การบรรยายธรรมของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
เรื่อง
ทางพ้นทุกข์
บรรยายที่พุทธสมาคมธิเบต ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๒
 
 

ทางพ้นทุกข์
          วันนี้ได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ให้
แสดงธรรมแก่พุทธบริษัททั้งหลาย ที่มานั่งประชุมอยู่ ณ ที่นี้ ดังนั้นขอ
พุทธบริษัททั้งหลายจงตั้งใจให้อยู่ในความสงบ เพราะว่าการแสดง
ธรรมวันนี้ มีความจำเป็นเกี่ยวกับภาษา จะต้องตั้งใจฟังล่ามที่จะแปล
มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจ
          เมื่อได้มาพักอยู่ที่นี่ อาตมารู้สึกมีความสบายใจ เพราะว่าทั้ง
ท่านอาจารย์ก็ดี ทั้งสานุศิษย์ก็ดี ทำความพอใจ หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
สมกับเป็นผู้ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอันแท้จริง เมื่อได้มาเห็นสถานที่
ซึ่งท่านอยู่อาศัยก็เลื่อมใส
          แต่บ้านหลังใหญ่นี้ใหญ่เหลือเกิน คิดสงสารท่านเหมือนกัน
ในการบูรณะสร้างที่อยู่เพื่อปฏิบัติธรรมต่อไป อาตมาเคยลำบากมา
แล้ว เป็นอาจารย์มาหลายปี ตั้งต้นสอนจริงๆจังๆมาประมาณเกือบ
สามสิบปี ขณะนี้มีวัดสาขาน้อยใหญ่ที่ขึ้นต่อวัดหนองป่าพงประมาณ
สี่สิบแห่งแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ามีศิษย์สอนยากสอนลำบากเหลือเกิน บาง
คนก็รู้แล้วไม่เอาใจใส่ บางคนไม่รู้ก็ไม่เอาใจใส่ เดี๋ยวนี้ก็เลยคิดอะไร
ไม่ค่อยจะออก ไม่ทราบว่าทำไมจิตใจของมนุษย์จึงเป็นอย่างนั้น ถ้า
ไม่รู้ก็ไม่ดี แต่บอกให้รู้แล้วก็ยังไม่รับเอา จะทำอย่างไรอีกต่อไป ก็ยัง
ไม่รู้อีกเหมือนกัน เมื่อปฏิบัติไปก็มีแต่เรื่องสงสัยทั้งนั้นแหละ สงสัยอยู่
เรื่อยๆ อยากจะไปแต่พระนิพพาน แต่ไม่เดินไปตามทาง อยากจะไป
เฉยๆเท่านั้น มันวุ่น ให้นั่งสมาธิก็กลัว มีแต่ความง่วง ง่วงนอน สิ่งที่
เราไม่สอนนั้นแหละชอบปฏิบัติ ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสมาเยี่ยมท่าน
อาจารย์ จึงเรียนถามท่านว่า ลูกศิษย์ของท่านเป็นอย่างไร ท่านตอบ
ว่าเหมือนกัน นี่ก็เป็นความยุ่งยากอันหนึ่ง เป็นปัญหาอันหนึ่งของครู
บาอาจารย์ที่จะช่วยลูกศิษย์
          ธรรมะที่จะกล่าวในวันนี้ เป็นธรรมะที่จะแก้ปัญหาในปัจจุบัน
ในเวลาที่เราเกิดมาในชาตินี้ ในวันนี้ เดี๋ยวนี้
          พุทธบริษัทบางกลุ่ม ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี เคยพูดว่า ฉันมีธุระ
มากเกี่ยวแก่การงาน ไม่มีโอกาสที่จะทำความเพียร จะให้ฉันทำ
อย่างไร อาตมาตอบว่า โยมทำงานนั้นโยมหายใจหรือเปล่า เขาตอบ
ว่า หายใจอยู่ ทำไมโยมมีโอกาสหายใจ เมื่อโยมทำงานอยู่ เขาก็ไม่
พูด โยมมีสติอยู่เท่านั้นแหละ ก็มีเวลามากเหลือเกินที่จะทำความ
เพียร ที่จะทำกรรมฐานเหมือนกับลมหายใจเข้าออก เราทำงานอยู่ก็
หายใจอยู่ นอนอยู่ก็หายใจอยู่ นั่งก็หายใจอยู่ ทำไมมันมีโอกาส
หายใจอย่างนั้น ถ้าเรามีความรู้สึกถึงความมีชีวิตของเรากับลม
หายใจนั้น มันก็ต้องมีเวลาอยู่ตลอดกาล
          ใครเคยมีความทุกข์ไหม ใครเคยมีความสุขไหม คิดดูซิเคยมี
ไหม นั่นแหละที่ธรรมะเกิดที่ตรงนี้ ที่ปฏิบัติธรรมะก็อยู่ที่ตรงนี้ ใคร
เป็นสุข ใจมันเป็นสุข ใครเป็นทุกข์ ใจมันเป็นทุกข์ มันเกิดที่ไหน มัน
ดับที่นั่น กายและใจสองอย่างนี้ รวมมีเอามาแล้วทุกคน ไม่ใช่ว่าไม่มี
หลักปฏิบัติ หลักปฏิบัติมีอยู่แล้ว มีกายมีใจ เท่านั้นพอแล้ว ทุกคนที่
นั่งรวมกันอยู่นี้ เคยมีความสุขไหม เคยมีความทุกข์ไหม ทำไมเป็น
อย่างนั้น มันเป็นเพราะอะไร นี้คือปัญหาแล้ว ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมา
ล่ะ ถ้าเรารู้จักทุกข์ รู้จักเหตุของทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติ
ถึงความดับทุกข์ มันก็แก้ปัญหาได้
          นี้คือทุกข์ ทุกข์ธรรมดาอย่างหนึ่ง ทุกข์ที่เหนือธรรมดาอย่าง
หนึ่ง ทุกข์ประจำสังขารนี้ ยืนก็เป็นทุกข์ นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์
อย่างนี้เป็นทุกข์ธรรมดา ทุกข์ประจำสังขาร พระพุทธเจ้าท่านก็มี
เวทนาอย่างนี้ มีสุขอย่างนี้ มีทุกข์อย่างนี้ แต่ท่านก็รู้จักว่าอันนี้เป็น
ธรรมดา สุขทุกข์ธรรมดาทั้งหลายเหล่านี้ท่านระงับมันได้ เพราะท่านรู้
จักเรื่องของมัน รู้จักทุกข์ธรรมดา มันเป็นของมันอย่างนั้น ไม่รุนแรง
          ท่านให้ระวังทุกข์ที่มันจรมา ทุกข์ที่เหนือธรรมดา เปรียบ
ประหนึ่งว่าเราเป็นไข้ เอายาไปฉีด ฉีดเข้าไปในร่างกาย เข็มฉีดยานั้น
มันทะลุเข้าไปในเนื้อหนัง เรารู้สึกเจ็บนิดหน่อยเป็นธรรมดา เมื่อถอน
เข็มออกมาแล้ว ความเจ็บก็หาย นี่เรียกว่าทุกข์ธรรมดา ไม่เป็นอะไร
ทุกคนจะต้องเป็นอย่างนี้ ทุกข์ที่ไม่ใช่ธรรมดานั้น คือทุกข์ที่เรียกว่า
อุปาทาน เข้าไปยึดมั่นถือมั่นไว้ เปรียบประหนึ่งว่าเอาเข็มฉีดยาไป
อาบยาพิษแล้วก็ฉีดเข้าไป นี่ไม่ใช่เจ็บธรรมดาแล้ว ไม่ใช่ทุกข์ธรรมดา
แล้ว เจ็บจนตาย ทุกข์จนตาย นี่เรียกว่าทุกข์เกิดจากอุปาทาน ความ
เห็นผิด นี่ก็เป็นปัญหาอันหนึ่ง
          ไม่รู้จักอนิจจัง ความเปลี่ยนแปลงของสังขาร สังขารมันเป็น
วัฏฏสงสาร สังสาเรทุกขัง ทุกข์ในสงสารมันเปลี่ยน เราไม่อยากให้มัน
เปลี่ยน เราคิดผิดมันก็ทุกข์ คิดถูกมันก็ไม่ทุกข์ คนเกิดขึ้นมา แล้วไม่
เห็นสังขารอันนั้น เห็นสังขารว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา ไม่
อยากให้สังขารเปลี่ยนแปลงไป
          พูดง่ายๆก็หมายความว่า เราหายใจเข้าออก ออกไปแล้วก็
เข้ามา เข้ามาแล้วก็ออกไป มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เราจึงมีชีวิต
อยู่ได้ ถ้าเราให้มันออกไป ไม่ให้มันเข้ามา มันก็อยู่ไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่อง
เช่นนั้น เรื่องของสังขารมันเป็นอย่างนี้ แต่เราไม่รู้จัก เช่นว่ามีสิ่งของ
แล้วมันหายไป ไม่อยากให้มันหาย คิดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ไม่
เห็นตามสังขารที่มันหมุนเวียนอยู่ตามธรรมชาตินั้น มันก็เลยเกิดทุกข์
ขึ้นมา ไม่เชื่อก็ลองดูซิ หายใจออกหายใจเข้า มันสบายอยู่ได้ ถ้า
หายใจออกแล้วไม่เข้า หรือหายใจเข้าแล้วไม่ออกจะอยู่ได้ไหม
          สังขารมันเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น เรา
เห็นว่ามันเป็นอยู่อย่างนั้น เห็นตามธรรมะ เห็นเรื่องอนิจจังความ
เปลี่ยนแปลง เราอยู่ด้วยอนิจจัง อยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ รู้
ว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วก็ปล่อย เรียกว่าการปฏิบัติธรรมให้มีปัญญารู้
ตามสังขารอย่างนั้น ทุกข์ก็ไม่เกิด
          ถ้าคิดเช่นนั้นมันก็ขัดต่อความรู้สึกของเรา ขัดต่อความรู้สึกก็
ขัดต่อธรรมะความเป็นจริงของมันเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น เราป่วยเข้า
โรงพยาบาล คิดในใจไม่อยากตาย อยากหายเท่านั้น คิดอย่างนั้นไม่
ถูก เป็นทุกข์ ต้องคิดว่า หายก็หาย ตายก็ตาย เพราะเราแต่งไม่ได้ นี่
เป็นสังขาร คิดอย่างนี้ถูก ตายก็สบายหายก็สบาย ต้องได้อย่างหนึ่ง
จนได้ เราคิดว่าจะต้องหาย จะต้องไม่ตาย อย่างนี้มันเรื่องจิตของเรา
ไม่รู้จักสังขาร ฉะนั้นเราก็ต้องคิดให้มันถูก ว่าหายก็เอา ไม่หายก็เอา
ตายก็เอา เป็นก็เอา ถูกทั้งสองอย่าง สบายไม่ตกใจ ไม่ร้องไห้ ไม่โศก
เศร้า เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
          อย่างนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงมองเห็นชัด ธรรมะของ
ท่านยังใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้าสมัย ไม่เปลี่ยนแปลงที่ไหนทุกวันนี้ยัง
มีความจริงอยู่ ยังไม่เสื่อม ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ไปที่ไหน ถ้าใครจะ
รับพิจารณาอย่างนั้น จะได้เกิดความสงบความสบาย ท่านให้อุบาย
ว่า อันนี้ไม่ใช่ตัวเรา อันนี้ไม่ใช่ของเรา แต่เราฟังไม่ได้ ไม่อยากฟัง
เพราะเราเข้าใจว่า นี่เป็นตัวเรา เป็นของเรา นี่แหละเป็นเหตุให้ทุกข์
เกิดตรงนี้ ให้เราเข้าใจอย่างนี้
          เมื่อกลางวันนี้ มีโยมคนหนึ่งมาถามปัญหาว่า เมื่อมันมีความ
โกรธขึ้นมา จะให้ดิฉันทำอย่างไร อาตมาบอกว่า เมื่อมันโกรธขึ้นให้
เอานาฬิกามาหมุนตั้งไว้ บอกนั่นได้สองชั่วโมงให้โกรธมันหายนะ ลอง
ดู ถ้ามันเป็นเรา บอกได้สองชั่วโมงก็ยังไม่หาย แต่อันนี้ไม่ใช่เรา สอง
ชั่วโมงมันก็หายโกรธ (หมายเหตุ 1) บางทีหนึ่งชั่วโมงมันก็หายแล้ว
จะไปเอาโกรธมาเป็นเรามันก็ทุกข์ซิ นี่ถ้าเป็นตัวเรา มันต้องได้ตาม
ปรารถนาอย่างนั้น ถ้าไม่ได้ตามปรารถนาก็เป็นเรื่องโกหก เราอย่าไป
เชื่อมันเลย มันจะดีใจก็อย่าไปเชื่อมัน จะเสียใจก็อย่าไปเชื่อ มันจะรัก
อย่าไปเชื่อมัน มันจะเกลียดก็อย่าไปเชื่อมัน มันเรื่องโกหกทั้งนั้น ให้
คำตอบเขาอย่างนี้
          ใครเคยโกรธไหม เมื่อโกรธขึ้นมามันเป็นสุขหรือทุกข์ไหม ถ้า
เป็นทุกข์ ทำไมไม่ทิ้งมัน เอาไว้ทำไม นี่จะเข้าใจว่าเรารู้อย่างไรเล่า จะ
เข้าใจว่าเราฉลาดอย่างไรเล่า ตั้งแต่เราเกิดมานี้ มันโกรธเรากี่หนมา
แล้ว บางวันมันทำให้ครอบครัวเราทะเลาะกันก็ได้ ร้องไห้ทั้งคืนก็ได้
ขนาดนั้นก็ยังเกิดความโกรธอีก ยังเก็บมันเอาไว้ในใจอีก ทุกข์อีกอยู่
ตลอดเวลา ตลอดถึงบัดนี้ ตั้งแต่นี้ต่อไปถ้าโยมทุกคนไม่เห็นทุกข์ มัน
ก็จะทุกข์เรื่อยๆไป ถ้าเห็นทุกข์วันนี้เอามันทิ้งเสีย เอามันทิ้ง ถ้าไม่ทิ้ง
มัน มันจะให้เราทุกข์จนตลอดวันตาย ไม่ได้หยุด
          วัฏฏสงสารก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเรารู้จักทุกข์อย่างนี้ ก็แก้
ปัญหาได้เท่านั้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านว่าไม่มีอุบายอะไรที่จะดีไป
กว่านี้ อุบายที่จะไม่มีทุกข์ก็เห็นว่า อันนี้ไม่ใช่ตัว อันนี้ไม่ใช่ของตัว
เท่านี้ อันนี้เลิศแล้ว อันนี้ประเสริฐแล้ว แต่เราไม่ค่อยได้รับฟัง เมื่อ
ทุกข์ทุกทีก็ร้องไห้ทุกที ยังไม่จำอีกนี่ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่ดู
นานๆ ท่านอาจารย์สอนให้ดู ให้ภาวนาพุทโธ ให้เห็นชัด
          ระวังบางคนจะไม่รู้ว่าธรรมะนะ นี่คือธรรมะนอกคัมภีร์ คน
เราไปอ่านแต่คัมภีร์แล้วไม่เห็นธรรมะ วันนี้อธิบายธรรมะนอกคัมภีร์
แต่อยู่ในขอบเขต บางคนฟังแล้วจะไม่รู้เรื่อง จะไม่เข้าใจในธรรมะ ถ้า
เราไม่เข้าใจในธรรมะ เราจะมีความทุกข์ตลอดไป
          สังขารมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา เรื่องธรรมดาอย่าง
นี้ยกตัวอย่างให้ฟังอีกสักเรื่องหนึ่ง คนสองคน เช่นคนนี้กับคนนี้ เดิน
ไปด้วยกัน เห็นเป็ดตัวหนึ่ง ไก่ตัวหนึ่ง คนหนึ่งว่า แหมไก่ทำไมไม่
เหมือนเป็ด เป็ดทำไมไม่เหมือนไก่ คิดอยากจะให้ไก่เป็นเป็ด คิด
อยากจะให้เป็ดเป็นไก่ มันก็เป็นไปไม่ได้ เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ โยมก็คิด
ว่า แหม อัศจรรย์เหลือเกิน ทำไมไก่ไม่เป็นเป็ดอยากจะให้เป็ดเป็นไก่
อยู่ตลอดเวลา ในชั่วชีวิตหนึ่งๆมันก็ไม่เป็นให้ เพราะเป็ดก็เป็นเป็ด ไก่
ก็เป็นไก่ ถ้าคนนี้คิดอย่างนี้ไม่หยุดก็ต้องทุกข์ คนที่สองเห็นว่า เป็ดก็
เป็นเป็ด ไก่ก็เป็นไก่นั่นแหละ แล้วก็เดินผ่านไป ปัญหาไม่มี เห็นถูก
แล้วที่เป็นเป็ดให้เป็นเป็ดไป เป็นไก่ก็ให้เป็นไก่ไปเสีย คนที่อยากให้
เป็ดเป็นไก่ อยากให้ไก่เป็นเป็ดอยู่นั่นแหละ ก็เป็นทุกข์มาก อย่างนี้ก็
เหมือนกับอนิจจังเป็นของไม่เที่ยง อยากจะให้มันเที่ยง มันก็ไม่เที่ยง
เมื่อมันไม่เที่ยงเมื่อไร ก็เสียใจเมื่อนั้น ถ้าใครเห็นว่า อนิจจังเป็นของ
ไม่เที่ยงอย่างนั้น คนนั้นก็สบายไม่มีปัญหา คนอยากให้มันเที่ยงก็มี
ปัญหาเป็นทุกข์เป็นร้อนบางทีนอนไม่หลับ อย่างนี้ก็เป็นได้ นี้เรียกว่า
ไม่รู้เรื่องของอนิจจัง ตามความจริง เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า
          เมื่ออยากรู้ธรรมะจะไปดูที่ไหนได้ ดูอยู่ที่กายของเรานี้แหละ
ดูอยู่ที่ใจของเรานี้แหละ ไปดูในตู้ไม่พบไม่เห็น จะรู้ธรรมะอย่างแท้จริง
ต้องดูในกายของเรานี้เรียกว่า รูปธรรม รู้เข้าไปอีกชนิดหนึ่งไม่มีรูป มี
ปรากฏอยู่คือ นามธรรม มีสองอย่างเท่านั้น รูปธรรมมองเห็นด้วยตา
ของเราที่นั่งอยู่นี่ แต่นามธรรมมองไม่เห็น นามธรรมไม่ใช่สิ่งที่จะมอง
ดูด้วยตาเนื้อได้ ต้องมองดูด้วยตาใน คือตาใจ มองดูในใจถึงจะเห็น
นามธรรม คนจะบรรลุธรรมะ จะได้เห็นธรรมะต้องรู้จักว่า ธรรมะอยู่
ตรงไหนเสียก่อน ถ้าธรรมะอยู่ที่กาย ก็ต้องมาดูที่กายของเรา ดูตั้งแต่
นี้ลงไป เอาอะไรมาตรวจดูตรงนี้ เอานามธรรมคือตัววิญญาณธาตุดู
กายนี้ ไปดูที่อื่นไม่พบ เพราะความสุข ความทุกข์เกิดจากที่นี่ หรือใคร
เห็นความสุขเกิดจากต้นไม้ มีไหม เกิดจากแม่น้ำ มีไหม เกิดจากดิน
ฟ้าอากาศ มีไหม ความสุข ความทุกข์ เป็นความรู้สึกทางกายทางใจ
ของเรานี่เอง ฉะนั้นพระพุทธองค์ท่านให้รู้จักธรรมะ ให้มาดูธรรมะที่
กายของเรานี้ คือธรรมะอยู่ที่นี่ จงมาดูที่นี่ อย่างท่านอาจารย์ท่าน
สอนนี้ ท่านให้มาดูที่ตัวธรรมะ แต่เราเข้าใจว่าตัวธรรมะอยู่ที่หนังสือ
จึงไม่เจอ ถ้าดูหนังสือก็ต้องน้อมเข้ามาในนี้อีกจึงจะรู้จักธรรมะ อย่าง
นี้ให้เข้าใจว่า ธรรมะที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่นี่ อยู่ที่กาย อยู่ที่ใจนี้ ให้
เอาใจนี้พิจารณากาย นี้เป็นหลักการพิจารณา
          ฉะนั้น จึงทำปัญญาให้เกิดขึ้นในจิตของเรา เมื่อปัญญาเกิด
ขึ้นในจิตของเราแล้ว จะมองไปที่ไหนจะมีแต่ธรรมะทั้งนั้น เห็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ตลอดเวลา อนิจจังเป็นของไม่เที่ยง ทุกขังถ้าไปยึดว่า
มันเที่ยง ก็เป็นทุกข์ เพราะอันนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอยู่แล้ว แต่เราไม่
เห็น กลับเห็นว่าเป็นตัวเป็นอยู่เสมอ เห็นว่าเป็นของของตนอยู่ทุก
เวลา
          คือเราไม่เห็นสมมุติ รู้จักสมมุติกันเสียเถิด เช่นเราทุกคนที่นั่ง
ในที่นี้มีชื่อทุกคน ชื่อเรานี้เราตั้งใหม่หรือมันเกิดพร้อมกันกับเรา หรือ
มีชื่อติดตามมาตั้งแต่วันเกิด เข้าใจไหม นี้สมมุติ สมมุติประโยชน์ไหม
มีประโยชน์เช่น สมมุติว่าชื่อ นาย ก นาย ข นาย ค นาย ง มันก็เป็น
คนด้วยกันทั้งหมด ต้องเอาชื่อคนมาใส่เป็นให้สะดวก แก่การพูด
สะดวกแก่การงานเท่านั้นแหละ เช่น เราต้องการใช้นาย ก ก็เรียกนาย
ก นาย ก ก็มา นาย ข นาย ค นาย ง เฉยเสียไม่ต้องมา สมมุติมัน
สะดวกเท่านี้ ถ้าไม่มีสมมุติ เราจะเรียกคนมาใช้สักหนึ่งคน ถ้าเรียก
ว่าคนๆ คนๆทั้งหมดก็จะลุกขึ้นมา ก็ใช้ไม่ได้จะทำอย่างไร ฉะนั้น
สมมุติจึงมีประโยชน์ คือสะดวกแก่การใช้เท่านั้น
          เมื่อตามดูเข้าไปแล้วที่จริงไม่มีใครทั้งนั้น มันเป็นวิมุติ มีดิน มี
น้ำ มีไฟมีลม เท่านั้นแหละ ที่เป็นสกลร่างกายของเรานี้ แต่เรามองไม่
ค่อยจะเห็น เพราะมีอุปาทาน อัตตาอุปาทาน มันไม่เห็น ถ้าเราเห็น
ชัดจะเห็นว่าตัวของคนๆหนึ่งไม่มีอะไรมาก ส่วนที่มันเคลื่อนแข็งก็เป็น
ดิน ส่วนที่เหลวก็เป็นน้ำ ส่วนที่ร้อนก็เป็นไฟ ส่วนที่พัดไปมาก็เป็นลม
มีดิน มีน้ำ มีไฟ มีลม ผสมกันเข้าไปเป็นก้อนก็เรียกว่ามนุษย์ เมื่อมัน
แยกกันออกไปอีก ส่วนดินที่เป็นดินไป ส่วนน้ำก็เป็นน้ำไป ส่วนไฟก็
เป็นไฟไป ส่วนลมก็เป็นลมไป เป็นคนที่ไหน คนไม่มีเลย มันเป็นอยู่
อย่างนั้น
          พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าการที่เราเข้าใจว่า
อันนี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่เป็นของสมมุติ อันนั้นไม่ใช่ของของเรา แต่เป็น
ของสมมุติ ถ้าเราเข้าใจสิ่งทั้งหลายแจ่มแจ้งเป็นธรรมะแล้ว ก็จะ
สบายใจ ถ้าเรารู้ในปัจจุบันอย่างนี้ว่ามันไม่เที่ยง อันนี้ก็ไม่ใช่เรา อัน
นั้นก็ไม่ใช่ของเรา ให้เห็นอยู่อย่างนี้ ถ้าอันนี้วิบัติเมื่อไร ก็สบายใจ
เหมือนกัน ถ้าอันนั้นจะวิบัติไป แยกกันไปเมื่อไร ใจก็สบาย เพราะไม่
มีของใคร เป็นแต่ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น แต่คนเราจะเห็นตามได้ยาก
แต่ถึงจะยากก็ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์
          หากเราเห็นเช่นนั้นได้ก็สบายใจ ใจจะไม่ค่อยโกรธ ไม่มีโลภ
ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง จะมีธรรมะอยู่สม่ำเสมอ ไม่ต้องอิจฉาพยาบาทกัน
เพราะต่างก็เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เป็นลม เหมือนกัน ไม่มีอะไรมาก
ไปกว่านั้น เมื่อยอมรับว่าเป็นจริงอย่างนั้น ก็เห็นจริงในธรรมะ เมื่อ
เห็นจริงในธรรมะแล้วก็ไม่ต้องเปลืองครูบาอาจารย์ ไม่ต้องสอนกันทุก
วันหรอก เมื่อรู้แล้วก็จะทำตามหน้าที่เท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ที่เราสอนยาก
ลำบาก คือมันไม่ยอมรับ ยังเถียงครูบาอาจารย์อยู่ ยังเถียงพระธรรม
วินัยอยู่ ถ้าอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ก็ทำดีเสียหน่อยหนึ่ง เมื่อลับหลังครู
บาอาจารย์ก็เป็นขโมยเสีย เป็นเรื่องที่สอนยากอย่างนี้ โยมเมืองไทย
เป็นอย่างนั้น จึงต้องเปลืองครูบาอาจารย์มาก
          ระวังนะ ระวังไม่ดีไม่เห็นธรรมะนะ ต้องระวังให้ดี ต้องนำไป
พิจารณาให้เกิดปัญญา ดอกไม้นี้สวยไหม ดูซิ เห็นสิ่งที่ไม่สวยในนี้
หรือเปล่า เห็นสิ่งที่ไม่สวยในสิ่งที่สวยหรือเปล่า มันจะสวยไปกี่วัน ต่อ
ไปมันจะเป็นอย่างไร ทำไมมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นอีกสาม สี่วัน
ก็ให้เอาไปทิ้งใช่ไหม เพราะหมดความสวย มันไม่สวยเสียแล้ว นี่คือ
คนติดความสวย ติดความดี ถ้ามีความดีก็ดี ดี ดี พระพุทธองค์ของ
เราท่านตรัสว่า สวยก็พึงว่าสวยเฉยๆอย่าไปติดมัน ถ้ามีความดีใจ ก็
อย่าเพิ่งไปเชื่อมันเลย ที่ว่าดีนี้ก็ไม่แน่ สวยนี้ก็ไม่แน่ ไม่แน่สักอย่าง
หนึ่ง ไม่มีอะไรจะแน่นอนในโลกนี้ นี่คือความจริงของที่ไม่จริง คือสวย
ไม่จริง มันจริงแต่ว่ามันจะเปลี่ยนแปลงของมันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ถ้าเราเห็นว่ามันสวยๆอย่างนี้ เมื่อหมดความสวยไป ใจเราก็ไม่สวย
ถ้ามันหมดความดีแล้ว ใจเราก็ไม่ดีด้วย เราเอาใจไปฝากกับวัตถุ
ต่างๆอย่างนี้ หากว่ามันเสียหายไปเราก็ทุกข์ เพราะเราไปยึดมั่นถือ
มั่นว่าอันนี้เป็นของเรา พระพุทธเจ้าท่านให้รู้จักว่า มันเป็นธรรมชาติ
ของมันเท่านั้น สวยเกิดขึ้นมาอีกไม่กี่วันก็หายแล้ว อย่างนี้ปัญญาก็
เกิดแล้ว ฉะนั้นท่านจึงให้เห็นอนิจจัง เห็นว่ามันสวยก็ว่าไม่ใช่ เห็นว่า
ไม่สวยก็ว่าไม่ใช่ เห็นว่าดีก็ไม่ใช่ ให้เห็นไว้อย่างนี้ ดูอยู่เสมออย่างนี้
จะเห็นความจริงในสิ่งที่ไม่จริง จะเห็นความไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่มัน
เปลี่ยนแปลงอย่างนั้น
          วันนี้อธิบายให้รู้จักทุกข์ สิ่งที่ให้เกิดทุกข์ สิ่งที่ดับทุกข์ ข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ สี่อย่างนี้ รู้จักทุกข์เมื่อทุกข์แล้วก็ทิ้ง รู้จัก
เหตุที่จะให้ทุกข์เกิด แล้วก็ทิ้ง ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็เห็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่แน่นอน ทุกข์แล้วก็ดับ
          มันดับแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เราปฏิบัติแล้วจะเอาอะไร ปฏิบัตินี้
ปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อเอา อย่างโยมที่ถามเมื่อกลางวันนี้ว่าเป็นทุกข์
อาตมาถามว่า โยมอยากเป็นอะไร ตอบว่า อยากตรัสรู้ธรรม อยาก
ตรัสรู้ธรรมมันไม่ได้ตรัสดอก อย่าให้มันอยากเลย อาตมาบอกไป จะรู้
หรือไม่ก็ตามเถอะ เมื่อรู้จักทุกข์ตามความจริงมันก็ทิ้งทุกข์ รู้จักเหตุ
ให้ทุกข์เกิด ที่ไหนทุกข์จะเกิด ก็ไม่ทำมัน จะปฏิบัติมันก็ดับทุกข์ ที่
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้ก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่เราใช่เขา เห็น
เช่นนี้ทุกข์ก็ดับ
          เหมือนคนเดินทางไปเดินไป ไปถึงแล้วก็หยุดอยู่ มันดับ นั่น
ใกล้ต่อพระนิพพานง่ายๆเดินไปก็เป็นทุกข์ ถอยกลับก็เป็นทุกข์ หยุด
อยู่ก็เป็นทุกข์ เดินไปก็ไม่เดิน ถอยกลับก็ไม่ถอย หยุดอยู่ก็ไม่หยุด มี
อะไรเหลือไหมดับ รูปมันดับ นามมันก็ดับ นี้เรียกว่าดับทุกข์ ฟังยาก
สักหน่อยนะ ถ้าหากเราภาวนาพิจารณาเรื่อยๆ มันจะพ้นขึ้นมาแล้ว
จะรู้จัก มันจะดับของมันอย่างนั้น ที่สุดคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นอย่าง
นั้น หมดล่ะ ไม่เป็นอะไร ละหมด พระพุทธเจ้าสอนจบตรงนี้ ละหมด
จบลงที่นี่
          วันนี้อธิบายธรรมะให้ญาติโยม และถวายท่านอาจารย์ ถ้า
หากว่าผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันผิด
มันถูก ฟังไว้ก่อน ให้รู้จักผิด รู้จักถูก ถ้าเหมือนกับเอาผลไม้ชนิดหนึ่ง
ถวายท่านอาจารย์ และฝากญาติโยมทุกๆคน อาตมาบอกว่า ผลไม้นี้
มันหวานนะ ก็ขอให้ฟังไว้ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันหวานล่ะ เพราะมือ
ไม่รู้จักรส (หมายเหตุ 2) ผลไม้ที่มันเปรี้ยวเอามือจับมันก็ไม่รู้เปรี้ยว
ผลไม้นี้มันหวานถวายให้จับดูมันก็ไม่รู้หวาน ฉะนั้นที่เทศน์ให้ฟังวันนี้
อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าอยากจะรู้จักรสเปรี้ยวหวานของผลไม้ ก็ต้องเอามีดไป
เฉือนแล้วเคี้ยวดูในปากนั่นแหละ หากมันเปรี้ยวก็จะรู้สึกเปรี้ยว หาก
มันหวานก็จะรู้สึกหวาน ทีนี้เชื่อได้แล้ว เพราะเหตุใดจึงเชื่อ เพราะว่า
เป็นปัจจัตตังแล้ว มีพยาน ตัวเราจะเป็นพยานของตัวเราแน่นอนแล้ว
ทีนี้ ฉะนั้น ผลไม้ที่อาตมาฝากให้วันนี้ อย่าเพิ่งเอาไปทิ้ง เก็บไว้ทาน
ให้รู้รสเปรี้ยวหวานเสียก่อน จนเป็นสิขีภูโต ตัวเราเป็นพยานของเรา
แล้วแน่นอน
          พระพุทธเจ้าไม่มีครูไม่มีอาจารย์นะ อาชีวกไปถามท่านว่าใคร
เป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า เราไม่มีครู ไม่
มีอาจารย์ อาชีวกก็สะบัดหน้าไปเลย คือบอกความจริงเกินไป บอก
ความจริงกับคนไม่รู้จักความจริง ไม่เชื่อ ไม่รู้จักฟัง ไม่รู้จักเอา ฉะนั้น
วันนี้อาตมาถึงบอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งไปเชื่อ คนไปเชื่อคนอื่นเขา
ท่านว่าคนโง่ เพราะไม่มีพยานในตัวของเรา ดังนั้นให้ยึดพยานในตัว
ของเรา อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสเลยว่า พระพุทธองค์ไม่มีครู ไม่มี
อาจารย์ อย่างนี้เป็นความจริง แต่เราคิดให้ถูกนะ ถ้าคิดไม่ถูกแล้วไม่
เคารพอาจารย์นะ ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ อย่าไปว่านะ ถ้าครูอาจารย์
สอนถูกมาแล้ว เรารู้จักปฏิบัติ เห็นถูกเห็นผิด รู้ขึ้นมาตามครูบา
อาจารย์
          วันนี้พวกเราทั้งหลายมีโชคดี อาตมามีโอกาสรู้จักญาติโยม
ทุกๆคน และได้พบกับท่านอาจารย์ ไม่น่าจะมาเห็นกันนะ เพราะอยู่
ไกลกันมาก วันนี้อาตมาเห็นว่าจะต้องมีเหตุปัจจัยอันหนึ่ง ซึ่งพระ
พุทธองค์ตรัสว่า อะไรที่จะเกิดขึ้นมา จะต้องมีเหตุอย่างนี้ อย่าลืมนะ
จะต้องมีเหตุอันหนึ่ง บางทีสมัยก่อนอดีตชาติ อาตมาได้มาเป็นพี่ๆ
น้องๆของญาติโยมแถวๆนี้ก็เป็นได้ ถ้าพูดถึงเหตุมันเป็นอย่างนั้น คน
อื่นไม่ได้มา แต่อาตมาได้ มาทำไม หรือว่าจะมาสร้างเหตุเดี๋ยวนี้ก็ได้
ฉะนั้นจึงฝากธรรมไว้ให้ญาติพี่น้องทั้งหลาย คนแก่ก็เป็นพ่อเป็นแม่
คนมีอายุเสมอๆกันก็เป็นเพื่อน คนอายุน้อยๆก็เป็นลูกหลานทุกๆคน
ขอฝากความอาลัยไว้ ณ ที่นี้ ญาติโยมทั้งหลายจงเป็นผู้ขยันขันแข็ง
หมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติ ไม่มีอะไรแล้วจะยิ่งกว่าธรรมะ ธรรมะนี้
เป็นเครื่องที่ค้ำจุนโลกเหลือเกิน ทุกวันนี้เราจะไม่สบาย
กระสับกระส่ายก็เพราะไม่มีธรรมะ ถ้าเรามีธรรมะก็จะสบาย อาตมา
ก็ดีใจที่ได้ช่วยท่านอาจารย์และช่วยญาติโยมด้วย จึงขอฝากความ
อาลัยไว้ บางทีพรุ่งนี้คงได้จากไป ไปที่ไหนก็ยังไม่ทราบ อย่างนี้เป็น
เรื่องธรรมดามาแล้วก็ต้องไป ไปแล้วก็ต้องมา มันเป็นเรื่องอย่างนี้ ไม่
ควรดีใจและไม่ควรเสียใจ สุขแล้วก็ทุกข์ ทุกข์แล้วก็สุข ได้แล้วก็เสียไป
เสียไปแล้วก็ได้มาเป็นเรื่องธรรมดา ญาติโยมจงเข้าอยู่ในธรรมะจะไม่
มีความเดือดร้อนทุกๆคน ผลที่สุดนี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเป็นคนมี
โชคดี โชคอย่างใหญ่หลวงคือ โชครู้จักธรรมะ นั่นแหละเป็นโชคดีที่
สุดแล้ว
          ในวาระสุดท้าย ญาติโยมทุกคนมีความสงสัยอะไรในใจให้
ถามปัญหาได้ มีไหมล่ะ สมัยก่อนครั้งพุทธกาล เรื่องสาวกไม่ชอบพระ
พุทธเจ้าก็มี เพราะพระพุทธเจ้าบอกให้ขยัน ไม่ให้ประมาท สาวกที่ขี้
เกียจกลัวและเกลียด เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานสาวกกลุ่ม
หนึ่งร้องไห้ว่า พระพุทธเจ้าของเราปรินิพพาน แล้วจะไม่มีใครเป็นครู
เป็นอาจารย์สอนเรา สาวกกลุ่มนี้ก็โง่ สาวกอีกกลุ่มหนึ่งยกมือสาธุ
พระพุทธเจ้าตายแล้วเราสบาย ไม่มีใครบังคับเรา กลุ่มที่สาม เมื่อพระ
พุทธองค์ปรินิพพานแล้วก็สบายใจ ปล่อยสลดสังเวชในสังขาร นี่ มี
กลุ่มหนึ่ง กลุ่มสอง กลุ่มสาม เราจะเอากลุ่มไหนล่ะ จะเอากลุ่มสาธุ
หรือจะเอากลุ่มไหน กลุ่มหนึ่ง เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วก็ร้อง
ไห้ นี่คือคนที่ไม่ถึงธรรมะ กลุ่มที่สองนั่นเกลียดไปทำอันนี้ก็ไม่ได้ ทำ
อันนั้นก็ไม่ได้ผิดทั้งนั้น กลัวท่านจะดุเอา กลัวท่านจะว่าเอา เมื่อท่าน
ปรินิพพานแล้วสบายใจทุกวันนี้เช่นกัน บางทีท่านอาจารย์อาจจะมี
ลูกศิษย์เกลียดเหมือนกันละนะเกลียดอยู่ในใจ อดไว้ คนมีกิเลสก็ต้อง
เป็นทุกคนแม้แต่พระพุทธองค์ยังมีสาวกรังเกียจ อาตมามีลูกศิษย์รัง
เกียจเหมือนกัน ไปบอกให้เขาทิ้งความชั่ว เขาเสียดายความชั่ว เขาก็
เกลียดเรา อย่างนี้ก็มีเยอะ ฉะนั้นปัญญาชนทั้งหลาย ให้พากันตั้งอยู่
ในธรรมะให้แน่นหนา เอาล่ะ
 
 

หมายเหตุจากผู้จัดทำ
          ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ ธรรมสภา ที่เอื้อเฟื้อให้ข้อมูลมาในรูป
แบบที่เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์
          ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการข้อความที่พิมพ์ผิด โดย
แยกเป็นสองกรณีคือ
          กรณีแรก ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าพิมพ์ผิดจริง เนื่องจากเรื่องนี้
ผมมีต้นฉบับอยู่สองฉบับ ดังนั้นได้ใช้ข้อมูลที่ได้รับจาก สำนักพิมพ์
ธรรมสภาเป็นต้นฉบับหลัก แล้วใช้ต้นฉบับที่เป็นหนังสือ หลวงพ่อชา
เล่มสอง ซึ่งพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ชมสมัย ในการตรวจทานจุดที่สงสัย
ว่าจะสะกดผิด ได้ตรวจพบว่ามีการพิมพ์ผิดเล็กน้อย ซึ่งกรณีนี้ผมทำ
การแก้ไขโดยไม่ได้ลงหมายเหตุกำกับไว้
          สำหรับกรณีที่สอง เป็นการแก้ไขข้อความที่คาดว่าต้นฉบับ
เดิมจะพิมพ์ผิด แต่เมื่อตรวจสอบต้นฉบับทั้งสองแล้วเห็นว่าตรงกัน
กรณีนี้ผมได้ทำการแก้ไข โดยใส่หมายเหตุกำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขด้วย
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
          จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ถ้ามันเป็นเรา บอกได้
สองชั่วโมงก็หายโกรธ แต่อันนี้ไม่ใช่เรา สองชั่วโมงมันก็ยังไม่หาย
บางทีหนึ่งชั่วโมงมันก็หายแล้ว” อ่านแล้วมันขัดๆ เหมือนกับว่าจะ
สลับกัน จึงแก้เป็น “ถ้ามันเป็นเรา บอกได้สองชั่วโมงก็ยังไม่หาย แต่
อันนี้ไม่ใช่เรา สองชั่วโมงมันก็หายโกรธ บางทีหนึ่งชั่วโมงมันก็หาย
แล้ว”
          จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “เพราะเมื่อไม่รู้จักรส” แก้
เป็น “เพราะมือไม่รู้จักรส”