การบรรยายธรรมของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
เรื่อง
นอกเหตุเหนือผล
บรรยายที่วัดหนองป่าพง
ให้แก่ พระภิกษุสามเณร
และอุบาสกอุบาสิกา จากวัดป่านานาชาติ
ในคราวที่ไปกราบนมัสการท่าน ระหว่างพรรษา พ.ศ. ๒๕๒๓
 
 

ทำจิตให้เกิดปัญญาทุกอิริยาบถ
          คำสอนของพระบางอย่าง เราฟังดูแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจเลย
มันน่าจะเป็นไปอย่างนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ ความเป็นจริงนั้น คำพูด
ของพระมีเหตุผลทุกอย่าง มันไม่น่าจะเป็นไปอย่างนั้น มันก็เป็นของ
มันไปได้ (หมายเหตุ 1) แปลกเหมือนกันนะ
          ครั้งแรกที่อาตมาไปนั่งหลับตา แล้วก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ไม่เห็น
ว่าจะเกิดประโยชน์อะไรจากการหลับตาไปหมด นอกจากนั้นก็ไปเดิน
จงกรม เดินไปจากต้นไม้ต้นนี้ไปต้นนั้น เดินไปเดินมาก็ขี้เกียจ เดินไป
ทำไม? กลับไปกลับมาไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่างนี้มันก็คิดไป แต่
ความจริงการเดินจงกรมนี้มีประโยชน์มาก การนั่งสมาธินี้ก็มี
ประโยชน์มาก
          แต่จริตของคนเรา บางคนแรงไปในการเดินจงกรม บางคน
แรงในการนั่ง จริตของท่านเป็นปนแปกันอยู่ แต่เราจะทิ้งกันไม่ได้ จะ
นั่งสมาธิอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเดินจงกรมอย่างเดียวก็ไม่ได้
          พระกรรมฐานท่านสอนว่า อิริยาบถสี่ การยืน การเดิน การ
นั่ง การนอน คนเราอาศัยอิริยาบถอย่างนี้อยู่ แล้วแต่ว่ามันจะแรงการ
ยืน การเดิน การนั่ง หรือการนอน แต่มันจะเร็วหรือช้า มันก็ค่อยๆเข้า
ไปในตัวของมัน อย่างวันหนึ่งเราเดินกี่ชั่วโมง นั่งกี่ชั่วโมง นอนกี่ชั่ว
โมง แต่อย่างไรก็ช่างมันเถอะ จับจุดมันเข้าก็เป็นการยืน การเดิน การ
นั่ง การนอนเสมอ
          การยืน เดิน นั่ง นอน นี้ให้เสมอกัน ท่านบอกไว้ในธรรมะ
การปฏิบัติ ให้ปฏิบัติสม่ำเสมอกัน ให้อิริยาบถเสมอกัน อิริยาบถคือ
อะไร? คือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน ให้มันเสมอกัน
          เอ! คิดไม่ออก ให้มันเสมอนี้ มันก็คงจะว่านอนสองชั่งโมง ก็
ยืนสองชั่วโมง นั่งก็สองชั่วโมง คงจะเป็นอย่างนั้นกระมัง อาตมาก็มา
ลองทำดูเหมือนกัน โอ๊ะ! มันไปไม่ไหว ไปไม่ไหวแน่นอนเลย จะยืนก็
ให้สองชั่วโมง หรือนั่งก็ให้สองชั่วโมง เดินก็สองชั่วโมง นอนก็สองชั่ว
โมง เรียกว่าอิริยาบถเสมอกัน อย่างนี้เราฟังผิด ฟังตามแบบนี้มันผิด
          อิริยาบถเสมอนี้ ท่านพูดถึงจิตของเรา ความรู้สึกของเราเท่า
นั้น ไม่ใช่ท่านพูดทั่วไป คือทำจิตของเราให้มันเกิดปัญญาแล้ว ให้มัน
มีปัญญา ให้มันสว่าง ความรู้สึก หรือปัญญาของเรานั้น แม้เราจะอยู่
ในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้อยู่เสมอ เข้าใจอยู่เสมอในอารมณ์
ต่างๆ แม้ฉันจะยืนอยู่ก็ช่าง จะนั่งหรือเดินก็ช่าง ฉันจะรู้อารมณ์อยู่
เสมอไป ว่าอารมณ์ทั้งหลายนั้นมันจะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่า
นั้นแหละ
          คำพูดอย่างนี้ก็เป็นไป ความรู้สึก ความรู้อย่างนั้นก็เป็นไป
จิตใจก็น้อมเข้าไปอย่างนั้น เมื่อถูกอารมณ์เมื่อไรก็เห็นอนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา ตลอดเวลาอยู่อย่างนั้น จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน มันมี
ความเห็นอยู่อย่างนั้น แม้ว่ามันจะรัก หรือจะเกลียด มันก็ยังไม่ทิ้ง
ปฏิปทาของมัน รู้ของมันอยู่
          ถ้าหากว่ามาเพ่งถึงจิตให้เป็นปฏิปทา ให้สม่ำเสมอกัน ความ
สม่ำเสมอกันคือมันปล่อยวางเสมอกัน เมื่อหากว่ามันได้อารมณ์ที่ดี
ตามสมมุติของเขา มันก็ยังไม่ลืมตัวของมัน เมื่อมันรู้อารมณ์ที่ชั่ว มัน
ก็ยังไม่ลืมตัวของมัน มันไม่หลงในความชั่ว มันไม่หลงในความดี
สมมุติทั้งหลายเหล่านี้ มันจะตรงไปของมันอยู่เรื่อยๆ อริยาบถนี้เอา
เสมอได้ ถ้ามันยังไม่เสมอ จัดให้มันเสมอได้
          ถ้าพูดถึงภายในไม่พูดถึงภายนอก พูดถึงเรื่องจิตใจ พูดถึง
ความรู้สึก ถ้าหากว่าอิริยาบถจิตใจสม่ำเสมอกัน จะถูกสรรเสริญมันก็
อยู่แค่นั้น จะถูกนินทามันก็อยู่แค่นั้น มันไม่วิ่งขึ้น มันไม่วิ่งลง มันอยู่
อย่างนี้ ก็เพราะอะไร? มันรู้อันตราย รู้อุปสรรคในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
เห็นโทษ เห็นโทษในการสรรเสริญ เห็นโทษในการนินทาเสมอกันแล้ว
เรียกว่ามันเสมอกันแล้วนั้นอย่างนี้ ความรู้สึกอย่างนี้เรียกว่าทางใน
มองดูด้านใน ไม่มองดูด้านนอก
          อารมณ์ทั้งหลายนั้นนะ ถ้าหากว่าเราได้อารมณ์ที่ดี จิตของ
เรามันก็ดีด้วย ได้อารมณ์ที่ไม่ดี จิตของเราก็ไม่ดีไม่ชอบ มันจะเป็นอยู่
อย่างนี้ นี้เรียกว่าอิริยาบถไม่สม่ำเสมอกันแล้ว
          มันสม่ำเสมอแต่ว่า มันรู้อารมณ์ ว่ามันยึดดีก็รู้ ยึดชั่วก็รู้จัก
แค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว อิริยาบถนี้มันสม่ำเสมอแต่มันยังวางไม่ได้ แต่ว่า
มันรู้สม่ำเสมอ ยึดความดีก็รู้จัก ยึดความชั่วก็รู้จัก ความยึดเช่นนี้มัน
เป็นสิ่งที่ไม่ใช่หนทาง ก็รู้อยู่เข้าใจอยู่อย่างนี้ แต่ว่ามันทำยังไม่ได้เต็ม
ที่ ยังไม่ได้ปล่อยวางจริง แต่ว่ามันรู้ ถ้าจะปล่อยวางตรงนี้มันจะสงบ

ปล่อยวางจากสิ่งทั้งปวง
          แล้วเมื่อเราพยายามทำไปๆ เห็นโทษในอารมณ์ที่ว่ามันชอบ
ใจหรือว่ามันไม่ชอบใจ เห็นโทษในการสรรเสริญ เห็นโทษในการ
นินทา สม่ำเสมอกันอยู่นั้นแหละ ไม่มีอะไรแปลกกัน นินทามันก็
สม่ำเสมอกัน สรรเสริญมันก็สม่ำเสมอกัน
          เมื่อพูดถึงจิตคนเราในโลกนี้ ถ้านินทาละก็ไม่ได้ บีบหัวใจเรา
ถ้าถูกสรรเสริญมันแช่มชื่นสบาย มันเป็นอย่างนี้ตามธรรมชาติของมัน
เมื่อมันรู้ตามความเป็นจริงเสียแล้วว่า อารมณ์ที่เขานินทานั้นมันก็มี
โทษ อารมณ์ที่เขาสรรเสริญนั้นมันก็มีโทษ ติดในสรรเสริญมันก็มีโทษ
ติดในนินทามันก็มีโทษ มันเป็นโทษทั้งหมดทั้งนั้น ถ้าเราไปหมายมั่น
มันอย่างนั้น
          เมื่อความรู้อย่างนี้เกิดขึ้นมา เราก็จะรู้สึกอารมณ์ ถ้าไปหมาย
มั่นมัน ก็เป็นทุกข์จริงๆ มันทุกข์ให้เห็น ถ้าไปยึดดียึดชั่ว มันก็เป็น
ทุกข์ขึ้นมา แล้วก็มาเห็นโทษนั้นว่า ความยึดทั้งหลายนั้น มันเป็นเหตุ
ให้เราเป็นทุกข์ เพราะชั่วก็ตะครุบ ดีก็ตะครุบ ทำไมจึงเห็นโทษมัน?
เพราะเราเคยยึดมั่นมันมา เคยตะครุบมันมา อย่างนี้จึงเห็นโทษ มัน
ไม่มีสุข ทีนี้ก็หาทางปล่อยมัน จะปล่อยมันไปตรงไหนหนอ?
          ในทางพุทธศาสนาท่านว่า อย่าไปยึดมั่นถือมั่น แต่เราฟังไม่
จบไม่ตลอด ที่ว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่นนั้นคือว่า ท่านให้ยึดอยู่ แต่อย่า
ให้มั่น เช่นอย่างนี้ อย่างไฟฉายนี่นะ นี่คืออะไร? ไปยึดมันมาแล้วก็ดู
พอรู้ว่าเป็นไปฉายแล้วก็วางมัน อย่าไปมั่นยึดแบบนี้ ถ้าหากว่าเราไป
ยึด เราจะทำได้ไหม? จะเดินจงกรมก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้
          ต้องยึดเสียก่อนครั้งแรก จะว่ามันเป็นตัณหาก็ได้ แต่ว่าต่อไป
มันจะเป็นบารมี อย่างเช่นท่านชาคโรจะมาวัดป่าพง ก็ต้องอยากมา
ก่อน ถ้าไม่รู้สึกว่าอยากมาก็ไม่ได้มา โยมทั้งหลายก็เหมือนกัน ก็มี
ความอยากนั้นแหละจึงได้มา นี้จึงมาด้วยความอยาก เมื่อมีความ
อยากขึ้นมา ท่านก็ว่าอย่ายึดมั่น คือมาแล้วก็กลับ อย่างที่สงสัยว่านี่
อะไร แล้วก็ยึดมันมา เออ มันเป็นไฟฉายนะนี่น่ะ แล้วก็วางมัน นี้
เรียกว่ายึดแต่ว่าไม่ให้มั่น ปล่อยวาง รู้แล้วปล่อยวาง พูดง่ายๆก็ว่ารู้
แล้วปล่อยวาง จับมาดูรู้แล้วปล่อยวาง
          อันนี้เขาสมมุติว่ามันดี อันนี้เขาสมมุติว่ามันไม่ดี รู้แล้วก็
ปล่อย ทั้งดี ทั้งชั่ว แต่ว่าการปล่อยนี้ไม่ได้ทำด้วยความโง่ ไม่ได้ยึด
ด้วยความโง่ ให้ยึดด้วยปัญญาอย่างนี้ อันนี้อิริยาบถนี้เสมอได้ ต้อง
เสมออย่างได้นี้ คือจิตมันเป็น ทำจิตให้รู้ ทำจิตให้เกิดปัญญา เมื่อจิต
มีปัญญาแล้ว อะไรมันจะเหนือไปกว่านั้นอีกเล่า ถ้าหากจะยึดมา มัน
ก็ยึดไม่มีโทษ ยึดขึ้นมาแต่ไม่มั่น ยึดดูแล้วรู้ก็วาง

ทำทุกอย่างโดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
          อารมณ์เกิดมาทางหู อันนี้เรารู้ โลกเขาว่ามันดี แล้วมันก็วาง
โลกเขาว่ามันไม่ดี มันก็วาง มันรู้ดีรู้ชั่ว คนที่ไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไปยึดทั้งดีทั้งชั่ว
แล้วเป็นทุกข์ทั้งนั้น คนรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ได้ยึดในความดี ไม่ได้ยึดในความชั่ว
คนที่ยึดในความดีความชั่ว นั่นคือคนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
          และคำที่ว่า เราทำอะไร ตลอดที่ว่า เราอยู่ไปนี้เราอยู่เพื่อ
ประโยชน์อะไร เราทำงานอันนี้เราทำเพื่อต้องการอะไร แต่โลกเขาว่า
ทำงานอันนี้เพราะต้องการอันนั้น เขาว่าเป็นคนมีเหตุผล แต่พระท่าน
สอนยิ่งไปกว่านั้นอีก ท่านว่าทำงานอันนี้ทำไป แต่ไม่ต้องการอะไร
ทำไมไม่ต้องการอะไร? โลกเขาต้องทำงานอันนี้เพื่อต้องการอันนั้น
ทำงานอันนั้นเพื่อต้องการอันนี้ นี่เป็นเหตุผลอย่างชาวโลกเขา
          พระพุทธองค์ท่านทรงสอนว่า ทำงานเพื่อทำงาน ไม่ต้องการ
อะไร ถ้าคนเราทำงานเพื่อต้องการอะไร ก็เป็นทุกข์ ลองดูก็ได้ พอนั่ง
ปั๊บก็ต้องการความสงบ ก็นั่งอยู่นั่นแหละ กัดฟันเป็นทุกข์แล้ว นั่นลอง
คิดดูซิ มันละเอียดกว่ากันอย่างนี้ คือทำแล้วปล่อยวางๆ
          อย่างเช่น พราหมณ์เขาบูชายันต์ เขาต้องการสิ่งที่เขา
ปรารถนานั้นอยู่ การกระทำเช่นนั้นของพราหมณ์นั้นก็ยังไม่พ้นทุกข์
เพราะเขามีความปรารถนาจึงทำ ทำแล้วก็ทุกข์ เพราะทำด้วยความ
ปรารถนา
          ครั้งแรกเราทำก็ปรารถนาให้มันเป็นอย่างนั้น ทำไปๆทำจน
กว่าที่เรียกว่าไม่ปรารถนาอะไรแล้ว ทำเพื่อปล่อยวาง มันอยู่ลึกซึ้ง
อย่างนี้ คนเราปฏิบัติธรรมเพื่อต้องการอะไร? เพื่อต้องการพระ
นิพพาน นั่นแหละจะไม่ได้พระนิพพาน ความต้องการอันนี้เพื่อให้มี
ความสงบมันก็เป็นธรรมดา แต่ว่าไม่ถูกเหมือนกัน จะทำอะไรก็ไม่
ต้องคิดว่าจะต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น แล้วมันจะ
เป็นอะไร ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าเป็นอะไรมันก็ทุกข์เท่านั้นแหละ

ทำจิตให้ว่าง
          การทำงานไม่ให้เป็นอะไรนั้น เรียกว่าทำจิตให้ว่าง แต่การ
กระทำมีอยู่ ความว่างนี้พูดให้คนฟังไม่รู้เรื่อง แต่คนทำไปจะรู้จัก
ความว่างนี้ว่ามันมีประโยชน์ (หมายเหตุ 2) ไม่ใช่ว่ามันว่างในสิ่งที่มัน
ไม่มี มันว่างในสิ่งที่มันมีอยู่ เช่นไฟฉายนี้นะมันมีอยู่ มันไม่ว่าง แต่เรา
เห็นไฟฉายนี้มันว่าง ว่างก็เพราะมีไฟฉายนี้ ไฟฉายนี้เป็นเหตุให้มีว่าง
ไม่ใช่ว่าขณะนั้นมองดูแล้วไม่มีอะไร (หมายเหตุ 3) ไม่ใช่อย่างนั้น คน
ฟังความว่าง ก็ไม่ค่อยออกเหมือนกัน ไม่ค่อยจะรู้จักอย่างนั้น ต้องเข้า
ใจความว่างในของที่มีอยู่ ไม่ใช่ความว่างในของที่ไม่มี
          ลองอย่างนี้สิ นี่ถ้าหากว่าใครยังมีความปรารถนาอยู่ อย่าง
พราหมณ์ที่บูชายันต์ ที่พราหมณ์บูชายันต์ ก็เพราะเขาต้องการอะไร
อันใดอันหนึ่งอยู่ เหมือนกับที่โยมมาถึงก็กราบพระ หลวงพ่อผมขอรด
น้ำมนต์ ทำไม? รดทำไม? ต้องการกินดีอยู่ดี ไม่เจ็บไม่ไข้นั่นแหละ
มันไม่พ้นทุกข์แล้ว ถ้ามันต้องการอย่างนั้น ทำอันนี้เพื่อต้องการอันนั้น
ทำอันนั้นเพื่อต้องการอันนี้

นอกเหตุเหนือผล
          ในทางพุทธศาสนาให้ทำเพื่อไม่ต้องการอะไร ถ้ามีเพื่ออะไร
มันไม่หมด ทางโลกทำอะไรเรียกว่ามันมีเหตุผล พระพุทธองค์ท่าน
ทรงสอนว่า ให้นอกเหตุเหนือผล ไม่ว่าจะทำอะไร ปัญญาของท่านให้
นอกเหตุเหนือผล ให้นอกเกิดเหนือตาย นอกสุขเหนือทุกข์
          ลองคิดตามไปซิ ลองพิจารณาไปตาม คนเราเคยอยู่ในบ้าน
พอหนีจากบ้านไป ไม่มีที่อยู่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเรามันเคยอยู่ใน
ภพ อยู่ในความยึดมั่นถือมั่น เป็นภพ ถ้าไม่มีความยึดมั่นถือมั่นแล้ว
ก็เรียกว่าไม่รู้ว่าจะทำอะไร
          เหมือนอย่างคนส่วนมากไม่อยากไปพระนิพพาน เพราะกลัว
เพราะเห็นไม่มีอะไร ดูหลังคากับพื้นนี่ ที่สุดข้างบนคือหลังคา ที่สุด
ข้างล่างคือพื้น อันนั้นมันเป็นภพข้างบน อันนี้เป็นภพข้างล่าง ระยะที่
ภพทั้งสองนี้มันต่อกัน มันว่างๆ คนไม่รู้จัก เหมือนกับที่ว่างระหว่าง
หลังคากับพื้น เห็นมันว่างๆก็ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน ต้องไปอยู่บนหลัง
คน หรือไม่งั้นก็ที่พื้นข้างล่าง
          ที่ๆไม่มีอยู่นั่นแหละมันว่าง เหมือนกับที่ไม่มีภพนั่นแหละก็
เรียกว่ามันว่าง ตัดเยื่อใยออกเสียมันก็ว่าง พอบอกว่าพระนิพพานคือ
ความว่าง ถอยหลังเลย ไม่ไป กลัว กลัวจะไม่ได้เห็นลูก กลัวจะไม่ได้
เห็นหลาน กลัวจะไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างที่เวลาพระท่านให้พร
ญาติโยมว่า อายุ วรรณโณ สุขขัง พลัง โยมก็ดีใจสาธุ เพราะชอบ มัน
จะได้อายุหลายๆ วรรณะผ่องใส มีความสุขมากๆ มีพลังหลายๆ คน
ชอบใจ แต่ถ้าพูดว่าไม่มีอะไรแล้ว เลิกเลย ไม่ต้องเอาแล้ว
          คนมันติดอยู่ในภพอย่างนั้น บอกไปตรงนั้นไม่ไป ไม่มีที่อยู่
แล้ว อายุ วรรณโณ สุขขัง พลัง เออดีแล้ว อายุให้ยืนยาว วรรณโณให้
มีวรรณะ ผิวพรรณสวยงาม ให้มีความสุขมากๆ ให้มีอายุยืนๆ คน
อายุยืนๆมีผิวพรรณดีมีไหม? เคยมีไหม? คนอายุหลายๆมีหลังมากๆมี
ไหม? คนอายุมากๆมีความสุขมากๆมีไหม? พอให้พรว่า อายุ
วรรณโณ สุขขัง พลัง ดีใจสาธุกันทั้งนั้น ทั้งศาลาเลย นี่แหละมันติด
อยู่ในภพอย่าง นี้เหมือนอย่างพราหมณ์บูชายันต์ ที่ทำพิธีบูชายันต์
เพราะต้องการสิ่งที่เขาปรารถนา
          การที่เรามาปฏิบัตินี้ไม่ต้องบูชายันต์ คือไม่ต้องการอะไร ถ้า
ต้องการอะไรมันก็ยังมีอะไรอยู่ ถ้าไม่ต้องการอะไรมันก็สงบ จบเรื่อง
ของมัน แต่พูดให้ฟังอย่างนี้ ก็คงไม่ค่อยสบายใจอีกแล้ว เพราะอยาก
จะเกิดกันอีกทั้งนั้น
          ฉะนั้นผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ควรเข้าไปใกล้พระให้มาก ดูการ
ปฏิบัติของท่าน การเข้าไปใกล้พระ ก็คือใกล้พระพุทธเจ้า คือใกล้
ธรรมะของท่านนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “อานนท์ ให้ท่าน
ทำให้มาก ให้ท่านเจริญให้มาก ใครเห็นเรา คนนั้นเห็นธรรม ใครเห็น
ธรรม คนนั้นเห็นเรา”
          พระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนละ เราก็นึกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา
โปรด แล้วพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปแล้ว แต่พระพุทธเจ้าคือธรรมะ คือ
สัจธรรม บางคนชอบพูดว่า ถ้าเราเกิดทันพระพุทธเจ้า เราก็ได้ไปพระ
นิพพานเหมือนกัน นี่แหละความโง่มันหลุดออกมาอย่างนั้น พระพุทธ
เจ้ายังมีอยู่ทุกวันนี้ ใครว่าพระพุทธเจ้านิพพาน พระพุทธเจ้าคือสัจ
ธรรม สัจธรรมมันจะจริงอยู่อย่างนั้น ใครจะเกิดมา ก็มีอยู่อย่างนั้น
ใครจะตายไป ก็มีอยู่อย่างนั้น สัจจธรรมนี้ไม่มีวันสูญไปจากโลก เป็น
อย่างนั้น มีอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะเกิดมาก็มี ไม่เกิด
มาก็มี ใครจะรู้ก็มี ใครจะไม่รู้ก็มี อันนั้นมันมีอยู่อย่างนั้น
          ฉะนั้นจึงว่าให้ใกล้พระพุทธเจ้า เราน้อมเข้ามา น้อมเข้ามา
ให้เราเข้าถึงธรรมะ เมื่อได้ถึงธรรมะเราก็ถึงพระพุทธเจ้า เมื่อเห็น
ธรรมะเราก็เห็นพระพุทธเจ้า แล้วความสงสัยทั้งหลายก็จะหมดสิ้น
เหมือนอย่างครูชู เกิดมาครั้งเราไม่เป็นครูหรอก เป็นนายชู ต่อมา
เรียนวิชาของครู สอบได้ ไปบรรจุเป็นครูก็เรียกว่าครูชู แม้ครูชูจะตาย
ไปแล้ว วิชาของครูก็ยังมีอยู่ไม่หายไปไหน ใครจะไปเรียนวิชาครู ไป
สอบได้ก็ได้เป็นครูอยู่ วิชาครูนั้นยังอยู่เป็นสัจธรรม ยังมีในโลก
เหมือนสัจจธรรมที่ทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้นพระพุทธเจ้า
จึงยังมีอยู่อย่างนี้ ดังนั้นใครปฏิบัติไปก็จะเห็นธรรมะ เห็นธรรมะก็จะ
เห็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้คนไม่เห็นทั้งนั้นแหละ มองพระพุทธเจ้าไป
ตรงไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้จักแล้วยังพูดว่า ถ้าฉันเกิดมาพร้อมพระพุทธเจ้า
ฉันก็คงได้เป็นลูกศิษย์ของท่านและคงได้ตรัสรู้เหมือนกัน พูดออกมา
ด้วยความโง่ นี่ขอให้เข้าใจอันนี้ให้ดี
          จิตเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และการปฏิบัติของเราก็เช่นเดียวกัน
อย่าไปเข้าใจว่าออกพรรษาแล้วก็สึก อย่าคิดอย่างนั้น ความคิดชั่ววูบ
เดียวอาจทำให้ฆ่าคนได้ ในทำนองเดียวกันความดีวูบเดียวในขณะ
จิตเดียวเท่านั้น ไปได้เหมือนกัน ให้เข้าใจอย่างนี้ อย่าเข้าใจว่าฉัน
บวชมานานแล้ว จิตจะภาวนาอย่างไรก็ได้ อย่า อย่าคิดอย่างนั้น
ความชั่ววูบเดียวเท่านั้นให้ทำกรรมหนักได้โดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกัน
สาวกทุกๆองค์ของท่านที่ได้ปฏิบัติมานานแล้ว เมื่อมันจวบจะถึงที่ มัน
ก็ขณะจิตเดียวเท่านั้น
          ฉะนั้นอย่าไปประมาทของเล็กๆน้อยๆ จงเพียรพยายามให้
หนัก อย่างนั้นถึงได้ว่าให้ไปอยู่กับพระ ให้เข้าใกล้พระ แล้วให้
พิจารณา ถึงจะรู้จักพระ ให้เข้าใจดีๆ เอาละ คืนนี้มันดึกแล้วกระมัง
บางคนก็ง่วงนอนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่เทศน์ให้คนง่วงนอนฟัง
หรอก ท่านเทศน์ให้คนลืมตาลืมใจฟัง
 
 

หมายเหตุจากผู้จัดทำ
          เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ นอกเหตุเหนือผล ซึ่งจัดพิมพ์โดย สำนัก
พิมพ์ ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
          ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความที่คาดว่า
ต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด โดยได้ใส่วงเล็บกำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขแล้ว
ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้
          จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “มันไม่น่าจะเป็นไปอย่าง
นั้น มันก็เป็นของมันไม่ได้” แก้เป็น “มันไม่น่าจะเป็นไปอย่างนั้น มัน
ก็เป็นของมันไปได้”
          จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “จะรู้จักความว่างนี้ว่ามัน
ประโยชน์” รู้สึกว่าจะตกคำว่ามี จึงแก้ไขเป็น “จะรู้จักความว่างนี้ว่า
มันมีประโยชน์”
          จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ไม่ใช่ว่างขณะนั้นมองดู
แล้วไม่มีอะไร” แก้ไขเป็น “ไม่ใช่ว่าขณะนั้นมองดูแล้วไม่มีอะไร”