การบรรยายธรรมของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
เรื่อง
การปล่อยวาง
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ สถานที่ ผู้ฟัง และวันที่บรรยาย
 
 

การปล่อยวาง
          การที่เราอยู่ร่วมกันนี้จะต้องมีระเบียบ ระเบียบเป็นสิ่งที่จำ
เป็นสำหรับคนหมู่มาก ไม่ใช่จำเป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้น อยู่คนเดียวก็
ต้องมีระเบียบ อย่างพระวินัย พระวินัยสมัยก่อนนี้มีนิดเดียว พระสงฆ์
ที่มาบวชในพระพุทธศาสนามีมากขึ้น ต่างคนต่างจะทำอะไร ก็มี
หลายเรื่อง บางคนอยากจะทำอย่างนั้น บางคนอยากจะทำอย่างนี้ ก็
มีกันมาเรื่อยๆ เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าของเราตั้งข้อกติกา คือพระ
วินัยขึ้นมา เพื่อเป็นข้อปฏิบัติ อยู่ไปนานๆก็มีคนบางคน ก็ทำเรื่องมา
อีกหลายอย่าง ดังนั้นพระวินัยจึงไม่มีทางจบสิ้น หลายล้านสิกขาบท
แต่ก็ยังไม่จบ พระวินัยไม่มีทางจบลงได้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรม เรื่อง
ธรรมะนี้มีทางจบ ก็คือ การปล่อยวาง
          เรื่องพระวินัยก็คือเอาเหตุผลกัน ถ้าเอาเหตุผลกันแล้วไม่จบ
หรอก สมัยหนึ่งอาตมาไปบริหารพระสามสี่องค์ ไปอยู่ในป่า ไฟไม่
ค่อยจะมี เพราะอยู่บ้านป่า องค์หนึ่งก็ได้หนังสือธรรมะมาอ่าน อ่าน
อยู่ที่หน้าพระประธานที่ทำวัตรกัน อ่านอยู่ก็ทิ้งตรงนั้น แล้วก็หนีไป
ไฟไม่มีมันก็มืด พระองค์มาทีหลังก็มาเหยียบหนังสือ จับหนังสือขึ้น
มาก็โวยวายว่า “พระองค์ไหนไม่มีสติ ทำไมไม่รู้จักที่เก็บหนังสือ”
สอบสวนถามก็ไปถึงพระองค์นั้น พระองค์นั้นก็รับปากว่า “ผมเอา
หนังสือเล่มนี้ไว้ที่นี่” “ทำไมท่านไม่รู้จักที่เก็บหนังสือ ผมเดินมา
เหยียบหนังสือนี้” “โอ อันนั้นเป็นเพราะท่านไม่สำรวมต่างหากเล่า”
เห็นไหม มันมีเหตุผลอย่างนั้น จึงเถียงกัน องค์นั้นบอกว่า “เพราะ
ท่านไม่เอาไปไว้ในที่เก็บ ท่านไม่รู้จักเก็บหนังสือ ท่านจึงไว้อย่างนี้”
องค์นี้บอกว่า “เป็นเพราะท่านไม่สำรวม ถ้าท่านสำรวมแล้ว คงไม่เดิน
เหยียบหนังสือเล่มนี้” มีเหตุผลว่าอย่างนั้น มันก็เกิดเรื่องทะเลาะกัน
ทะเลาะกันไม่จบ ด้วยเรื่องเหตุผล
          เรื่องธรรมะที่แท้จริงนั้น ต้องทิ้งเหตุทิ้งผล คือธรรมะมันสูง
กว่านั้น ธรรมะที่พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้ ระงับกิเลสทั้งหลายได้นั้น
มันอยู่นอกเหตุเหนือผล ไม่อยู่ในเหตุ อยู่เหนือผล ทุกข์มันจึงไม่มี สุข
มันจึงไม่มี ธรรมนั้นท่านเรียกว่าระงับ ระงับเหตุ ระงับผล ถ้าพวกใช้
เหตุผลอยู่อย่างนี้ เถียงกันตลอดจนตายเหมือนพระสององค์นั้น
          ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ต้องอยู่นอกเหตุเหนือผล นอกสุข
เหนือทุกข์ นอกเกิดเหนือตาย ธรรมนี้มันเป็นธรรมที่ระงับ คนเราก็มา
สงสัยอยู่นี่แหละ ผู้ชายยิ่งสงสัยมาก ความสงสัยนี่เป็นตัวสำคัญ มี
เหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะตายอยู่แล้ว (หัวเราะ) มันไม่ใช่ธรรม
ของพระพุทธองค์ ธรรมนั้นเป็นข้อปฏิบัติ เป็นทางเดิน เดินไปเท่านั้น
ถ้ามัวคิดว่าเมื่อไปถึงนี่ ฉันจะสุขเหลือเกิน ไม่ได้ ฉันนี้จะทุกข์เหลือ
เกิน ไม่ได้ แต่ถ้าฉันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ นี่คือมันระงับแล้ว สงสัยไม่มี
          ตรงโน้นมันจะมีอยู่ตรงไหน มันก็อยู่ตรงที่ปฏิบัติไปเรื่อยๆ สุข
เกิดขึ้นมา ทุกข์เกิดขึ้นมา เรารู้มันทั้งสองอย่างนี้ สุขก็สักว่าสุข ทุกข์ก็
สักว่าทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัวตนเราเขา ธรรมนี้เกิดขึ้นแล้วดับ
ไป เกิดขึ้นมาดับไปเท่านั้น จะเอาอะไรกับมัน สงสัยทำไมมันเกิด
อย่างนั้น เมื่อเกิดอีกทำไมมันไปอย่างนั้นละ สงสัยอย่างนี้มันเป็นทุกข์
ปฏิบัติไปจนตายก็ไม่รู้เรื่อง มันทำให้เกิดเหตุ ไม่ระงับเหตุของมัน
          ความเป็นจริง ธรรมที่พวกเราปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ ธรรมนี้นำเรา
ไปสู่ความสงบ สงบจากอะไร จากสิ่งที่ชอบใจ จากสิ่งที่เราไม่ชอบใจ
ถ้าเราชอบสิ่งที่เราชอบใจ ไม่ชอบสิ่งที่เราไม่ชอบใจ มันไม่หมด ธรรม
นี้ไม่ใช่ธรรมระงับ ธรรมนี้เป็นธรรมก่อทุกข์ขึ้นมา ให้เข้าใจอย่างนั้น
          ฉะนั้นเราจึงสงสัยตลอดเวลา แหม วันนี้ฉันได้มาแล้ว พรุ่งนี้
ทำไมมันหายไปแล้ว มันหายไปไหน ฉันนั่งเมื่อวานนี้มันสงบดีเหลือ
เกิน ทำไมวันนี้มันวุ่นวาย มันไม่สงบเพราะอะไร อย่างนี้ก็เพราะเรา
ไม่รู้เหตุของมัน ครั้นปล่อยวางว่ามันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ เห็นไหม
มันเป็นอยู่ของมันอย่างนี้วันนี้มันสงบแล้ว เออไม่แน่นอนหนอ เราต้อง
เห็นโทษมันอย่างนี้ สงบแล้วมันก็ไม่แน่นอน ฉันไม่ยึดมั่นไว้ สงบก็
สงบเถอะ ความไม่สงบก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน ฉันไม่ว่า ฉันเป็นผู้ดู
เท่านั้น ที่สงบฉันก็รู้ว่าเรื่องมันสงบ ที่ไม่สงบฉันก็รู้ว่าไม่สงบ แต่ว่าฉัน
ไม่ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องที่ว่ามันสงบหรือไม่สงบ เห็นไหมเรื่องมันเป็น
ของมันอยู่อย่างนั้น อย่างนี้มันก็ระงับ มันก็ไม่วุ่นวาย มันจะสงบ ฉัน
ก็รู้ว่ามันเรื่องของมัน ฉันจะดูอยู่แค่นี้แหละ ดูเรื่องที่มันสงบ มันก็ไม่
แน่นอน ดูเรื่องที่มันวุ่นวาย มันก็ไม่แน่นอน มันแน่นอนอยู่แต่ว่า มัน
จะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เราอย่าไปเป็นกับมันเลย
          ถ้าอย่างนี้ มันก็สบายและสงบ เพราะเรารู้เรื่องมัน ไม่ใช่ว่า
เราอยากจะให้เรื่องนั้นเป็นอย่างนั้น อยากให้เรื่องนี้เป็นอย่างนี้ มัน
สงบเพราะเรารู้เรื่องว่าเป็นอย่างนั้น แล้วก็มีการปล่อยวาง เราคิดดูซิ
ว่า ถ้าคนทุกคนต้องพูดให้ถูกใจฉัน คนทุกคนต้องทำให้ถูกใจฉัน ฉัน
จึงจะสงบ ฉันจึงจะสบาย คนทั้งโลกจะให้เขามาพูดถูกใจเรามีไหม
จะมาทำถูกใจเราทุกคนมีไหม ไม่มี เมื่อไม่มี เราก็เป็นทุกข์อยู่ตลอด
เวลา ถ้าเราไม่มีการปล่อยวาง เราเกิดมาในชีวิตหนึ่ง เราจะหาความ
สงบว่า คุณต้องพูดให้ถูกใจฉัน คุณต้องทำให้ถูกใจฉัน ฉันจึงจะ
สบาย ในชีวิตหนึ่งจะได้สบายไหมคนเรา คุณต้องพูดให้ถูกใจฉัน คุณ
ต้องทำให้ถูกใจฉัน ฉันจึงจะสงบ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่สงบ คนคนนี้
เกิดมาไม่รู้กี่ชาติก็ไม่มีความสงบ เพราะคนหลายคนใครจะมาพูดให้
ถูกใจเราทุกคน ใครจะมาทำให้ดีทุกคน มันไม่มีหรอกอย่างนี้ นี่มัน
เป็นธรรมะ เราจะต้องศึกษาอย่างนี้
          ฉะนั้นเราจะต้องอดทน อดทนต่ออารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมา อย่า
ไปหมายมั่น อย่าไปยึดมั่น จับมาดูแล้วรู้เรื่อง เราก็ปล่อยมันไปเสีย
เขาจะพูดอย่างไรก็รับฟังมันไปเถอะ มันจะทำอย่างไรก็ระวังไว้ มัน
เป็นอย่างนั้นของมัน เราต้องถอยกลับมาอยู่ตรงนี้ เราก็มีความสบาย
          อารมณ์ก็เหมือนกันฉันนั้น ที่มันมากระทบเราอยู่ทุกวันนี้
บางทีก็ร้าย บางทีก็ดี บางทีก็ชอบใจ บางทีก็ไม่ชอบใจ คนทุกๆคนนั่ง
อยู่ในนี้ก็เหมือนกัน จะทำให้ถูกใจเราทุกคนมีไหม มันไม่ได้ นอกจาก
เราปฏิบัติธรรมให้รู้ว่า คนคนนี้มันเป็นอย่างนี้ นานาจิตตังไม่เหมือน
กัน
          เราจำเป็นต้องอบรมใจของเราทุกๆคน เมื่อมันโกรธขึ้น ก็ดู
ความโกรธ ความโกรธนี้มันมาจากไหน เราให้มันโกรธหรือเปล่า ดูว่า
มันดีไหม ทำไมเราถึงชอบมัน ทำไม่เราถึงไม่ทิ้งมัน เมื่อโกรธขึ้นมา
แล้วไม่ดี ไม่ดีเราเก็บมันไว้ทำไม ก็เป็นบ้าเท่านั้น ทิ้งมันเสียถ้าเห็นว่า
มันไม่ดี มันก็จะไปในทำนองนี้
          เมื่ออยู่ด้วยกันกับคนมากๆ มันก็ยิ่งให้การศึกษาเรามากที่สุด
ให้มันวุ่นวายเสียก่อน ให้รู้เรื่องของความวุ่นวายเสียก่อน มันจึงจะถึง
ความสงบ อย่าหนีไปที่ไหน พระอานนท์กับพระพุทธเจ้าของเราใน
สมัยก่อน ไปบิณฑบาตบ้านมิจฉาทิฐิ พอไปถึงหน้าบ้าน พระพุทธ
องค์ก็สะพายบาตรยืนเฉย ท่านก็สบาย เพราะท่านเข้าใจว่า เรายืน
อยู่เฉยๆ มันไม่บาปหรอก เขาจะให้ก็ไม่เป็นไร เขาจะไม่ให้ก็ไม่เป็นไร
ท่านยืนอยู่เฉยๆ พระอานนท์เดินย่ำเท้าไปมา อายเขา คิดว่าพระพุทธ
องค์นี้อยู่ทำไม ถ้าเขาไล่ก็น่าจะหนีไป เขายังไม่ให้ก็ยังทนอยู่ ไม่ก่อ
ประโยชน์อะไรเลย พระพุทธองค์ก็เฉย จนกว่าสุดวิสัยแล้วก็ไป บางที
เขาก็ให้ ให้ในฐานที่ไม่เคารพ พระพุทธเจ้าก็เอา เขาให้พระพุทธเจ้าก็
เอา ท่านไม่หนีไปไหน ไม่เหมือนพระอานนท์
          พอกลับมาถึงอาราม พระอานนท์ก็กราบถามพระพุทธองค์
ถามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรงไหนที่เขาไม่ใส่บาตรให้เรา
เราจะไปยืนอยู่ทำไม มันเป็นทุกข์ อายเขา เขาไม่ให้ก็รีบไปที่อื่นเสียดี
กว่า” พระพุทธองค์ทรงตรัส “อานนท์ ตรงนี้ถ้าเรายังไม่ชนะมัน ไปที่
อื่นก็ไม่ชนะ ถ้าเราชนะอยู่ที่นี่ ไปที่อื่นเราก็ชนะ” พระอานนท์ว่า
“ชนะไม่ชนะไม่รู้เรื่องแหละ อายเขา” “อายทำไมอานนท์ อย่างนี้มัน
ผิดหรือเปล่า เป็นบาปไหม เรายืนอยู่เขาไม่ให้ก็ไม่เป็นไร” พระ
อานนท์ก็บอกว่า “อาย” “อายทำไม เรายืนอยู่เฉยๆ มันเป็นบาปที่
ไหน อานนท์เราจะต้องทำอยู่อย่างนี้ ถ้าเราชนะมันตรงนี้ ไปที่ไหนมัน
ก็ชนะ แต่ถ้าเขาไม่ให้เราก็ไปที่โน่น ถ้าไปที่โน่นแล้ว เขาไม่ให้เราจะไป
ไหน อานนท์” “ไปอีก ไปบ้านโน้นอีก” “ถ้าหากบ้านโน้นเขาก็ไม่ให้
เราจะไปตรงไหน” “ไปตรงโน้นอีก” “เลยไปไม่มีหยุดเลย อานนท์ ถ้า
เราไม่ชนะตรงนี้ ไปข้างหน้ามันก็ไม่ชนะ ถ้าเราชนะอยู่ที่นี่แห่งเดียว
ไปที่อื่นมันก็ชนะทั้งนั้น อานนท์เข้าใจผิดแล้ว ไม่ต้องอายสิ”
          พระองค์ตรัสว่าอะไรเป็นบาป อันนั้นท่านให้อาย อะไรที่ไม่
เป็นบาปจะอายทำไม ใครอายก็โง่เท่านั้น ภาวนายังไม่เป็นเลย ถ้า
อายอย่างนั้น เราจะไปอยู่ตรงไหนถึงจะมีปัญญา ถ้าไปอยู่คนเดียวไม่
มีใครพูดดีพูดชั่วให้ มันก็สบาย แต่เราจะไม่รู้เรื่อง สบายอย่างนี้มันไม่
มีปัญญา ถ้าถูกอารมณ์แล้วปัญญามันไม่มี ก็เป็นทุกข์อย่างนั้น
          ฉะนั้นเราอยู่ในโลก ก็ต้องมีความสัมพันธ์กับมนุษย์เรื่อยไป
เป็นธรรมดา ไม่อยากเป็นมันก็เป็น ไม่อยากจะอยู่มันก็อยู่ เป็นไปอยู่
อย่างนั้น ให้เรามาพิจารณาอย่างนั้น เราต้องกลับมาย้อนพิจารณา
อารมณ์ ที่ท่านตรัสว่า นินทาสรรเสริญมันเป็นคู่กันมา เรื่องนินทา
เรื่องสรรเสริญเป็นธรรมดาของโลก ถ้าไม่ดีเขาก็นินทา ถ้าดีเขาก็
สรรเสริญ พระพุทธองค์ท่านไม่เห็นแก่นินทา ไม่เห็นแก่สรรเสริญ จง
เรียนสรรเสริญให้มันรู้จัก จงมาเรียนนินทาให้มันรู้จัก ให้รู้จัก
สรรเสริญกับนินทา สรรเสริญ นินทามันก็มีผลมีเหตุเท่ากัน นินทาเรา
ก็ไม่ชอบ นี่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ถ้าสรรเสริญเราชอบ
          สิ่งที่เราชอบมันพาให้เราทุกข์มีไหม เช่นว่า เรามีเพชรสักก้อน
หนึ่ง เราชอบมาก ชอบกว่าก้อนหินธรรมดา เอาวางไว้ ถ้ามีขโมยมา
หยิบเอาก้อนเพชรไป เราจะเป็นอย่างไร นั่นของดีมันหาย ทำให้เรา
เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องอดทนต่อสู้ ให้เรามีสติคุ้มครอง
จิตของเรา สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว อันนี้ช่วย
ประคับประคองดวงใจของเราให้อยู่กับธรรมะ สติระลึกได้ว่า บัดนี้เรา
จะจับไม้เท้า เมื่อเราจับไม้เท้าอยู่เราก็รู้ว่าเราจับไม้เท้านี่เป็น
สัมปชัญญะ ถ้าเรารู้อยู่ในขณะนี้ ขณะเมื่อเราจะทำ หรือเมื่อเราทำ
อยู่ ก็รู้ตามความเป็นจริงของมันอยู่อย่างนั้น อันนี้แหละที่จะช่วย
ประคับประคองใจของเราให้รู้ธรรมะที่แท้จริง
          ทีนี้ถ้าหากว่า เราเผลอไปนาทีหนึ่ง ก็เป็นบ้าไปนาทีหนึ่ง เรา
ไม่มีสติสองนาที เราก็เป็นบ้าสองนาที ถ้าไม่มีสติครึ่งวัน เราก็เป็นบ้า
อยู่ครึ่งวัน เป็นอย่างนี้
          สตินี้คือความระลึกได้ เมื่อเราจะพูดจะทำอะไร ต้องรู้ตัว เรา
ทำอยู่ เราก็รู้ตัวอยู่ ระลึกได้อยู่อย่างนี้ คล้ายๆกับเราขายของอยู่ใน
บ้านเรา เราก็ดูแลของของเราอยู่ คนจะเข้ามาซื้อของหรือจะมาขโมย
ของของเรา ถ้าเราสะกดรอยมันอยู่เสมอ เราก็รู้เรื่องว่า คนคนนี้มันมา
ทำไม เราจับอาวุธของเราไว้อยู่อย่างนี้ คือเรามองเห็น พอเราขโมยมัน
เห็นเรา มันก็ไม่กล้าจะทำเรา
          อารมณ์ก็เหมือนกัน ถ้ามีสติรู้อยู่ มันจะทำอะไรเราไม่ได้
อารมณ์มันจะทำให้เราดีใจอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ มันไม่แน่นอน
หรอก เดี๋ยวมันก็หายไป จะไปยึดมั่นถือมั่นทำไม อันนี้ฉันไม่ชอบ อัน
นี้ก็ไม่แน่นอนหรอก ถ้าอย่างนี้ อารมณ์นั้นมันก็เป็นโมฆะเท่านั้น เรา
สอนตัวของเราอยู่ เรามีสติอย่างนี้ เราก็รักษาอย่างนี้เรื่อยๆไป ทำ
เรื่อยๆไป ตอนกลางวัน ตอนกลางคืน ตอนไหนๆก็ตาม
          เมื่อเรายังมีสติอยู่ เมื่อนั้นแหละเราได้ภาวนาอยู่ การภาวนา
ไม่ใช่ว่า เราจะนั่งสมาธิอย่างเดียว ยืนเดินนั่งอยู่เราก็รู้จัก นอนอยู่เรา
ก็รู้จัก เรารู้จักตัวของเราอยู่เสมอ จิตเรามีความประมาทเราก็รู้จัก ไม่
มีความประมาทเราก็รู้จักของเราอยู่ ความรู้อันนี้แหละที่เรียกว่า พุธโธ
เรารู้เห็นนานๆ พิจารณาดีๆ มันก็รู้จักเหตุผลของมัน มันก็รู้เรื่อง
          ยกตัวอย่างเช่น ชาวตะวันตกมาอยู่ในประเทศไทย อยู่ไป
เฉยๆอย่างนั้น ความที่อยู่ติดต่อใกล้ชิดกันไป ถึงแม้พูดภาษาไม่รู้เรื่อง
ก็ตาม แต่มันรู้เรื่องเข้าจนได้ เห็นไหม มองดูหน้ากันรู้เรื่องกัน ถึงพูด
ภาษาไม่รู้เรื่อง แต่ก็อยู่กันไปได้ มันรู้กันด้วยวิธีนี้ ไม่ต้องพูดกัน
ทำงานก็ต่างคนต่างทำ ทำอยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ ไม่รู้จักพูดกัน มันก็
ยังรู้เรื่องกัน อยู่ด้วยกันได้ รู้ได้โดยอากัปกิริยาที่ว่ารักกันหรือชอบกัน
อะไรมันก็รู้ของมันอยู่อย่างนี้ เป็นอย่างนั้น เหมือนกันกับแมวกันสุนัข
มันไม่รู้ภาษา แต่ว่ามันก็รู้จักรักเจ้าของเหมือนกัน แมวหรือสุนัขมันอยู่
บ้านเรา ถ้าเรามาถึงบ้าน สุนัขมันก็วิ่งไปทำความของคุณด้วยเห็น
ไหม ถ้าเรามาจากตลาด หรือมาจากที่อื่นมาถึงบ้าน แมวอยู่ที่บ้านเรา
มันก็มาทำความขอบคุณ มันจะร้องว่าเหมียวๆ มันมาเสียดมาสีเรา
แต่ภาษามันไม่รู้ แต่จิตของมันรู้อย่างนั้น
          อันนี้เราก็อยู่ไปได้อย่างนั้น เราต้องให้เข้าใจกันอย่างนั้น เรา
ปฏิบัติธรรมะบ่อยๆ จิตมันก็คุ้นเคยกับธรรมะ เช่นว่าความโกรธเกิด
ขึ้นมา มันเป็นทุกข์ พระท่านว่ามันเป็นทุกข์มาแล้ว ชอบทุกข์ไหม ไม่
ชอบ แล้วเอาไว้ทำไมถ้าเราไม่ชอบ จะยึดเอาไว้ทำไม ทิ้งมันไปซิ ถ้า
ทุกข์มันเกิดล่ะ คุณชอบทุกข์หรือเปล่า ไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบทุกข์แล้ว
ยึดไว้ทำไม ก็ทิ้งมันเสียซิ ท่านก็สอนทุกวันๆ ก็รู้เข้าไปๆ ทุกข์มันเกิด
ขึ้นมาครั้งหนึ่ง เราก็รู้จักคำสอนครั้งหนึ่ง ทุกข์มันเกิดมาครั้งหนึ่ง เรา
ก็รู้จักคำสอนครั้งหนึ่ง ทุกข์เราก็ไม่ชอบ ไม่ชอบทุกข์แต่เราไปยึดไว้
ทำไม สอนอยู่เรื่อยๆ บางทีก็เห็นชัด เห็นชัดก็ค่อยๆวาง วางไปก็เป็น
เรื่องธรรมดาอย่างเก่า ทีหนึ่งก็ดี สองทีก็ดี สามทีก็ดี มันก็เกิด
ประโยชน์แล้ว เกิดรู้เรื่องขึ้นแล้ว
          เมื่อมันเกิดความรู้เฉพาะตัวของเรา เราจะนั่งอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็
ดี นอนอยู่ก็ดี พูดภาษาไม่เป็น แต่จิตเรารู้ภาษาธรรมะ เราปิดปาก
ตรงนี้ไว้ ปิดปากกาย แต่เปิดปากใจนี้ไว้ ใจมันพูด นั่งอยู่เงียบๆยิ่งพูด
ดี พูดกับอารมณ์ รู้อารมณ์เสมอ นี่เรียกว่า ปากใน นั่งอยู่เฉยๆ เราก็รู้
จัก พูดอยู่ข้างใน รู้อยู่ข้างใน ไม่ใช่คนโง่ คนรู้อยู่ข้างใน รู้จักอารมณ์
สั่งสอนตัวเองก็เพราะอันนี้
          ชีวิตของเรานี้ มันแก่ทุกวัน เกิดมามีการยกเว้นไม่แก่บ้างไหม
วันคืนของเรานี้ ตอนเช้า ตอนเที่ยง ตอนเย็น ตอนค่ำ มันยกเว้นอายุ
เราไหม วันนี้มันก็ให้แก่ พรุ่งนี้มันก็ให้แก่ นอนหลับอยู่มันก็ให้แก่ ตื่น
อยู่ก็ให้โตขึ้น ตามเรื่องของมัน เรียกว่าปฏิปทาของมันสม่ำเสมอเหลือ
เกิน เราจะนอนอยู่ มันก็ทำงานของมันอยู่ เราจะเดิน มันก็ทำงาน คือ
ความโตของเรานี่แหละ กลางวันมันก็โต กลางคืนมันก็โต จะนั่งจะ
นอนมันมีความโตของมันอยู่ เพราะชีวิตประจำวันมันเปลี่ยนแปลงอยู่
เสมอ ร่างกายเรามันได้อาหาร มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นี่เรียกว่า
ปฏิปทาของมัน มันจึงทำให้เราโต จนไม่รู้สึกดูเหมือนกับไม่ได้ทำอะไร
เลย มันก็โตของมันเอง แต่สิ่งที่เราทำคือเรากินอาหาร กินข้าว ดื่มน้ำ
นั่นเป็นเรื่องของเรา เรื่องร่างกาย มันจะโตจะอ้วน มันก็เป็นของมัน
เราก็ทำงานของเรา สังขารมันก็ทำงานของสังขาร มันไม่พลิกแพลง
อะไร ที่ปฏิปทาของมันติดต่อกันอยู่เสมอ
          การทำความเพียรของเราก็เหมือนกัน ต้องพยายามอยู่อย่าง
นั้น เราจะต้องมีสติติดต่อกันอยู่อย่างนั้นเสมอ มีความรู้ติดต่อกันอยู่
เสมอเป็นวงกลม จะไปถอนหญ้าก็ได้ จะนั่งอยู่ก็ได้ จะทานอาหารก็
ได้ จะกวาดบ้านอยู่ก็ได้ ต้องไม่ลืม มีความรู้ติดต่ออยู่เสมอ ตัวนี้มันรู้
ธรรมะ มันจะพูดอยู่เรื่อยๆ ใจข้างในมันจะพูดอยู่เรื่อยๆ เป็นอยู่อย่าง
นั้นมีความรู้อยู่ มีความตื่นอยู่ มีความเบิกบานอยู่สม่ำเสมออย่างนั้น
นั้นเรียกว่าเป็นประโยชน์มาก ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย อะไรมันเกิดขึ้น
มา เราก็เห็นว่าอันนี้มันไม่แน่นอน มันไม่เที่ยง อันนั้นก็ดี แต่ว่ามันไม่
แน่นอน มันไม่เที่ยง เท่านี้ละ เราก็รู้ของเราไปเรื่อยๆ เท่านั้นแหละ
การปฏิบัติของเรา
          มีคนถามว่า การทำภาวนานี้ ต้องอธิษฐานหรือไม่ ว่าจะทำ
เวลานานเท่าไร ห้าหรือสิบนาที อาตมาเลยบอกว่า “ไม่แน่นอน” บาง
ทีอธิษฐานว่าฉันจะนั่งสามชั่วโมง นั่งไปได้สิบนาทีก็เดือดร้อนแล้ว ไม่
ถึงชั่วโมงก็หนีไปแล้ว เมื่อหนีไปแล้วก็มานั่งคิดว่า แหม “เรานี้พูด
โกหกตัวเอง” เอาแต่โทษตัวเองอยู่ ไม่สบายใจ บางทีก็เอาธูปสักดอก
หนึ่งมาจุด อธิษฐานจิตใจว่า “ไฟจุดธูปดอกนี้ไม่หมดฉันจะไม่ลุกหนี
ฉันจะพยายามอยู่อย่างนี้” พอท่านพูดอย่างนี้ พญามารก็มาแล้ว นั่ง
เข้าไปสักนิด นั่นทุกข์หลายเหลือเกิน เดี๋ยวมดกัด เดี๋ยวยุงกัด มันวุ่น
ไปหมด จะลุกหนีไปก็อธิษฐานแล้ว นี่มันตกนรก นึกว่านานเต็มทีแล้ว
ลืมตามองดู ธูปยังไม่ถึงครึ่งเลย หลับตาอธิษฐานใหม่ต่อไปอีก สามที
สี่ที ธูปก็ยังไม่หมด เลยก็มาคิด “เรานี่มันไม่ดีเหลือเกิน โกหกตัวของ
ตัวอยู่” เลยวุ่นยิ่งกว่าเก่าอีก “เรานี้เป็นคนไม่ดี เป็นคนอัปรีย์จัญไร
เป็นคนโกหกพระพุทธเจ้า โกหกตัวเอง” เกิดบาปขึ้นมาอีก อาตมา
เห็นว่าต้องพยายามทำไปเรื่อยๆ พอสมควรที่จะเลิกก็เลิก เหมือนกัน
กับเราทานข้าว เราอธิษฐานมันเมื่อไร ทานไปทานไป มันจวนจะอิ่ม
จะพอ เราก็เลิกมันเมื่อนั้น กินมากไปมันก็อาเจียรออกเท่านั้นแหละ
ให้มันพอดีอย่างนั้น
          เราเหมือนพ่อค้าเกวียน ต้องรู้จักกำลังโคของเรา ต้องรู้จัก
กำลังเกวียนของเรา โคของเรามีกำลังเท่าไร เกวียนของเรารับน้ำหนัก
ได้เท่าไร ต้องรู้จัก ต้องเอาตามกำลังโค ต้องเอาตามกำลังเกวียนของ
เรา (หมายเหตุ 1) อย่าเอาตามความอยากของเราสิ เรามีเกวียนลำ
เดียว อยากจะบรรทุกหนักให้ขนาดรถสิบล้อ มันก็พังเท่านั้น ก็ตาย
น่ะซิ มันต้องค่อยๆไป ค่อยๆทำอย่างนี้ ให้รู้จักของเรา ปฏิปทาเราทำ
ไปเรื่อยๆก็สบาย มันวุ่นวายก็ตั้งใหม่ มันวุ่นวายไปก็ตั้งใหม่ ถ้ามันวุ่น
วายนักก็ลุกเดินจงกรมเสียซิ เดินมันจนเหนื่อย พอเหนื่อยก็มานั่ง นั่ง
กำหนด มันเหนื่อยมันจะสงบระงับ ถ้าเดินก็พอแรง นั่งก็สมควรแล้ว
อยากพักผ่อนก็พักผ่อนเสีย แต่ว่า จิตใจอย่าลืมมีสติอยู่ทั้งเดิน ทั้งนั่ง
ทั้งนอนอยู่ ให้สม่ำเสมออย่างนั้น ให้เราเข้าใจอย่างนั้น
          การประพฤติปฏิบัติธรรมต้องไม่ย่อหย่อน จะต้องทำความ
พยายามอย่างนั้น ความอยากจะเร็วของเรา อันนี้ไม่ใช่ธรรมะ มันเป็น
ความอยากของเรา ใจอยากจะเร็วที่สุด แต่มันทำไม่ได้ ธรรมชาติมัน
เป็นอยู่อย่างนั้น เราก็กำหนดจิต ปฏิบัติตามธรรมชาติของมันอย่าง
นั้น อยากจะให้มันเร็วที่สุดนั้นไม่ใช่ธรรม มันคือความอยากของเรา
เราจะทำตามความอยากของเรานั้นไม่จบ
          ให้รู้จักดูประวัติของพระอานนท์ พระอานนท์นั้นมีศรัทธามาก
ที่สุด พรุ่งนี้เขากำหนดให้พระอรหันต์ทำปฐมสังคายนาแล้ว และคณะ
สงฆ์ก็กำหนดพระอานนท์องค์หนึ่ง ว่าจะเอาไปร่วมทำสังคายนา แต่
จะเอาเฉพาะพระอรหันต์ทั้งนั้น พระอานนท์เหลือเพียงคนเดียวเท่า
นั้นยังไม่เป็นพระอรหันต์ ไม่รู้จะทำอย่างไร พระอานนท์ก็อาศัยความ
อยาก นึกว่า เราจะต้องทำอะไรหนอ จึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์
พรุ่งนี้เขาจะนับเข้าอันดับแล้ว จะประชุมสงฆ์ทำสังคายนา ตอนกลาง
คืนก็ตั้งใจนั่ง ไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งทำอยู่อย่างนั้น อยากจะเป็นพระ
อรหันต์ กลัวจะไม่ทันเพื่อนเขา ทำไปทุกอย่าง คิดไปทางนี้ก็มีแต่
ปัญญาหยาบ คิดไปทางโน้นก็มีแต่ปัญญาหยาบ คิดไปทางไหนก็มี
แต่ปัญญาหยาบทั้งนั้น วุ่นวายไปหมด คิดไปก็จวนจะสว่าง เรานี่แย่
เราจะทำอย่างไรหนอ เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายจะทำสังคายนาแล้ว
เรายังเป็นปุถุชน จะทำอย่างไรหนอ ธรรมที่พระพุทธองค์ท่านแสดงไว้
เราพิจารณาทุกอย่างไม่ขัดข้อง แต่เรายังตัดกิเลสยังไม่ได้ ยังไม่เป็น
พระอริยะเจ้า ทำอย่างไรหนอ เลยคิดว่าเราก็ทำความเพียรมาตั้งแต่
ย่ำค่ำจนถึงบัดนี้ หรือมันจะเหนื่อยไปมากกระมัง คิดว่าควรจะพัก
ผ่อนเสียสักพักหนึ่ง เลยเอาหมอนมาจะทำการพักผ่อน เมื่อจะพัก
ผ่อน ก็ปล่อยวางทอดธุระหมดเท่านั้น ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนเลย
พอเท้าถึงพื้นเท่านั้น ตอนนั้นขณะจิตเดียว พอดีจิตมันรวมได้ ที่ตั้งใจ
ว่าจะพักผ่อน มันปล่อยวางทอดธุระ ตอนนั้นเอง พระอานนท์ได้ตรัสรู้
ธรรมตอนที่ว่า อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้
ไม่มีเวลาที่จะพักผ่อน ไม่ปล่อยวาง ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะตรัสรู้ธรรม
          ให้เข้าใจว่าการที่ตรัสรู้ธรรมนั้น มันพร้อมกับการปล่อยวาง
ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ว่าเราจะเร่งมันให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ด้วยเห็น
ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น พอพักผ่อน พอวางเข้าปุ๊บ ตรงนั้นไม่มีอะไรเข้า
มายุ่ง ไม่มีความอยากเข้ามายุ่ง เลยสงบตรงนั้นเลย พอจิตตอนนั้น
รวมดี ก็เป็นโอกาสพบตรงนั้น พระอานนท์เกือบจะไม่รู้ตัว รู้ตัวว่ามัน
เป็นอย่างนั้นเท่านั้น ที่พระอานนท์อยากจะตรัสรู้ ให้มันเป็นอย่างนี้ไม่
ได้ นี่คือความอยาก แต่พอรู้จักวาง ตรงนั้นแหละคืออาการตรัสรู้
ธรรมะ
          คนไม่รู้จักมันก็ทำยาก เช่นว่า ตรงนั้นไม่ใช่ที่อยู่ของคน
ความวิตกของปุถุชนจะไปวิตกตรงนั้นก็ไม่ได้ เช่นว่า นี่พื้น นั่นหลังคา
ตรงนี้ (ระหว่างหลังคากับพื้น) ไม่มีอะไร เห็นไหมตรงนี้ไม่มีภพ ภพคือ
หลังคากับพื้น ระยะกลางนี้เรียกว่าไม่มีภพ ถ้าคนจะอยู่ก็ต้องอยู่ข้าง
ล่าง หรือข้างบน ตรงนี้ไม่มีคนที่จะอยู่ เพราะว่ามันไม่มีภพ ตรงนี้คน
ไม่สนใจ การปล่อยวางอย่างนี้คนไม่สนใจว่าการปล่อยวางมันจะเกิด
อะไรขึ้นไหม เมื่อขึ้นไปถึงโน้นเป็นภพเคยอยู่ ลงมาทางนี้เป็นภพเคย
อยู่ ขึ้นไปข้างบนนี้หน่อยก็สุขสบาย หล่นลงมาตูมก็เจ็บ แล้วเป็นทุกข์
มีแต่ทุกข์กับสุข แต่ที่มันจะวางให้เป็นปกติไม่มี เพราะว่าที่ไม่มีภพนั้น
คนไม่สนใจ แม้จิตจะวิตกก็ให้วิตกไปในปกติ ไม่มีภพ
          ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ที่ไม่มีภพไม่มีชาติ คือไม่มีอุปาทานนั่น
เอง อุปาทานเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าอุปาทานนั้นเราปล่อยไม่ได้ เรา
อยากจะสงบมันก็ไม่สงบ คนเราอยู่กับภพ ถ้าไม่มีภพคิดไม่ได้ เพราะ
นิสัยของคนมันเป็นอย่างนั้น กิเลสของคนเป็นอย่างนั้น พระนิพพานที่
พระพุทธองค์ท่านว่าพ้นจากชาติ ฟังไม่ได้ ไม่เข้าใจ มันเข้าใจว่าต้อง
มีภพชาติ ถ้าไม่มีภพ ถ้าไม่มีที่อยู่ ฉันจะอยู่อย่างไร ยิ่งคนธรรมดาๆ
อย่างเราแล้ว ฉันอยู่อย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ อยากจะเกิดอีกแต่ก็ไม่อยาก
ตาย มันขัดกันเสียอย่างนี้ ฉันอยากเกิดแต่ฉันไม่อยากตาย มันพูดเอา
คนเดียวตามภาษาคน แต่การเกิดแล้วไม่ตายนั้นมีไหมในโลกนี้ เมื่อ
คนอยากเกิดก็คือคนนั้นอยากตายนั่นเอง แต่เขาพูดว่าฉันอยากเกิด
แต่ฉันไม่อยากตาย มันคิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาก็ไปคิดให้มันทุกข์
          ทำไมเราจึงคิดอย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้จักทุกข์ เขาจึงคิดอย่าง
นั้น พระพุทธองค์ท่านว่า ตายนี้มาจากความเกิด ถ้าไม่อยากตาย
อย่าเกิดสิ แต่นี่อยากเกิดอีก แต่ว่าไม่อยากตาย พูดกับกิเลสตัณหานี้
มันก็ยาก มันก็ลำบาก มันถึงมีการปล่อยวางได้ยาก มีการปล่อยวาง
ไม่ได้อย่างนี้ กิเลสตัณหามันเป็นอย่างนั้น
          ฉะนั้นที่พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ไม่มียาง ต้นเสาอันนี้อะไร
ไปเกาะ ไม่มีที่เกาะ ก็จึงไม่มีภพไม่มีชาติ ถ้าพูดถึงว่าเราไม่มีภพมี
ชาติ เราฟังไม่ได้ จนกระทั่งท่านย้ำเข้าไปถึงตัวถึงตนนี้ว่า ไม่มีตัวมีตน
ตัวตนนั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น มันจริงอยู่ มันก็จริงโดยสมมุติ ถ้าพูด
ถึงวิมุติ ตัวตนก็ไม่มี เป็นธรรมธาตุอันหนึ่งเกิดขึ้นมาเพราะเหตุเพราะ
ปัจจัยเกิดขึ้นมาเท่านั้น เราก็ไปสมมุติว่ามันเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นมา
เมื่อเป็นสมมุติเป็นตัวเป็นตน ก็ยึดตัวยึดตนนั้นอีก เลยเป็นคนมีตน
ถ้ามีตน ก็มีของตน ถ้าไม่มีตน ของตนก็ไม่มี ถ้ามีตน มันก็มีสุขมีทุกข์
ถ้ามีตน มันก็มีของตน พร้อมกันขึ้นมาเลย เราไม่รู้เรื่องอย่างนั้น
ฉะนั้นคนเราจึงคิดไปว่า อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย
          พูดถึงเรื่องกระแสพระนิพพานแล้ว ถ้าได้รู้ปัจจัตตังแล้ว
(หมายเหตุ 2) ก็ไม่มีใครที่จะปารถนาอะไร ถึงพระนิพพานนี้ก็ไม่ใช่
เป็นเรื่องปรารถนาอีกด้วย พระนิพพานปรารถนาไม่ได้เหมือนกัน
อย่างนี้มันเป็นลักษณะที่เข้าใจยาก ถึงเราจะเข้าใจในเรื่องพระ
นิพพาน แต่จะพูดให้คนอื่นฟัง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน มันไม่เข้าใจ
เพราะ ธรรมอันนี้ถ้าแบ่งให้กันได้มันก็สบายละซิ แต่ธรรมนี้มันเป็น
ปัจจัตตัง มันรู้เฉพาะตัวของเราเอง บอกคนอื่นได้ แต่มีปัญหาอยู่ว่า
คนอื่นจะรู้ไหม
          ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “อักขาตาโร ตถาคตา” แปลว่า
พระตถาคตเป็นแต่ผู้บอก นั่นก็เหมือนกับอาตมาทุกวันนี้แหละ
(หมายเหตุ 3) เป็นผู้บอกไม่ใช่ผู้ทำให้ บอกแล้วให้เอาไปทำ จึงจะเกิด
ความมหัศจรรย์ขึ้น เกิดความเป็นจริงขึ้นเฉพาะตน เป็น “ปัจจัตตัง
เวทิตัพโพ วิญญูหิ” วิญญูชนรู้เฉพาะตัวเองทั้งนั้น อย่างพูดวันนี้จะ
มาเชื่ออาตมานั้นก็ยังไม่ใช่ของดี มันยังไม่ใช่ของแท้ คนที่เชื่อคนอื่น
อยู่ พระพุทธองค์ท่านว่ายังโง่อยู่ พระพุทธองค์ท่านให้รับรู้ไว้ แล้วไป
พิจารณาให้มันเกิดขึ้นมาโดยเฉพาะตัวเราเอง ธรรมนี้มันจึงเป็น
ปัจจัตตังอย่างนั้น
          ทีนี้ในเรื่องการฟังธรรม ก็ให้ทำความเข้าใจว่าต้องไม่ปฏิเสธ
รับฟัง ไม่เชื่อก็พิจารณาดู ไม่เชื่อก็ไม่ว่า เชื่อก็ไม่ว่า วางไว้ก่อน เรา
จะรู้โดยให้เกิดปัญญา อะไรทุกอย่างถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอในใจของ
เราเอง ก็ยังไม่ปล่อยวาง คือว่า มีสองข้าง นี่ข้างหนึ่ง นี่ก็ข้างหนึ่ง คน
เรานั้นจะแอบเดินมาข้างนี้ หรือแอบเดินไปข้างนั้น ที่เดินไปกลางๆไม่
ค่อยเดินหรอก มันเป็นทางเปลี่ยว เดี๋ยวรักก็ไปทางรัก พอชังก็ไปทาง
ชัง จะปล่อยการรักการชังนี้ไป มันเป็นทางเปลี่ยว มันไม่ยอมไป
          เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมะ ทรงเทศน์เป็นปฐมเทศนาเลย
ตรงนี้ ทางหนึ่งมันเป็นทางสุขของกาม ทางหนึ่งมันเป็นทางทุกข์
ทรมานตน สองอย่างนี้ไม่ใช่ทางที่สงบ ท่านพูดว่าไม่ใช่ทางของ
สมณะ สมณะนี้คือความสงบ สงบจากสุขทุกข์ ไม่ใช่มีความสุขแล้ว
มันสงบ ไม่ใช่มีความทุกข์แล้วมันสงบ ต้องปราศจากสุขหรือทุกข์ มัน
จึงเป็นเรื่องสงบ ถ้าเราทำอย่างนั้นแล้วมีความสุขใจเหลือเกิน อันนี้ก็
ไม่ใช่ธรรมะที่ดีนะ แต่เราต้องวางสุขหรือทุกข์ไว้สองข้าง (หมายเหตุ 4)
ความรู้สึกต้องไปกลางๆ เดินผ่านมันไปกลาง เราก็มองดู สุขก็เห็น
ทุกข์ก็เห็น แต่เราไม่ปารถนาอะไร เดินมันเรื่อยไป เราไม่ต้องการสุข
เราไม่ต้องการทุกข์ เราต้องการความสงบ จิตใจของเราไม่ต้องแวะไป
หาความสุข ไม่ต้องแวะไปหาความทุกข์ ก็เดินมันไปเรื่อยเป็นสัมมา
ปฏิปทา เป็นมรรคมีองค์แปด มีสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบเกิดขึ้นแล้ว
สัมมาสัมกัปปะ คือความดำริวิตกวิจารมันก็ชอบทั้งนั้น อันนี้เป็น
สัมมามรรค เป็นมรรคปฏิปทา ถ้าจะทำอย่างนี้ให้เกิดอย่างนั้น
          ทีนี้เราได้ฟังเราก็ไปคิดดู ธรรมะทั้งหมดนี้ท่านต้องการให้
ปล่อยวาง ปล่อยวางจะเกิดขึ้นมานั้นต้องรู้ความเป็นจริง มันถึงจะ
ปล่อยวางได้ ถ้าความรู้ไม่เกิดก็ต้องมีการอดทน มีการพยายาม มีการ
ปฏิบัติธรรมอยู่ มันต้องใช้ทุนอยู่เสมอทีเดียว เรียกว่าต้องปฏิบัติธรรม
          แต่เมื่อรู้เห็นหมดแล้ว ธรรมะก็ไม่ได้แบกเอาไปด้วย อย่าง
เลื่อยคันนี้เขาจะเอาไปตัดไม้ เมื่อเขาตัดไม่หมดแล้ว อะไรก็หมดแล้ว
เลื่อยก็เอาวางไว้เลย ไม่ต้องไปใช้อีก เลื่อยคือธรรมะ ธรรมะต้องเอา
ไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล ถ้าหากว่ามันเสร็จแล้ว ธรรมที่มีอยู่ก็
วางไว้ เหมือนเลื่อยที่เขาตัดไม้ ท่อนนี้ก็ตัด ท่อนนี้ก็ตัด ตัดเสร็จแล้วก็
วางไว้ที่นี่อย่างนั้น เลื่อยก็ต้องเป็นเลื่อย ไม้ก็ต้องเป็นไม้ นี่เรียกว่าถึง
หยุดแล้ว ถึงจุดของมันที่สำคัญแล้ว สิ้นการตัดไม้ ไม่ต้องตัดไม้ ตัด
พอแล้ว เอาเลื่อยวางไว้
          การประพฤติปฏิบัติต้องอาศัยธรรมะ ถ้าหากว่าพอแล้ว ไม่
ต้องเพิ่มมัน ไม่ต้องถอนมัน ไม่ต้องทำอะไร มันปล่อยวางอยู่อย่างนั้น
เป็นไปตามธรรมชาติอันนั้น ถ้าไปยึดมั่นหมายมั่น สงสัยอันนี้เป็น
อย่างนั้น มันอยู่ไกลเหลือเกิน อยู่ไกลมากทีเดียว ยังเป็นเด็กๆอยู่ ยัง
เป็นเด็กอมมืออยู่นั่นแหละ ทำอะไรไม่ถูกอยู่นั่น ไม่เอาแล้วอย่างนั้น
มันเป็นทุกข์ ต้องดู ต้องดูออกจากจิตใจของเรา ดูมัน ปล่อยมัน ดูว่า
มันเกิดอะไรขึ้น ก็รู้ว่าอันนี้ไม่แน่ อันนี้เกิดไม่จริง อันนี้มันปลอม ความ
จริงมันก็อยู่อย่างนั้น ที่เราอยากให้อันนั้นเป็นอันนี้ อันนี้เป็นอันนั้น
นั่นไม่ใช่ทาง มันเป็นอยู่อย่างนั้น ก็วางมันเสีย ความสงบเกิดขึ้นได้
เราข้ามไปข้ามมา มันไม่รู้เรื่อง ก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา หายสงสัยเสีย
อย่าไปสงสัยมัน เลิกมันเถอะ อย่าไปเป็นทุกข์หลาย พอแล้ว ปล่อย
วางมันเสีย (หัวเราะ)
 
 

หมายเหตุจากผู้จัดทำ
          เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ การปล่อยวาง ซึ่งจัดพิมพ์โดย สำนัก
พิมพ์ ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
          ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความที่คาดว่า
ต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด โดยได้ใส่วงเล็บกำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขแล้ว
ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
          จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ต้องเอากำลังเกวียนของ
เรา” แก้เป็น “ต้องเอาตามกำลังเกวียนของเรา”
          จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ถ้าไม่รู้ปัจจัตตังแล้ว” แก้
เป็น “ถ้าได้รู้ปัจจัตตังแล้ว”
          จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “นั่นก็เหมือนกับเราทุกวัน
นี้แหละ” แก้เป็น “นั่นก็เหมือนกับอาตมาทุกวันนี้แหละ”
          จุด 4 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “แต่ต้องเราวาง” แก้เป็น
“แต่เราต้องวาง”