ที่หลากหลายมากมาย. เราไม่พยายามที่จะทำมันในฐานะกิจกรรมของพิพิธภัณฑ์. ดิฉันเริ่มกระบวนการกลุ่มนวธัญญะในฐานะที่เป็น พรบ.ทางการเมือง เพื่อว่าชาวนาหรือเกษตรกรจะได้มีเมล็ดพันธุ์ที่อิสระอยู่ในมือของพวกเขา, และใช้เมล็ดดพันธุ์ที่อิสระเหล่านั้นให้สามารถต่อต้านกับระบบการควบคุมของบริษัทพืชผลการเกษตรต่างๆ, ที่เข้ามาควบคุม และกำลังพยายามที่จะเข้ามาตั้งมั่นในประเทศอินเดีย. โดยผ่านเมล็ดพันธุ์ต่างๆเหล่านั้น พวกเขาสามารถที่จะสถาปนาเกษตรกรรมอินทรีย์ที่ยั่งยืนขึ้นมาได้อีกครั้ง. เมล็ดพันธุ์ใหม่ๆได้รับการเพาะขึ้นมาด้วยอิทธิพลของสารเคมีอย่างหนัก และแม้กระทั่งทุกวันนี้ เมื่อบริษัท Monsanto กล่าวว่า พืชผลที่มาจากกระบวนการวิศวพันธุกรรมไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมี, แต่เรากลับได้ยินมาจากทุกหนแห่งว่า มันต้องใช้สารเคมีเพิ่มเป็นสองเท่า. ถ้าหากว่าพวกเขานำเอาเมล็ดพันธุ์เหล่านี้เข้ามาสู่ประเทศอินเดีย มันก็จะทำให้มีการใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า เพราะพวกเขาจะนำสารเคมีเข้ามาสู่ไร่นา ซึ่งไม่เคยใช้สารเคมีมาก่อนเลย. โดยผ่านเมล็ดพันธุ์พื้นเมือง เราสามารถที่จะมีอิสระหรือปลอดจากเกษตรเคมี, ชาวนาหรือเกษตรกรก็ไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน อิสระจากภาระที่ต้องแบกหามซึ่งรายได้ที่สูง ได้สร้างขึ้นมา. เราสามารถที่จะสร้างอิสรภาพให้กับบรรดาผู้บริโภค เพราะพูดกันตามตรง พืชพันธุ์ที่เติบโตขึ้นมาจากเกษตรเคมี มันไม่อร่อยเท่ากับพืชพันธุ์ที่เติบโตขึ้นมาในความหลากหลายต่างๆ ซึ่งได้พัฒนาขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปมานานแรมปีนั่นเอง. ข้าวสาลีพื้นเมืองของเราขายได้ในราคาสองเท่า ซึ่งการที่แป้งสาลีที่มีความหลากหลายที่ได้ให้ผลสูงในราคานั้น เพราะมันมีรสชาติดีมากนั่นเอง. มันดีมากสำหรับการนำไปทำโรตี(อันเป็นอาหารพื้นเมือง). มันได้มีการพัฒนาการทำโรตี. พืชตระกูลถั่วพื้นเมืองของเราก็ขายได้จำนวนมาก เพราะไม่เพียงเป็นพืชที่ปลอดจากสารเคมีเท่านั้น แต่มันยังมีรสชาติดีด้วย, มันยังบำรุงดินได้มากด้วย. มันดีสำหรับผืนดินและโลกของเรา มันสร้างแรงกดดันต่อโลกน้อยมาก และมันสร้างแรงบีบคั้นต่อชาวนาน้อยมากเช่นกัน นอกจากนี้มันประหยัดกว่าสำหรับผู้บริโภคทั้งหลาย. มันเป็นเรื่องที่บ้าบออย่างยิ่งถ้าหากว่ายังคงเรียกเมล็ดพันธุ์แห่งการหล่อเลี้ยงอันมหัศจรรย์นี้ว่า การเพาะปลูกที่ล้าสมัยหรือดึกดำบรรพ์(primitive cultivas). ส่วนหนึ่งของการต่อสู้ของเรา ต้องให้การเคารพยกย่องต่อนวัตกรรมใหม่ของชาวนาและเกษตรกร และความหลากหลายที่ผืนโลกได้ตระเตรียมขึ้นมา. สิ่งที่ดิฉันมักจะพูดอยู่เสมอก็คือ โดยผ่านการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ของกระบวนการนวธัญญะ เราได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองเกี่ยวกับความหลากหลาย มันเป็นวิธีการของเราเกี่ยวกับการต่อต้าน. นิตยสาร In Motion : มันประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ? ดร.วันทนา ศิวะ : มันประสบความสำเร็จมาก. เรามีมันอยู่ถึง 7 โซนในเวลานี้. เรามีเมล็ดพันธุ์พื้นเมืองแพร่กระจายเข้าไปแทนที่. ดิฉันเพิ่งจะเริ่มต้นธนาคารเมล็ดพันธุ์ 2 ธนาคารใหม่ ในใจกลางของ"การปฏิวัติเขียว", ธนาคารหนึ่งตั้งอยู่ในทางตะวันตกของแคว้นอุตรประเทศ ส่วนอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่แคว้นปัญจาบ ที่ที่ชาวนาและเกษตรกรประมาณ 30 คนกำลังเลิกใช้สารเคมี และถอยออกมาจากเครื่องจักรที่ใช้บดสารเคมี. พวกเขาเริ่มเปลี่ยนไปใช้เมล็ดพันธุ์พื้นเมืองและกรรมวิธีเกษตรอินทรีย์ต่างๆ. สิ่งมหัศจรรย์เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์นั้น ถ้าหากคุณมีมันสักเมล็ดหนึ่ง, คุณก็มีศักยภาพของมันที่จะแพร่พันธุ์ได้อีกเป็นล้าน. (ไม่ใช่สิ้นสุดลงเพียงแค่ชั่วรุ่นเดียว) An
interview with Dr. Vandana Shiva - Rural America / In Motion Magazine
Published in In Motion Magazine - August 14, 1998 |