น้ำไหลนิ่ง
เอ้าตั้งใจทุกคน
อย่าทำจิตให้มันเพ่งไปที่คนโน้นคนนี้
ทำ
ความรู้สึกคล้ายๆกับเรานั่งอยู่บนภูเขา
อยู่ในป่าแห่งหนึ่งคนเดียวเท่า
นั้นแหละ
ตัวเราที่นั่งอยู่เฉพาะปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง
มีแต่กายกับจิต
เท่านั้น
โดยตรงจะมีกายกับจิตสองอย่างเท่านั้น
กายคือสิ่งทั้งหมดที่
เรานั่งอยู่ในก้อนนี้
เป็นกาย จิตก็คือสิ่งที่นึกคิดรับรู้อารมณ์ในปัจจุบัน
นี้ เรียกว่าจิต
ท่านเรียกว่า
นาม รูป นามหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นรูป
ไม่มีรูป จะ
เป็นความนึกคิดอะไรก็ได้
หรือความรู้สึกทุกอย่าง
เรียกว่าเป็นนาม
เช่น
เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ
นี้ก็ไม่มีตัวตนเป็นนามธรรม
ตาเห็นรูปเรียกว่ารูป
เกิดความรู้สึกเป็นนาม
เรียกว่า รูปธรรม
นาม
ธรรม
หรือเรียกว่ากายกับจิต
ที่เรานั่งอยู่ปัจจุบันนี้มีกายกับจิต
ให้เราเข้าใจอย่างนี้
สิ่งทั้ง
หลายมันเกิดจากนี้
มันยุ่งหลายอย่าง
(หมายเหตุ 1) ฉะนั้นถ้าเรา
ต้องการความสงบ
ให้เรารู้รูปกับนาม
หรือกายกับจิตเท่านี้ก็พอ
แต่
จิตที่มีอยู่เดี๋ยวนี้เป็นจิตที่ยังไม่ได้ฝึก
จิตนี้ยังสกปรก
จิตนี้ยังไม่
สะอาด
ไม่ใช่จิตเดิม
จำเป็นจะต้องฝึกหัดจิตอันนี้
ดังนั้นท่านจึงให้
สงบเป็นบางครั้ง
บางคนเข้าใจว่าการนั่งนี้แหละเป็นสมาธิ
แต่ความเป็นจริง
การยืน
การเดิน การนั่ง
การนอน ก็เป็นการปฏิบัติทั้งนั้น
ทำสมาธิให้
เกิดได้ทุกขณะ
สมาธิหมายตรงเข้าไปว่า
ความตั้งใจมั่น
การทำสมาธิ
ไม่ใช่การไปกักขังตัวไว้
บางคนก็เข้าใจว่า
ฉันจะต้องหาความสงบ
จะไปนั่งไม่ให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย
จะไปนั่งเงียบๆ
อันนั้นก็คนตาย
ไม่ใช่คนเป็น
การทำสมาธิคือทำให้รู้
ทำให้เกิดปัญญา
ทำให้มี
ปัญญา
สมาธิคือความตั้งใจมั่น
มีอารมณ์อันเดียว
อารมณ์อันเดียว
คืออารมณ์อะไร
คืออารมณ์ที่ถูกต้อง
นั่นแหละเรียกว่าอารมณ์อัน
เดียว
ธรรมดาคนเราอยากจะไปนั่งให้มันเงียบเฉยๆ
โดยมากนัก
ศึกษา
นักเรียน เคยมากราบอาตมาว่า
ดิฉันนั่งสมาธิมันไม่อยู่
เดี๋ยว
มันก็วิ่งไปโน้น
เดี๋ยวมันก็วิ่งไปนี้
ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะให้มันอยู่
ให้
มันหยุด
ของนี้เป็นของหยุดอยู่ไม่ได้
ไม่ใช่ว่าไม่ให้มันวิ่ง
มันเกิด
ความรู้สึกขึ้นในที่นี้
บางคนก็มาฟ้อง
มันวิ่งไปฉันก็ดึงมันมา
ดึงมัน
มาอยู่ที่นี้
เดี๋ยวมันก็เดินไปที่นั้นอีก
ดึงมันมา มันก็เลยนั่งดึงอยู่อย่าง
นั้นแหละ
จิตอันนี้เข้าใจว่ามันวิ่ง
แต่ความเป็นจริง
มันวิ่งแต่ความรู้สึก
ของเรา
อย่างศาลาหลังหนึ่ง
แหม! มันใหญ่เหลือเกิน
มันก็ไม่ใหญ่
หรอก
ที่ว่ามันใหญ่
มันเป็นเพราะความรู้สึกของเราว่ามันใหญ่เท่านั้น
ศาลาหลังนี้มันไม่ใหญ่
แต่เรามาเห็น
แหม! ศาลานี้มันใหญ่เหลือ
เกิน
ไม่ใช่ศาลามันใหญ่อย่างนั้น
มันเป็นแต่ความรู้สึกของเราว่ามัน
ใหญ่ ความเป็นจริงศาลาแห่งนี้มันก็เท่านั้น
มันไม่ใหญ่ไม่เล็ก
มันเป็น
อย่างนี้
อย่างนั้นเราก็วิ่งไปตามความรู้สึกนึกคิดของเรา
การภาวนาให้มันสงบ
คำว่าสงบนั้น
เราจะต้องรู้เรื่องของมัน
ถ้าไม่รู้เรื่องของมัน
มันก็ไม่สงบ
ยกตัวอย่างเช่นว่า
วันนี้เราเดินทางมาจากไหนก็ไม่รู้
ปากกา
ที่เราซื้อมาตั้งห้าร้อยบาทหรือพันบาท
เรารักมัน พอเดินมาถึงที่นี้
บังเอิญเราเอาปากกาไปวางในที่หนึ่งเสีย
เช่นเอาใส่กระเป๋าหน้า
อีก
วาระหนึ่งเอาใส่ในกระเป๋าหลัง
ก็เลยมาคลำดูกระเป๋าหน้า
ไม่เห็นเสีย
เลย โอ๊ย!
ตกใจแล้ว ตกใจเพราะมันไม่รู้ตามความเป็นจริง
มันก็วุ่น
วายอยู่อย่างนั้น
จะยืน จะเดิน จะเหินไปมา
ก็ไม่สบาย นึกว่าปากกา
ของเราหาย
ก็เลยทุกข์ไปด้วยเพราะความรู้ผิด
คิดผิด รู้ผิดเช่นนี้
มันเป็นทุกข์
ทีนี้เราก็กังวล
กังวลไปกังวล
มา แหม
มันเสียดายปากกาเพิ่งเอามาใช้ไม่กี่วันมันก็หาย
มีความ
กังวลอยู่อย่างนี้
อีกขณะหนึ่งนึกขึ้นว่า
อ๋อ เราไปอาบน้ำตรงนั้น
จับ
มาใส่กระเป๋าหลังตรงนี้
แน่ะ พอนึกได้เช่นนี้
ยังไม่เห็นปากกาเลย
ดี
ใจเสียแล้วนั่น
เห็นไหม ดีใจเสียแล้ว
ไม่กังวลในปากกานั้น
มันแน่ใจ
แล้วเดินมาก็คลำดูในกระเป๋าหลังนี้
นี่อย่างนี้
มันโกหกเราทั้งนั้น
แหละ ปากกาไม่หาย
มันโกหกว่ามันหาย
เราก็ทุกข์เพราะความไม่รู้
จิตมันก็กังวลเป็นธรรมดาของมัน
เป็นอย่างนั้น
ทีนี้เมื่อเห็นปากกา
แล้ว
รู้แน่แล้ว
หายสงสัยแล้ว
มันก็สงบ ความสงบเช่นนี้เรียกว่าเห็น
ต้นตอมัน
เห็นตัวสมุทัย
อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
พอเรารู้จักว่าเราเอา
ไว้ในกระเป๋าหลังนี้แน่นอนแล้ว
มันเป็นนิโรธ
ดับทุกข์ มันเป็นเสีย
อย่างนี้
อย่างนั้นต้องพิจารณาหาความสงบ
ที่ว่าเราทำสงบหรือ
สมาธินี้
มันสงบจิต ไม่ใช่สงบกิเลสหรอก
เรานั่งทับมันไปให้มันสงบ
เฉยๆ
เหมือนกับหินทับหญ้า
หญ้ามันก็ดับไปเพราะหินมันทับ
อีก
สาม สี่
ห้าวันเรามายกหินออก
หญ้ามันก็เกิดขึ้นอีก
แปลว่าหญ้ามัน
ยังไม่ตาย
คือมันระงับเฉยๆ
เช่นเดียวกับนั่งสมาธิ
มันสงบจิตไม่ใช่
สงบกิเลส
นี่เรื่องสมาธิจึงเป็นของไม่แน่นอน
ฉะนั้นการที่สงบนี้เราจะ
ต้องพิจารณา
สมาธิก็สงบแบบหนึ่ง
แบบหินทับหญ้า
หลายวันไปยก
หินออกจากหญ้า
หญ้าก็เกิดขึ้นอีก
นี่สงบชั่วคราว
สงบด้วยปัญญาคือไม่ยกหินออก
ทิ้งมันไว้อย่างนั้น
ทับมันไว้
ไม่ยกหินออก
หญ้ามันเกิดไม่ได้
นี่เรียกว่าสงบแท้
สงบกิเลสแน่นอน
นี่เรียกว่า
ปัญญา
ตัวปัญญากับตัวสมาธินี้
เมื่อเราพูดแยกกันออก
ก็คล้ายๆ
คนละตัว
แต่ความเป็นจริงมันเป็นตัวเดียวกันนั่นเองแหละ
ตัวปัญญา
มันเป็นเครื่องเคลื่อนไหวของสมาธิเท่านั้น
มันออกจากจิตอันนี้เองแต่
มันแยกกันออกไป
มันเป็นคนละลักษณะ
เหมือนมะม่วงใบนี้
ลูก
มะม่วงใบหนึ่งใบเล็กๆ
เดี๋ยวมันก็โตขึ้นมาอีก
แล้วมันก็สุก
มะม่วงใบ
นี้ก็คือมะม่วงใบเดียวกัน
ไม่ใช่คนละใบ
มันเล็กก็ใบนี้
มันโตก็ใบนี้
มันสุกก็ใบนี้
แต่มันเปลี่ยนลักษณะ
เราปฏิบัติธรรม
อาการอย่างหนึ่ง
ท่านเรียกว่า
สมาธิ อาการอย่างหลังท่านเรียกว่า
ปัญญา แต่ความ
เป็นจริง
ศีล สมาธิ ปัญญา
คือของอันเดียวกัน
ไม่ใช่คนละอย่าง
เหมือนมะม่วงใบเดียวกัน
ผลมันเล็กก็ใบนั้น
มันสุกก็ใบนั้น
ใบเดียว
นั่นแหละ
แต่ว่ามันเปลี่ยนอาการเท่านั้น
ความจริงการปฏิบัตินี้
อะไรก็ช่างมัน
ให้เริ่มออกจากจิต
ให้
เริ่มจากจิต
รู้จักจิตของเราไหม
จิตเรามันเป็นอย่างไร
มันอยู่ที่ไหน
มันเป็นอะไร
ก็คงงงหมด ทุกคน
จิตมันเป็นอย่างไร
จิตอยู่ตรงไหนก็
ไม่รู้
ไม่รู้จัก รู้จักแต่ว่าเราอยากจะไปโน่นอยากจะไปนี่
มันเป็นสุขหรือ
มันเป็นทุกข์
แต่ตัวจิตจริงๆนี้ไม่รู้จัก
(หมายเหตุ 2) จิตนี้มันคืออะไร
จิตนี้ก็ไม่คืออะไร
มันจะคืออะไรล่ะ
จิตนี้เราสมมุติขึ้นมาว่า
สิ่งที่มัน
รับอารมณ์ดีอารมณ์ชั่วทั้งหลายเป็นจิต
เหมือนกับเจ้าของบ้าน
ใครรับแขกเป็นเจ้าของบ้าน
แขกจะ
มารับเจ้าของบ้านไม่ได้หรอก
เจ้าของบ้านต้องอยู่บ้าน
แขกมาหา เจ้า
ของบ้านต้องรับ
ใครรับอารมณ์
ใครเป็นผู้รับอารมณ์
ใครปล่อย
อารมณ์
ใครเป็นผู้ปล่อยอารมณ์
ตรงนั้นแหละท่านหมายถึงว่า
จิต ใจ
แต่เราไม่รู้เรื่อง
ก็มาคิดวนไปเวียนมา
อะไรเป็นจิต
อะไรเป็นใจ เลย
วุ่นกันจนเกินไป
เราอย่าเข้าไปเข้าใจมากถึงขนาดนั้นซิ
อะไรมันรับ
อารมณ์
อารมณ์บางอย่างมันชอบ
อารมณ์บางอย่างมันไม่ชอบ
นี้คือ
ใคร ที่ชอบไม่ชอบนี่
มีไหม มี แต่มันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
เข้าใจไหม? มัน
เป็นอย่างนี้แหละ
ตัวนี้แหละที่เรียกว่าจิต
อย่าไปดูมันไกลเลย
การปฏิบัติธรรมนี้จะเรียกว่าสมาธิ
หรือวิปัสสนาก็ช่าง
เรา
เรียกว่าปฏิบัติธรรมเท่านี้ก็พอ
และก็ดำเนินจากจิตของเราขึ้นมา
จิต
คืออะไร
คือผู้ที่รับอารมณ์นั่นแหละ
มันถูกอารมณ์นี้ก็ดีใจบ้าง
อารมณ์นั้นเสียใจบ้าง
ตัวที่รับอารมณ์นั่นแหละ
มันพาเราสุข
พาเรา
ทุกข์
มันพาเราผิด
มันพาเราถูก
ตัวนั้นแหละ
แต่ว่ามันไม่มีตัว
สมมุติ
ว่าถ้าเป็นตัวเฉยๆ
แต่ว่าเป็นนามธรรม
ดีมีตัวไหม
ชั่วมีตัวไหม
สุขมี
ตัวไหม
ทุกข์มีตัวไหม
ไม่เห็นมันมี
มันกลมหรือมันเป็นสี่เหลี่ยม
มัน
สั้นหรือมันยาวขนาดไหน
รู้ไหม มันเป็นนามธรรม
มันเปรียบไม่ได้
หรอก
แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่
ฉะนั้นท่านจึงให้เริ่มจากการทำจิตของเราให้สงบ
ทำให้มันรู้
จิตนี้ถ้ามันรู้อยู่
มันก็สงบนะ บางคนรู้ก็ไม่เอา
ให้มันสงบจนไม่มีอะไร
เลย ไม่รู้เรื่อง
ถ้ามันขาดผู้รู้ตัวนี้
เราจะอาศัยอะไร
ไม่มีสั้นมันก็ไม่มียาว
ไม่มีผิดก็ไม่มีถูก
แต่เราทุกวันนี้เรียนกัน
ไป ศึกษากันไป
หาความผิด หาความถูก
หาความดี หาความชั่ว
ไอ้
ความไม่ผิด
ไม่ถูก นั้นไม่รู้
จะหาแต่รู้ว่ามันผิดหรือถูก
ฉันจะเอาแต่
ถูก ผิดไม่เอา
จะเอาไปทำไม?
เอาถูกประเดี๋ยวมันก็ผิดอีกนั่นแหละ
มันถูกเพื่อผิด
เราก็แสวงหา
ความผิดความถูก
ความไม่ผิดไม่ถูก
ไม่
หา หรือแสวงเอาบุญก็แสวงไป
รู้แต่บุญแต่บาปเรียนกันไป
ตรงที่ว่า
ไม่มีบาปไม่มีบุญนั้นไม่เรียนกัน
ไม่รู้จัก เอาแต่เรื่องมันสั้นมันยาว
เรื่องไม่สั้นไม่ยาวนั้นไม่ศึกษากัน
เรียนแต่เรื่องดีชั่ว
ฉันจะปฏิบัติเอา
ดี ชั่วฉันจะไม่เอา
ไม่มีชั่ว มันก็ไม่มีดีเท่านั้นแหละ
จะเอาไง?
มีดเล่มนี้
มันมีทั้งคม
มันมีทั้งสัน
(หมายเหตุ 3) มีทั้งด้าม
มัน
มีทุกอย่าง
เราจะยกมีดเล่มนี้ขึ้นมา
จะเอาแค่คมมันขึ้นมาได้ไหม
จะ
จับมีดเล่มนี้ขึ้นมาแต่สันมันได้ไหม
เอาแต่ด้ามมันได้ไหม
ด้ามมันก็
ด้ามมีด
สันมันก็สันมีด
คมก็คมของมีด
เมื่อเราจับมีดเล่มนี้ขึ้นมา
ก็
เอาด้ามมันขึ้นมา
เอาสันมันขึ้นมา
เอาคมมันขึ้นมาด้วย
ไม่ใช่เอาแต่
คมมันขึ้นมา
นี่เป็นตัวอย่าง
อย่างนี้เราจะไปแยกเอาแต่สิ่งที่มันดี
ชั่วก็ต้องติดไปด้วย
เพราะเราหาสิ่งที่มันดี
สิ่งที่ชั่วเราจะทิ้งมัน
ไอ้สิ่งที่ไม่ดีไม่ชั่ว
เราไม่ได้
ศึกษา
มันอยู่ตรงนั้น
ไม่งั้นมันก็ไม่จบซี
เอาดีชั่วก็ติดไปด้วย
มันตาม
กันอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราเอาสุขทุกข์ก็ตามเราไป
มันติดต่อกันอยู่
ฉะนั้น
พวกเราจึงศึกษาธรรมะกันว่า
เอาแต่ดีชั่วไม่เอา
อันนี้เป็นธรรมะของ
เด็ก
ธรรมะของเด็กมันเล่น
ก็ได้อยู่แค่นี้
ก็ได้แต่ว่าเอาดีไป
ชั่วมันก็
ตามไป
โน่น ถึงปลายทางมันก็รกไม่ค่อยจะดี
ดูกันง่ายๆ
โยมมีลูกนะ
จะให้เอาแต่รัก
เกลียดไม่เอา
นี่เรื่องของคนไม่รู้ทั้งสองอย่างนี้
เอารัก
เกลียดมันก็วิ่งตามมา
ฉะนั้นเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมะให้มีปัญญา
เราไปเรียนดี
เรียนชั่ว
เรียนดีมันเป็นอย่างไร
ชั่วก็เรียนให้มันละเอียดมากที่สุด
จนรู้
จักดี
รู้จักชั่ว
เมื่อรู้จักดี
รู้จักชั่ว
จะเอาอย่างไร
เอาดี ชั่วก็วิ่งตาม
เรื่อง
สิ่งที่ว่าไม่ดี
ไม่ชั่วนั้น
ไม่ได้เรียนกัน
นี่เรื่องที่จะต้องฉุดกันมาเรียน
ฉันจะเป็นอย่างนั้น
ฉันจะเป็นอย่างนี้
แต่ ฉันจะไม่เป็นอะไร
เพราะตัวฉันก็ไม่มี
อย่างนี้ไม่เรียนกัน
มันจะไปเอาดี
พอได้ดี ได้ดีจน
ไม่รู้เรื่อง
จะเมาดีซ้ำเสียอีก
ดีเกินไป ก็ไม่ดีอีกแหละ
ชั่วอีก ก็กลับไป
กลับมาอยู่อย่างนั้น
เรื่องการพักจิตให้มันสงบ
เพื่อรู้จักผู้ที่รับอารมณ์ในตัวตน
ว่า
มันคืออะไร
อย่างนั้นท่านจึงให้ตามกำหนดจิต
ตามผู้รู้
ให้ฝึกจิตนี้ให้
เป็นผู้บริสุทธิ์
บริสุทธิ์แค่ไหน
บริสุทธิ์จริงๆต้องเหนือดีเหนือชั่วขึ้นไป
อีก บริสุทธิ์เหนือบริสุทธิ์ไปอีก
หมด มันถึงจะหมดไป
ฉะนั้น ที่เราปฏิบัตินั่งสมาธินั้น
สงบเพียงชั่วคราว
เมื่อมัน
สงบแล้ว
มันก็มีเรื่อง
ถ้ามีเรื่องก็มีผู้รู้เรื่อง
รู้พิสูจน์
ไต่ถาม ติดต่อ
วิ
พากวิจารณ์
เมื่อไปสงบเฉยๆ
ไม่มีอะไรหรอก
บางทีคนที่ยังขังตัวมาก
เห็นว่าความสงบนั้นก็คือการปฏิบัติที่แน่นอน
แต่สงบจริงๆไม่ใช่สงบ
ทางจิต
ไม่ใช่สงบอย่างนั้น
ฉันจะเอาสุข
ทุกข์ฉันไม่เอา
อย่างนี้สงบ
แล้ว
พอตามไป ตามไป
เอาสุขอย่างเดียวก็ไม่สบายอีกแล้ว
มันติด
ตามกันมา
ทำให้ไม่มีสุข
ไม่มีทุกข์ในใจของเรานั่นแหละ
สงบ ตรงนี้
วิชานี้
เราไม่ค่อยจะเรียนกัน
ไม่ค่อยรู้เรื่อง
การฝึกจิตของเราให้ถูกทางให้แจ่มใสขึ้นมา
ให้มันเกิด
ปัญญา
อย่าไปเข้าใจว่า
นั่งให้มันเงียบเฉยๆ
นั่นหินทับหญ้า
บางคน
ก็เมา
เข้าใจว่าสมาธิคือการนั่ง
มันเป็นชื่อเฉยๆ
ถ้ามันเป็นสมาธิ
เดิน
ก็เป็นสมาธิ
นั่งก็เป็นสมาธิ
สมาธิกับการเดิน
สมาธิกับการนั่ง
กับยืน
กับนอน
มันเป็นการปฏิบัติ
บางคนก็บ่นว่า
ฉันนั่งไม่ได้หรอกรำคาญ
นั่งแล้วมันคิดถึง
โน่นคิดถึงนี่
คิดถึงบ้านถึงช่อง
ฉันทำไม่ได้หรอกบาปมาก
ให้มันหมด
กรรมเสียก่อนจึงจะมานั่งใหม่
เออ ไป ไปให้มันหมดกรรมลองดู
คิด
ไปอย่างนั้น
ทำไมคิดอย่างนั้น
นี่แหละเรากำลังศึกษาอยู่
เรานั่งปุ๊บ
ประเดี๋ยว
เอ้า ไปโน่นแล้ว
ตามไปอีก กำหนดอีก
เอ้า ไปโน่นอีกแล้ว
นี่แหละตัวศึกษา
ไอ้พวกเรามันเกโรงเรียน
ไม่อยากเรียน
ธรรมชาติ
เหมือนนักเรียนมันเกโรงเรียน
ไม่อยากจะไปเรียนหนังสือ
ไม่อยากเห็นมันสุข
ไม่อยากเห็นมันทุกข์
ไม่อยากเห็นมันเปลี่ยน
แปลง
มันจะรู้อะไรไหม
มันต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้
เมื่อ
เรารู้จักมัน
อ้อ จิตใจมันเป็นอย่างนี้นะ
เดี๋ยวมันก็นึกถึงโน่น
เดี๋ยวมัน
ก็นึกถึงนี่
เป็นเรื่องธรรมดาของมัน
ให้เรารู้มันเสีย
การนึกอย่างนั้น
เราก็รู้ว่านึกดี
นึกชั่ว นึกผิด
นึกถูก ก็รู้มันซิว่า
จิตมันเป็นอย่างไร
ถ้า
เรารู้เรื่องของมันแล้ว
ถึงเรานั่งอยู่เฉยๆคิดถึงโน่นถึงนี่
มันก็ยังเป็น
สมาธิอยู่
ถ้าเรารู้มันไม่รำคาญหรอก
ยกตัวอย่างเช่น
สมมุติว่าที่บ้านโยมมีลิงตัวหนึ่ง
โยมเลี้ยงลิง
ตัวหนึ่ง
ลิงมันไม่อยู่นิ่งหรอก
เดี๋ยวมันจับโน่น
เดี๋ยวมันจับนี่
สารพัด
อย่าง
ลิงมันเป็นอย่างนั้น
ถ้าโยมมาถึงวัดอาตมา
วัดอาตมาก็มีลิงตัว
หนึ่งเหมือนกัน
ลิงอาตมาก็อยู่ไม่นิ่งเหมือนกัน
เดี๋ยวจับโน่นจับนี่
โยม
ไม่รำคาญใช่ไหม
ทำไมไม่รำคาญล่ะ
เพราะโยมเคยมีลิงมาแล้ว
เคยรู้
จักลิงมาแล้ว
อยู่บ้านฉันก็เหมือนกันกับเจ้าตัวนี้
อยู่วัดหลวงพ่อ
ลิง
หลวงพ่อก็เหมือนลิงของฉันนั่นแหละ
มันลิงอย่างเดียวกัน
โยมรู้จัก
ลิงตัวเดียวเท่านั้น
โยมจะไปกี่จังหวัด
จะเห็นลิงกี่ตัวโยมก็ไม่รำคาญ
ใช่ไหม?
นี่คือคนรู้จักลิง
ถ้ารู้จักลิงก็ไม่เป็นลิงซิเรา
ฮือ ถ้าเราไม่รู้จัก
ลิง เห็นลิงเราก็เป็นลิงใช่ไหม?
เห็นมันไปคว้าโน่นจับนี่
ก็ ฮือ ไม่พอใจ
รำคาญไอ้ลิงตัวนี้
นี่คือคนไม่รู้จักลิง
คนรู้จักลิง
เห็นอยู่บ้านก็ตัวเดียว
กัน อยู่วัดถ้ำเพชรก็เหมือนกันอย่างนี้
มันจะรำคาญอะไร
เพราะเห็น
ว่าลิงมันเป็นอย่างนั้น
นี่ก็พอสงบแล้ว
ถ้ามันดิ้น
มันก็ดิ้นแต่ลิง
เราไม่
เป็นลิง
สงบแล้ว ถ้าลิงมันโดดหน้าโดดหลัง
โยมก็สบายใจไม่รำคาญ
กับลิง
เพราะอะไร เพราะโยมรู้จักลิง
โยมจึงไม่เป็นลิง
ถ้าโยมไม่รู้จัก
ลิง โยมก็รำคาญ
โยมรำคาญ โยมก็เป็นลิง
เข้าใจไหม นี่เรื่องมันสงบ
อย่างนี้
อารมณ์ เรารู้อารมณ์ซี
เห็นอารมณ์
บางทีมันชอบบางทีมัน
ไม่ชอบอย่างนี้
ก็ช่างมันประไร
มันเป็นเรื่องของมัน
มันก็เป็นอย่างนี้
แหละ ก็เหมือนลิงน่ะแหละ
ตัวไหนๆก็ลิงอันเดียวกัน
เรารู้อารมณ์
บางทีชอบบางทีไม่ชอบ
เรื่องอารมณ์เป็นอย่างนี้
ให้เรารู้จักอารมณ์
รู้
จักอารมณ์แล้วเราปล่อยเสีย
อารมณ์มันไม่แน่นอนหรอก
มันเป็น
อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
ทั้งนั้นแหละ
เราดูมันไปก็อย่างนั้นแหละ
ตา หู
จมูก
ลิ้น กาย ใจ ได้รับอารมณ์เข้ามาปั๊บ
ฮึ! ก็เหมือนกับเรามาเห็น
ลิง ลิงตัวนี้กับลิงตัวที่อยู่บ้านเราก็เหมือนกัน
อย่างนี้ มันก็สงบเท่านั้น
แหละ
เกิดอารมณ์ขึ้นมา
เรารู้จักอารมณ์ซิ
เราวิ่งตามอารมณ์ทำไม
อารมณ์มันเป็นของไม่แน่นอน
เดี๋ยวมันเป็นอย่างนั้น
เดี๋ยวมันเป็น
อย่างนี้
บางทีก็อยู่อย่างเก่า
มันอยู่ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้โยม
ทุกวันนี้โยมก็อยู่ด้วยการเปลี่ยนแปลง
บางทีลมมันออก
แล้วลมมัน
เข้า
มันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้
ลองโยมสูดลมเข้าอย่างเดียวซิ
ไม่ให้มัน
ออกเสีย
ลองดูเอ้า อยู่ได้ไม่กี่นาที
หรือให้มันออกอย่างเดียว
อย่าให้
มันเข้าอีก
ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ได้ไหม
นี่มันอยู่ไม่ได้
จำเป็นต้อง
หายใจเข้าหายใจออก
อย่างนี้ถึงจะเดินมาถึงวัดถ้ำแสงเพชรนี้ได้
ถ้า
อั้นลงจากโน่นก็ตายแล้ว
ป่านนี้ไม่ได้ถึงหรอก
นี่แหละให้เข้าใจอย่าง
นี้
อารมณ์ก็เหมือนกัน
มันต้องมี ถ้าไม่มีอารมณ์
ไม่มีปัญญา
ถ้าไม่มีผิด
ก็ไม่มีถูก
ถูกก่อนมันถึงมองเห็นความผิด
หรือผิดก่อนมันรู้
จักถูก
เป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเป็นนักศึกษา
นักเรียนน่ะ
ให้อารมณ์มัน
มากยิ่งดี
อันนี้เราเห็นอารมณ์ไม่ชอบใจ
ไม่อยากจะทำ
ไม่อยากจะดู
มัน นี่เรียกว่าเด็กมันเกโรงเรียน
มันไม่อยากรับรู้ครูสอน
นี่อารมณ์มัน
สอนเรา
ไม่ใช่อื่นหรอก
เมื่อเรารู้อารมณ์อย่างนี้
คือเราปฏิบัติธรรมะ
สงบ อารมณ์มัน
ก็เป็นอย่างนั้น
มันเป็นเรื่องของมันอย่างนั้น
เหมือนโยมเห็นลิง
ลิงอยู่
บ้านโยมๆไม่รำคาญ
มาเห็นลิงที่นี้ก็ไม่รำคาญเหมือนกัน
เพราะโยมรู้
เรื่องของลิงแล้วใช่ไหม
สบาย นั่นปฏิบัติธรรมะก็เหมือนกัน
ธรรมะ
เป็นอย่างนี้
ธรรมะไม่ใช่ว่าอยู่อื่นไกลนะ
มันอยู่ติดๆกับเรานี่แหละ
ไม่
ใช่เรื่องเทพบุตร
เทพธิดาหรอก
เรื่องของเรานี้เอง
เรื่องของเราทำอยู่
เดี๋ยวนี้แหละ
เรื่องธรรมะคือเรื่องของเราพิจารณาตัวเรานี้
บางทีมีความสุข
บางทีมันมีความทุกข์
บางทีสบาย บางที
รำคาญ
บางทีรักคนโน้น
บางทีเกลียดคนนี้
นี้คือธรรมะ
เห็นไหม ให้รู้
จักธรรมะต้องอ่านอารมณ์
ให้รู้จักอารมณ์นี้ถึงจะปล่อยอารมณ์ได้
เห็นว่าอารมณ์มันไม่แน่นอนแล้ว
อย่างนี้เราก็สบาย
มันเกิดลุกวูบขึ้น
มา ว่า
ฮือ อันนี้ไม่แน่หรอก
แต่ไปอีกอารมณ์เปลี่ยนขึ้นมา
ว่า ฮือ
อันนี้ก็ไม่แน่
สบาย เหมือนโยมเห็นลิง
โยมก็สบายไม่ได้สงสัย
ถ้ารู้
จักอารมณ์แล้ว
นั่นแหละ คือรู้จักธรรมะ
ปล่อยอารมณ์
เห็นอารมณ์
ว่ามันไม่แน่นอนสักอย่าง
โยมเคยดีใจไหม
เคยเสียใจไหม
เคย! ตอบแทนก็ได้
แน่นอน
ไหม ไม่แน่
มันไม่แน่อย่างนี้
อันที่ว่าไม่แน่นอนนี่แหละ
คือพระพุทธ
เจ้า
พระพุทธเจ้าก็คือธรรมะ
ธรรมะคือสิ่งที่ว่ามันไม่แน่
ใครเห็นสิ่งที่
ว่ามันไม่แน่
คนนั้นเห็นแน่นอนว่ามันเป็นอย่างนั้น
ไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นอย่างอื่น
มันเป็นของมันอย่างนั้น
ธรรมะเป็นอย่างนั้น
พระพุทธ
เจ้าท่านก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าเห็นธรรมะก็เห็นพระพุทธเจ้า
เห็นพระพุทธ
เจ้าก็เห็นธรรมะ
ถ้าโยมรู้จักอนิจจัง
มันไม่แน่นอน
โยมก็จะปล่อยวางเอง
ไม่
ไปยึดมั่นถือมั่น
โยมว่า อย่ามาทำแก้วฉันแตกนะ
ของมันแตกได้
โยมจะห้ามมันได้ไหม
ไม่แตกเวลานี้ต่อไปมันจะแตก
เราไม่ทำแตก
คนอื่นจะทำแตก
คนอื่นไม่ทำแตก
ไก่มันจะทำแตก
พระพุทธเจ้าท่าน
ให้ยอมรับ
ท่านมองทะลุเข้าไปว่า
แก้วใบนี้แตกแล้ว
แก้วที่ไม่แตกนี้
ท่านให้รู้ว่ามันแตกแล้ว
จับทุกที ใส่น้ำ
ดื่มน้ำเข้าไป
แล้ววางไว้
ท่าน
ก็ให้เห็นว่าแก้วมันแตกแล้ว
เข้าใจไหม นี่คือความเข้าใจของท่านเป็น
อย่างนั้น
เห็นแก้วที่แตกอยู่ในแก้วใบไม่แตก
เพราะเมื่อมันหมดสภาพ
แล้ว
ไม่ดีเมื่อไหร่มันก็จะแตกเมื่อนั้น
ทำความรู้สึกอย่างนี้
แล้วก็ใช้
แก้วใบนี้ไป
รักษาไป อีกวันหนึ่งมันหลุดมือแตก
ผัวะ! สบายเลย
ทำไมสบาย
เพราะเห็นว่ามันแตกก่อนแตกแล้ว
เห็นไหม
แต่ถ้าเป็นโยม
แหม ฉันถนอมมันเหลือเกิน
อย่าทำให้มัน
แตกนะ
อีกวันหนึ่งสุนัขมาทำแก้วแตก
แน่ะ อือ เอาสุนัขตัวนี้ไปฆ่า
ทิ้งเสีย
เพราะสุนัขทำแก้วแตก
เกลียดสุนัข
ถ้าลูกทำแตกก็เกลียดลูก
เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้แก้วแตก
เพราะเราไปกั้นฝายไว้ไม่ให้น้ำ
ไหลออกไป
กั้นไว้อย่างเดียวไม่มีทางระบายน้ำ
ฝายมันก็แตกเท่านั้น
แหละ ใช่ไหม
ต้องทำฝายแล้วทำระบายน้ำด้วย
พอน้ำได้ระดับแค่นี้
ก็ระบายน้ำข้างๆนี้
เมื่อมันเต็มที่ก็ให้มันออกมาข้างนี้ใช่ไหม
ต้องมี
ทางระบาย
อันนี้ท่านเห็นอนิจจังมันไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น
นั่นแหละ
เป็นทางระบายของท่าน
อย่างนี้โยมจะสงบ
นี่คือปฏิบัติธรรมะ
ฉะนั้นอาตมาถือว่า
การยืน เดิน
นั่ง นอน อาตมาปฏิบัติไป
เรื่อยๆ
มีสติคุ้มครองอยู่เสมอเลย
นี่คือสมาธิ
สมาธิคือปัญญา
พูด
แล้วมันอันเดียวกัน
มันเหมือนกัน
แต่มันไปแยกกันโดยลักษณะเท่า
นั้น
มันก็อันเดียวกัน
ถ้าเราเห็นอนิจจัง
แปลว่ามันไม่แน่
เราเห็นชัด
เข้าไปว่ามันไม่แน่
นั่นละคือว่าเราเห็นว่ามันแน่
แน่อะไร แน่ว่ามันเป็น
ไปอย่างนั้น
ไม่แปรเป็นอย่างอื่น
เข้าใจไหม เท่านี้แหละ
รู้จักพระพุทธ
เจ้าแล้ว
ได้กราบพระพุทธเจ้าแล้ว
ได้กราบธรรมะของท่านแล้ว
เอา
หลักนี้ไปพิจารณา
ถ้าโยมไม่ทิ้งพระพุทธเจ้า
โยมไม่ทุกข์หรอก
ถ้าทิ้ง
พระพุทธเจ้าเมื่อไหร่
ทุกข์เลย
ทิ้งอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
เมื่อไหร่ทุกข์เมื่อนั้น
ให้เข้าใจอย่าง
นี้ อาตมาว่าการปฏิบัติแค่นี้ก็พอ
ทุกข์ไม่เกิดขึ้น
ทุกข์เกิดมันก็ดับได้
ง่ายๆ
แล้วก็เป็นเหตุเดียวกับทุกข์ไม่เกิดต่อไป
มันจบตรงนั้นแหละ
ทุกข์ไม่เกิด
ทุกข์ไม่เกิดเพราะอะไร
เพราะไประวังเหตุ
คือตัวสมุทัย
เช่นแก้วมันจะแตกอยู่นี่
เมื่อมันแตกทุกข์ขึ้นมาเลยใช่ไหม
เรารู้ว่าอัน
นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
นี่แหละตัวสมุทัย
เมื่อมันแตกปุ๊บ
ก็เป็นทุกข์
ก็
ทำลายต้นเหตุทุกข์เสีย
ทุกข์มันเกิดเพราะเหตุ
(หมายเหตุ 4) ดับมันก็
ดับเพราะเหตุอันนี้
ถ้ามันจะทุกข์ก็เพราะแก้วใบนี้มันแตก
แล้วเรา
โมโหขึ้นมาก็เป็นทุกข์
ถ้าเรารู้ก่อนว่าแก้วใบนี้มันแตกแล้วทั้งที่มันยัง
ไม่แตก
สมุทัยมันก็ดับ
ไม่มี ถ้าไม่มีทุกข์มันก็เป็นนิโรธ
ดับทุกข์
เพราะดับเหตุแห่งทุกข์นั้น
เรื่องเท่านี้แหละโยม
ไม่มากหรอก
เรื่องเท่า
นี้อย่าออกจากนี้ไป
พยายามอยู่ตรงนี้
พิจารณาอยู่ตรงนี้
เริ่มจากจิตใจของเรานี้
พูดง่ายๆ ทุกๆคนให้มีศีลห้าเป็นพื้น
นี่ไม่ต้องไปเรียนพระไตรปิฎกหรอกโยม
ดูศีลห้า พยายามสม่ำเสมอ
ระวังไว้ทีแรกมันพลาดไป
หยุด กลับมา
รักษาไปอีก
บางทีมันหลง
พลาดไปอีก
รู้แล้วกลับมา
อย่างนี้ทุกครั้งทุกคราว
สติมันถี่เข้าเหมือน
น้ำในกาน้ำ
เราปล่อยน้ำให้มันไหลลงเป็นหยด
ต๋อม ต๋อม ต๋อม
นี่
สายน้ำมันขาด
เราเร่งกาน้ำให้มากน้ำก็ไหล
ต๋อมต๋อมต๋อมต๋อม
ถี่ขึ้น
เร่งเข้าไปอีก
หายต๋อมเลย
ทีนี้ไหลเป็นสายติดกันเลย
(หมายเหตุ 5)
เป็นสายน้ำ
หยดแห่งน้ำไม่มี
ไปไหนล่ะ มันไม่ไปไหนหรอก
มันกลาย
เป็นสายน้ำ
มันถี่จนเกินถี่
มันเลยติดกันเสียจนเป็นสายน้ำอย่างนี้
ธรรมะก็เรื่องเดียวกันอย่างนี้
เรื่องอุปมาให้ฟัง
เพราะว่ามันไม่มีอะไร
ธรรมะมันไม่เป็นกลม
ไม่เป็นเหลี่ยม
มันไม่รู้จัก
นอกจากจะเปรียบเทียบอย่างนี้
ถ้าเข้าใจ
อันนี้ก็เข้าใจธรรมะ
มันเป็นเสียอย่างนี้
อย่าเข้าใจว่าธรรมะมันอยู่ห่าง
จากเรา
มันอยู่กับเรา
เป็นเรื่องของเรานี่แหละ
ลองดูซิ เดี๋ยวก็ดีใจ
เดี๋ยวก็เสียใจ
เดี๋ยวก็พอใจบ้าง
เดี๋ยวก็โกรธคนนั้น
เดี๋ยวก็เกลียดคนนี้
ธรรมะทั้งนั้นแหละโยม
ให้ดูเจ้าของนี้ว่า
อะไรมันพยายามจะให้ทุกข์เกิด
นั่นแหละ
ทำแล้วมันทุกข์
นั่นแหละแก้ไขใหม่
แก้ไขใหม่ มันยังไม่เห็นชัด
ถ้ามัน
เห็นชัดแล้ว
มันไม่มีทุกข์
เหตุมันดับอยู่แล้ว
ฆ่าตัวสมุทัยแล้ว
เหตุ
แห่งทุกข์ก็ไม่มี
ถ้าทุกข์ยังเกิดอยู่
ถ้ายังไม่รู้
มันยังทนทุกข์อยู่
อันนั้นไม่ถูก
หรอก
ดูเอาง่ายๆ
มันจะติดตรงไหน
เมื่อไหร่มันทุกข์เกินไป
นั่นแหละ
มันผิดแล้ว
เมื่อไหร่มันสุขจนเหิมใจเกินไป
นั่นแหละมันผิดแล้ว
มันจะ
มาจากไหนก็ช่างมันเถอะ
รวมมันเลยทีเดียวนั่นแหละค้นหา
ถ้าเป็น
เช่นนี้
โยมจะมีสติอยู่
การยืน การเดิน
การนั่ง การนอน
ไปมาสารพัด
อย่างถ้าโยมมีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ
ถ้าโยมรู้อยู่
โยมจะรู้ผิด
รู้ถูก
โยมจะรู้จักดีใจ
เสียใจ ทุกอย่าง
เมื่อโยมรู้จัก
ก็จะรู้วิธีแก้ไข
แก้ไขมัน
โดยที่ว่ามันไม่มีทุกข์
ไม่ให้มันมีทุกข์
นี่การเรียนสมาธิ
อาตมาให้เรียนแบบนี้
ถึงเวลานั่งก็นั่งไปพอ
สมควร
(หมายเหตุ 6) ไม่ผิดเหมือนกัน
ให้รู้เรื่อง
แต่การทำสมาธิไม่ใช่
นั่งอย่างเดียว
ต้องปล่อยมันประสบอะไรต่างๆ
แล้วถ่ายทอดขึ้นมา
พิจารณา
พิจารณาให้มันรู้อะไรล่ะ
พิจารณา เออ
อันนั้นมันอนิจจัง
ทุกขัง
อนัตตา ไม่แน่
เป็นของไม่แน่ทั้งนั้นแหละโยม
อันนี้มันสวย
ฉันชอบเหลือเกิน
เออไม่แน่ อันนี้ฉันไม่ชอบมันเลย
บอกมัน มันก็
ไม่แน่เหมือนกัน
ใช่ไหม ถูกเปี๊ยะเลยไม่มีผิดหรอก
แต่เอากะมันซิ
ฉันจะเอาอย่างนั้น
มันแน่เหลือเกิน
ไปเสียแล้ว
อย่า มันจะชอบ
ขนาดไหนก็ช่างมันเถอะ
เราต้องคิดว่า
มันไม่แน่ อาหารบางสิ่งบาง
อย่างทานไป
แหม อร่อยเหลือเกินฉันชอบมันเหลือเกิน
อย่างนี้ มัน
มีความรู้สึกในใจอย่างนี้
เราต้องพิจารณาว่า
อันนี้มันไม่แน่
อยากรู้
จักว่ามันไม่แน่ไหม
โยมชอบอาหารอะไรแน่เหลือเกิน
เอ้าให้มันกินทุก
วันๆๆนะ
เดี๋ยวโยมจะบ่นว่า
อันนี้มันไม่อร่อยเสียแล้ว
ลองดูซิต่อไป
อีก ฉันชอบอันนั้นอีก
ไม่แน่อีก นี่มันต้องการถ่ายทอดโยม
เหมือน
ลมหายใจเข้าออก
มันต้องหายใจเข้าหายใจออก
มันอยู่ด้วยการ
เปลี่ยนแปลง
ทุกอย่างอยู่ด้วยเปลี่ยนแปลงอย่างนี้
นี่อยู่กับเราไม่ใช่
อื่น
ถ้าเราไม่สงสัยแล้ว
นั่งก็สบาย
ยืนก็สบาย ไม่ใช่ว่าสมาธิเป็น
แต่การนั่ง
บางคนก็นั่งจนง่วงเหงาหาวนอนอยู่
อย่างนั้นแหละจะตาย
เอง ไม่รู้จะไปทิศใต้
ทิศเหนือแล้ว
อย่าไปทำถึงขนาดนั้นซิ
มันง่วงพอ
สมควรแล้วก็เดิน
เปลี่ยนอิริยาบถมันซิ
ให้มันมีปัญญา
ถ้าง่วงเต็มทีก็
ให้มันนอนเสีย
แล้วรีบลุกทำเพียร
อย่างนี้ อย่าปล่อยให้มันเมาซิ
เรา
เป็นนักปฏิบัติก็ต้องทำอย่างนั้น
ให้มันมีเหตุผล
ปัญญา ความรู้รอบ
รู้
ไม่รอบไม่ได้
รู้ข้างเดียวไม่ได้
ต้องรู้อย่างนี้เป็นวงกลมอย่างนี้
(บทแทรก) ให้เรารู้ออกจากใจกับกายของเรานี้
ให้เห็นเป็น
อนิจจังว่ามันไม่แน่ทั้งกายและจิต
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกัน
ว่ามัน
ไม่แน่
เก็บไว้ในใจ
แหม ทานอาหารชิ้นนี้มันอร่อยเหลือเกินนะ
บอกว่า
มันไม่แน่ ชกมันก่อน
มันชอบใจอันนี้
เราบอกว่าไม่แน่
ต้อง
ชกมันก่อน
แต่ว่าเขาชกเราทุกที
ถ้าไม่ชอบ ก็ไม่ชอบ
เป็นทุกข์ เขาก็
ชกเรา
ถ้าชอบฉัน ฉันก็ชอบเขา
เขาชกเราอีก
เราไม่ได้ชกเขาเลย
ต้องเข้าใจอย่างนี้
เมื่อใดเราชอบอะไรก็บอกในใจว่า
อันนี้มันไม่แน่
อะไรมันไม่ชอบในใจ
เราบอกว่า อันนี้มันไม่แน่
ต้องทำเป็นทุกข์ไว้
เถอะ เห็นธรรมะ
ต้องเห็นแน่นอน
ต้องเป็นอย่างนี้
การปฏิบัติ
การยืน การเดิน
การนั่ง การนอน
โยมจะมีความ
โกรธได้ทุกกิริยาไหม
เดินก็โกรธได้
นั่งก็โกรธได้
นอนก็โกรธได้
อยาก
ก็อยากได้ทุกขณะ
บางทีนอนอยู่มันก็อยาก
เดินอยู่มีแต่อยาก
นั่งอยู่
มันก็อยาก
เราจึงปฏิบัติผ่านมันไปถึงอิริยาบถทั้งสี่
ยืน เดิน นั่ง
นอน
ให้สม่ำเสมอ
ไม่มีหน้า ไม่มีหลังว่างั้นเถอะ
เอากันอย่างนี้แหละ
มัน
ถึงรู้รอบอย่างนั้น
จะไปนั่งให้มันสงบ
ก็มีเรื่องวิ่งเข้ามา
ยังไม่จบเรื่อง
นี้ เรื่องนั้นก็ยิ่งเข้าอีก
ถ้ามันวิ่งเข้ามา
เออ เราก็บอกว่ามันไม่แน่
ชก
มันก่อนเลย
เรื่องอะไรก็ช่าง
พอมันวิ่งเข้ามาต้องชกมันเรื่อยๆ
ชกมัน
ก่อนเลยทีเดียวด้วย
ไม่แน่ นี่แหละ
อันนี้รู้จักจุดสำคัญของมัน
ถ้าโยมรู้จักว่าสิ่งทั้งหลายนี้
มันไม่
แน่ ความคิดของโยมที่อยู่ในใจ
มันค่อยคลี่คลายออก
มันจะค่อยคลี่
คลายออก
เพราะเราจะเห็นว่ามันแน่อย่างนั้น
อะไรที่เราเห็นว่าไม่แน่
เมื่อเห็นมันผ่านมามากๆ
อะไรๆก็อย่างนั้นแหละวันหลังก็พิจารณา
เอ
อย่างนั้นแหละ
โยมรู้จักน้ำที่มันไหลไหม
เคยเห็นไหม
น้ำนิ่งโยมเคยเห็นไหม
ถ้าใจเราสงบแล้ว
มันจะเป็นคล้ายๆกับน้ำมันไหลนิ่งโยม
เคยเห็นน้ำ
ไหลนิ่งไหม
แน่ะ ก็โยมเคยเห็นแต่น้ำนิ่ง
กับน้ำไหล น้ำไหลนิ่งโยมไม่
เคยเห็น
ตรงนั้นแหละ
ตรงที่โยมคิดยังไม่ถึงหรอกว่า
มันเฉยมันก็เกิด
ปัญญาได้
เรียกว่าดูใจของโยมมันจะคล้ายน้ำไหล
แต่ว่านิ่ง
ดูเหมือน
นิ่ง ดูเหมือนไหล
เลยเรียกว่า
น้ำไหลนิ่ง มันจะเป็นอย่างนั้น
ปัญญา
เกิดได้
หมายเหตุจากผู้จัดทำ
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์
ธรรมสภา ที่เอื้อเฟื้อให้ข้อมูลมาในรูป
แบบที่เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์
ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ยังคงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด
ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความคาดว่า
ต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด
หรือข้อความที่ไม่ชัดเจน
เพราะว่า นอกจากต้นฉบับที่ได้รับจาก
ธรรมสภา แล้วผมยัง
มี ต้นฉบับอีกชุดหนึ่ง
ซึ่งเป็นหนังสือ
หลวงพ่อชา เล่มสี่
ซึ่งพิมพ์โดย
สำนักพิมพ์ชมสมัย
ดังนั้นเมื่อพบจุดที่สงสัยว่าจะผิด
ผมก็จะใช้
ต้นฉบับที่สองในการสอบทาน
ซึ่งถ้าเป็นการผิดจริงก็จะแก้ไขเลย
โดยไม่มีการลงหมายเหตุกำกับไว้
แต่ถ้าต้นฉบับทั้งสองเป็นข้อความ
ที่ตรงกัน
ผมก็จะแก้ไขโดยลงหมายเหตุไว้
ณ จุดที่แก้ไขด้วย
ดังราย
ละเอียดต่อไปนี้
จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
มันมุ่งหลายอย่าง
แก้
เป็น
มันยุ่งหลายอย่าง
จุด 2 จุดนี้ไม่ได้พิมพ์ผิด
แต่ข้อความเดิมอ่านแล้วสับสน
จึง
เปลี่ยนเป็นข้อความที่ทำให้อ่านเข้าใจขึ้น
ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
แต่ตัวจิตจริงๆนี้มันก็รู้ไม่ได้
แก้เป็น แต่ตัวจิตจริงๆนี้ไม่รู้จัก
จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
มีดเล่มนี้
มันมีทั้งคม
มัน
มีทั้งสั้น
แก้เป็น มีดเล่มนี้
มันมีทั้งคม
มันมีทั้งสัน
จุด 4 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
ธรรมมันเกิดเพราะเหตุ
แก้เป็น
ทุกข์มันเกิดเพราะเหตุ
จุด 5 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
หากต๋อมเลย
แก้เป็น
หายต๋อมเลย
สำหรับจุดนี้
ดูแล้วเป็นการผิดอย่างง่ายๆ
ไม่น่าเลยที่
ต้นฉบับทั้งสองจะผิดตรงกัน
แต่ต้นฉบับทั้งสองก็ผิดตรงกันจริงๆ
จุด 6 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
ถึงเวลานั่นก็นั่งไป
แก้
เป็น
ถึงเวลานั่งก็นั่งไป