การบรรยายธรรมของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
เรื่องการทำจิตให้สงบ
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ สถานที่ ผู้ฟัง และวันที่บรรยาย
 
 

การทำจิตให้สงบ
          การทำจิตให้สงบ คือการวางให้พอดี ตั้งใจเกินไปมากมันก็
เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี ธรรมดาจิตเป็น
ของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกริยาไหวตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้นจิตใจของเราจึงไม่
มีกำลัง
          การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง กับการทำกายของเราให้มี
กำลังมันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็คือ การออกกำลัง ทำกาย
บริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทำกายให้มีกำลัง การทำจิตใจ
ให้มีกำลังก็คือ ทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่
ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมี
กำลัง มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิภายใน

การทำสมาธิ
          บัดนี้เราจะทำสมาธิ ก็ตั้งใจ ให้เอาความรู้สึกกำหนดอยู่กับ
ลมหายใจ ถ้าหากว่าเราหายใจสั้นเกินไป หรือยาวเกินไป ก็ไม่พอดี
ไม่ได้สัดได้ส่วนกัน ไม่เกิดความสงบ เหมือนกันกับเราเย็บจักร ผู้เย็บ
จักรมีมือมีเท้า เราต้องถีบจักรเปล่าดูก่อน ให้รู้จัก ให้คล่องกับเท้าของ
เราเสียก่อน จึงเอาผ้ามาเย็บ
          การกำหนดลมหายใจก็เหมือนกัน หายใจเฉยๆ กำหนดรู้ไว้
จะพอดีขนาดไหน ยาวขนาดไหน สั้นขนาดไหน จะให้ค่อยขนาดไหน
แรงขนาดไหน จะยาวก็ไม่เอากับมัน จะสั้นก็ไม่เอากับมัน จะค่อยก็ไม่
เอากับมัน เอาตามความพอดี เอายาวพอดี เอาสั้นพอดี เอาค่อยพอดี
เอาแรงพอดี นั่นชื่อว่าความพอดี เราไม่ได้ขัดไม่ได้ข้องแล้วก็ปล่อย
หายใจดูก่อนไม่ต้องทำอะไร
          ถ้าหากว่าจิตสบายแล้ว จิตพอดีแล้ว ก็ยกลมหายใจเข้าออก
เป็นอารมณ์ หายใจเข้าต้นลมอยู่ปลายจมูก กลางลมอยู่หทัย คือหัว
ใจ ปลายลมอยู่สะดือ อันนี้เป็นแหล่งการเดินลม เมื่อหายใจออกต้น
ลมจะอยู่สะดือ กลางลมจะอยู่หทัย ปลายลมจะอยู่จมูก นี่มันสลับกัน
อย่างนี้ กำหนดรู้เมื่อลมผ่านจมูก ผ่านหทัย ผ่านสะดือ พอสุดแล้วก็
จะเวียนกลับมาอีก เป็นสามจุดนี้ ให้ความรู้ของเราอยู่ในความเวียน
เข้าออกทั้งสามจุดนี้ พยายามติดตามลมหายใจเช่นนี้เรื่อยไป เพื่อ
รักษาความรู้นั้น และทำสติสัมปชัญญะของเราให้กล้าขึ้น
          เมื่อหากว่าเรากำหนดจิตของเราให้รู้จักต้นลม กลางลม
ปลายลม ดีแล้วพอสมควร เราก็วาง เราจะหายใจเข้าออกเฉยๆ เอา
ความรู้สึกเราไว้ปลายจมูก หรือริมฝีปากบนที่ลมผ่านออกผ่านเข้า
เอาแต่ความรู้สึกเท่านั้นไว้ที่นั่น ไม่ต้องตามลมออกไป ไม่ต้องตามลม
เข้ามา เอาความรู้สึกหรือผู้รู้นั่นแหละ ไว้เฉพาะหน้าเราที่ปลายจมูก
ให้รู้จักลมผ่านออก ผ่านเข้า
          ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เพียงแต่ให้มีความรู้สึกเท่านั้นแหละ
ให้มีความรู้สึกติดต่อกัน ลมออกก็ให้รู้ ลมเข้าก็ให้รู้ ให้รู้อยู่แต่ที่นั่น
แหละ รู้แล้วมันจะเป็นอะไรไม่ต้องคิด เอาเพียงเท่านั้นเสียก่อน ใน
เวลานี้หน้าที่การงานของเรามีแค่นั้น ไม่ได้มีมาก กำหนดลมเข้าออก
อยู่นั้นแหละ ต่อไปจิตก็สงบ ลมก็จะละเอียดเข้าไป น้อยเข้าไป กายก็
จะเบาเข้าไป จิตก็จะสงบไป ความเบากายเบาใจนั้นก็จะเกิดขึ้นมา
จะเป็นกายควรแก่การงาน และจะเป็นจิตควรแก่การงานต่อไป นี่คือ
การทำสมาธิ ไม่ต้องทำอะไรมาก ให้กำหนดเท่านั้น
          ต่อไปนี้ให้ตั้งใจทำ กำหนดไป จิตเราละเอียดเข้าไป การทำ
สมาธินั้นจะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้ทันเอาไว้ ให้เรารู้จักมัน มันก็มีทั้ง
อารมณ์ มีทั้งความสงบ คลุกคลีกันไป มันมีวิตก วิตกคือ การจะยก
จิตของตนนึกถึงอันใดอันหนึ่งขึ้นมา ถ้าสติของเราน้อยก็จะวิตกน้อย
แล้วก็มีวิจารณ์ คือการตรวจดูตามเรื่องที่เราวิตกนั้น แต่ข้อสำคัญนั้น
ต้องพยายามรู้ให้ทันอยู่เสมอ แล้วก็พิจารณาให้ลึกลงไปอีก ให้เห็นว่า
มีทั้งสมาธิ และมีทั้งความรู้ รวมอยู่ในนั้น

องค์ประกอบของความสงบ
          คำว่า จิตสงบ นั้นไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร มันต้องมี มีความสงบ
ครอบอยู่ ท่านกล่าวถึงองค์ของความสงบขั้นแรกว่า หนึ่งมีวิตก ยก
เรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วก็มีวิจารณ์ คือพิจารณาตามอารมณ์ที่เกิด
ขึ้นมา ต่อไปก็จะมีปีติ คือความยินดีในสิ่งที่เราวิตกไปนั้น ในสิ่งที่เรา
วิจารณ์ไปนั้น จะเกิดปีติ คือความยินดีซาบซึ้งอยู่โดยเฉพาะของมัน
แล้วก็มีสุข สุขอยู่ที่ไหน สุขอยู่ในการวิตก สุขอยู่ในการวิจารณ์ สุขอยู่
กับความอิ่มใจ สุขอยู่กับอารมณ์เหล่านั้นแหละ แต่ว่ามันสุขอยู่ใน
ความสงบ วิตกก็วิตกอยู่ในความสงบ วิจารณ์ก็วิจารณ์อยู่ในความ
สงบ ความอิ่มใจก็อยู่ในความสงบ สุขก็อยู่ในความสงบ ทั้งสี่อย่างนี้
เป็นอารมณ์อันเดียว อย่างที่ห้า คือ เอกัคคตา ห้าอย่างแต่เป็นอัน
เดียวกัน คือทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ แต่มีลักษณะอยู่ในขอบเขต
เดียวกัน คือเมื่อจิตสงบ วิตกก็มี วิจารณ์ก็มี ปีติก็มี สุขก็มี เอกัคคตา
ก็มี ทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์เดียวกัน
          คำว่าอารมณ์อันเดียวนั้น ทำไมจึงหลายอย่าง หมายความว่า
มันจะมีหลายอาการก็ช่างมัน เพราะอาการทั้งหลายเหล่านั้น จะมา
รวมอยู่ในความสงบอันเดียวกัน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่รำคาญ เหมือนกับว่ามี
คนห้าคน แต่ลักษณะของคนทั้งห้าคนนั้น มีอาการเดียวกัน คือจะมี
อารมณ์ทั้งห้าอารมณ์ เมื่ออารมณ์อันนั้นอยู่ในลักษณะนี้ ท่านเรียกว่า
องค์
          องค์ของความสงบท่านไม่ได้เรียกว่า อารมณ์ ท่านเรียกว่า
วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เป็น
อารมณ์ตามธรรมดา ท่านจึงจัดว่าเป็นองค์ของความสงบ มีอาการอยู่
ห้าอย่างคือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา ไม่มีความรำคาญ วิตก
อยู่ก็ไม่รำคาญ วิจารณ์อยู่ก็ไม่รำคาญ มีปีติก็ไม่รำคาญ มีความสุขก็
ไม่รำคาญ จิตจึงเป็นอารมณ์เดียวอยู่ในสิ่งทั้งห้านี้ จับรวมกันอยู่ เรื่อง
จิตสงบขั้นแรกจึงเป็นอย่างนั้น

ปัญหาของการทำสมาธิ
          ทีนี้บางอย่างอาจถอยออกมา ถ้ากำลังใจไม่กล้า สติหย่อนไป
แล้ว มันจะมีอารมณ์มาแทรกเข้าไปเป็นบางครั้ง คล้ายๆกับว่าเคลิ้ม
ไป แล้วมีอาการอะไรบางอย่างเข้ามาแทรกตอนที่มันเคลิ้ม แต่ไม่ใช่
ความง่วงตามธรรมดา ท่านว่ามีความเคลิ้มในความสงบ บางทีก็มี
อะไรบางอย่างแทรกเข้ามา เช่นว่า บางทีมีเสียงปรากฏบ้าง บางที
เหมือนเห็นสุนัขวิ่งผ่านไปข้างหน้าบ้าง แต่ว่าไม่ชัดเจน และก็ไม่ใช่ฝัน
อันนี้จัดเป็นฝันไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะกำลังทั้งห้าดังกล่าวแล้ว ไม่
สม่ำเสมอกัน มันอ่อนลง อ่อนเคลิ้มลง จึงเกิดอารมณ์เข้าแทรก อันนี้
เป็นอาการของจิต
          ถ้าหากว่าเรามีความสงบ มันก็มีสิ่งทั้งห้านี้เป็นบริวารอยู่ แต่
เป็นบริวารในความสงบ อันนี้เป็นเบื้องแรกของมัน ขณะที่จิตเราสงบ
อยู่ในขั้นนี้ ชอบมีนิมิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ
ทางจิต มันชอบเป็น แต่ผู้ทำสมาธิจับไม่ค่อยถูกว่า “มันหลับไหม?”
“ก็ไม่ใช่” “มันฝันไปหรือ?” “ก็ไม่ใช่” ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น มันเป็นอาการ
เกิดมาจากความสงบครึ่งๆกลางๆก็ได้ บางทีก็แจ่มใสเป็นธรรมดา
บางทีก็คลุกคลีไปกับความสงบบ้าง กับอารมณ์ทั้งหลายบ้าง แต่อยู่
ในขอบเขตของมัน
          อย่างไรก็ตามบางคนทำสมาธิยาก เพราะอะไร เพราะจริต
แปลกเขา แต่ก็เป็นสมาธิ แต่ก็ไม่หนักแน่น ไม่ได้รับความสบายเพราะ
สมาธิ แต่จะได้รับความสบายเพราะปัญญา เพราะปัญญาความคิด
เห็นความจริงของมันแล้ว ก็แก้ปัญหาถูกต้อง เป็นประเภทปัญญาวิ
มุติ ไม่ใช่เจโตวิมุติ
          (หมายเหตุ ปัญญาวิมุติ แปลว่า ผู้หลุดพ้นได้ด้วยปัญญา คือ
ปัญญาเป็นกำลังสำคัญ หรือปัญญานำหน้า ส่วน เจโตวิมุติ แปลว่า
ผู้หลุดพ้นด้วยสมาธิ คือ สมาธิเป็นกำลังสำคัญ หรือสมาธินำหน้า)
          มันจะมีความสบายทุกอย่างที่จะได้เกิดขึ้นเป็นหนทางของ
เรา เพราะปัญญา สมาธิมันน้อย คล้ายๆกับว่าไม่ต้องนั่งสมาธิ
พิจารณา “อันนั้นเป็นอะไรหนอ” แล้วแก้ปัญหาอันนั้นได้ทันที เลย
สบายไป เลยสงบ
          ลักษณะผู้มีปัญญาต้องเป็นอย่างนั้น ทำสมาธินี้ไม่ค่อยได้
ง่าย และไม่ค่อยดีด้วย มีสมาธิแต่เพียงเฉพาะเลี้ยงปัญญาให้เกิดขึ้น
มาได้ โดยมากอาศัยปัญญา เช่นสมมุติว่า ทำนากับทำสวน เราอาศัย
นามากกว่าสวน หรือทำนากับทำไร่ เราจะได้อาศัยนามากกว่าไร่ ใน
เรื่องของเรา อาชีพของเราและการภาวนาของเราก็เหมือนกัน มันจะ
ได้อาศัยปัญญาแก้ปัญหา แล้วจะเห็นความจริง ความสงบจึงเกิดขึ้น
มา มันเป็นไปอย่างนั้น ธรรมดาก็เป็นไปอย่างนั้น มันต่างกัน

หลุดพ้นด้วยปัญญาสมาธิ
          บางคนแรงในทางปัญญา สมาธิพอเป็นฐานไม่มาก คล้ายๆ
กับว่านั่งสมาธิไม่ค่อยสงบ ชอบมีแต่ความปรุงแต่ง มีความคิด และมี
ปัญญา ชักเรื่องนั้นมาพิจารณา ชักเรื่องนี้มาพิจารณา แล้วพิจารณา
ลงสู่ความสงบก็เห็นความถูกต้อง อันนั้นจะได้มีกำลังกว่าสมาธิ อันนี้
จริง ของคนบางคนเป็นอย่างนั้น แม้จะ ยืน เดิน นั่ง นอนก็ตาม
ความตรัสรู้ธรรมะนั้นไม่แน่นอน จะเป็นอริยาบทใดก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็
ได้ นั่งก็ได้ นอนก็ได้ อันนี้แหละผู้แรงด้วยปัญญา เป็นผู้มีปัญญา
สามารถที่จะไม่เกี่ยวข้องกับสมาธิมากก็ได้
          ถ้าพูดกันง่ายๆ ปัญญาเห็นเลย เห็นไปเลย ก็ละไปเลย สงบ
ไปเลย ได้ความสบายเพราะอันนั้นมันเห็นชัด มันเห็นจริง เชื่อมั่นยืน
ยันเป็นพยานตนเองได้ นี่จริตของคนบางคนเป็นไปอย่างนี้ แต่จะ
อย่างไรก็ช่าง มันก็ต้องทำลายความเห็นผิดออก เหลือแต่ความเห็น
ถูก ทำลายความฟุ้งซ่านออก เหลือแต่ความสงบ มันก็จะลงไปสู่จุด
เดียวกัน
          บางคนปัญญาน้อย นั่งสมาธิง่าย สงบ สงบเร็วที่สุด ไว แต่
ไม่ค่อยมีปัญญา ไม่ทันกิเลสทั้งหลาย ไม่รู้เรื่องกิเลสทั้งหลาย แก้
ปัญหาไม่ค่อยได้ พระโยคาวจรเจ้าผู้ปฏิบัติ มีสองหน้าอย่างนี้ ก็คู่กัน
เรื่อยไป แต่ปัญญาหรือวิปัสสนา กับ สมถะ มันก็ทิ้งกันไม่ได้ คาบ
เกี่ยวกันไปเรื่อยๆอย่างนี้
          ทีนี้ถ้ามันชัดแจ้งในความสงบ เมื่อมีอารมณ์มาผ่าน มีนิมิต
ขึ้นมาผ่าน ก็ไม่ได้สงสัยว่า “เคลิ้มไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?” “หลงไป
หรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?” “ลืมไปหรือเปล่าหนอเมื่อกี้นี้?” “หลับไปหรือ
เปล่าหนอเมื่อกี้นี้?” จิตขณะนี้สงสัย หลับก็ไม่ใช่ ตื่นก็ไม่ใช่ นี่มันคลุม
เครือ เรียกว่า มันมั่วสุมอยู่กับอารมณ์ ไม่แจ่มใส เหมือนกันกับพระ
จันทร์เข้าก้อนเมฆ มองเห็นอยู่แล้ว แต่ไม่แจ่มแจ้ง มัวๆ ไม่เหมือนกับ
พระจันทร์ออกจากก้อนเมฆนั้นแจ่มใสสะอาด จิตเราสงบ มีสติ
สัมปชัญญะรอบคอบสมบูรณ์แล้ว จึงไม่สงสัยในอาการทั้งหลายที่
เกิดขึ้น จะหมดจากนิวรณ์จริงๆ รู้ว่าอันใดเกิดขึ้นมาเป็นอันใดหมด
ทุกอย่าง รู้แจ้ง รู้เรื่องตามเป็นจริงได้ไม่สงสัย อันนั้นเป็นดวงจิตที่ใส
สะอาด สมาธิถึงขีดแล้วเป็นเช่นนั้น
          ระยะหลังๆ มาก็เป็นไปในรูปอย่างนี้ทำนองนี้ เป็นเรื่องธรรม
ดาของมัน ถ้าจิตแจ่มแจ้วผ่องใสแล้ว ไม่ต้องไปถามว่า ง่วงหรือไม่ง่วง
ใช่หรือไม่ใช่ ทั้งหลายเหล่านี้ มันก็ไม่มีอะไร ถ้ามันชัดเจนก็เหมือนเรา
นั่งธรรมดาอย่างนี้เอง นั่งเห็นธรรมดา หลับตาก็เหมือนลืมตา เห็นใน
ขณะหลับตาก็เหมือนลืมตามา เห็นทุกอย่างสารพัดไม่มีความสงสัย
เพียงแต่เกิดอัศจรรย์ขึ้นในดวงจิตของเราว่า “เอ๊ะ! สิ่งเหล่านี้มันก็เป็น
ของมันไปได้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันก็เป็นของมันได้” อันนี้จะ
วิพากษ์วิจารณ์มันเองไปเรื่อยๆ ทั้งมีปีติ ทั้งมีความสุขใจ มีความอิ่ม
ใจ มีความสงบ เป็นเช่นนั้น
          ต่อนั้นไป จิตมันจะละเอียดไปยิ่งกว่านั้น มันก็จะทิ้งอารมณ์
ของมันไปด้วย วิตกยกเรื่องขึ้นมาก็จะไม่มี และเรื่องวิจารณ์มันก็จะ
หมด จะเหลือแต่ความอิ่มใจ อิ่มไม่รู้ว่าอิ่มอะไร แต่มันอิ่ม เกิดความ
สุขกับอารมณ์เดียว นี่มันทิ้งไป วิตกวิจารณ์มันทิ้งไป ทิ้งไปไหน? ไม่
ใช่เรื่องทิ้ง จิตเราหดตัวเข้ามา คือมันสงบ เรื่องวิตกวิจารณ์มันเป็น
ของหยาบไปแล้วมันเข้ามาอยู่ในที่นี้ไม่ได้ ก็เรียกว่าทิ้งวิตก ทิ้งวิจารณ์
ทีนี้จะไม่มีความวิตก ความยกขึ้นวิจารณ์ ความพิจารณาไม่มี มีแต่
ความอิ่ม มีความสุข และมีอารมณ์เดียวเสวยอยู่อย่างนั้น
          ที่เขาเรียกว่า ปฐมฌาณ ทุติยฌาณ ตติยฌาณ จตุตถฌาณ
เราไม่ได้ว่าอย่างนั้น เราพูดถึงแต่ความสงบ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข
เอกัคคตา ต่อไปนี้ก็ทิ้งวิตก วิจารณ์ เกิดขึ้นมาแล้วก็ทิ้งไป เหลือแต่
ปีติ กับสุข เอกัคคตา ต่อไปก็ทิ้งปีติอีก เหลือแต่สุขกับเอกัคคตา ต่อ
ไปก็มีแต่เอกัคคตากับอุเบกขา มันไม่มีอะไรแล้ว มันทิ้งไป เรียกว่าจิต
มันสงบๆๆๆ จบไปถึงอารมณ์มันน้อยที่สุด ยังเหลืออยู่แต่โน้น ถึง
ปลายมัน เหลือแต่เอกัคคตากับอุเบกขา เฉยอย่างนี้ อันนี้มันสงบแล้ว
มันจึงเป็น นี่เรียกว่ากำลังของจิต อาการของจิตที่ได้รับความสงบแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนี้มันไม่ง่วง ความง่วงเหงาหาวนอนมันเข้าไม่ได้ นิวรณ์
ทั้งห้ามันหนีหมด วิจิกิจฉา ความสงสัยลังเล อิจฉา พยาบาท ฟุ้งซ่าน
รำคาญ หนี เหล่านี้ไม่มีแล้ว นี่มันค่อยเลื่อนไปเป็นระยะอย่างนั้น นี่
อาศัยการกระทำให้มาก เจริญให้มาก

สติ สิ่งที่ช่วยรักษาสมาธิ
          สิ่งที่รักษาสมาธินี้ไว้ได้ คือสติ สตินี้เป็นธรรม เป็นสภาวะ
ธรรมอันหนึ่ง ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆทั้งหลายเกิดขึ้นได้โดยพร้อมเพรียง
กัน สตินี้ก็คือชีวิต ถ้าขาดสติเมื่อไดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติเมื่อใดก็
เป็นคนประมาท ในระหว่างขาดสตินั้น พูดไม่มีความหมาย การกระ
ทำไม่มีความหมาย ธรรมคือสตินี้ คือความระลึกได้ในลักษณะใดก็
ตาม สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเกิดขึ้นมาได้ เป็นเหตุให้ปัญญาเกิด
ขึ้นมาได้ ทุกสิ่งสารพัด
          ธรรมทั้งหลายถ้าหากว่าขาดสติ ธรรมทั้งหลายนั้นไม่สมบูรณ์
อันนี้คือการควบคุม การยืน การเดิน การนั่ง การนอน ไม่ใช่แต่เพียง
ขณะนั่งสมาธิเท่านั้น แม้เมื่อเราออกจากสมาธิไปแล้ว สติก็ยังเป็นสิ่ง
ประจำใจอยู่เสมอ มีความรู้อยู่เสมอ เป็นของที่มีอยู่เสมอ ทำอะไรก็
ต้องระมัดระวัง เมื่อระมัดระวังทางจิตใจ ความอายมันก็เกิดขึ้นมา
การพูด การกระทำอันใดที่ไม่ถูกต้อง เราก็อายขึ้น อายขึ้น เมื่อความ
อายกำลังกล้ามากขึ้น ความสังวรก็มากขึ้นด้วย เมื่อความสังวรมาก
ขึ้น ความประมาทก็ไม่มี
          นี่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น เราจะไปไหนก็ตาม
อันนี้มันอยู่ในจิตของตัวเอง มันไม่ได้หนีไปไหน นี่ท่านว่าเจริญสติ ทำ
ให้มาก เจริญให้มาก อันนี้เป็นธรรมะคุ้มครองรักษากิจการที่เราทำอยู่
หรือทำมาแล้ว หรือกำลังจะทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นธรรมะที่มีคุณ
ประโยชน์มาก ให้เรารู้ตัวอยู่ทุกเมื่อ ความเห็นผิดชอบก็มีอยู่ทุกเมื่อ
เมื่อความเห็นผิดชอบมีอยู่ เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ ความละอายก็เกิดขึ้น
จะไม่ทำสิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ไม่ดี เรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
          เมื่อรวมยอดเข้ามา มันจะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา คือ การ
สังวรสำรวมที่มีอยู่ในกิจการของตนนั้น ก็เรียกว่าศีล ศีลสังวร ความ
ตั้งใจมั่นอยู่ในความสังวรสำรวมในข้อวัตรของเรานั้น ก็เรียกว่ามัน
เป็นสมาธิ ความรอบรู้ทั้งหลายในกิจการที่เรามีอยู่นั้น ก็เรียกว่า
ปัญญา พูดง่ายๆก็คือ จะมีศีล จะมีสมาธิ จะมีปัญญา ศีลก็ดี สมาธิ
ก็ดี ปัญญาก็ดี เมื่อมันกล้าขึ้นมามันก็คือมรรค นี่แหละหนทาง ทาง
อื่นไม่มี
 
 

หมายเหตุจากผู้จัดทำ
          เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ นอกเหตุเหนือผล ซึ่งจัดพิมพ์โดย สำนัก
พิมพ์ ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
          ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ยังคงเนื้อความไว้ตามเดิมทุกประการ