บ้านที่แท้จริง
บัดนี้ขอให้โยมยายจงตั้งใจฟังธรรมะ
ซึ่งเป็นโอวาทขององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยเคารพต่อไป
ให้โยมตั้งใจว่าในเวลา
นี้ ปัจจุบันนี้
ซึ่งอาตมาจะได้ให้ธรรมะ
ให้โยมตั้งใจเสมือนว่าพระพุทธ
เจ้าของเรานั้นตั้งอยู่ในที่เฉพาะหน้าของโยม
จงตั้งใจให้ดี
กำหนดจิต
ให้เป็นหนึ่ง
หลับตาให้สบาย
น้อมเอาพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์
มาไว้ที่ใจ
เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า
บัดนี้อาตมาไม่มีอะไรฝากโยมด้วยสิ่งของที่จะเป็นแก่นเป็น
สาร นอกจากธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
และเป็นของ
ฝากที่เป็นชิ้นสุดท้าย
ขอให้โยมจงตั้งใจรับ
ให้โยมทำความเข้าใจว่า
พระพุทธเจ้าของเรานั้น
ถึงแม้จะ
เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีมาก
ก็จะหลีกหนีความทุพพลภาพไปไม่ได้
อายุถึงวัยนี้แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราท่านก็ปลง
ปลงอายุสังขาร
คำว่าปลงนี้ก็คือว่าให้ปล่อยวาง
อย่าไปหอบไว้
อย่าไปหิ้วไว้
อย่าไป
แบกไว้
ให้โยมยอมรับเสียว่า
สังขารร่างกายนี้
ถึงแม้ว่ามันจะเป็น
อย่างไรๆก็ตามมันเถอะ
เราก็ได้อาศัยสกลร่างกายนี้มาตั้งแต่กำเนิด
ขึ้นมา
จนถึงวัยเฒ่าแก่ป่านนี้
ก็พอแล้ว
ก็เปรียบประหนึ่งว่า
เครื่องใช้ไม้สอยของเราต่างๆ
ที่อยู่ใน
บ้าน
ซึ่งเราเก็บกำไว้นานแล้ว
เช่น ถ้วยโถโอจาน
บ้านช่องของเรานี้
เบื้องแรกมันก็สดใสใหม่สะอาดดี
เมื่อเราใช้มันมาจนบัดนี้
มันก็ทรุด
โทรมไป
บางวัตถุก็แตกไปบ้าง
หายไปบ้าง ชิ้นที่มันเหลืออยู่นี้ก็แปร
ไป เปลี่ยนไป
ไม่คงที่ มันก็เป็นอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าอวัยวะร่างกายของ
เรานี้ก็เหมือนกัน
ตั้งแต่เริ่มเกิดมาเป็นเด็ก
เป็นหนุ่ม มันก็แปรมา
เปลี่ยนมาเรื่อยๆ
มาจนถึงบัดนี้แล้ว
ก็เรียกว่าแก่
นี้คือให้เรายอมรับ
เสีย
พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า
สังขารนี้ไม่ใช่ตัวของเรา
ทั้งในตัว
เรานี้ก็ดี
กายเรานี้ก็ดี
นอกกายนี้ก็ดี
มันเปลี่ยนไปอยู่อย่างนั้น
ให้โยม
พินิจพิจารณาดูให้มันชัดเจน
อันนี้แหละ
ทั้งก้อนที่เรานั่งอยู่นี้
ที่เรา
นอนอยู่นี้
ที่มันกำลังทรุดโทรมอยู่นี้
นี้แหละมันคือสัจจธรรม
สัจจ
ธรรมคือความจริงความจริงอันนี้เป็นสัจจธรรม
เป็นคำสอนของพระ
พุทธเจ้าที่แน่นอน
เพราะฉะนั้นท่านจึงให้มองมัน
ให้พิจารณามัน
ให้
ยอมรับมันเสีย
มันก็เป็นสิ่งที่ควรจะยอมรับ
ถึงแม้ว่ามันจะเป็น
อย่างไรอะไรก็ตามทีเถอะ
พระพุทธองค์ท่านก็สอนว่า
เมื่อเราถูกคุมขังในตะรางก็ดี
ก็ให้
ถูกคุมขังเฉพาะกายอันนี้เท่านั้น
แต่ใจอย่าให้ถูกขัง
อันนี้ก็เหมือนกัน
ฉันนั้น
เมื่อร่างกายมันทรุดโทรมไปตามวัย
โยมก็ยอมรับเสีย
ให้มัน
ทรุดไป
ให้มันโทรมไปเฉพาะร่างกายเท่านั้น
เรื่องจิตใจนั้นเป็นคนละ
อย่างกัน
ก็ทำจิตให้มีกำลังให้มีพลัง
เพราะเราเข้าไปเห็นธรรมว่า
สิ่ง
ทั้งหลายเหล่านั้นมันก็เป็นอย่างนั้น
มันต้องเป็นอย่างนั้น
พระพุทธ
องค์ท่านก็สอนว่า
ร่างกายจิตใจนี้มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
มันจะเป็นของ
มันอยู่อย่างนั้น
มันจะไม่เป็นไปอย่างอื่น
คือ เริ่มเกิดขึ้นมาแล้วก็แก่
แก่มาแล้วก็เจ็บ
เจ็บมาแล้วก็ตาย
อันนี้เป็นความจริงเหลือเกิน
ซึ่ง
คุณยายก็พบอยู่ในปัจจุบันนี้
มันก็เป็นสัจจธรรมอยู่แล้ว
ก็มองดูมัน
ด้วยปัญญา
ให้เห็นมันเสียเท่านั้น
ถึงแม้ว่าไฟมันจะมาไหม้บ้านของเราก็ตาม
ถึงแม้ว่าน้ำมันจะ
ท่วมบ้านของเราก็ตาม
ถึงแม้ว่าภัยอะไรต่างๆ
มันจะมาเป็นอันตราย
ต่อบ้านต่อเรือนของเราก็ตาม
ก็ให้มันเป็นเฉพาะบ้านเฉพาะเรือน
ถ้า
ไฟมันไหม้ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเรา
ถ้าน้ำมันท่วมก็อย่าให้มันท่วมหัว
ใจเรา
ให้มันท่วมแต่บ้าน
ให้มันไหม้แต่บ้านซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกาย
ของเรา
ส่วนจิตใจของเรานั้น
ให้มันมีการปล่อยวาง
เพราะในเวลานี้
มันก็สมควรแล้ว
มันสมควรที่จะปล่อยแล้ว
ที่โยมเกิดมานี้ก็นานแล้วใช่ไหม
ตาก็ได้ดูรูปสีแสงต่างๆตลอด
หมดแล้ว
ทั้งอวัยวะทุกชิ้นทุกส่วน
หูก็ได้ฟังเสียงอะไรทุกๆอย่างหมด
แล้ว
อะไรทุกอย่างก็ได้รับมามากๆทั้งนั้นแหละ
และมันก็เท่านั้นแหละ
จะรับประทานอาหารที่อร่อย
อร่อยมันก็เท่านั้น
รับประทานสิ่งที่ไม่
อร่อย
มันก็เท่านั้น
ตาจะดูรูปสวย
สวยมันก็เท่านั้น
หรือดูรูปที่ไม่สวย
มันก็เท่านั้น
หูได้ฟังเสียงที่ไพเราะ
ไพเราะจับอกจับใจมันก็เท่านั้น
จะ
ได้ฟังเสียงที่ไม่ไพเราะ
มันก็เท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่า
ทั้งคนร่ำรวย
ทั้งคน
ยากจน
ทั้งผู้ใหญ่
ทั้งเด็ก ตลอดทั้งเดียรัจฉานทั้งหมดด้วย
ซึ่งเกิดขึ้น
มาในสกลโลกอันนี้
มันไม่มีอะไรจะยั่งยืน
จะต้องผลัดไปเปลี่ยนไป
ตามสภาวะของมัน
อันนี้เป็นสภาวะความจริงที่เราจะแก้ไขอย่างไรๆ
เพื่อจะให้
มันไม่เป็นอย่างนั้นไม่ได้
แต่ก็มีทางแก้ไขอยู่ว่า
พระพุทธองค์ท่านให้
พิจารณาสังขารร่างกายนี้ที่เดียวเท่านั้น
ให้พิจารณาจิตใจนี้ด้วย
ว่า
ทั้งสองอย่างนี้มันไม่ใช่ของเรา
ไม่ใช่เรา มันเป็นของสมมุติ
เช่นว่า
บ้านของคุณยายนี้
ก็เป็นของสมมุติว่าเป็นของคุณยายเท่านั้น
จะเอา
ติดตามไปที่ไหนก็ไม่ได้
สมบัติพัสถานมันสมมุติว่าเป็นของคุณยาย
เท่านั้น
มันก็ตั้งอยู่เท่านั้น
จะเอาไปที่ไหนก็ไม่ได้
ลูกหลานบุตรธิดาทั้ง
หลายทั้งปวงนั้น
เขาสมมุติว่าเป็นลูกเป็นหลานของคุณยาย
มันก็
เรื่องสมมุติทั้งนั้น
มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ
ไม่ใช่ว่าเป็นเราคนเดียว
มันเป็นกันทั้งโลก
ถึงแม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็น
อย่างนี้
พระอรหันต์สาวกทั้งปวงท่านก็เป็นอย่างนี้
แต่ท่านแปลกกว่า
พวกเราทั้งหลาย
แปลกอย่างไร
คือท่านยอมรับ
ยอมรับว่าสกลร่าง
กายนี้มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้
จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
มันจะต้องเป็น
อย่างนี้
ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงให้พิจารณาดูสกลร่างกาย
ตั้งแต่
ปลายเท้าขึ้นมาบนศีรษะ
ตั้งแต่ศีรษะลงไปหาปลายเท้า
ดูซิว่ามันมี
อะไรบ้าง
อะไรเป็นของสะอาดไหม
เป็นของเป็นแก่นสารไหม
นับว่า
แต่มันจะทรุดเรื่อยมาอย่างนี้
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เห็น
สังขารว่า
ของไม่ใช่ของเรา
มันก็เป็นอย่างนี้
ของที่ไม่ใช่ของเรา
มันก็
เป็นอย่างนี้
จะให้มันเป็นอย่างไรล่ะ
อันนี้มันถูกแล้ว
ถ้าโยมมีความ
ทุกข์
โยมก็คิดผิดเท่านั้นแหละ
ไปเห็นสิ่งที่มันถูกอยู่โดยความเห็นผิด
มันก็ขวางใจเท่านั้น
เหมือนน้ำในแม่น้ำที่มันไหลลงไปในทางที่ลุ่ม
มันก็ไหลไป
ตามสภาพอย่างนั้น
อย่างแม่น้ำอยุธยา
แม่น้ำมูล แม่น้ำอะไรๆก็ตาม
เถอะ มันก็ต้องมีการไหลวนไปทางใต้ทั้งนั้นแหละ
มันไม่ไหลขึ้นไป
ทางเหนือหรอก
ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น
สมมุติว่า บุรุษคนหนึ่งไปยืน
อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
แล้วก็มองดูกระแสของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไปทางใต้
แต่
บุรุษนั้นมีความคิดผิด
อยากจะให้น้ำนั้นมันไหลขึ้นไปทางเหนือ
อย่าง
นี้เป็นต้น
เขาก็เป็นทุกข์
เขาคนนั้นจะไม่มีความสงบเลย
ถึงแม้จะยืน
จะเดิน
จะนั่ง จะนอน เขาก็ไม่มีความสงบ
เพราะอะไรล่ะ
เพราะบุรุษ
นั้นคิดผิด
คิดทวนกระแสน้ำ
คิดอยากจะไปให้น้ำไหลขึ้นไปทางเหนือ
ความจริงนั้นน้ำมันจะไหลขึ้นทางเหนือนั้นไม่ได้
มันจะต้องไหลไป
ตามกระแสของมันเป็นธรรมดาอยู่อย่างนั้น
เมื่อมันเป็นอย่างนี้
บุรุษ
นั้นก็ไม่สบายใจ
ทำไมถึงไม่สบายใจ
ก็เพราะบุรุษนั้นคิดไม่ถูก
พิจารณาไม่ถูก
ดำริไม่ถูก
เพราะเขามีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิ
(หมายเหตุ
1) ถ้าเป็นสัมมาทิฐิแล้วก็ต้องเห็นว่า
น้ำก็ต้องไหลไปตาม
กระแสของมัน
คือไหลไปทางใต้
ที่จะให้ไหลไปทางเหนือนั้นมันเป็น
ความเห็นผิด
มันก็มีความกระทบกระทั่งตะขิดตะขวงใจอยู่อย่างนั้น
จนกว่าบุรุษคนนั้นจะมาพิจารณาคิดกลับ
เห็นว่าน้ำธรรมดามันก็ต้อง
ไหลไปทางใต้อย่างนี้
เป็นเรื่องของมันอยู่อย่างนั้น
อันนี้เป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่ง
ซึ่งเราจะเอามาพิจารณาว่า
เออ อันนี้มันก็เป็นความจริงอย่างนั้น
แม่น้ำที่มันไหลไปทิศใต้
มันก็
เหมือนชีวิตร่างกายของยายอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
เมื่อมันหนุ่มแล้วมันก็แก่
เมื่อมันแก่แล้วก็วนไปตามเรื่องของมัน
อันนี้เป็นสัจจธรรม
อย่าไปคิด
ว่าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น
อย่าไปคิดอย่างนั้น
เรื่องอันนี้ไม่ใช่ว่า
เราจะมีอำนาจไปแก้ไขมัน
พระพุทธเจ้าท่านให้มองตามรูปมัน
มอง
ตามเรื่องของมัน
เห็นตามสภาพของมันเสียว่า
มันเป็นอย่างนั้นเท่า
นั้น
เราก็ปล่อยมันเสีย
เราก็วางมันเสีย
เอาความรู้สึกนี้เองเป็นที่พึ่ง
ให้ภาวนาว่า
พุทโธ พุทโธ
ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยก็ตาม
เถอะ ให้โยมทำจิตให้อยู่กับลมหายใจ
หายใจออกยาวๆ
สูดลมเข้ามา
ยาวๆ
หายใจออกไปยาวๆ
แล้วก็ตั้งจิตขึ้นใหม่
แล้วก็กำหนดลมว่า
พุทโธ
พุทโธ โดยปกติถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยมากเท่าไร
ก็ยิ่งกำหนด
ลมเข้าไปให้ละเอียดละเอียดเข้าไปมากเท่านั้นทุกครั้ง
เพื่ออะไร เพื่อ
จะต่อสู้กับเวทนา
เมื่อมันกำลังเหน็ดเหนื่อยก็ให้โยมหยุดความคิดทั้ง
หลาย
ให้โยมหยุดคิดอะไรๆทั้งปวงเสีย
ให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิต
แล้ว
เอาจิตให้รู้จักลม
ภาวนา พุทโธ
พุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมด
อย่าไปเกาะกับลูก
อย่าไปเกาะกับหลาน
อย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลาย
ทั้งปวงทั้งนั้น
ให้ปล่อยให้เป็นอันเดียว
รวมจิตลงที่อันเดียว
ดูลมให้
กำหนดลม
เอาจิตนั่นแหละไปรวมอยู่ที่ลม
คือให้รู้ที่ลมในเวลานั้น
ไม่
ต้องไปรู้อะไรมากมาย
กำหนดให้จิตมันน้อยไปๆละเอียดไปๆ
เรื่อยๆ
ไป จนกว่าจะมีความรู้สึกน้อยๆ
มันจะมีความตื่นอยู่ในใจมากที่สุด
อันนี้เวทนาที่มันเกิดขึ้น
มันจะค่อยๆระงับไปๆ
ผลที่สุด เราก็
ดูลมเหมือนกับญาติมาเยี่ยมเรา
เราก็จะตามไปส่ง
ญาติขึ้นรถลงเรือ
เราก็ตามไปถึงท่าเรือไปถึงรถ
เราก็ส่งญาติเราขึ้นรถ
เราก็ส่งญาติเรา
ลงเรือ
เขาก็ติดเครื่องเรือ
เครื่องรถไปลิ่วเท่านั้นแหละ
เราก็มองไป
เถอะ เมื่อญาติเราไปแล้ว
เราก็กลับบ้านเรา
เราดูลมก็เหมือนกันฉัน
นั้น
เมื่อลมมันหยาบเราก็รู้จัก
เมื่อลมมันละเอียดเราก็รู้จัก
เมื่อมัน
ละเอียดไปเรื่อยๆ
เราก็มองไปๆ
ตามไป น้อมไปๆ
ทำจิตให้มันตื่นขึ้น
ทำลมให้มันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ
ผลที่สุดแล้วลมหายใจมันน้อยลงๆ
จนกว่าลมหายใจไม่มี
มันก็จะมีแต่ความรู้สึกเท่านั้นตื่นอยู่
นั้นก็เรียก
ว่าเราพบพระพุทธเจ้าแล้ว
เรามีความรู้ตื่นอยู่ที่เรียกว่า
พุทโธ ผู้รู้
ผู้
ตื่น
ผู้เบิกบาน
ถ้าเป็นเช่นนั้น
เราได้อยู่กับพระพุทธเจ้าแล้ว
เราได้พบ
พระพุทธเจ้าแล้ว
เราพบความรู้แล้ว
เราพบความสว่างแล้ว
มันไม่ส่ง
จิตใจไปทางอื่นแล้ว
มันจะรวมอยู่ที่นั่น
นั้นเรียกว่าเข้าถึงพระพุทธเจ้าของเรา
ถึงแม้ว่าท่าน
ปรินิพพานไปแล้ว
นั่นเรียกว่าพระพุทธรูป
เป็นรูปกาย
มีรูป แต่พระ
พุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็คือ
ความรู้อันสว่างไสว
เบิกบานอย่างนี้
เมื่อพบเช่นนี้
เราก็มีอันเดียวเท่านั้น
ให้มารวมที่นี้
ฉะนั้นให้วาง
วาง
ทั้งหมด
เหลือแต่ความรู้อันเดียว
แต่อย่าไปหลงนะ
อย่าให้ลืม
ถ้าเกิด
เป็นรูปเป็นเสียงอะไรมาก็ให้ปล่อยวางทั้งหมด
ไม่ต้องเอาอะไรทั้งนั้น
แหละ ไม่ต้องเอาอะไร
เอาแต่ความรู้สึกอันเดียวเท่านั้นแหละ
ไม่ห่วง
ข้างหน้า
ไม่ห่วงข้างหลัง
หยุดอยู่กับที่
จนกว่าว่าเดินไปก็ไม่ใช่
ถอย
กลับก็ไม่ใช่
หยุดอยู่ก็ไม่ใช่
ไม่มีที่ยึด
ไม่มีที่หมาย
เพราะอะไร เพราะ
ว่าไม่มีตัว
ไม่มีตน ไม่มีเรา
และไม่มีของของเรา
หมด
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
สอนให้เราหมดอย่างนี้
ไม่ให้
เราคว้าเอาอะไรไป
ให้เรารู้อย่างนี้
รู้แล้วก็ปล่อย
ก็วาง
บัดนี้มันเป็นภาระของเราคนเดียวเท่านั้น
ให้เข้าถึงธรรมะ
อย่างนี้
อันนี้เป็นทางที่จะทำให้เราพ้นจากวัฏฏสงสาร
พยายามปล่อย
วางให้เข้าใจ
ให้ตั้งอกตั้งใจพินิจพิจารณา
อย่าไปห่วงคนโน้น
อย่าไป
ห่วงคนนี้
ลูกก็ดี หลานก็ดี
อะไรทั้งปวงเหล่านั้นอย่าไปห่วงเลย
ที่เขา
ยังเป็นอยู่
เขาก็เป็นอยู่
อนาคตต่อไปเขาก็จะเป็นอย่างนี้
เป็นอย่าง
คุณยายที่เป็นอยู่นี้
ไม่มีใครที่จะเหลืออยู่ในโลกได้
จะต้องเป็นอย่างนี้
ทั้งนั้น
อันนี้คือสภาวะความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
เพราะ
ฉะนั้นของที่ไม่มีสาระแก่นสารจริงๆท่านจึงให้วาง
ถ้าวางแล้วก็เห็น
ความจริง
ถ้าไม่วางมันก็ไม่เห็นความจริง
มันเป็นอยู่อย่างนี้
ใครทั้ง
หมดในสากลโลกนี้มันก็เป็นอย่างนี้
ดังนั้น ยาย
โยม ไม่ควรห่วงใย
ไม่ควรเกาะเกี่ยว
ถึงแม้มันจะคิดก็ให้มันคิด
แต่ว่าคิดให้อยู่กับปัญญา
ให้คิด
ด้วยปัญญา
อย่าคิดด้วยความโง่
นึกถึงลูกก็นึกถึงด้วยปัญญา
อย่า
นึกถึงด้วยความโง่
นึกถึงหลานก็ให้นึกถึงด้วยปัญญา
อย่าให้นึกถึง
ด้วยความโง่
อะไรอะไรทั้งหมดนั่นแหละ
เราก็คิดได้
เรารู้มันก็ได้
แต่
เราคิดด้วยปัญญา
เรารู้ด้วยปัญญา
ถ้ารู้ด้วยปัญญาเราก็ต้องปล่อย
รู้ด้วยปัญญาก็ต้องวาง
ถ้ารู้ด้วยปัญญา
คิดด้วยปัญญา
มันจะไม่มี
ทุกข์
มันจะมีความเบิกบาน
มีความสำราญ
มีความสงบ มีความ
ระงับเป็นอันเดียว
จิตใจเรามารวมอยู่อย่างนี้
อะไรที่เราจะต้องอาศัย
อยู่ในปัจจุบันในคราวนี้
ก็คือลม ลมหายใจนี่แหละ
บัดนี้เป็นภาระของคุณยายคนเดียว
ไม่เป็นภาระของคนอื่น
ภาระของคนอื่นก็ให้เป็นของคนอื่นเขา
ธุระหน้าที่ของเราก็เป็นธุระ
หน้าที่ของเรา
อย่าไปเอาธุระของลูกหลานมาทำ
อย่าไปเอาธุระของ
คนอื่นมาทำ
อย่าไปเอาธุระอะไรๆทั้งปวงทั้งนั้นแหละมาทำ
ไม่ใช่หน้า
ที่ของเรา
ในเวลานี้เราควรปล่อยแล้ว
เราควรจะวางแล้ว
อาการที่จะ
ปล่อยจะวางนี้
จะทำความสงบนี้
เป็นธุระของเรา
เป็นหน้าที่ของเราที่
จะต้องทำในปัจจุบัน
ให้รวมจิตเข้ามาเป็นหนึ่ง
นี้คือธุระหน้าที่ของเรา
เรื่องอะไรก็ปล่อยให้เขาเสีย
เรื่องรูปก็ปล่อยให้เขาเสีย
เรื่องเสียงก็
ปล่อยให้เขาเสีย
เรื่องกลิ่น
เรื่องรส ก็ปล่อยให้เขาเสีย
เรื่องอะไรๆก็
ปล่อยให้เขาแล้ว
เราจะทำธุระหน้าที่ของเรา
มันจะมีอะไรเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา
ก็ให้นึกอยู่ในใจว่า
อย่า
มากวนฉัน
ไม่ใช่ธุระหน้าที่ของฉัน
ความวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ตาม
เช่นว่าเราจะกลัว
กลัวในชีวิตของเรา
เพราะเราจะตายอย่างนี้เป็นต้น
คิดถึงคนโน้น
แล้วก็คิดถึงคนนี้
เมื่อมันเกิดขึ้นมาในจิตอย่างนั้น
เราก็
บอกในใจเราว่า
อย่ามากวนฉัน
ไม่ใช่ธุระของฉัน
บอกอย่างนี้ไว้ในใจ
ของเรา
เพราะว่าเราเห็นธรรมทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นมา
ธรรมคืออะไร
ธรรมก็คือทุกสิ่งอย่าง
อะไรที่ไม่เป็นธรรมก็ไม่มี
แล้วโลกก็คืออะไร
โลกก็คืออารมณ์ที่มันมายุแหย่
กวนยายอยู่เดี๋ยวนี้
แหละ เดี๋ยวคนนั้นจะเป็นอย่างไร
เดี๋ยวคนนี้จะเป็นอย่างไร
เมื่อเรา
ตายไปนี่ใครจะดูแลเขา
ใครจะเป็นอะไรอย่างไรไหม
อย่างนี้น่ะเป็น
โลกทั้งนั้นแหละ
ถึงแม้ว่าเราคิดขึ้นเฉยๆ
เราก็กลัวจะตาย
กลัวจะแก่
กลัวจะเจ็บ
อะไรทั้งหลายเหล่านี้
มันเป็นโลกทั้งนั้น
ทิ้งโลกเสีย
โลกนี้
มันเป็นอย่างนั้น
ถ้ามันมีขึ้นมาในใจก็เรียกว่า
โลกนี้คืออารมณ์
อารมณ์นี้มันมาบังจิต
ไม่ให้เห็นจิตของตน
อะไรๆ ทุกอย่างนั่นถ้ามัน
เกิดขึ้นมาให้โยมคิดว่า
อันนี้ไม่ใช่ธุระของฉัน
เป็นเรื่องอนิจจัง
เป็น
เรื่องทุกขัง
เป็นเรื่องอนัตตา
เราจะคิดว่าอยากอยู่ไปนานๆ
อย่างนี้ก็ให้เกิดทุกข์
เราอยาก
จะตายเสียเดี๋ยวนี้
เร็วๆนี้ อันนี้ก็ไม่ถูกทางนะยายนะ
เป็นทุกข์ เพราะ
ว่าสังขารนี้ไม่ใช่ของเรา
เราจะไปตกแต่งอะไรมันก็ไม่ได้หรอก
มันเป็น
ของมันอยู่อย่างนั้น
ตกแต่งมันได้ก็นิดๆน้อยๆ
เป็นต้นว่า
ตกแต่งร่าง
กายของเราให้สะสวย
ให้มันสะอาด
ดูเด็กๆเขาสิ
ทาปาก ทำเล็บให้
มันยาว
ทำอะไรให้มันสะสวยเสีย
มันก็แค่นั้นแหละโยม
เมื่อแก่มา
แล้วก็รวมในกระป๋องเดียวกันไม่มีอะไร
ตกแต่งได้แค่นั้นแหละ
ตกแต่ง
จริงๆไม่ได้หรอก
มันก็เป็นอย่างนั้น
เรื่องของสังขารที่จะตกแต่งได้ก็
เรื่องจิตใจของเรา
ตึกรามบ้านช่องทั้งหลายก็สร้างขึ้นมาได้
อย่างบ้านคุณหมอ
อุทัยนี่
อาตมาก็เคยไปขึ้นบ้านใหม่ให้
สร้างขึ้นจะสวยใหญ่โตก็ได้
สร้างนั้นมันสร้างบ้านข้างนอก
ใครๆก็สร้างกันได้ทั้งนั้น
แต่ว่าพระ
พุทธองค์ท่านเรียกว่า
บ้านข้างนอก
ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง
มันเป็นบ้าน
โดยสมมุติ
บ้านอยู่ในโลก
มันก็เป็นไปตามโลก
บางคนก็ลืมนะ
ได้
บ้านใหญ่โตสนุกสุขสำราญ
ลืมบ้านจริงๆของเขา
บ้านที่จริงของเรา
อยู่ที่ไหน
บ้านที่จริงของเราคือที่ว่ามีความรู้สึกที่มันสงบ
คือ ความ
สงบนั่นแหละเป็นบ้านจริงๆของเรา
บ้านที่เราอยู่นี้
หรือบ้านที่ไหนก็
ตามทีเถอะ
บ้านก็สวยหรอก
แต่อยู่กันไม่ค่อยสงบ
เดี๋ยวก็เพราะอัน
โน้น เดี๋ยวก็เพราะอันนี้
เดี๋ยวก็ห่วงอันนั้น
เดี๋ยวก็ห่วงอันนี้
อยู่อย่างนี้
แหละ เรียกว่าไม่ใช่บ้านเรา
ไม่ใช่บ้านข้างใน
มันเป็นบ้านข้างนอก
อีกประเดี๋ยววันใดวันหนึ่งเราก็เลิกมันเท่านั้นแหละ
บ้านนี้เราอยู่ไม่ได้
หรอก
มันเป็นบ้านของโลกไม่ใช่บ้านของเรา
สกลร่างกายของเรานี้
ก็ยังเห็นว่าเป็นตัว
เป็นตน เป็นเรา
เป็นเขาอีก
อันนี้ก็เป็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งติดอยู่กับตัวของเรา
ที่เราเข้าใจ
ว่าตัวเราหรือของเรานี้
อันนี้ก็ไม่ใช่อีก
อันนี้ก็เป็นบ้านของโลก
ไม่ใช่
บ้านของเราอย่างแท้จริง
แต่คนก็ชอบแต่จะสร้างบ้านข้างนอก
ไม่
ชอบสร้างบ้านข้างใน
บ้านที่มันสำหรับอยู่จริงๆ
ที่มันสงบจริงๆ
ไม่
ค่อยจะสร้างกัน
ไปสร้างแต่ข้างนอก
ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้แหละ
อย่างคุณยายนี่
ก็ลองคิดดูซิ
เวลานี้มันเป็นอย่างไรนะ
คิดดู
ตั้งแต่วันที่เราเกิดมาเรื่อยๆ
มาจนถึงบัดนี้
คือ เราเดินหนีจากความ
จริง เดินไปเรื่อย
และเดินมาจนแก่
จนเจ็บขนาดนี้
ไม่อยากจะให้เป็น
อย่างนี้
ห้ามมันก็ไม่ได้
มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้
จะให้เป็นอย่างอื่น
ก็เป็นไปไม่ได้
เหมือนกันกับเป็ด
จะให้มันเหมือนไก่
มันก็ไม่เหมือน
เพราะว่ามันเป็นเป็ด
ไก่อยากให้เหมือนกับเป็ด
มันก็เป็นไปไม่ได้
เพราะว่ามันเป็นไก่
ถ้าใครไปคิดอยู่ว่าอยากให้เป็ดเหมือนไก่
อยากให้
ไก่เป็นเหมือนเป็ด
มันก็ทุกข์เท่านั้นล่ะ
ก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้
ถ้า
โยมมาคิดเสียว่า
เออ เป็ดมันก็ต้องเป็นของมันอย่างนั้น
ไก่มันก็ต้อง
เป็นของมันอย่างนั้น
จะให้เป็ดเหมือนไก่
จะให้ไก่เหมือนเป็ด
มันก็
เป็นไปไม่ได้
เพราะมันเป็นอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราคิดเช่นนี้แล้ว
เราจะมีพละ
เราจะมีกำลัง
เพราะว่าสกล
ร่างกายนี้
อยากจะให้มันยืนนานถาวรไปเท่าๆไร
มันก็ไม่ได้
มันก็เป็น
อย่างนี้
นี้ท่านเรียกสังขาร
อนิจฺจา วตสงฺขารา
อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปชฺฌิตฺวา
นิรุชฺฌนฺติ
เตสวูปสโม
สุโข
สังขารคือร่างกายจิตใจนี้แหละ
มันเป็นของไม่เที่ยง
เป็นของ
ไม่แน่นอน
มีแล้วก็หาไม่
เกิดแล้วก็ดับไป
แต่มนุษย์เราทั้งหลายอยาก
ให้สังขารนี้มันเที่ยง
อันนี้คือความคิดของคนโง่
ดูซิว่าลมหายใจของ
คนเรานี้มันเข้ามาแล้วมันก็ออกไป
เป็นธรรมดาของลม
มันก็ต้องเป็น
อยู่อย่างนั้น
ต้องกลับไปกลับมา
มีความเปลี่ยนแปลง
เรื่องสังขารมัน
ก็อยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้
จะให้มันเข้าไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ลองคิดดูซิว่า
หายใจออกอย่างเดียวไม่ให้มันเข้ามาได้ไหม
สบายไหม
สูดลมเข้ามาแล้วไม่ให้มันออกดีไหม
นี่ อยากจะให้มันเที่ยงอย่างนี้
มันเที่ยงไม่ได้
มันเป็นไปไม่ได้
ออกไปแล้วก็เข้ามา
เข้ามาแล้วก็ออก
ไป เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน
เกิดแล้วก็แก่
แก่แล้วเจ็บ
และก็ตาย
เป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ
เหมือนกับลมเข้าแล้วไม่ให้ออกไม่ได้
ออกแล้ว
ไม่ให้เข้าไม่ได้
ถ้ามีการเข้าแล้วออก
ออกแล้วเข้า
ก็ทำให้ชีวิตเช่น
มนุษย์ทั้งหลายเป็นอยู่ได้เท่าทุกวันนี้
เพราะสังขารมันทำตามหน้าที่
ของมันอย่างนี้แหละ
มันจริงอยู่แล้ว
ไม่ใช่เป็นของไม่จริง
มันจริงของ
มันอยู่อย่างนั้นแหละ
เมื่อเราเกิดมาแล้ว
โยม ก็คือเราตายแล้วนั่นเองแหละ
ไอ้
ความเกิดกับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ
เหมือนกับต้นไม้
อันหนึ่งต้นอันหนึ่งปลาย
เมื่อมีโคนมันก็มีปลาย
เมื่อมีปลายมันก็มี
โคน ไม่มีโคนปลายก็ไม่มี
มีปลายก็ต้องมีโคน
มีแต่ปลายโคนไม่มีก็ไม่
ได้ มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นก็นึกขำเหมือนกันนะ
มนุษย์เราทั้งหลาย
เมื่อจะ
ตายแล้วก็โศกเศร้า
วุ่นวาย นั่งร้องไห้
เสียใจ สารพัดอย่างหลงไปสิ
โยม มันหลงนะ
พอคนตายก็ร้องไห้พิไรรำพัน
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อย
ได้พิจารณาให้ชัดแจ้งนะ
ความเป็นจริงแล้วอาตมาขอโทษด้วยนะ
อาตมาเห็นว่า
ถ้าจะร้องไห้กับคนตายน่ะ
ร้องไห้กับคนที่เกิดมาดีกว่า
แต่มันกลับกันเสีย
ถ้าคนเกิดมาแล้ว
โยมทั้งหลายก็หัวเราะดีอกดีใจ
กันชื่นบาน
ความเป็นจริง
เกิดนั่นล่ะคือตาย
ตายนั่นล่ะก็คือเกิด
ต้นก็
คือปลาย
ปลายก็คือต้น
เราไม่รู้จัก
ถึงเวลาจวนจะตาย
หรือตายแล้ว
ก็ร้องไห้กัน
นี่คือคนโง่
ถ้าจะร้องไห้อย่างนั้นมาแต่ต้นก็ยังจะดีนะ
เมื่อ
เกิดมาก็ร้องไห้กันเสียเถอะ
ดูให้ดีซิ ถ้าไม่เกิดมันก็ไม่ตาย
เข้าใจไหม
เพราะฉะนั้น
โยมอย่านึกอะไรมากมาย
ให้นึกว่ามันเป็นอย่าง
นั้น
นี้คือธุระหน้าที่ของเราแล้ว
บัดนี้ใครช่วยไม่ได้
ลูกก็ช่วยไม่ได้
หลานก็ช่วยไม่ได้
ทรัพย์สินเงินทองก็ช่วยไม่ได้
ช่วยได้แต่ความรู้สึก
ของโยมที่คิดให้ถูกต้องเดี๋ยวนี้น่ะ
ไม่ให้หวั่นไหวไปมา
ปล่อยมันทิ้ง
เสีย
เราปล่อยมัน
ทิ้งมัน
ถ้าเราไม่ปล่อยมัน
ไม่ทิ้งมัน
มันก็จะหนีอยู่แล้ว
เห็นไหม
อวัยวะร่างกายของเราน่ะ
มันพยายามจะหนีอยู่แล้วน่ะ
เห็นไหมดู
ง่ายๆว่า
เมื่อเกิดมาเป็นหนุ่มเป็นสาว
ผมมันก็ดำเห็นไหม
บัดนี้มัน
หงอก นี่เรียกว่ามันหนีแล้วนะ
ตาเราเคยสว่างไสวดีตอนเป็นหนุ่มเป็น
สาว บัดนี้มันฝ้าฟางเห็นไหม
นี่เรียกว่ามันหนีแล้ว
เขาทนไม่ไหวเขา
ต้องหนี
ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของเขา
อะไรทุกชิ้นทุกส่วนเขาก็จะหนีแล้ว
ฟัน
ของเราตอนเป็นเด็กมันแน่นหนาถาวรไหม
บัดนี้มันโยกมันคลอน
แล้วจะใส่ฟันใหม่เสียก็ได้
นี่มันก็ของใหม่ไม่ใช่ของเก่า
สิ่งทั้งหลายใน
อวัยวะร่างกายของคุณยายนี้น่ะ
เขาพยายามจะหนีไปแล้ว
ตา หู
จมูก
ลิ้น กาย ทั้งหมด
เขาพยายามจะหนี
ทำไมถึงจะหนี
เพราะตรง
นี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเขา
เป็นสังขารอยู่ไม่ได้
อยู่ชั่วคราวเท่านั้นก็ไปไม่ว่า
แต่ตัวของเรา
ทั้งหมดอวัยวะนี่
ผมก็ดี ขนก็ดี
เล็บก็ดี ทั้งหมดนั่น
เดี๋ยวนี้เขาเตรียมหนี
เขาหนีไปบ้างแล้ว
แต่ยังไม่หมด
ยังเหลือแต่คน
เฝ้าบ้านเล็กๆน้อยๆ
เฝ้าบ้านอยู่แต่ไม่ค่อยดีหรอก
ตาก็ไม่ค่อยดี
ฟันก็
ไม่ค่อยดี
หูนี่ก็ไม่ค่อยจะดี
ร่างกายนี้ก็ไม่ค่อยจะดี
ก็เพราะเขาหนีไป
บ้างแล้ว
นี้ให้ยายเข้าใจว่าที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์โดยตรง
เป็นที่พัก
ชั่วคราวเท่านั้นล่ะ
เพราะฉะนั้นยายไม่ควรห่วงใยอะไรมากมาย
มา
อยู่ในโลกก็ให้พิจารณาโลกนี้ว่า
มันเป็นอย่างนั้น
ไม่ว่าแต่อะไรทั้ง
หลายเลย
เขาเตรียมจะหนีกันแล้ว
ดูซิ ดูตามสภาพร่างกายซิว่ามันมี
อะไรเหมือนเดิมไหม
ร่างกายเหมือนเดิมไหม
หนังเหมือนเดิมไหม
ผม
เหมือนเดิมไหม
ไม่เหมือน เขาไปที่ไหนกันหมดแล้วนี่
ธรรมชาติเขา
เป็นอย่างนั้น
เมื่ออยู่ครบตามวาระของเขาแล้วเขาก็ต้องไป
เพราะธุระ
เขาเป็นอย่างนั้น
ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น
เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ที่
แน่นหนาถาวรอะไร
อยู่แล้วก็วุ่นๆวายๆ
สุขๆทุกข์ๆ
ไม่สงบระงับ
ถ้าเป็นคนก็เป็นคนที่เดินไปยังไม่ถึงบ้าน
ยังอยู่ระหว่างทาง
เดี๋ยวก็จะกลับ
เดี๋ยวก็จะไป
เดี๋ยวก็จะอยู่
นี่คือคนไม่มีที่อยู่เปรียบ
เหมือนว่าเราเดินออกจากบ้านไปกรุงเทพฯ
หรือว่าไปที่ไหนก็ตาม
เถอะ เราก็เดินไป
เมื่อเดินไปยังไม่ถึงบ้านเมื่อไร
มันก็ยังไม่น่าอยู่
นั่ง
ก็ไม่สบาย
นอนก็ไม่สบาย
เดินก็ไม่สบาย
นั่งรถไปก็ยังไม่สบาย
เพราะอะไร
เพราะว่ายังไม่ถึงบ้านเรา
พอเรามาถึงบ้านเราแล้วก็
สบาย
เพราะเราเข้าใจว่านี่เป็นบ้านเรา
อันนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ในโลกนี้มันเรื่องไม่สงบทั้งนั้น
ถึงแม้มันจะร่ำจะรวยมันก็ไม่
สงบ มันจนก็ไม่สงบ
มันโตก็ไม่สงบ
เป็นเด็กก็ไม่สงบ
มีความรู้น้อย
มันก็ไม่สงบ
มีความรู้มากมันก็ไม่สงบ
เรื่องมันไม่สงบมันเป็นอยู่อย่าง
นั้น
เพราะฉะนั้นคนที่มีน้อยก็มีทุกข์
คนที่มีมากก็มีทุกข์
เป็นเด็กมันก็
เป็นทุกข์
ผู้ใหญ่ก็เป็นทุกข์
แก่แล้วมันก็ทุกข์
ทุกข์อย่างคนแก่
ทุกข์
อย่างเด็ก
ทุกข์อย่างคนรวย
ทุกข์อย่างคนจน
มันเป็นทุกข์ทั้งนั้นนั้น
ล่ะ ดังนั้นอวัยวะทุกส่วนเขาจึงทยอยกันไปเรื่อย
เมื่อคุณยายพิจารณาอย่างนี้แล้วก็จะเห็นว่า
อนิจจังมันเป็น
ของไม่เที่ยง
ทุกขัง มันเป็นทุกข์
เพราะว่าอะไร
เพราะว่าอนัตตาไม่ใช่
ตัวไม่ใช่ตน
ร่างที่ยายอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้น่ะ
ร่างกายที่นั่งนอนเจ็บป่วย
อยู่นี้
และทั้งจิตใจที่รู้ว่ามันเป็นสุขเป็นทุกข์
มันเจ็บป่วยอยู่เดี๋ยวนี้
ทั้ง
สองอย่างนี้ท่านเรียกว่า
ธรรม
สิ่งที่ไม่มีรูป
ที่มันเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดเหล่านั้นเรียกว่า
มันเป็นนาม
มันก็เป็น นามธรรม
สิ่งที่มันเจ็บปวดขยายไปมาอยู่นี้
อัน
นี้มันก็เป็นรูป
สิ่งที่เป็นรูปก็เป็นธรรม
สิ่งที่เป็นนามก็เป็นธรรม
ฉะนั้น
เราถึงอยู่กันด้วยธรรมะ
คือ อยู่ในธรรม
มันเป็นธรรมนั่นแหละ
ตัวของ
เราจริงๆที่ไหนมันไม่มี
มันเป็นธรรมะสภาพธรรมมันเกิดขึ้นแล้วมันก็
ดับไปๆ
สภาวะธรรมมันเป็นอยู่อย่างนั้น
มีความเกิดแล้วก็มีความดับ
เราก็มีความเกิดดับอยู่ทุกขณะ
เดี๋ยวนี้น่ะมันเป็นอยู่อย่างนี้
ฉะนั้น เมื่อเราคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ก็
น่าไหว้
น่าเคารพ น่านับถือ
ท่านพูดจริง
ท่านพูดตามความจริง
มันก็
เห็นจริงอย่างนั้น
ถ้าเราเกิดมาพบอยู่ที่นี่
เราก็เห็นธรรมะแต่ไม่ได้
ปฏิบัติธรรมะ
บางคนปฏิบัติธรรมะแต่ไม่เห็นธรรมะ
บางคนรู้ธรรมะ
เรียนธรรมะ
ปฏิบัติธรรมะ
ก็ยังไม่เห็นธรรมะ
ก็ยังไม่มีที่อยู่
ดังนั้นให้
เข้าใจเสียว่า
ที่นี่ทุกคน
แม้ปลวกหรือมดหรือสัตว์ตัวนิดๆ
ก็ตามที
เถอะ เขาก็พยายามจะหนีกันทั้งนั้น
สิ่งที่มีชีวิตเขาอยู่กันพอควรแล้ว
เขาก็ไปกันทั้งนั้นล่ะ
ทั้งคนจน ทั้งคนร่ำรวย
ทั้งเด็ก ทั้งคนแก่
ทั้งสัตว์
เดียรัจฉาน
สิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้
มันก็ย่อมแปรไป
เปลี่ยนไปอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณยายรู้ว่าโลกนี้มันเป็นอย่างนี้แล้ว
ก็น่า
เบื่อหน่าย
น่าเบื่อมัน
อะไรมันไม่เป็นตัวของตัวทั้งนั้น
เบื่อหน่าย
นิพพิทา
คำว่าเบื่อหน่ายไม่ใช่ว่ารังเกียจนะ
เบื่อหน่ายคือ
ใจมันสว่าง
ใจมันเห็นความเป็นจริง
ไม่มีทางจะแก้ไขอะไรแล้ว
มันเป็นอย่างนี้
รู้
อย่างนี้ก็เลยปล่อยวางมัน
ปล่อยโดยความไม่ดีใจ
ปล่อยโดยความไม่
เสียใจ
ปล่อยไปตามเรื่องของสังขาร
ว่าสังขารมันเป็นอย่างนั้น
ด้วย
ปัญญาของเรา
นี่เรียกว่า
อนิจจา วตสังขารา
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
ที่ไม่เที่ยง
คือมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนั้นแหละ
เรียกว่าไม่เที่ยง
คืออนิจจัง
พูดง่ายๆว่า
ตัวอนิจจังนั่นแหละคือตัวพระพุทธเจ้าล่ะ
ถ้าเรา
เข้าไปเห็นอย่างจริงๆจังๆ
ว่าอนิจจังคือของไม่เที่ยง
นั่นแหละคือตัว
พระพุทธเจ้า
ของที่ไม่เที่ยง
ถ้าเราเห็นชัดเข้าไปมันก็เที่ยง
เที่ยง
อย่างไร
ก็เที่ยงที่มันเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ
มนุษย์สัตว์เกิดมาก็เป็น
อย่างนั้น
มันเที่ยงอย่างนั้น
แต่ว่ามันไม่เที่ยง
คือว่ามันแปรไปแปรมา
คือ มันเปลี่ยนเป็นเด็ก
เป็นหนุ่ม เป็นเฒ่าแก่ชรา
เรียกว่ามันไม่เที่ยง
ไอ้ความที่มันเป็นอย่างนั้นก็เรียกว่ามันเที่ยง
ไม่แปรเป็นอย่างอื่น
ถ้า
คุณยายเห็นอย่างนี้
ใจก็จะสบายไม่ว่าเราคนเดียวหรอก
ทุกๆคนเป็น
อย่างนี้
ดังนั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้
ก็น่าเบื่อ
เกิดนิพพิทา
ความเบื่อหน่าย
หายคลายกำหนัดรักใคร่
ในโลก ในกาม
ในโลกามิสทั้งหลายเหล่านี้
มีมากก็ทิ้งไว้มาก
มีน้อยก็ทิ้งไว้น้อยทุกคน
ดูทีซิที่คุณยายเกิดขึ้นมานี้
เห็นไหม
เห็นคนรวยไหม
เห็นคนอายุสั้นไหม
เห็นคนอายุยืนไหม
มัน
ก็มีเท่านั้นล่ะ
เพราะฉะนั้นที่สำคัญคือ
พระพุทธเจ้าท่านให้สร้างบ้านเรือน
ตัวเอง
สร้างโดยวิธีอาตมาบรรยายธรรมะให้ฟังเดี๋ยวนี้น่ะ
สร้างบ้าน
ให้ได้
ปล่อยวางให้ได้
ปล่อยวางมันให้มันถึงความสงบเรียกว่าไม่เดิน
ไปข้างหน้า
ไม่ก้าวไปข้างหลัง
ไม่หยุดอยู่
นี่เรียกว่าสงบ
สงบจากการ
เดินไป
สงบจากการถอยกลับ
สงบจากการหยุดอยู่
นี่ ไอ้ความสุขก็ไม่
ใช่ที่อยู่
ไอ้ความทุกข์ก็ไม่ใช่ที่อยู่ของเรา
ทุกข์มันก็เสื่อม
สุขมันก็เสื่อม
ทั้งนั้น
พระบรมครูของเราท่านเห็นว่า
สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็น
ของไม่เที่ยง
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้พวกเราทั้งหลายปล่อยวาง
เมื่อถึงเวลาสุดท้ายของทุกคน
เพราะว่ามันเอาไปไม่ได้
จำเป็นมันก็
ต้องวางอยู่นั่นเองล่ะ
แต่เราก็วางมันไว้ก่อนเสียจะไม่ดีกว่าหรือ
เรา
แบกก็รู้สึกว่ามันหนัก
เมื่อมันหนักแล้วเราก็ทิ้งมันเสียก่อนจะไม่ดีหรือ
จะไปกวนแบกมันทำไม
เราปล่อยวาง
ก็ให้ลูกหลานพยาบาลเรา
สบายๆ
ผู้ที่พยาบาลคนที่ป่วยก็มีคุณธรรม
คนที่ป่วยก็ให้โอกาสแก่ผู้
พยาบาล
อย่าทำให้ลำบากแก่คนที่รักษา
เจ็บตรงไหน เป็นอะไรก็ให้
ได้รู้จัก
ทำจิตใจมันดี
คนที่รักษาพ่อแม่ก็ให้มีคุณธรรม
มีความอดทน
อย่ารังเกียจ
อันนี้ที่จะเป็นการสนองคุณพ่อแม่ของเราก็เวลานี้เท่านั้น
ล่ะ เบื้องต้นเกิดมา
เราเป็นเด็ก
พ่อแม่เป็นผู้ใหญ่
เราอาศัยพ่อแม่จึง
เติบโตจนถึงบัดนี้
ได้มาอยู่บัดนี้
นั่งรวมกันอยู่ที่นี่
ก็เพราะคุณพ่อคุณ
แม่เลี้ยงเรามาสารพัดอย่างแล้ว
มีบุญคุณมากที่สุดเหลือเกินนะ
บัดนี้ให้ลูกหลานทุกๆคนนี้จงเข้าใจว่า
เดี๋ยวนี้พ่อแม่กลาย
เป็นลูกเราเสียแล้ว
แต่ก่อนเราเป็นลูกของพ่อแม่
บัดนี้พ่อแม่เป็นลูก
เราเสียแล้ว
เพราะอะไร เพราะแก่ไปๆจนกลายเป็นเด็กจำก็ไม่ได้
ตาก็
มองไม่เห็น
หูไม่ได้ยินสารพัดอย่าง
บางทีพูดถูกๆผิดๆ
เหมือนเด็กนั่น
เอง ดังนั้นให้ลูกหลานทั้งหลายปล่อย
คนที่รักษาคนป่วยก็ให้ปล่อย
อย่าไปถือเลย
ปล่อยเสียให้ตามใจทุกอย่าง
เหมือนเด็กๆที่เกิดมา
อะไรที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ก็ปล่อยทุกอย่างนั่นล่ะ
ปล่อยให้เด็กมันสบาย
ไม่ให้เด็กมันร้องไห้
อย่าให้เด็กขัดใจอะไรเหล่านี้
พ่อแม่ของเราบัดนี้ก็
เหมือนมัน
สัญญามันวิปลาส
บางทีเรียกลูกคนหนึ่งไปถูกคนหนึ่ง
บางทีเรียกหลานคนหนึ่งไปถูกหลานอีกคนหนึ่ง
จะเรียกเอาขันมาก็ได้
จานมา
มันเป็นเรื่องของธรรมดาอย่างนั้น
อันนี้ก็ให้พิจารณาคนที่
ป่วยก็ให้นึกถึงคนพยาบาล
มีคุณธรรม ให้อดให้ทนต่อทุกขเวทนา
เวทนาสารพัดอย่างที่มันเกิดขึ้นมา
ให้อดกลั้น
ให้ทำความเพียรในใจ
ของเรา
อย่าให้มันวุ่นวาย
อย่าให้มีความลำบากยากเกินไปแก่ผู้
ปฏิบัติ
ผู้อุปัฏฐากก็ให้มีคุณธรรม
อย่ารังเกียจน้ำมูก
น้ำลายอุจจาระ
ปัสสาวะ
อะไรก็ตามพยายามเท่าที่เราจะทำได้
ลูกๆเราทุกคนให้ช่วย
กันดู
บัดนี้เรามีพ่อแม่เท่านี้แหละ
เราอาศัยมาได้เกิด
มาได้เป็นครู
เป็นอาจารย์
เป็นพยาบาล
เป็นหมอ เป็นอะไรมาทุกอย่างเหล่านี้
อัน
นี้คือบุญคุณของท่านที่เลี้ยงเรามา
ให้ความรู้เรามาให้ความเป็นอยู่
ของเรามา
ให้ทรัพย์สมบัติเรา
นี่คือคุณของพ่อแม่ถ่ายทอดรับมรดก
กันมาอย่างนี้
เป็นวงศ์ตระกูลอย่างนี้
พระพุทธองค์ท่านจึงสอนเรื่อง
กตัญญูกตเวที
กตัญญู กับกตเวทีนี้เป็นธรรม
ซึ่งสนองซึ่งกันและกัน
ท่านต้องการอะไร
ท่านไม่สบายท่านมีความลำบาก
ท่านมีความขัด
ข้องประการใด
เราก็ต้องเสียสละ
ช่วยท่านรับภาระธุระอันนั้น
นี้คือ
กตัญญูกตเวทีเป็นธรรมที่ค้ำจุนโลกอยู่
ให้วงศ์ตระกูลของเราไม่
กระจัดกระจาย
ให้วงศ์ตระกูลของเราเรียบร้อยมั่นคง
วันนี้อาตมาได้เอาธรรมะคำสอน
มาฝากยายในเวลาที่เจ็บ
ป่วยอยู่อย่างนี้
ซึ่งอาศัยคุณหมออุทัยลูกของโยมนั่นแหละนึกถึงผู้มี
พระคุณ
อาตมาจะฝากอะไรมามันก็ไม่มี
จะฝากวัตถุอะไรมา
ที่บ้านนี่
ก็เยอะแยะแล้ว
อาตมาจึงฝากธรรมะซึ่งมันหมดไม่ได้
มันเป็นแก่น
เป็นสาร
ถึงยายได้ฟังธรรมะนี้แล้ว
จะถ่ายทอดให้คนอื่นเท่าไรก็ยังไม่
หมดไม่จบ
สัจจธรรมคือความจริงตั้งมั่นอยู่อย่างนี้
อันนี้ อาตมาก็
พลอยดีใจด้วยที่ได้ฝากธรรมะมาให้คุณยาย
เพื่อจะได้มีจิตใจที่เข้ม
แข็งต่อสู้กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
หมายเหตุจากผู้จัดทำ
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์
ธรรมสภา ที่เอื้อเฟื้อให้ข้อมูลมาในรูป
แบบที่เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์
ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ยังคงเนื้อความไว้ตามเดิม
ยกเว้นมีการแก้ที่ผิด
โดยได้ใส่หมาย
เหตุไว้
ณ จุดที่แก้ไขแล้ว
ดังต่อไปนี้คือ
จุด 1 แก้ไขการสะกดคำว่า
ทิฏฐิ มาเป็น
ทิฐิ
สาเหตุที่ได้ทำการแก้ไขนั้น
เริ่มมาจากการที่ได้สั่งให้
โปรแกรม
Word ทำการตรวจสอบตัวสะกด
แล้วโปรแกรมบอกว่า
ต้อง
สะกดด้วยคำว่า
ทิฐิ จึงจะถูกต้อง
แต่ผมก็ไม่ได้เชื่อถือโปรแกรม
เหล่านี้นักหรอก
เพราะว่าที่เห็นว่าพิมพ์ถูกอยู่แน่นอน
แต่โปรแกรม
บอกว่าผิด
ก็มีมากมาย
ดังนั้นจึงได้ลองตรวจสอบเรื่องอื่นๆดู
พบว่ามีใช้ทั้งสองอย่าง
ปะปนกันไป
แต่ที่ใช้ว่า
ทิฐิ มีมากกว่า
เป็นสัดส่วนห้าเรื่องต่อสาม
เรื่อง
จึงได้ตัดสินใจแก้ไขจากคำว่า
ทิฏฐิ เป็นคำว่า
ทิฐิ หมดทุก
ตำแหน่ง
และทุกเรื่อง