หลงสังขารเป็นทุกข์
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง
ธัมมัง สังฆัง
นะมัสสามิ
วันนี้เป็นวันธรรมะสวนะ
เป็นกาลเป็นเวลาที่พุทธบริษัททั้ง
หลายได้พากันมาอบรมจิตใจ
ก่อนอื่นเมื่อเราตั้งใจที่จะกระทำการ
งานทุกสิ่งทุกอย่าง
ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็สอนให้เราพากันตั้งใจ
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวเนื่องมาจากจิตใจของเรา
พระพุทธ
ศาสนาที่ท่านสอนก็เกี่ยวถึงเรื่องจิตใจ
เรานั้นก็ระลึกรู้ได้อยู่ทุกๆคนว่า
ในสกลกายของเราทั้งหมดนี้
เฉพาะส่วนตัวของแต่ละบุคคลนั้นมีอะไร
เป็นใหญ่
เราจะสังเกตได้ว่าร่างกายของเรานั้น
ถ้าปราศจาก
วิญญาณแล้ว
มันก็หมดประโยชน์
ไม่มีค่าอะไร
นอนหมดลมหายใจ
ไม่ลืมตา
เคลื่อนไหวไปมาก็ไม่ได้
ใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้
อันนี้แสดง
ว่าจิตใจนั้นเป็นของสำคัญ
บุคคลที่จะมีความรู้สึกนึกคิด
มีความรู้
มี
สติปัญญาเฉลียวฉลาดก็เนื่องมาจากจิตใจ
บุคคลจะกระทำความดี
กระทำความชั่วได้ทั้งหมดนั้น
ก็เป็นเรื่องของจิตใจ
ฉะนั้นจะเห็นได้ง่ายๆว่า
การสร้างคุณงามความดี
การ
ประพฤติปฏิบัติธรรมก็ต้องเกี่ยวเนื่องแก่จิตใจ
ดังนั้นจึงต้องพากัน
อบรมจิตใจ
อย่างวันนี้เราได้สมาทานข้อวัตรเป็นต้น
ธรรมดาทุกๆวัน
นั้น
เราก็จะได้พากันกระทำอะไรๆต่างๆได้ตามอำเภอใจของตัวเอง
เราจะได้กินข้าวเย็น
เราจะได้ทาแป้งแต่งตัว
เราจะได้นอนบนเตียงที่มี
ฟูกมีฟองน้ำรองนอนอันอ่อนนุ่มสบาย
ตามความปรารถนาของเรา
บางคนก็อาจจะเข้าใจว่า
ที่ท่านให้รักษาศีลนั้น
ทำไมกินข้าวเฉยๆก็
จะต้องบาปด้วย?
ทาแป้งแต่งตัวธรรมดาก็จะบาปด้วยหรือ?
นอนที่
นอนสูงที่นอนใหญ่ก็จะบาปด้วยหรือ?
ความเป็นจริงนั้นการสมาทาน
ศีลงดเว้นสิ่งเหล่านี้
ก็เพื่อให้มันเป็นเครื่องอุปกรณ์สำหรับช่วยให้จิต
สงบ คือ
หนึ่ง เรามาทำความเพียร
ถ้าเรามาปฏิบัติภาวนาแล้ว
เรามัว
แต่ไปยุ่งอยู่กับเรื่องอาหารการกินวันละสองสามครั้ง
มันก็วุ่นวาย
ใจ
ไม่สงบระงับ
เป็นปลิโพธกังวลมาก
(หมายเหตุ 1) ท่านจึงตัดออกเสีย
ข้อหนึ่ง
คือไม่ให้กินข้าวเย็น
ให้กินครั้งเดียวเท่านั้น
ก็หยุด ภาระมันก็
น้อยลง
ถ้าภาระน้อยลงจิตใจของเรามันก็น้อยลง
ไม่คิดกว้างขวาง
จิตของเราถ้ามาฝึกหัดเพื่อให้เกิดความเคยชินก็จะดีอยู่นะ
อย่างวัน
พระวันนี้
ทุกๆวันนั้นญาติโยมที่อยู่บ้าน
พอถึงเวลาเย็นก็ต้องกินข้าว
เย็น
เมื่อถึงเวลาก็คงจะต้องอยากกินข้าว
แต่ถ้ามารักษาศีลในวันนี้
แล้วกำหนดว่าวันนี้จะไม่กินอะไร
หยุด หยุดอยาก
หยุดหิว ถึงใครจะ
เอามากินอยู่ตรงหน้า
ก็ไม่อยากหิว
นี่ถ้าอยู่บ้านเป็นไม่ได้เลย
อันนี้ถ้า
มาพิจารณาดูก็จะเห็นว่า
ที่มันเป็นอย่างนี้เพราะมันเกี่ยวกับอะไร?
เราจะพากันสังเกตเห็นได้
วันนี้ให้เราพากันตั้งใจ
ตั้งใจว่าเราจะละมัน
ออก ว่าจะวางมันเสียแล้ว
ไม่ไปยึดมั่นหมายในสิ่งเหล่านี้
ความอยาก
ก็ไม่มี
เพราะตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเช้านี้
ตอนเย็นมาก็คงจะไม่มา
รบกวนอีกหรอก
ไม่มีความหิวกระหายตามมารบกวนอีก
ทีนี้ถ้าหากว่าเรากลับไปบ้าน
เราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะบังคับตัว
เอง ก็กินกันตั้งแต่เช้าไปเรื่อยๆ
แล้วแต่ความต้องการ
กินกันตลอด
กาลตลอดเวลา
เพราะไม่ได้ตั้งข้อวัตรอะไร
พอแม่บ้านตำแจ่ว
(น้ำ
พริกอีสาน)
ป๊อกๆๆๆ เสียงลูกเรียกว่า
มาเถอะพ่อ มากินข้าว
ก็รีบ
ไป ไม่หิวก็กิน
อันนี้ก็เลยทำเป็นปลิโพธ
กังวลหลายๆอย่าง
แต่เรามา
ทำกิจอันนี้ให้น้อยลง
ถ้ากิจทางนอกมันน้อยลง
ใจของเราก็ไม่พัวพัน
ผูกกังวลมาก
มันก็สบาย อันนี้เป็นข้อวัตรข้อหนึ่งที่ท่านบัญญัติไว้ไม่
ให้กินข้าวมื้อเย็น
เพื่อให้มันเบาจิตใจ
ไม่มีความกังวล
เวลานั่งสมาธิ
ภาวนาให้มันมีความสงบระงับ
สอง ท่านไม่ให้แต่งเนื้อแต่งตัว
ท่าแป้งประดับตกแต่งด้วย
ดอกไม้
ด้วยของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาต่างๆ
อันนี้เป็นเพราะอะไร?
ธรรมดาจิตของเราถ้าไปสัมผัสถูกกลิ่นหอมอะไรเข้า
ก็คิดปรุงแต่งไป
หลายๆอย่างหลายประการ
เป็นกามคุณ
รูป เสียง กลิ่น
รส
โผฏฐัพพะ
แล้วทำให้จิตใจวิตกกังวลไปต่างๆนานา
เหมือนกับเราได้
กลิ่นของสบู่หอม
น้ำหอม เหล่านี้เป็นต้น
ก็ปรุงแต่งขึ้นมา
เพราะ
ความหอมนั้นมากระทบ
เกิดวิตกวิจารณ์ไปหลายๆอย่าง
ปรุงแต่งไป
เรื่อยๆ
หาความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิง
ดังนั้นท่านจึงบัญญัติไม่ให้
ทาแป้ง
ไม่ให้แต่งตัวผิดปกติ
ให้นุ่งห่มธรรมดาๆ
อันนี้ทำให้ไม่มี
ปลิโพธกังวล
มีแต่ความสบายๆ
สาม ท่านไม่ให้นั่งนอนที่นอนสูง
ที่นอนใหญ่
นอนฟูก นอน
เบาะอันอ่อนนุ่ม
(หมายเหตุ 2) เป็นเพราะอะไร?
มันยิ่งจะไม่ภาวนาดี
หรือ
นอนที่นอนอ่อนๆนุ่มๆ
ห้ามทำไม? คนเราถ้าได้นอนเบาะนอน
ฟูกอ่อนๆนั้น
ใจจะวิตกกังวลปรุงแต่งไปมากมายหลายๆอย่าง
เพราะ
ร่างกายของเรามันกระทบวัตถุอันอ่อนนุ่ม
ก็จะเกิดความดำริขึ้นในใจ
ซึ่งเป็นราคะ
โทสะ โมหะ มันก็ปรุงแต่งไปเป็นเหตุให้ใจของเราวุ่นวาย
ในกามสุข
นั่น จะทำสมาธิก็ไม่สงบได้ง่าย
ไม่เป็นของง่าย
อันนี้เป็นวัตรสามข้อ
ที่บัญญัติไว้ก็ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก
เพื่อ
ทำไม่ให้จิตใจของเราไปกังวลอยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้
เมื่อเราประกอบ
กิจปฏิบัติภาวนา
ถ้านำเอามารวมกับอันเก่า
(ศีลห้า) ก็รวมเป็นศีล
แปด ให้พากันเข้าอยู่รักษาในอุโบสถศีล
เพราะวันนี้เป็นวันประพฤติ
ปฏิบัติ
ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านจึงทรงวางข้อ
วัตรไว้ให้พวกเราทั้งหลายว่า
เมื่อถึงวันพระ
หรือวันอุโบสถศีล
ก็ให้พา
กันมาอบรมบ่มนิสัย
หนุ่มๆสาวๆก็มาได้
ถึงมาแล้วอยู่จำศีลไม่ได้
ก็
ให้ฟังธรรมะแล้วก็กลับบ้าน
วันนี้ถ้าเราได้ฟังธรรมะแล้วใจของเราก็
สบาย
เมื่อมีราคะ
โทสะ โมหะเกิดขึ้นมา
เราก็รู้เท่าทันได้
จึงต้องมา
ฝึกหัดจิตของเราให้มีความชำนาญ
อันนี้เป็นผลประโยชน์ที่เกิดจาก
การมาประพฤติปฏิบัติในวันธรรมสวนะนี้
แต่ว่าก็ให้ญาติโยมทั้ง
หลายพากันประพฤติปฏิบัติจริงๆ
อย่าสักแต่ว่ามาเปล่าๆ
มาเล่นที่วัด
เฉยๆเท่านั้น
ให้พากันพิจารณาเอาไปประพฤติปฏิบัติด้วย
อย่างที่เราสมาทานศีลข้อที่หนึ่ง
เป็นเพราะอะไร?
ท่านจึง
บอกไม่ให้เบียดเบียนกัน
ดีไหม?
ข้อที่สอง คนเราไม่ให้ข้ามสิทธิ์กัน
ไม่ให้ขโมยของกันและกัน
ข้อที่สาม ไม่ให้นอกใจกัน
ข้อที่สี่ ไม่ให้โกหกเหลวไหล
ข้อที่ห้า ไม่ให้กระทำความย้อมจิตของเราให้มัวเมา
แต่ละข้อๆนี้
เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกันทั้งหมด
ถ้าหากว่า
บุคคลทั้งหลายไม่พากันอบรมจิตใจ
ใจของเราก็ไม่ตื่นไม่รู้
ใจของเรา
ก็ไม่เห็น
ไม่รู้จักอุปการะคุณของครูบาอาจารย์
ของพ่อแม่ อย่างเรา
เป็นลูกอย่างนี้
โดยมากเราไม่ค่อยเอาใจใส่
ไม่ค่อยนึกถึงพระคุณของ
พ่อพระคุณของแม่
เป็นเพราะอะไร?
เพราะไม่รู้จักความเป็นจริงเรื่อง
ของพ่อแม่นี้
ท่านตรัสไว้ว่า
มาตาปิตุ อุปฏฐานัง
ปฏิบัติบิดามารดา
ของตนให้เป็นสุข
การปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุขนั้นทำ
อย่างไร?
เป็นเพราะอะไรจึงต้องปฏิบัติให้ท่านมีความสุข?
เราก็ควรรู้
จักว่าพ่อแม่ที่ท่านเลี้ยงเรามานั้นท่านมีบุญคุณต่อเรามากเท่าไร?
อัน
นี้ให้เรานำมาพิจารณาดู
ตั้งแต่แรกที่เราเกิดขึ้นมา
เราจะต้องปฏิสนธิ
อยู่ในครรภ์ของมารดาอยู่หลายเดือน
มารดาก็ต้องอุ้มท้องไปๆมาๆอยู่
ตลอดเวลา
ชีวิตของแม่นั้นตั้งแต่รู้ว่าลูกได้อุบัติเกิดขึ้นในครรภ์
ก็ไม่รู้
ว่าชีวิตของตัวเองจะดำรงอยู่หรือจะต้องตาย
ต้องทุกข์ยากลำบาก
ต้องประคับประคองทะนุถนอม
และก็ไม่ใช่ว่าจะต้องประคับประคอง
แต่เฉพาะอยู่ในครรภ์เท่านั้น
เมื่อออกมาแล้วตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ก็
ยังตามประคับประคองปกป้องรักษาอยู่
ฉะนั้นบุคคลที่ไม่รู้จักบุญคุณ
ไม่รู้จักกตัญญูกตเวที
ซึ่งคิดแล้วก็เหมือนสัตว์เดรัจฉาน
พระพุทธเจ้า
ท่านตรัสว่า
เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
เราจะสังเกตดูได้ว่าสัตว์
เดรัจฉานทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นมานั้น
มันไม่รู้จักพ่อไม่รู้จักแม่
และ
มนุษย์เราทั้งหลายท่านก็ไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น
คำว่ามนุษย์นั้นสูงมาก
สูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย
หรือจะเรียกว่า
เป็นชาติที่สูงที่สุดก็ว่าได้
จะไปต่อไปอีกไม่มี
มีแต่จะต้องหวนกลับมา
บังเกิดเป็นมนุษย์นี้อีก
(โลกมนุษย์เป็นแหล่งสถานที่สำหรับสร้าง
บารมีให้บรรลุถึงมรรคผล
พ้นวัฏฏสงสารสู่แดนแห่งนิพพานได้)
พระ
พุทธเจ้าท่านก็มาสร้างบารมีในชาติมนุษย์นี้
พระสาวกทุกๆองค์ก็ต้อง
มาสร้างบารมีที่นี่
หรือจะเป็นพระอรหันต์เจ้าทุกๆองค์
ที่ท่านทั้งหลาย
สิ้นอาสวะกิเลสแล้ว
ก็จะต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์เสียก่อน
จะไปจุติ
เป็นอินทร์
พรหม ยม ยักษ์
เป็นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
ไปไม่เป็น (ไป
ได้ไม่สิ้นสุด
สร้างบารมีเพื่อถึงมรรคผลนิพพานไม่ได้)
ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายจึงควรมาฝึก
พระบรมศาสดาท่าน
จึงฝึก
ฝึกบุคคลที่ควรจะฝึกได้
เราก็เป็นบุคคลที่ควรฝึกตัวเองเหมือน
กัน พระพุทธเจ้าท่านทรงเห็นว่า
พวกเราทั้งหลายเป็นบุคคลที่ควรฝึก
เราก็มาพิจารณาดูอีกว่า
ทำไมจึงควรฝึกตัวเอง?
โอ! มันก็ควรนั่น
แหละ ถ้าตัวไม่ได้ฝึกตัวของตัวเอง
ใครจะมาฝึกให้เรา
เท้าของเรามัน
พาเดินเข้าป่า
ถ้าเราไม่ดูหนามให้ตัวเอง
ใครจะมาดูแลให้เรา
อันตรายทั้งหลายจะเกิดมีแก่เรา
ถ้าเราไม่ระวังรักษา
ใครจะมาระวัง
รักษาให้เรา
ฉะนั้นจึงควรฝึกตัวเอง
ควรฝึกระวังรักษาตนเอง
ควรให้
เข้าใจในธรรมะทั้งหลาย
เมื่อเข้าใจในธรรมะทั้งหลายแล้ว
เราทั้ง
หลายก็พากันอยู่เย็นเป็นสุข
มีความสงบระงับ
อยู่ตามธรรมชาติของ
เรา ไม่มีการอิจฉาหรือพยาบาทกัน
ธรรมะทั้งหลายคืออะไร?
ที่เรียกว่าฟังธรรมหรือธรรมะคือ
อะไร?
ธรรม คือธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่มันเป็นรูปหรือไม่มีรูป
อยู่ในสกลโลกอันนี้
ตลอดจนถึงต้นไม้
ภูเขา เถาวัลย์
สัตว์เดรัจฉาน
หรือมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้
รวมกันเป็นธรรมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ท่าน
จึงให้พิจารณาธรรม
เป็นเพราะอะไรจึงให้พิจารณาธรรม?
เพราะถ้า
คนไม่รู้จักธรรมะแล้วจะเป็นทุกข์
ถ้ารู้จักธรรม
รู้จักพิจารณาธรรม
ว่า
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้
ธรรมชาติเหล่านี้
มันจะมีกฎความเป็นจริงของ
มันอยู่
กฎธรรมชาติที่มนุษย์เราทั้งหลายหรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย
จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้
แก้กฎของธรรมชาติอันนี้ไม่ได้
กฎ
ของดิน
น้ำ ของไฟ ของลม
ของดินฟ้าอากาศ
ของสัตว์ทั้งหลายเหล่า
นี้ กฎของมันคืออะไร?
กฎของมันคือ
เบื้องต้นของการบังเกิดขึ้นมา
อันนี้คือกฎของธรรมชาติหรือกฎของธรรมะ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมี
การเกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้น
เรียกว่ากฎของมัน
ตามเหตุตามปัจจัย
เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะค่อยๆแปรเปลี่ยนไป
ไหลไป ไหลไป จากที่
สูงลงสู่ที่ต่ำ
ไหลไปๆ ไหลไปเรื่อยๆ
เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมี
ความเปลี่ยนแปลงไปตามกาล
เปลี่ยนไปๆ
อายุก็ไหลไปๆ
ไหลจาก
เด็กไปหาหนุ่ม
ไหลจากหนุ่มไปหาความแก่เฒ่าชรา
และความตาย
อันนี้แหละความแปรเปลี่ยนของมันมีอยู่
ความแปรเปลี่ยนของธรรม
ชาติ
ไม่มีความยั่งยืนถาวร
ถ้าหากว่าเรายังไม่เห็น
ก็หวนกลับมาดูสิ่ง
ที่อยู่ใกล้ๆตัวเราก็ได้
มองออกไปดูต้นไม้
มองดูแผ่นดินนั่น
ดูซิ! มัน
เปลี่ยนแปรไหม?
หรือมันยังเหมือนเดิม
คงสภาพเดิมอยู่
เห็นไหมว่า
มันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ทีนี้ก็มองย้อนกลับมาดูตัวของเราเอง
ว่ามันจะทรงสภาพ
เหมือนเดิม
เหมือนแต่ก่อนเก่าไปไม่ได้
ตลอดแม้แต่สกลร่างกายของ
เราอันนี้
มันก็ยังแปรเปลี่ยนไป
สภาพธรรมชาติของมัน
ขน ผม เล็บ
ฟัน หนัง
มันจะไม่คงอยู่เหมือนเดิม
อันนี้คือกฎของมันที่จะต้องแปร
เปลี่ยนไป
ตลอดมาถึงฟัน
หู ตา แข้งขา
อวัยวะของเราทั้งหลาย
มันก็
แปรไปๆ
ความแปรเปลี่ยนไปนี้เรียกว่า
กฎของธรรมชาติ
หรือ กฎของ
ธรรมดา
กฎของธรรมะ หรือ
กฎของธรรม ใครๆก็จะมาห้ามมันไม่ได้
ห้ามมันไม่ฟัง
จะไปอยู่ที่ไหนๆก็ตาม
ถึงจะหนีไปอยู่ในมหาสมุทรก็
ช่างเถอะ
มันก็ต้องแปรเปลี่ยนไป
หรือจะหนีไปซ่อนอยู่ในกลีบเมฆก็
ตาม มันจะต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างนี้
จะมีแต่ความแปรไปเปลี่ยนไป
เปลี่ยนไปไม่หยุดยั้ง
มีแต่มันจะไหลไป
ไหลไปตามกาลเวลา
อันนี้
เรียกว่ากฎของธรรมะ
เราไม่รู้จักว่าธรรมะคืออะไร?
ธรรมะคือสัตว์
คือมนุษย์นี่
คือ
สัตว์เดรัจฉาน
คือต้นไม้ คือแผ่นดินนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เราเรียกว่า
ธรรมะ
และกฎของธรรมะก็คือกฎของธรรมชาติอันนี้
มันก็แปรไป
ตามเรื่องของมัน
แปรไปๆๆ
ตัวอย่างที่มันปรากฏชัดให้เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
ก็ดูที่ตัวของเรา
เองนี่แหละ
แต่ก่อนเราไม่ได้มีสภาพอย่างนี้
แต่เดี๋ยวนี้มันแปรเปลี่ยน
มาเป็นอย่างนี้
นั่นแหละธรรมะ
มันมีการบังเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น
แล้ว
มันก็มีการแปรไปๆ
แปรไปในท่ามกลาง
และแปรไปในที่สุด
ผลที่สุด
ของมันนั้นก็ไม่มีอะไร
มีแต่ความเสื่อมสลายแตกดับทำลายไป
ท่าน
จึงบอกว่า
อันนั้นไม่ใช่ของของเรา
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ไม่ใช่สัตว์
ไม่ใช่
บุคคล
ไม่ใช่ตัวตน
ให้พิจารณาเอาไว้
อันนี้เราจะไปยึดเอาไม่ได้
เรา
บอกมันไม่ได้
ห้ามมันไม่ฟัง
อันนี้คือกฎของธรรมดา
คือกฎของธรรมะ
คือ อนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
ถ้ามันแปรไปแล้วจะเอาอะไรมาห้ามมันก็
ไม่ได้
จะเอาทรัพย์สมบัติมาห้ามมันก็ไม่ได้
เพราะมันเป็นสังขารที่จะ
ต้องมีการเปลี่ยนแปรไปอย่างนี้
ทีนี้ถ้าคนไม่รู้จักกฎของธรรมะ
เมื่อมา
เห็นแล้วก็เกิดความเสียใจ
มาเห็นความเปลี่ยนแปรไปอย่างนี้แล้วก็
ร้องให้เสียใจ
อันนี้คือคนไม่ได้เรียนธรรมะ
ไม่รู้จักธรรมะ
ไม่รู้จัก
ธรรมะว่าธรรมะนั้นอยู่ที่ไหน?
ว่าการปฏิบัติธรรมะคือการปฏิบัติ
อย่างไร?
ไม่รู้จัก ไม่รู้จักธรรมะก็ไม่รู้จักการปฏิบัติ
การปฏิบัติธรรมะก็คือการมาทำความรู้จักกฎของธรรมชาติ
กฎของธรรมชาติตามความเป็นจริงนี้แหละ
ว่ามันเป็นอย่างนี้
เหมือน
กับกล้วย
มะพร้าว หมาก
ผลไม้ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมา
แล้วมันก็แก่
ไปๆเป็นของธรรมดา
แล้วผลที่สุดมันก็ร่วงหล่นลงมา
เป็นอยู่อย่างนี้
เรื่อยๆไป
ฉะนั้นจึงว่าต้นไม้
ภูเขา เถาวัลย์
มันก็แปรเปลี่ยนไปอยู่
อย่างนั้น
ต้นไม้นั้นถึงฤดูกาลเวียนมา
ใบของมันก็ร่วงหล่นไป
แล้วมัน
ก็แตกผลิกิ่งใบขึ้นมาใหม่
มนุษย์ สัตว์ทั้งหลายก็เหมือนกัน
ที่เป็นรูป
ธรรมอันนี้
ฉะนั้นจึงเป็นของไม่นอน
จริงๆไม่ใช่สัตว์
ไม่ใช่บุคคล
ไม่ใช่
ตัวตน
ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
เรียกว่า ธรรม
แล้วเราปฏิบัติธรรมะ
ปฏิบัติอย่างไร?
คือมาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงของมัน
ว่า
อาการที่มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องแปรเปลี่ยนไปนี้
เราห้ามมันไม่ได้
บอกมันก็ไม่เชื่อฟัง
จะเอาอำนาจอะไรมาปราบมันก็ไม่ได้
จะหายา
อะไรมากินให้มันหายจากการแปรเปลี่ยนไม่ให้ตายไม่ได้
นี่เป็นกฎ
ธรรมชาติที่ตายตัว
นี่คือความจริง
เรามาพิจารณาหาความจริงอันนี้
เรียกว่า
สัจจธรรม ถ้าเราเห็นสัจจธรรมแล้วเราก็หมดทุกข์
เพราะ
เห็นแล้วว่ามันจะต้องแปรไปอย่างนี้
สิ่งเหล่านี้มันจะต้องเป็นไปอย่าง
นี้ เราก็มาเห็นตามความเป็นจริง
ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น
อันนี้
เรียกว่าธรรมะ
เรียกว่าการปฏิบัติธรรมะ
เห็นตามความเป็นจริงอยู่
ตลอดกาลตลอดเวลา
การยืน การเดิน
การนั่น การนอน
เห็นอยู่ รู้อยู่
เป็นอยู่
มองเห็นรูปภายนอกนั้นว่ามันกำลังแปรไป
จากเด็กไปเป็น
หนุ่มสาว
จากหนุ่มสาวแปรไปสู่ความแก่ชรา
ผลที่สุดก็แปรไปสู่ความ
ตายเป็นธรรมดา
นี่แสดงว่าเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา
เป็นของไม่แน่
นอน
ทีนี้พูดถึงนามธรรมคือจิตใจ
จิตใจของเรานี้มันก็แปรไป
ไม่
คงอยู่เหมือนเก่า
จิตใจที่มันยังอยู่เหมือนเก่ามีไหม?
ลูกก็ดี หลานก็ดี
วัตถุก็ดี
วัตถุสิ่งของบางสิ่งบางอย่าง
เราเคยรัก
เคยชอบ เคยมีความ
พอใจ
แต่พอใช้ไปๆ
ก็กลับไม่รัก
ไม่ชอบ ไม่พอใจอีก
นี่มันก็เป็นของ
เราอยู่อย่างนี้
อันนี้มันก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน
เกิดมีขึ้นแล้วก็แปรไป
เปลี่ยนไป
ไหลไปตามธรรมดา
สิ่งที่มันแปรไปเปลี่ยนไปไม่อยู่เหมือน
เดิมคือ
สังขาร ที่มันแปรเปลี่ยนท่านเรียกว่า
ความจริง ฉะนั้นคนที่ไม่
เห็นความจริงก็คือ
คนที่เห็นสังขารมันแปรเปลี่ยน
แต่ว่าไม่อยากจะ
ให้มันเป็นไปอย่างนั้น
ไปกั้น ไปห้าม
ไปยึดมั่น หมายมั่นว่า
สังขาร
เหล่านี้เป็นสิ่งมั่นคงถาวร
เป็นสาระแก่นสาร
เป็นของของตัวเอง
แล้ว
ก็กลับมาเป็นทุกข์
ถ้าคนหลงสังขารแล้วจะเป็นทุกข์มาก
ฆ่ากัน ยิง
กัน ทุบตีกัน
แข่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
ก็เพราะไม่รู้จักธรรมะ
ไม่รู้จักสิ่ง
ทั้งหลายเหล่านี้ว่ามันเป็นธรรมะ
เลยเกิดฆ่ากัน
ตีกัน แย่งชิงกันขึ้น
ถึงกับมีอันต้องล้มหายตายจาก
เกิดการจองเวรกัน
ก็ต้องมีอันเป็นไป
ทุกสิ่งทุกอย่างดังนี้
ก็เพราะคนไม่รู้จักธรรมะ
ไม่รู้จักธรรมชาติของ
ธรรมะ
บ้านเมืองก็เกิดความเดือดร้อนขึ้นมา
ถึงตัวเราเองก็ต้องเดือด
ร้อน
ฉะนั้นพระบรมศาสดาท่านจึงให้ประพฤติปฏิบัติธรรมหรือ
ปฏิบัติธรรมะ
คือทำจิตใจของเราให้เข้าไปเห็นตามความเป็นจริงว่า
สังขารทั้งหลาย
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วในเบื้องต้น
มันก็จะแปรเปลี่ยนไป
ตามเรื่องของมัน
มีแล้วก็หาไม่
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ไม่ว่าจะเป็นของ
ภายนอกหรือภายในก็ตาม
(หมายเหตุ 3) ของภายนอกคือแก้วแหวน
เงินทอง
เมื่อได้มาแล้วก็เสียไป
เสียไปแล้วก็ได้มาเป็นธรรมดา
นั่นคือ
สิ่งที่มันแปรไปเปลี่ยนไป
ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน
ของภายในคือ
สกลร่างกายของเรา
ที่มันมีการเปลี่ยนสภาพไปทุกๆวัน
อย่างวันนี้ก็
เหมือนกัน
วันนี้ก็ได้อันใหม่แล้วนี่
ฮือ! นั่น ได้ผมเส้นใหม่
ได้ฟันซี่ใหม่
ได้ตาอันใหม่
ได้หนังแผ่นใหม่แล้ววันนี้
ได้อันใหม่
อันเมื่อวานนี้มัน
ตายไปแล้วนะ
มาถึงวันนี้เราก็ได้อันใหม่ทั้งหมดนี้
หมดวันนี้ก็ได้ของ
อันนี้ไปถึงพรุ่งนี้
หมดพรุ่งนี้ก็ทิ้งอันเก่าได้อันใหม่อีก
บางครั้งจนหลง
กัน จนลืมกัน
จนมองกันไม่ออก
ไม่รู้จักกัน
เป็นเพราะอะไร?
ก็เพราะ
เปลี่ยนไปเป็นคนใหม่
เปลี่ยนตาใหม่
เปลี่ยนหูใหม่
เปลี่ยนหนังใหม่
เปลี่ยนรูปร่างใหม่
เปลี่ยนฟันใหม่
เปลี่ยนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อ
มาพบกันก็เลยไม่รู้จักกัน
ไม่รู้ก็เลยถามเขาว่า
ตัวนั้นเป็นใคร
ตัวนั้น
อยู่ที่ไหน?
อีกคนก็ตอบว่า
อ้าว! ตัวจำเราไม่ได้หรือ
ตัวหลงเราแล้ว
หรือ?
จะไม่ให้หลงได้อย่างไรละ
ตัวนั้นเป็นคนใหม่ไม่เหมือนคนเก่า
นี่นา
ถ้าเป็นคนเก่าใครจะหลง
ก็เพราะมันเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่ถึงได้
หลง จะว่าอย่างไร?
นี่แหละคือลักษณะที่มันเปลี่ยนไป
ที่มันเปลี่ยน
ไปนี้
ใครจะมาบอกมันก็ไม่ฟัง
พ้นกฎหมาย กฎหมายบัญญัติตามไม่
ทัน มันไม่เชื่อฟังใคร
ฟัน ขน ผม เนื้อหนังของเราก็เหมือนกัน
ถึงมีอยู่
กับใครก็จะต้องมีความแก่
ความเจ็บ ความตายได้
ไม่เฉพาะเจาะจง
อยู่แต่มนุษย์เราเท่านั้น
แม้แต่เสือตัวดุร้าย
มันก็ทำร้ายไม่ได้
ช้างตัว
ร้ายกาจ
มันก็ทำร้ายไม่ได้
กับเรื่องกฎธรรมชาติ
มันจะจับเอาไปถอด
ถอนออกหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
อันนี้เรียกว่าความจริงของธรรมชาติ
มัน
ไม่กลัวใคร
ฉะนั้นจึงให้พวกเราทั้งหลายมาพิจารณาธรรมะ
ให้เห็นอย่าง
นี้ ไม่ว่าใครๆก็จะเหมือนกันทุกๆคน
เป็นสามัญลักษณะ
มีลักษณะ
เสมอกันในสังขารทั้งปวง
ใครก็เหมือนกัน
ทีนี้เมื่อเรามาเห็นแล้วว่า
ไม่ว่าร่างกายภายนอกหรือภายใน
มันก็ต้องมีลักษณะเหมือนกันทั้ง
หมด เมื่อมันเหมือนกันทั้งหมดเสียแล้วดังนี้
พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัส
ว่า พวกเราทั้งหลายนี้เป็นญาติกัน
ญาติเกิด ญาติแก่
ญาติเจ็บ ญาติ
ตาย เมื่อเป็นญาติกันดังนี้แล้ว
ควรที่จะทำอย่างไร?
ก็ควรที่จะมี
เมตตาต่อกัน
ควรมีความกรุณาต่อกัน
ควรมีความซื่อสัตย์ต่อกัน
ไม่
แก่งแย่งซึ่งกันและกัน
ให้มันเป็นธรรมะ
เพียงเท่านี้พวกเราก็รู้จักกฎ
ของธรรมชาติ
ไม่ว่าเราจะมีมากหรือน้อยก็ตาม
ก็ให้มีด้วยความจริง
ด้วยความดี
อย่าให้ต้องมีโทษ
ได้มาแล้วก็สบายใจ
ถ้าเราเห็นธรรมะ
อย่างนี้แล้ว
ใจของเราก็เป็นสุขสบาย
ไม่จำเป็นที่จะต้องไปโลภเอา
ของใคร
ไปแย่งเอาของใครมา
ไม่มีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจ
เพราะ
เข้าใจแล้วว่า
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของใครสักคน
เมื่อเรามีความสุข
บุคคล
อื่นก็ต้องการความสุข
ถ้าเราต้องการความสุข
แต่ว่าเราไปแย่งเอา
ความสุขของคนอื่นมา
คนอื่นก็เป็นทุกข์
เมื่อเขาเป็นทุกข์
เราก็เป็น
ทุกข์
เมื่อเขาเป็นสุข
เราก็เป็นสุข
(หมายเหตุ 4) ด้วยเหตุนี้พระพุทธ
เจ้าของเราท่านจึงให้มีเมตตา
ถ้าเราจะเมตตาสัตว์ท่านให้เมตตาตน
เสียก่อน
ให้ดูตัวเองเสียก่อน
ถ้าเราจะเบียดเบียนเขา
ก็ให้เรามาคิดดู
เสียก่อนว่า
เราดีไหม เราชอบไหม
เราไม่ชอบไหม
ให้เราพิจารณาดู
สิ่งไหนมันเป็นทุกข์
สิ่งไหนอันไหนมันเดือดร้อนเราก็ไม่ชอบ
คนอื่นก็
ไม่ชอบ
สัตว์อื่นก็ต้องไม่ชอบ
เรื่องความไม่ชอบธรรมทั้งหลายนั้น
ด้วยมันจะนำความทุกข์มาให้เรา
ให้พากันเลิก
ละ ถอน ให้ต่างคน
ต่างมาประพฤติปฏิบัติธรรม
มันก็สบาย สงบ
ระงับ ใครก็เตือนตัวใคร
ตัวเรา
เหมือนกับท่อนไม้ที่เรานำมาเหลาให้เกลี้ยงเกลา
นำมาดัด
แปลงแล้ว
เหมือนไม้ลูกหน้าของเรานี่แหละ
(หมายเหตุ 5 สันนิฐาน
ว่าคงจะหมายถึง
ไม้ที่เอามาเหลาทำเป็นลูกดอกของหน้าไม้
หน้าไม้มี
ลักษณะคล้ายๆธนู)
ต่างคนต่างก็ซื่อตรง
ต่างคนต่างก็ไม่คดโกง
ต่าง
คนต่างก็มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เหมือนกับไม้ลูกหน้าที่เขานำ
มาดัดแปลง
เหลาให้เกลี้ยงแล้ว
แม้ว่าเราจะนำเอามามัดรวมกันเข้า
ไว้ด้วยกันก็เรียบร้อยดี
ไม่เกะกะดี ทำไมมันไม่เกะกะ?
เพราะต่างคน
ต่างรักษาของใครของเรา
ไม้ท่อนนี้ซี่นี่มันก็รักษาตัวของมัน
มันจะไม่
คดไม่งอ
ทุกๆอันมันจะตรง
มันก็เลยไม่เกะกะซึ่งกันและกัน
นี่ เหมือน
กันกับไม้
เรามาเห็นธรรมะ
มาปฏิบัติธรรมะ
มีความเห็นอย่างเดียว
กันนี้
การอยู่ร่วมกันก็สบาย
ดังนั้นท่านจึงให้พิจารณาธรรมะ
และธรรมะก็คือธรรมชาติ
ฉะนั้นการได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะนั้น
ญาติโยมบางคนอาจจะเข้าใจ
ว่าไม่ได้เรียนมามาก
ไม่รู้สิ่งอันนี้
ไม่ได้สวดมนต์บทนั้นบทนี้
อันนั้นไม่
เป็นของจำเป็น
อันนั้นไม่ใช่ธรรมะ
มันเป็นคำพูดธรรมะ
เป็นชื่อของ
ธรรมะ
ไม่ใช่ตัวธรรมะ
ตัวธรรมะแท้ๆก็คือตัวเราที่มีอยู่นี้
เรานั่งอยู่ที่นี่
เรานั่งกินหมากอยู่ขณะนี้
ที่เรากำลังนั่งทับอยู่
อาศัยไปมาอยู่ขณะนี้
นี่ อยู่ตรงนี้
เห็นไหม? ก็สถานที่ที่เรานั่งทับอยู่ที่นี่
ที่เรากำลังอาศัยอยู่
ไปมาในขณะนี้
ต้นไม้ ภูเขา
เถาวัลย์ ที่อยู่ที่อาศัยนั่น
มันมีแต่ตัว
ธรรมะหมดทั้งนั้นแหละ
คนเราไม่รู้เป็นอะไร
ถ้าทุกข์มาก็ทุกข์กับสิ่ง
ทั้งหลายเหล่านี้แหละ
เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงของมัน
ท่านจึงให้
พิจารณา
ถ้าหากว่าเห็นธรรมะทั้งหลายเหล่านี้แล้ว
มันก็ไม่ยาก
เพราะธรรมะทั้งหลายนั้นมีอยู่ที่นี่แล้ว
ไม่ต้องเรียนมันมีอยู่แล้วที่นี่
แล้ว
ไม่ต้องเรียน
มันมีอยู่แล้ว
ความสุขเกิดขึ้นในใจของเรานั่นก็เป็น
สุขาธัมมา
ความทุกข์เกิดขึ้นมาในใจของเราก็เป็น
ทุกขาธัมมา
ความสุข
ความทุกข์ ความพอใจ
ความไม่พอใจนี้
มันเป็นตัวของ
ธรรมะทั้งหมด
ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอันไหนที่เราคิดว่าถูกธรรมะ
คิด
ว่าเราหรือว่าของเรานั้น
ก็เป็นตัวสมมุติว่าเป็นธรรมะ
อย่าได้ไว้ใจ
ท่านจึงให้พิจารณาให้ระวัง
ถ้าไม่ระวังธรรมะ
ไม่รู้จักธรรมะ
แล้วมันก็
จะเป็นทุกข์
เพราะที่ถูกแล้วกฎของธรรมะมันเป็นธรรมดาของมัน
อย่างเราเกิดขึ้นมาแล้วไม่อยากจะแก่
แก่แล้วไม่อยากจะเจ็บ
เจ็บแล้ว
ก็ไม่อยากตาย
ไม่อยากพลัดพรากจากลูกหลาน
อันนี้คือคนไม่รู้จัก
ธรรมะ
เข้าไปแก้ไขไม่ได้
ก็เข้าไปแก้
(หมายเหตุ 6) ก็เลยทำให้เป็น
ทุกข์
อันความเป็นจริงนั้น
พระศาสดาท่านพิจารณาธรรมะหรือ
ปฏิบัติธรรมะ
ก็คือการมาปฏิบัติอย่างนี้เอง
คือให้รู้เรื่องของมัน
อะนิจจา
วะตะสังขารา
อุปาทะวะยะ ธัมมิโน
อุปัชชิตะวา
นิรุฌันติ
เตสังวูปะสะโม
สุโข ไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้
มันเป็นของไม่มั่นคง
ไม่
เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้
เมื่อใจเห็นอย่างนี้ตามความเป็นจริงแล้ว
มัน
ก็เข้าไปเห็นธรรม
เข้าไปรู้ธรรม
ไม่ได้สนใจยึดมั่นหมาย
เห็นเป็นธรรม
ดา เมื่อสกลกายของเรามันเจ็บ
มันป่วย มันเฒ่าชราแล้ว
เราก็มอง
เห็นว่ามันเป็นของธรรมดาหนอ
มันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น
นี่คือหลัก
ธรรมะเบื้องต้น
มีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
มีความแปรเปลี่ยนไปเป็น
ธรรมดาในท่ามกลาง
แล้วผลที่สุดก็ดับไปสิ้นไปในเบื้องปลาย
ไม่มี
อะไรคงอยู่ในสกลโลกใบนี้
อันนี้คือธรรมะที่พระศาสดาทรงค้นพบวิธี
แก้ไขเอาไว้
คือการมาพิจารณาธรรมะ
เมื่อเรารู้ว่า
อันนี้เป็นเรา
อันนี้
เป็นของเรา
เมื่อเกิดมีความโลภโมโทสันต์จนลืมเนื้อลืมตัวก็จะทำให้
เป็นทุกข์
เพราะเราไม่รู้จักธรรมะ
ถ้ารู้จักธรรมะแล้ว
ก็จะต้องรู้จัก
ประมาณ
พอมีพอเป็นไปได้ตามอัตตภาพ
พอมีทุนสำรอง
มีความซื่อ
สัตย์สุจริต
เมื่อมองเห็นเพื่อมนุษย์ด้วยกัน
ก็เหมือนกันกับเรา
เห็นพ่อ
เห็นแม่เขา
ก็เหมือนกับพ่อแม่ของเรา
เห็นลูกเห็นหลานเขา
ก็เหมือน
กับลูกหลานของเรา
เห็นของของเขาก็เหมือนกับของของเรา
มัน
เหมือนกันไปหมดอย่างนี้
ก็จะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ต่างคน
ต่างก็หากินกันตามน้ำพักน้ำแรงของใครของเรา
อันนี้มันก็เป็นศีลเป็น
ธรรมขึ้นมาเองเท่านั้นแหละ
เอ้อ! นั่นแหละถ้ามันเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว
มันก็จะ
สบายเท่านั้น
เพราะเข้าใจธรรมะ
ที่ตัวมันมีอยู่
เป็นอยู่นี่
ก็ให้
พิจารณา
รู้ว่ามันก็เป็นอย่างนั้นแหละ
จะทำอย่างไร
เพราะมันก็ต้อง
เป็นอย่างนั้น
เราเข้าใจอยู่
รู้อยู่ว่ามันเป็นอย่างนั้น
เหมือนกับที่เรา
ปลูกถั่ว
ปลูกแตง ปลูกฟักทอง
ปลูกฟักเขียวอย่างนั้นแหละ
ปลูกแล้ว
มันก็เกิดขึ้นมา
เกิดขึ้นมาแล้วก็แก่
แก่แล้วมันก็เน่าเสียไป
เมื่อเรารู้จัก
อย่างนี้
เราก็รู้มาจัดการกับมันเสียก่อนซิ
ตั้งแต่มันยังไม่ทันเน่าเสีย
จะนำเอามาต้มมาแกง
นำมารับประทาน
หรือจะเอาไปขาย
เอาไป
แลกเปลี่ยนกับอะไรให้มันเกิดประโยชน์
ก็รีบจัดการกับมันเสียซิ
จะ
มามัวนั่งเสียดายต่อเมื่อมันเน่าเสียไปแล้ว
มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ
อันนี้ก็เหมือนกัน
เราจะปล่อยให้สังขารของเรานั้นแก่เฒ่าเจ็บป่วย
ตายไปเสียก่อน
ถึงจะร้องไห้เสียใจเสียดายตามในภายหลัง
มันทำไม
จะเกิดประโยชน์
ก็เหมือนกันกับฟักเขียวฟักทอง
เราจะได้ประโยชน์
อะไรกับมัน
เมื่อปลูกแล้วก็ปล่อยให้มันเน่าทิ้งไปเสียเฉยๆ
แล้วถึงจะ
มานั่งรำพึงรำพันเสียดายตามภายหลัง
ปลูกขึ้นมาแล้วก็ปล่อยให้มัน
เน่าทิ้งไปเสียเฉยๆ
ถึงจะมานั่งคิดว่า
เสียดายหนอๆ
จะเสียดายเอา
อะไร?
คนเรานี้ก็เหมือนกัน
เมื่อยังหนุ่มสาวยังมีกำลังวังชาอยู่
พอที่
จะประพฤติปฏิบัติได้
พอที่จะพิจารณาได้
พอละได้ในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม
ก็พากันละ
พากันถอนออกสิ
หรือจะมัวแต่นั่งนอนพิไรรำพันว่า
โอ!
เจ็บหนอ
ไข้หนอ เสียดายหนอ
แก่เฒ่าเร็วหนอ
(หมายเหตุ 7) กลัวจะ
ตายหนอ
ฯลฯ อย่างนี้มันจะเกิดประโยชน์อะไร
ทั้งๆที่จะพูดจะบ่นจะ
ว่าอย่างไร
มันก็ต้องเน่าเหมือนกับฟักทองอยู่เช่นนั้นแหละ
ฉะนั้นถ้า
คนฉลาดคนมีปัญญาก็ให้พิจารณาธรรมะ
ถ้าพิจารณาธรรมะแล้ว
ก็
ต้องรู้จักกาลรู้จักเวลา
เราก็มาสั่งสอนจิตใจของเรา
ให้มีความสุข
ความสำราญอยู่ในปัจจุบันนี้
นี่ก็คือการประพฤติธรรม
การปฏิบัติ
ธรรม
หรือการฟังธรรมให้เข้าใจ
เมื่อเข้าใจการฟังธรรมแล้ว
ก็รู้จัก
ธรรม
เมื่อรู้จักธรรมเป็นต้น
ก็รู้จักกฎของธรรมะ
เมื่อรู้จักกฎของ
ธรรมะ
ก็จะไม่เข้าไปจับยึดมั่นหมายในสิ่งต่างๆ
เข้าใจและรู้ว่าสิ่ง
เหล่านี้เมื่อถึงกาลถึงเวลามันก็จะต้องมีอันเป็นไป
อันนี้ก็เปรียบเหมือนใบไม้ของเรานี้แหละ
ถึงฤดูใบไม้ผลิเวียน
มาถึงมันก็ผลิแตกใบออกมา
ปีต่อไปเมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง
ใบของมันก็
จะร่วงหล่นลงไป
ร่วงหล่นลงไปแล้วก็ผลิแตกใบออกมาอีก
เราก็ควร
จะรู้จักธรรมชาติของมันว่า
เอ้อ! ฤดูนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงหรอก
ฤดูนี้เป็น
ฤดูใบไม้ผลิหรอก
เราก็พูดตามหลักของมันอย่างนั้น
มันก็ร่วงจริงๆ
ผลิขึ้นมาใหม่จริงๆ
คนมันก็เหมือนใบไม้นี่แหละ
เราจะไปร้องให้เสีย
ใจกับมันนั่นหรือ
จะไปหัวเราะดีใจกับมันนั่นหรือ
ถ้ารู้จักอย่างนั้น
รู้
จักถึงหลักความจริง
ก็เหมือนกับเรารู้จักฤดูใบไม้ร่วง
ร่วงแล้วมันก็
ต้องผลิใบใหม่ออกมาอีก
สังขารร่างกายของเราก็เหมือนกัน
เมื่อ
ประชุมปรุงแต่งรวมกันขึ้นมา
ถึงเวลามันก็จะหายไป
อย่างเรามีเพื่อน
มิตรสหาย
มีลูก มีหลาน
มาอยู่ร่วมกัน
มีความเป็นอยู่ร่วมกันวันหนึ่ง
เป็นต้น
สักวันหนึ่งก็จะต้องมีความพลัดพรากจากกันเป็นของธรรมดา
ของมัน
ให้เราเข้าใจไว้อย่างนี้
คือ นี่มันเป็นธรรมะ
นี่คือกฎของธรรมะ
ธรรมะนั้นอยู่ในตัวในกายในใจ
อยู่ในสังขารของเราทั้งหมด
ให้ปฏิบัติ
ธรรมะเพื่อรู้ธรรมะ
เมื่อรู้ธรรมะแล้วเรามันก็จะสบาย
มันจะสบาย
อะไร?
สบายเพราะเราไม่ไปยึดมั่นหมายมั่นนั่นแหละ
รู้เรื่องของมันว่า
สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น
เป็นไปตามเรื่องของมัน
ให้เรามาพิจารณา
ไม่
ต้องไปมองดูที่อื่นไกล
ให้เรานั้นพากันเข้ามาวัดประพฤติปฏิบัติให้มี
ศีลธรรม
วันคืนล่วงไปๆ
เราทำอะไรอยู่
เราพิจารณาอะไรอยู่
ให้เรา
พยายามกระทำใจของเราไม่ให้มีความขุ่นมัว
เมื่อใจเราจะมีความขุ่น
มัว ก็ให้ระลึกถึงคุณพระคุณเจ้า
ใจมันขุ่นขึ้นมา
ใจไม่ดีขึ้นมา
นั่น
แหละ เรากำลังจะตกนรก
ฮึ่มๆ วันนี้เราจะจัดการกับมันเสียดีไหม
หนอ? มีความคิดเคียดแค้นขุ่นเคืองอยู่ในใจอย่างนั้น
อันนี้แหละ
ระวังให้ดีมันจะพาเราให้ไปตกนรก
ถ้าเรามีความทุกข์อยู่ตลอดวัน
ตลอดคืน
นั่นแหละตกนรกจริงๆทีนี้
ฉะนั้นจึงว่าคนเรานั้นจิตใจเป็น
ของสำคัญ
ฉะนั้นเมื่อถึงวันธรรมสวนะเวียนมาถึง
ในวันขึ้น แรม
แปดค่ำ
สิบห้าค่ำ
ก็ให้พากันมาอบรมบ่มนิสัย
จะได้รู้จักข้อประพฤติปฏิบัติ
ของตัวเรา
รู้จักการรักษาตัวเอง
รักษากาย รักษาวาจา
รักษาใจ การ
ประพฤติปฏิบัติธรรมะก็อยู่ที่เรา
เพราะฉะนั้นจึงพากันพิจารณา
น้อม
เอาเข้ามาไว้ในจิตใจของเรา
อย่าฟังเฉยๆ
ฟังแล้วให้นำเอาไป
ประพฤติปฏิบัติที่บ้านของเราด้วย
ให้เราพิจารณาดูเมื่อเวลาใจของ
เรามีความโมโหโกรธแค้น
ก็ให้หมั่นเพียรปรับปรุงรักษาตัวเอง
สั่งสอน
ตัวเอง
ถามไปฟังไปแล้วให้นำเอากลับไปประพฤติปฏิบัติ
จำเอาไว้ใน
ลักษณะอย่างนี้
ให้เรามีความรู้สึกรับผิดชอบอยู่ในจิตใจของเราอยู่
เสมอนั่นแหละ
ถ้าหากว่าใจของเรามีความสว่างไสว
มีความบริสุทธิ์
ขาวสะอาด
ไม่มีความโลภ
ความโกรธ ความหลง
มันไม่เศร้า
ไม่มัว
หมอง
มันไม่ทุกข์ทน
เท่านั้นแหละใจเป็นบุญแล้ว
ใจพ้นจากนรกแล้ว
ใจพ้นจากอาสวะทั้งหลายแล้ว
นั่น ให้เรามาดูจิตใจเรา
ถ้าเวลามัน
โมโหขึ้นมาก็ให้พิจารณาดู
เวลาดีใจขึ้นมาก็พิจารณาดูเหมือนกัน
ปล่อยมัน
วางมัน วางอารมณ์เหล่านี้ลงเสีย
อย่าไปเชื่อมันจนเกินไป
อย่าไปส่งเสริมมันในทางไม่ดีไม่งาม
ให้สั่งสอนตัวเอง
ฉะนั้นผู้รักษา
จิตของตัวเอง
จึงป้องกันความผิดทั้งหลายได้
หยุดจิตที่มันกำลังจะไป
จิตนี้เหมือนกันกับควาย
ทีนี้เรามารักษาจิตของเรา
ผู้รู้
รักษาจิต
คือ เจ้าของควาย
อาหารของควายนั้นคืออะไร?
อาหารของ
ควายก็คือข้าวหรือหญ้า
ถ้าเราตามรักษาจิตของเรา
ก็คือ คนเลี้ยง
ควายจะต้องทำอย่างไร?
คนเลี้ยงควายก็จะต้องเห็นควายของตัวเอง
ว่าควายมันกำลังอยู่ในลักษณะท่าทีอย่างไร
เราก็รู้จักหมด
มันจะเข้า
ป่าเข้าดง
ลงน้ำลงห้วยเราก็รู้จัก
หรือมันจะไปเข้ารั้วเข้าสวนเขาเราก็รู้
จัก เพราะเรามองดูควายของเราอยู่
ถ้ามันจะเข้าไปใกล้รั้วใกล้สวน
ของเขา
เราก็ตะเพิดไล่มัน
อย่าไปส่งเสริมมัน
เราตามรักษาจิตก็
เหมือนกัน
สิ่งที่จะทำให้เราเกิดมีความสุขความทุกข์
มีความอิจฉา
พยาบาทนั้น
คือข้าวคือหญ้าอารมณ์ของจิต
จิตมันจะมีอิจฉา
จิตมัน
จะมีพยาบาท
จิตโลภอันนั้น
โกรธอันนี้
เราก็รู้จัก
เพราะจิตเปรียบ
เสมือนกับควาย
ผู้มีปัญญาผู้รู้ทั้งหลายก็เหมือนกันกับเจ้าของควาย
ถ้าจิตของเราจะคิดดีคิดชั่ว
เราก็รู้จักเรื่องของมัน
เราก็รักษาสั่งสอน
ทรมานมันได้
เหมือนกันกับคนเลี้ยงควายตามรักษาควาย
มันจะไป
กินข้าวเข้าไปในรั้วในสวนของเขา
เราก็ไล่มันได้
เพราะเราคอยดูควาย
ของเราอยู่
การรักษาตัวเองก็เหมือนกัน
ก็ต้องรักษาอย่างนั้น
อันนี้คือ
การตามรักษาจิตของตัวเอง
ผู้ใดตามรักษาจิตของตน
ผู้นั้นจะพ้น
จากบ่วงของมาร
ก็ต้องพ้นซิ
ก็เหมือนกันกับคนตามรักษาควายนั่น
แหละ ควายมันจะเข้าไปกินหญ้ากินข้าวในนาเขา
เราก็ไล่ มันจะเข้า
รั้วเข้าสวนเขา
เราก็ไล่ มันจะไปในทางไม่ดีไม่งาม
เราก็ไล่ มันก็พ้น
จากความเสียหาย
พ้นจากความผิดเท่านั้น
นั่น ตามรักษาจิตเจ้าของ
ก็เหมือนกันกับคนตามรักษาควาย
มันจะเกลียดผู้นั้น
โกรธผู้นี้
มันจะ
หลงอันนั้น
หลงอันนี้ เราก็ตามรักษาจิตของเราอยู่อย่างนั้น
ในเรื่อง
ความชั่วเราไม่ส่งเสริมมัน
กำราบสอนมันอยู่เรื่อยๆ
มันก็สอนได้เท่า
นั้นแหละ
ถ้าตามรักษาตัวเอง
แต่นี่กลับไม่รู้จักรักษาตัวเอง
(หมายเหตุ 8) คนเรานั้นจิตมัน
จะไม่อยู่เฉยๆหรอก
ไม่รู้จักปฏิบัติอะไร?
กฎนั้นเป็นอย่างไร?
ธรรมนั้น
อยู่ที่ไหน?
ไม่รู้จัก ถ้าเราไม่รู้จักอย่างนี้
(หมายเหตุ 9) นั่งอยู่มันก็คิด
ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ
คิดรัก คิดชัง
คิดน้อยใจ คิดดีใจเสียใจ
คิดวิตก
กังวล
คิดไปหลายๆอย่าง
ถ้าเราตามรักษา
เราก็ต้องรู้จัก
ถ้ารู้จักแล้ว
เราก็ทรมานมันซิ
อันไหนไม่ดีไม่งาม
เราก็ตะคอกมันซิ
ไล่มันออกไป
อย่าให้มันอยู่กับเราซิ
อย่าให้มันโผล่ขึ้นมาได้
อย่างนี้มันก็เป็นการ
ปฏิบัติเท่านั้น
เกิดมาแล้วดับไป
เกิดแล้วดับไป
นั่นคือการตามรักษา
จิตของตน
นี่คือธรรมะ
คือการปฏิบัติธรรม
อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ
อย่าได้พากันมาเฉยๆ
กลับไปถึง
บ้านแล้ว
ถึงเราจะมีงานที่ต้องทำ
จะรดสวน เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่
หุงหา
อาหาร
หรือทำอะไรต่างๆ
ก็ให้ตามดูจิตของเรา
อย่าได้ทิ้งไป
ถ้าตาม
รักษาจิตของตัวเอง
เราก็จะรู้ตัว
เราก็คอยห้ามตักเตือนตัวเอง
เหมือน
กันกับเราตามรักษาควายนั่นแหละ
มันจะเข้าไปกินข้าวกล้าในนาเขา
หรือกินพืชผักในรั้วสวนของเขา
เราก็ตะเพิดไล่มันออก
หรือมันจะหนี
ไปไม่กลับบ้าน
เราก็ไล่มันกลับมา
เราตามรักษาจิตของเราก็เป็น
อย่างนั้น
มันจะออกไปข้างนอก
มันจะไปอิจฉาพยาบาทผู้อื่น
เราก็
ต้องต้อนมันกลับเข้ามา
จะไปส่งเสริมมันทำไม
อันนี้ก็ให้รู้จักอะไรๆ
ต่างๆ
ถ้าจิตของเรามีความโกรธขึ้นมาก็ตั้งท่าสู้ด้วยซ้ำไป
ถลกผ้าขึ้น
แสดงท่าที่ช่วยส่งเสริมมันอีกอย่างนั้น
มันจะรักษาตัวเองได้อย่างไร
ในเมื่อเราเองก็เห็นพร้อมร่วมส่งเสริมไปกับมันอย่างนั้น
นั่นมันเป็นสิ่ง
ไม่ดี
ก็ไปช่วยมันอย่างนั้น
มันก็เลยละไม่ได้
เพราะคนไม่เคยรักษาตัว
เอง เห็นท่าว่ามันจะไม่ดีแล้ว
ก็หยุดคิดว่า
เอ๊ะ! เราจะเอามันไปด้วย
ได้ไหม?
ให้หนี บอกตัวเองว่าอย่างนั้นก็ได้
เมื่อถูกอารมณ์มากระ
ทบก็หันท่าสู้ใส่เขา
ปากก็ถามว่า
เคยตายไหม? เอาแล้วซิ
ไปส่ง
เสริมมันอย่างนั้นทำไม
เอ้า เราก็ดูอย่างนี้แหละ
ตัวธรรม การปฏิบัติ
ธรรม
จะไปเรียนเอาในพระไตรปิฎกที่ไหน
เราอย่าไปส่งเสริมมันใน
ทางที่ผิดซิ
เมื่อกายของเราหมดลมหายใจแล้ว
วิญญาณมันก็ต้องหนี
ออกมา
ฉะนั้นเรื่องนี้เรายังหลงอยู่
สร้างความทุกข์สร้างความอยาก
สร้างบาปสร้างกรรมอยู่เดี๋ยวนี้
เพราะอะไร? เพราะเรื่องของกาย
ให้ญาติโยมสรงน้ำตามประเพณีนิยม
ที่เราได้เคยพากันทำ
มา
หมายเหตุจากผู้จัดทำ
เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ
บ้านที่แท้จริง
ซึ่งจัดพิมพ์โดย
สำนัก
พิมพ์
ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ
พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์
ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ยังได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด
ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความที่คาด
ว่าต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด
และข้อความที่เกรงว่าจะทำให้เกิดสับสน
โดยได้ใส่วงเล็บกำกับไว้
ณ จุดที่แก้ไขแล้ว
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
ปธิโพธ แต่ต่อมาได้พบ
คำนี้อีกสองครั้ง
โดยทั้งสองหลังนั้นสะกดว่า
ปลิโพธ จึงแก้จุดแรกนี้
ให้เป็น
ปลิโพธ ด้วย
จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
นอนฟูกนอกเบาะอัน
อ่อนนุ่ม
แก้เป็น นอนฟูกนอนเบาะอันอ่อนนุ่ม
จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
ไม่ว่าจะเป็นของภายนอก
หรือภายใน
แก้เป็น ไม่ว่าจะเป็นของภายนอกหรือภายใน
จุด 4 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
เมื่อเราเป็นสุข
เขาก็เป็น
สุข แก้เป็น
เมื่อเขาเป็นสุข
เราก็เป็นสุข
จุด 5 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
(ไม้ลูกหน้าเป็นอาวุธใช้
สำหรับยิงสัตว์
มีลักษณะคล้ายคลึงกับลูกศรธนู
ต่างแต่ลูกหน้านี้
เขา
จะนำเอายางไม้ที่มีพิษมาทาหัวลูกศรด้วย)
จุด 6 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
เข้าไปแก้ไขไม่ได้
ก็ไม่เข้า
ไปแก้
ก็เลยทำให้เป็นทุกข์
แก้เป็น เข้าไปแก้ไขไม่ได้
ก็เข้าไปแก้
ก็
เลยทำให้เป็นทุกข์
จุด 7 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
หรือจะมัวแต่นั่งนองพิไร
รำพันว่า
โอ! เจ็บหนอ ไข้หนอ
เสียดายหนอ
แต่เฒ่าเร็วหนอ
แก้สอง
จุดใกล้ๆกัน
คือตรงคำว่า
นั่งนอง และ
แต่เฒ่า กลายเป็น
ข้อความว่า
หรือจะมัวแต่นั่งนอนพิไรรำพันว่า
โอ! เจ็บหนอ ไข้หนอ
เสียดายหนอ
แก่เฒ่าเร็วหนอ
จุด 8 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
ไม่รู้จักรักษาตัวเอง
นั่ง
อยู่เฉยๆมันก็มีธรรมะ
คนเรานั้นจิตมันจะไม่อยู่เฉยๆหรอก
ไม่แน่ใจ
ว่าข้อความที่ว่า
นั่งอยู่เฉยๆก็มีธรรมะ
นี้พิมพ์ผิดหรือไม่
จะว่าถูกก็
ได้ ผิดก็ได้
ที่ว่าถูกก็เพราะถ้าจะมองลึกๆแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่าง
ก็เป็นธรรม
ชาติ
เป็นธรรมะทั้งนั้นแหละ
เพียงแต่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่เท่านั้น
ถ้า
จะมองกันลึกๆ
มันก็ถูกได้
แต่ถ้าไม่มองลึกขนาดนั้นก็จะดูเหมือนผิด
ข้อความมันอ่านแล้วขัดๆ
คือ อยู่เฉยๆจะมีได้อย่างไร
ถ้าเฉยน่าจะไม่
มี นอกจากนั้นถ้าจะตีความข้อความ
มีธรรมะ ว่าหมายถึง
การ
ปฏิบัติธรรมะ
หรือ รู้จักธรรมะ
ก็จะเป็นการพิมพ์ผิด
และเนื่องจากผมเห็นว่าข้อความนี้ไม่มีความสำคัญต่อ
ข้อความข้างเคียงมากนัก
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับผู้อ่าน
จึงได้ตัดข้อความ
นั่งอยู่เฉยๆมันก็มีธรรมะ
ทิ้งไป
จุด 9 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า
ถ้าเรารู้จักอย่างนี้
แก้
เป็น
ถ้าเราไม่รู้จักอย่างนี้