รู้แจ้งโลก
จะปฏิบัติธรรมอย่างไร
คนเราไม่รู้จัก
นึกว่าการเดินจงกรม
นึกว่าการฟังธรรม
นึกว่าการนั่งสมาธิเป็นการปฏิบัติ
นั่นเป็นส่วนน้อย
ก็จริงอยู่
แต่มันเป็นเปลือกของมัน
การปฏิบัติจริงๆก็ปฏิบัติเมื่อ
ประสบกับอารมณ์
นั่นแหละการปฏิบัติ
แล้วที่มันประสบอารมณ์อยู่
นั้น
เช่นมีอะไร
มีคนมาพูดไม่ถูกใจนะ
เราเป็นทุกข์ขึ้นมา
ถ้าคนพูดให้
ถูกใจเรา
เราก็เป็นสุข
ตรงนี้แหละตรงที่จะปฏิบัติ
เราจะปฏิบัติอย่างไร
อันนี้สำคัญ
ถ้าเราไปวิ่งกับสุข
ไปวิ่งกับ
ทุกข์
มัวไปวิ่งกับสุข
ไปวิ่งกับทุกข์อยู่นั่น
จะวิ่งตลอดจนถึงวันตายก็ไม่
พบธรรมะ
นี่ก็อยู่ไม่ได้
เมื่อรู้จักสุขทุกข์ทั้งสองนี้ขึ้นมาเมื่อไร
เราจะ
แก้ไขปัญหาอย่างไรโดยธรรมะ
นี่คืออาการปฏิบัติ
โดยมากคนที่ได้ของที่ไม่ชอบใจ
ไม่อยากจะพิจารณา
อย่าง
คนนินทาว่าเรา
อย่ามาว่าฉัน
มาว่าฉันทำไม
นี่คือคนปิดตัวไว้
ตรง
นั้นแหละต้องปฏิบัติ
ถ้าเขาว่าเราไม่ดี
เขานินทาเรานี่ควรฟัง
เขาว่า
ถูกหรือผิดอะไรหนอ
ไม่ดีตรงไหนเราควรรับฟัง
ไม่ต้องปิด
ปล่อยเข้า
มา ให้ดูไว้
บางทีก็มีนะที่เราไม่ดีนั่นน่ะ
เขาว่าถูกยังไปโทษเขาอีกนี่
ทีนี้เรามาดูตัวเรา
เราเห็นที่ไหนมันไม่ค่อยดี
เราก็เขี่ยมันออก
เสีย
เขี่ยโดยไม่ให้ใครรู้จักนั่นแหละ
เขี่ยสิ่งที่ไม่ดีออกเสีย
มันก็ดีขึ้น
มาอีก
นี่คือคนมีปัญญา
สิ่งที่มันวุ่นวาย
สิ่งที่มันไม่สงบอยู่ตรงนั้น
แหละ มันเป็นเหตุ
สิ่งที่สงบอยู่ก็ตรงนั้นเอง
เราเอามันแทนที่เข้าไปที่
มันไม่สงบนั่นไง
นี่บางคนไม่รับฟัง
ทิฐิมันแรง
(หมายเหตุ 1) เราทำอย่างนั้น
จริงๆ
ก็ไปเถียงเขาอีกนะ
ยิ่งกับลูกเราแล้ว
ความเป็นจริงบางอย่าง
มันถูกของเขา
แต่เราเข้าใจว่าเราเป็นแม่เขา
ไม่ยอมมัน อย่างนี้ก็มี
อย่างเราเป็นครูคนนี่
บางทีลูกศิษย์นะเขาพูดถูก
แต่ว่าเราไม่ยอมมัน
ทำไม?
เพราะว่าเราเป็นครูเขา
เขาจะเถียงเราได้อย่างไร
นี่ คืออย่างนี้
มันคิดไม่ถูก
ในครั้งพุทธกาล
มีสาวกองค์หนึ่งท่านมีปัญญามาก
พระพุทธ
เจ้าก็เทศน์ธรรมะให้ฟัง
เทศน์ไปเรื่อยๆท่านก็ฟังไปเรื่อยๆ
พระพุทธ
เจ้าถามว่า
ท่านพระสารีบุตร
ท่านฟังธรรมนี้ท่านเชื่อไหม
เกล้า
กระผมยังไม่เชื่อ
พระพุทธเจ้าชอบใจเลย
เออ ดีแล้ว
ท่านมีปัญญา
คนที่มีปัญญาไม่ควรเชื่อง่าย
ต้องรับอันนี้ไปพิจารณาดูเหตุผลกัน
ก่อนจึงเชื่อ
นี่แหละ ธรรมที่เป็นครูสอนคนอย่างดีทีเดียว
คือความ
เป็นจริงมันถูกของท่านพระสารีบุตร
ที่ท่านพูดเอาใจจริงมาพูดให้ฟัง
เลย บางคนก็ว่า
ถ้าจะพูดว่าไม่เชื่อก็ดูเหมือนจะฝ่าฝืนอำนาจพระ
พุทธเจ้า
กลัว ก็เลยกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว
ก็เลยว่าถูกตามกันไปหมด
นี่โลกของเรามันเป็นอย่างนี้
พระพุทธเจ้าของเราตรัสว่า
สิ่งที่ไม่ผิดไม่
เป็นบาปไม่ต้องอายเลย
เพราะเรายังเชื่อไม่ได้
เราพิจารณาไม่ได้
เรา
ยังไม่เชื่อ
พระสารีบุตรจึงพูดว่า
ข้าพระองค์ยังไม่เชื่อ
พระพุทธเจ้า
ชอบใจ
องค์นี้มีปัญญามาก
ให้ไตร่ตรองดูเหตุผลก่อนจึงเชื่อ
พระ
สารีบุตรนี้มีปัญญา
อันนี้เป็นคติของผู้ที่เป็นครูเป็นอาจารย์ของคน
เป็นอย่างดี
บางทีความรู้เราได้จากเด็กๆก็มีนะ
เราอย่าไปถือไปยึดมั่น
อะไรทั้งหลายเลย
ที่เราเกิดมา
จะยืน จะเดินไปมา
จะนั่งที่ไหน
เวลานั้นเรียกว่า
เราศึกษาทุกอย่าง
เราศึกษาตามธรรมชาติ
รูปก็ดี เสียงก็ดี
กลิ่นก็ดี
รสก็ดี
โผฏฐัพพะก็ดี
เราต้องฟัง
ต้องรับฟัง
คนมีปัญญาต้องรับฟังข้อ
ประพฤติปฏิบัตินั้น
ก็ท่านปฏิบัติให้มันหมดเรื่อง
ถ้าเรามีความชอบใจ
ไม่รู้เท่าความชอบใจ
ไม่รู้เท่าความไม่ชอบใจ
นี่เรายังมีเรื่อง
ถ้าเรารู้เท่ามันแล้ว
ความชอบใจ ความสุขนี้ก็ไม่มีอะไร
สัก
แต่ว่าความรู้สึกแล้วมันก็หายไป
ไม่ชอบใจนี้
ก็ไม่มีอะไรมากมาย
สัก
แต่ว่าความรู้สึกเท่านั้น
แล้วมันก็หายไป
จะเอาอะไรกับมันเล่า
ถ้าเรา
นึกว่าสุขนั้นเป็นของเรา
ทุกข์นั้นเป็นของเรา
มันก็ทุกข์ยากลำบากไป
เท่านั้นแหละ
มันหมดเรื่องจบเรื่องไม่ได้
ปัญหาอันนี้
มันก็เกิดต่อๆๆๆ
ไปเรื่อยๆ
นี่มันเป็นเช่นนี้
หลักความจริงมันก็เป็นเช่นนี้
แต่ว่าเราสอนกัน
ไม่ค่อยพูดกันถึงเรื่องจิตใจ
ไม่ค่อยพูดกัน
ถึงเรื่องความจริง
ถ้าเอาความจริงมาพูดกัน
คนจะไม่ชอบด้วยซ้ำ
เขา
ว่าไม่รู้จักกาละเทศะ
ไม่รู้จักประสีประสา
อะไรต่ออะไร
ฟังธรรมนี่ต้อง
รับฟัง
คือธรรมะนี้
ไม่ใช่ว่าท่านเอาความจำมาพูด
ท่านเอาความจริง
มาพูด
คนทางโลกนี่มันเอาความจำมาพูดกัน
แล้วก็ไปพูดในแง่ที่ว่า
ยกหูชูหางขึ้นไป
เช่นว่าเรานี่พรากกันมานานแล้วนะ
จากกันไปอยู่
ต่างประเทศ
หรือจากกันไปอยู่ต่างจังหวัดกันมานาน
อีกวันหนึ่ง
เผอิญไปขึ้นรถไฟพบกันเข้า
แหม! ผมดีใจเหลือเกิน
ผมนึกว่าจะไป
เยี่ยมคุณอยู่เร็วๆนี้
อันนี้ไม่ใช่
ความเป็นจริงไม่เคยนึกเลย
แต่ไปพูด
ขึ้นเดี๋ยวนั้นแหละ
ไปปรุงขึ้นเดี๋ยวนั้นแหละ
คนมันชอบเป็นอย่างนี้
โกหก โกหกโดยไม่รู้ตัวเจ้าของ
นี่ธรรมะมันเป็นเช่นนี้
ถึงว่าพระนี่ท่าน
พูดยาก
เมื่อท่านพูด
ท่านเอาความจริงมาพูดให้ฟัง
พูดไปพูดไปเถอะ
คนฟังก็ไม่เข้าใจ
เข้าใจยาก
ถ้าเราเข้าใจธรรมะ
เราก็ได้ปฏิบัติในส่วนของธรรมะ
ไม่ถึงกับ
ว่าจะต้องมาบวชก็ได้
ถ้าเราเข้าใจ
แต่การบวชนี่มันเป็นรากฐานโดย
ตรง ผู้จะมาปฏิบัติโดยตรง
ต้องออกมาอยู่ในป่า
ต้องสละครอบครัว
ต้องสละสมบัติ
มันถึงไม่กังวล
การเข้ามาอยู่ในป่าหรือในที่สงัดนั้น
เป็นเครื่องปฏิบัติโดยตรง
บัดนี้ถ้าเรายังมีครอบครัวอยู่
ยังมีภาระอยู่
ทำอย่างไรเราจึง
จะปฏิบัติได้
บางคนก็นึกว่าเราปฏิบัติไม่ได้ล่ะ
พระกับโยมในโลกนี้
ในประเทศไทยเรานี้
ใครมากกว่ากัน?
โยม นั่น ส่วนพระมาปฏิบัติ
เท่านี้
โยมนั้นไม่ปฏิบัติมันก็วุ่นวายเท่านั้นเอง
นี่คือเรายังเข้าใจผิด
ผมยังบวชไม่ได้
ไม่ใช่บวชหรอก
ไม่ใช่การบวช
บวชมาแล้วก็ไม่ได้
อะไร ถ้าเราไม่ปฏิบัติ
ก็เป็นอย่างเก่านั่นแหละ
ก็เสียไปอย่างนั้น
ถ้าเราคิดถูกแม้จะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ
เป็นครู เป็น
อาจารย์
เป็นข้าราชการ
ทำหน้าที่การงานที่ไหนก็ตามถ้าเรารู้เรื่อง
ของเรื่องอันนี้
จะได้รับการอบรมทุกวินาที
เราได้ปฏิบัติ
บางคนเข้าใจ
ว่า โอ๊ย!
ฉันเป็นฆราวาสทำไม่ได้หรอก
นี่คือมันหลงเตลิดเปิดเปิง
ไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
อย่างอื่นทำไมทำได้
อย่างอื่นทำได้
อะไรที่ไม่
มี เราก็หาได้เพราะเราอยากได้
เราก็ทำได้
ผมไม่มีเวลาเลย
ผมมีแต่
การงาน
เอ้า! ทำไมคุณมีเวลาหายใจล่ะ
นี่เป็นเรื่องอย่างนี้
ทำไมคุณจึงมีเวลาหายใจ
หาเวลามาจากไหน
แน่ะ! เพราะเรื่อง
การหายใจเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณ
ถ้าคุณเห็นว่าเรื่องการ
ปฏิบัตินี้
เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณ
แล้วการปฏิบัติของคุณก็
เสมอลมหายใจเท่านั้นแหละ
ก็เพราะการปฏิบัตินี้มิใช่ว่าจะไปวิ่ง
หรือไปเล่นกีฬา
หรือจะ
ต้องออกกำลังกาย
หรือจะไปทำอะไรให้มันวุ่นวาย
เราดูความรู้สึก
ของเรานี่
มันเกิดมาจากเหตุใด
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง
จมูกดมกลิ่น
ลิ้น
ลิ้มรส
อะไรมาก็รวมกันมาที่ผู้รู้
คือจิตนี้มีความรู้ขึ้น
มันเป็นอย่างไร
ถ้ามันไม่ชอบใจ
มันก็ไม่เอา
เป็นทุกข์ ถ้ามันชอบใจมันก็เอาเป็นสุข
เสีย
เรื่องเท่านี้แหละ
ทีนี้เราลองคิดว่า
ถ้าคุณอยู่ในโลกนี้คุณจะไปเอาสุขที่ไหน
จะ
ไปหาคนในโลกนี้มาพูดให้ถูกใจจนตลอดชีวิตเราจะได้ไหม
ไม่ได้ ไม่
ได้คุณจะไปอยู่ที่ไหน
โลกนี้มันต้องเป็นอยู่อย่างนี้
ท่านจึงตรัสว่า
โลก
วิทู
รู้แจ้งโลก
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้พระพุทธเจ้าก็อยู่อย่างนี้
ไม่
ใช่ท่านจะไปอยู่ที่ไหนท่านก็อยู่ในโลกนี้
มีครอบมีครัว
ท่านจึง
พิจารณาจนมันเบื่อ
จนเห็นโทษมัน
แล้วทำอย่างไรเราจะปฏิบัติได้
ถ้าคุณจะปฏิบัติได้คุณต้องพยายาม
เมื่อคุณพยายามไปเรื่อยๆ
คุณ
เข้าไปเห็นโทษในสิ่งนั้นแน่นอนแล้ว
คุณก็วางมันได้เท่านั้นเอง
อย่างคนดื่มเหล้านี้
แหม! ผมเลิกไม่ได้เหล้านี่
จะทำ
อย่างไรก็ไม่ได้
ยังไม่เห็นโทษของมันซี
ถ้าคุณไปเห็นโทษของมันอย่าง
ชัดเจนแล้วไม่ต้องมีใครสอนหรอก
ยังไม่เห็นโทษพอที่จะละมัน
ไม่
เห็นอานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นมาได้
การงานอันนั้นจึงไม่สำเร็จประโยชน์
เอาเล็บเขี่ยเล่นอยู่เฉยๆ
ถ้าเราเห็นโทษของมันอย่างชัดเจน
เห็นอานิสงส์ของการละ
มันอย่างชัดเจน
เออ! เช่นคุณไปสุ่มปลา
สุ่มไปเถอะ
รู้สึกว่ามีอะไรอยู่
ในสุ่มของเรา
มันดังคึกคักๆเรานึกว่าปลา
เอามือล้วงลงไป
ไปเจอ
สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มันอยู่ในน้ำ
ตาไม่เห็น แต่มีความรู้สึกในใจของเรา
นึกว่าเป็นปลาไหลบ้าง
นึกว่าเป็นงูบ้างนะ
จะทิ้งมันก็เสียดายมัน
หากว่ามันเป็นปลาไหลแล้วก็เสียดาย
จะจับไว้ ถ้าหากว่ามันเป็นงูมัน
ก็จะกัดเอา
นี่เข้าใจไหม
สงสัยอยู่ไม่ชัดเจน
ไอ้ความอยากนี่มันมาก
อุตส่าห์จับไว้
เผื่อมันจะเป็นปลาไหลนะ
พอโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำเห็นแสก
คอมันลาย
วางเลย ไม่มีใครมาบอกว่า
อันนั้นงู วางๆ
ไม่มีใครบอก
หรอก
มันบอกมันเอง
ยิ่งชัดกว่าเราบอกเสียด้วย
เพราะอะไร เพราะ
เห็นโทษว่างูมันกัดเป็น
ใครจะไปบอกมัน
จิตนี้ ถ้าเราฝึกมันแล้ว
รู้
เช่นนั้นแล้ว
มันไม่เอาหรอก
นี่เราไม่ค่อยฝึกกันนะ
ฝึกในทางอื่น
ไม่ค่อยฝึกเรื่องนี้
มันก็
เลยไม่แก่กัน
ไม่ตายกัน พูดแต่เรื่องไม่แก่ไม่ตายกันเรื่อยๆ
อันนี้มัน
เก็บความรู้สึกไว้ในธรรมกันไม่ได้
ไม่ได้ปฏิบัติเลย
ถึงไปฟังธรรมะก็ไปฟังกัน
แต่ไม่ได้ฟัง
คือไปถึงที่นั้น
ฟังอยู่
ข้างนอกนี่
บางทีในสังคมใหญ่ๆ
นิมนต์อาตมาเทศน์
ไม่อยากเทศน์
หรอกรำคาญในใจ
ทำไมไม่อยากจะเทศน์
เพราะไม่เกิดประโยชน์
เพราะเมื่อมองๆดูคนในที่นั้น
ไม่ใช่คนที่จะเตรียมตัวมาฟังธรรม
ดื่ม
เหล้ามาบ้าง
สูบบุหรี่บ้าง
คุยกันบ้าง
อะไรต่ออะไรบ้าง
มันไม่เป็น
ลักษณะของคนที่มีศรัทธาที่จะมาฟังธรรม
ก็คิดว่าไปเทศน์ที่นั้น
ก็
เรียกว่าประโยชน์มันน้อย
หรือไม่มีประโยชน์เลย
คนที่ยังมั่วสุมอยู่ในความประมาท
เขาก็คิดว่า
แหม! เทศน์
นานเกินไป
ทำนั่นก็ไม่ให้ทำ
มันคิดอยู่อย่างนี้
เขาไม่ได้ฟังธรรม
หรอก
บางทีเขานิมนต์พระเทศน์เป็นพิธีเสียด้วย
นิมนต์พระคุณท่าน
สักนิด
เขาไม่ให้เทศน์มากหรอก
รบกวนเขา นิมนต์พระคุณท่านสัก
นิดหนึ่ง
เราฟังแค่นี้เราก็เข้าใจแล้ว
พวกนี้ไม่ชอบฟังธรรม
เขา
รำคาญ
พระเทศน์นิดเดียวก็ไม่เข้าใจกัน
อย่างเอาของนิดๆหน่อยๆให้
เรา มันพอไหม
มันยังไม่พอ
บางทีพระอุตส่าห์เทศน์ไปหนักๆสักหน่อย
ก็มีคนเมาๆอยู่
ข้างๆ
นิมนต์ว่า เฮ้ย!
ให้ทางท่าน
ให้ทางท่านบ้าง
ท่านจะออกมา
แล้ว
ไล่พระอยู่นั่น
ถ้าอาตมาเห็นชนิดนี้
ไปพบชนิดนี้
ก็มีปัญญา
มาก ซึ่งในธรรมะ
ซึ่งในจิตใจของคนเรา
อันนี้เรียกว่ามันไปอุดอยู่ตรงนี้
คล้ายๆกับว่าน้ำในขวดเรามัน
มีเต็มอยู่
เขาจะมาขอน้ำจากเรา
ทั้งๆที่น้ำในขวดของเขาก็ยังเต็มอยู่
เราจะเอาน้ำของเรารินลงไป
มันก็ไม่มีที่เก็บ
มันล้นออกมา
ถ้าเห็น
อาการมันเป็นอย่างนั้น
ปัญญาก็เห็นไปอย่างนั้น
ก็ไม่มีเวลา
ไม่มี
โอกาสและไม่สมควร
เพราะน้ำในขวดนั้นยังเต็มอยู่
ที่เก็บน้ำมีอยู่แล้ว
เต็มอยู่แล้ว
เราจะเอารินลงไปอีก
นี่ มันก็ล้นไปหมด
ประโยชน์มันไม่
มีแล้ว
นี่ ประโยชน์ไม่มี
ถ้าหากว่าในขวดเขามันว่างๆอยู่มาขอน้ำกะ
เรา เราจับขวดน้ำเทลงไป
คนที่เก็บน้ำก็สบาย
คนให้ก็สบายใจ
มันมี
ที่เก็บน้ำ
อย่างคนที่ฟังธรรมะก็ฟัง
นั่งฟังเข้าใจธรรมะจริงๆ
เราก็มี
กำลังใจ
มีสมาธิ มีความมั่นใจเทศน์ให้ฟัง
ก็เหมือนกัน
ถ้าหากว่าไม่
มีคนตั้งใจฟัง
ก็เหมือนเทน้ำใส่ขวดที่มันบรรจุน้ำอยู่แล้วเต็มๆ
นั่น
แหละ ไม่รู้จะทำไปทำไม
ไม่รู้จะเทไปทำไมนะ
พลังของจิต พลังของ
ธรรมะนี้ก็ไม่วิ่งขึ้นมาสู่ความรู้อันนี้
เพราะว่าผู้ให้ก็ไม่ตั้งใจให้
เพราะ
คนรับไม่ตั้งใจรับ
มันเป็นเสียเช่นนี้
โดยมากทุกวันนี้มันก็ชอบเป็นเสีย
อย่างนั้นกัน
แล้วมันไม่เป็นอยู่เท่านี้
มันทวีขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่มันจะ
หยุดอยู่แค่นี้
อันนี้มันเป็นอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์ทุกวันนี้
คือไม่ค้นไป
หาความจริงกัน
อย่างการร่ำการเรียน
การหาวิชาความรู้
เขาก็หาแต่
เพียงไปเป็นอาชีพของเขาเท่านั้นแหละ
เพื่อจะเลี้ยงชีวิตไป
เลี้ยง
ครอบครัวไป
เลี้ยงอัตตภาพไปเท่านั้นแหละ
เรียนเพื่ออาชีพนะ
แต่
เพื่อสัมมาอาชีพ
ให้มันเป็นธรรมะน่ะ
ที่ให้เข้าอกเข้าใจในธรรมะมัน
น้อย
มันมีอยู่แต่มันน้อย
ดังนั้นพวกนักเรียนทุกวันนี้มันจึงมีความรู้
หลักการวิชาการดีกว่าสมัยโบร่ำโบราณที่เราเคยทำกันมา
ตลอดถึง
เครื่องมือเครื่องใช้อะไรต่างๆ
มันครบบริบูรณ์แล้ว
จะทำอะไรสะดวก
กว่า
มีความรู้มากกว่าแต่ก่อน
แต่คนสมัยนี้ก็วุ่นวายกว่าแต่ก่อน
เป็น
ทุกข์กว่าแต่ก่อน
มันเป็นเช่นนั้น
นี่ไม่ใช่เพราะอื่นใด
เพราะเขา
พยายามว่าเขาเรียนมาเพื่ออาชีพเท่านั้น
นักบวชทุกวันนี้
ที่เป็นเด็กรุ่นๆเคยได้ถาม
บวชมาแล้วทำไม
ไม่ปฏิบัติ
ผมบวชมาเพื่อเรียนหนังสือ
ผมไม่ได้บวชมาปฏิบัติธรรม
วินัย
นี่มันไปรูปนี้
ไม่ได้บวชมาเพื่ออันนั้น
บวชมาเพื่อเรียนหนังสือ
ถ้าพูดด้วยภาษาคนเราทุกวันนี้
ก็เรียกว่า
ไม่มีทาง อย่างเราถาม
เขาว่า
เป็นอย่างไรล่ะ
ไม่มีทาง คำว่า
ไม่มีทาง นี่
คือนักบวช นัก
พรต นักเรียนมาพูดอย่างนี้
ผมไม่ได้บวชมาปฏิบัติพระธรรมวินัย
ผม
บวชมาเพื่อเรียนหนังสือ
คำนี้แหละเรียกว่าไม่มีทาง
ใช่ไหม? คือไม่มี
ทาง มันจบแล้วไม่ต่อไปอีก
ที่จริงแล้ว
เมื่อเราพูดถึงที่เรียนมาแล้ว
เอาความจำมาสอน
กัน บางทีจิตเป็นอย่างหนึ่งสอนไปอีกอย่างหนึ่ง
สอนไปตามความจำ
ไม่ได้สอนเพื่อความจริง
นี่โลก ฉะนั้นโลกก็ต้องเป็นอยู่อย่างนี้
ถ้าหาก
อยู่ร่วมกับเขา
จะมาปฏิบัติอย่างนี้ไปเฉยๆ
ให้มีศีลมีธรรมสงบระงับ
เขาเห็นว่าคนนั้นเป็นคนแปลกเขาทำโลกไม่ให้เจริญ
ทำสังคมไม่ให้
เจริญ
เขายิ่งยุกันเข้าไป
คนดีๆก็เลยเป็นคนไม่ค่อยดี
ถูกเขารุมเอา
เสีย
นึกแล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เปลี่ยนไปลึกแล้ว
ก็จะกลับออกมา
มา
ไม่ได้
เลยมีคำพูดว่า
โอ๊ย! ทุกวันนี้ผมไปไม่ได้ครับ
ผมเข้าลึกแล้ว
ผมถอนไม่ได้
อันนี้มีปัญหาในโลก
มันมักจะเป็นอย่างนั้น
แต่ความ
เป็นจริงเราไม่รู้จักคุณค่าของธรรมะ
คุณค่าของธรรมะนั้น
ไม่ใช่ไปเห็นตามตัวหนังสือ
ตามตำรา
อันนั้นเป็นนั่น
อันนั้นเป็นนั่น
อันนั้นมันอยู่ข้างนอก
มันไม่เห็นธรรมะ
ซึ่งในจิตของตน
เมื่อเราดูจิตของตน
มันก็จะเห็นจิตของตน
เห็นความ
จริงอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราเอาความจริงพูดขึ้นมา
มันก็เป็นความจริง
มัน
ก็ตัดกระแสความไม่จริงทั้งหมดเลย
ฉะนั้น ธรรมะในบางแห่งก็วุ่น
วายขึ้นมา
อย่างคนดื่มเหล้า
ไปเทศน์ให้คนดื่มเหล้าฟังว่า
มันไม่ดี
อย่างนั้น
เป็นบาปอย่างนั้น
โอ๊ย! คนกินเหล้าจะมารุมเอาให้ได้
ฉะนั้น จึงว่าสมัยนี้
สมัยไหนก็ช่างเถอะ
คำสอนที่พระพุทธ
เจ้าของเราท่านสอนไว้นั้นมันเป็นความจริง
ความจริงนี้จริงตลอดได้
สองพันห้าร้อยยี่สิบกว่าพรรษามาแล้ว
อันใดที่พระพุทธเจ้าของเรา
เทศน์แล้ว
ทรงสั่งสอนเป็นความจริงแล้ว
ถอดออกมาจากใจแล้ว
อัน
นั้นท่านว่าอย่าไปเปลี่ยนแปลง
อย่าไปเพิ่มเติม
อย่าไปถอน ธรรมอัน
นี้แหละพระพุทธเจ้าตรัส
อย่าไปบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติ
อย่าไปถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว
ให้สมาทานตามสิกขาบทอัน
นั้น
คือปิดไว้ ทำไมถึงปิด
เพราะอันนี้เป็นคำพูดของผู้ที่ไม่มีกิเลส
โลกจะเปลี่ยนไปสักเท่าไรก็ตามอันนี้มันคงที่อยู่
ไม่เปลี่ยนไปตาม
อัน
ใดที่มันผิด
คนว่าถูกมันก็ไม่ถูกไปด้วย
อันใดมันดี
คนว่าไม่ดี
มันก็ไม่
เปลี่ยน
ถึงแม้เราตายแล้วเกิด
เกิดแล้วตายมันก็ไม่เปลี่ยน
เพราะคำนี้
คือความจริง
ความจริงอันนี้ใครสร้างขึ้นมา
ก็ความจริงมันสร้างขึ้นมา
ไม่
ใช่พระพุทธเจ้าสร้างหรือ
ไม่ใช่ ท่านไปค้นพบว่าอันนี้เป็นอย่างนี้
ท่าน
ก็เอาออกมาสอน
คำสอนอันนี้
พระพุทธเจ้าจะเกิดมาก็ตาม
ไม่เกิด
มาก็ตาม
ความจริงอันนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้
ที่เรียกว่าพระพุทธเจ้านี้
เป็นเจ้าของพระธรรม
คือความจริงอันนี้เท่านั้นเอง
ความเป็นจริงท่าน
ก็ไม่ได้สร้างมันขึ้นมา
มันเป็นอยู่แล้ว
แต่นานๆแล้ว
แต่ไม่มีใครพบ
ไม่
มีใครค้น
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
ท่านค้นพบเป็นอมตะนิยามแล้ว
เอามาสอนคนเป็นธรรมะ
มิใช่ว่าท่านมาแต่งขึ้น
อันนี้มันเป็นของเก่า
ถึงแม้พระพุทธเจ้าไม่เกิดก็มีอยู่
ถึงเกิดมาก็มีอยู่
แม้คนไม่ปฏิบัติก็มี
อยู่
ถึงคนจะปฏิบัติอันนี้ก็มีอยู่
เพราะอันนี้เป็นความจริง
เพราะฉะนั้นโลกอันนี้ตั่งมั่นขึ้นมา
ตั้งมั่นอยู่นะ
แล้วก็ปฏิบัติ
ตามความเป็นจริงกันไป
แล้วก็ถล่มทลายตายฉิบหายหมด
ก็วนกลับ
เข้ามาหาความเป็นจริงอีก
ความเป็นจริงคือธรรมะ
ก็หล่อเลี้ยงคนไป
อีก นานๆไป
คนมากขึ้นไป
ก็ประมาทอีก
มันก็ทำไปตามโลก
ตาม
ความมืดของคนไป
เจริญไปๆ แล้วก็เสื่อมอีก
ตั้งไม่ได้
วุ่นวายอีก
แล้ว
กลับมาตั้งความเป็นจริงอีก
เพราะอันนี้ไม่หาย
พระพุทธเจ้านิพพาน
แล้วก็ไม่หาย
พระพุทธเจ้าทุกองค์นิพพานแล้วก็ไม่หาย
ท่านมาเกิด
วันนี้ก็ไม่หาย
ท่านดับขันธ์ไปแล้ว
อันนี้คงตั้งอยู่
โลกเวียนมาบรรจบ
อันนี้
มันก็คล้ายๆกับว่า
มะม่วงต้นหนึ่ง
มันก็เป็นดอก
มันก็เป็นผล
เป็นผลเล็ก
แล้วเป็นผลโตเรื่อยๆ
ขึ้นมาจนกว่ามันห่าม
มันห่ามแล้วก็
สุก เหลืองสุกมันก็เละ
มันก็หล่นลงมาอีก
เมล็ดมันก็กลับมาสู่อีก
เป็นต้นใหม่ขึ้นมาอีก
เรื่อยๆไป ผลที่สุดมันก็ห่าม
แล้วมันก็สุก
สุก
แล้วมันก็เละ
เมล็ดมันก็ตกไปสู่ดินอีก
ต้นก็มาเกิดอีก
เช่นนี้ มันก็เป็น
อยู่อย่างนี้ในโลกนี้
ไม่ไปอื่นไกล
มีแต่ของเก่านั้นแหละ
อย่างที่เราทำทุกวันนี้ก็เหมือนกัน
วันนี้เราก็ทำของเก่านั้น
แหละ พรุ่งนี้เราก็ไปทำอย่างเก่านี้ล่ะ
ไม่ไปทำอย่างอื่นหรอก
เออ! ไป
ทำให้มันยุ่งยากขึ้นมาอีก
คนคิดมากเกินไป
ก็ของในโลกมันมีหลายๆ
อย่างนี่
ใครมีปัญญาค้นขึ้นมาได้
มันก็มีขึ้นมาแต่มันจบไม่ได้
จบไม่
ได้ พุทธศาสตร์ก็ดี
วิทยาศาสตร์ก็ดี
ศาสตร์ทั้งหลายที่มีมาหลายๆ
ศาสตร์
วิทยาศาสตร์
จิตตศาสตร์
เกษตรศาสตร์
ทุกอย่างนั่นแหละ
ค้นไปมันก็มีมา
แต่ว่ามันก็มาจบอยู่ที่ความจริงของมัน
เพราะมันเป็น
วัฏฏะ
เหมือนกันกับล้อเกวียน
เรามีเกวียนสักเล่มหนึ่ง
แล้วก็มีโค
ลากมันไป
ล้อเกวียนมันไม่ยาว
แต่รอยมันยาว
ถ้าโคตัวนั้นนะ
มัน
ลากเกวียนไปไม่หยุด
อันรอยเกวียนนั้นมันก็ทับรอยโคไปไม่หยุด
มัน
กลม แต่ว่ามันยาว
จะว่ามันยาวก็ได้
แต่ว่ามันกลม
เราเห็นความกลม
มันเช่นนี้
ก็ไม่เห็นความยาวในวงเกวียนอันนั้น
แต่เมื่อโคลากไป
แหม! กี่วันกี่เดือนมันยาว
เมื่อโคมันลากไปไม่หยุด
ล้อเกวียนก็หมุน
ไปไม่หยุด
อีกวันหนึ่งโคมันเหนื่อย
มันสลัดแอกออกไปเสียแล้ว
โคไป
โค เกวียนไปเกวียน
ล้อเกวียนก็หยุดเอง
นี่ มันก็ทิ้งอยู่นั้นแหละ
นานๆไปมันก็เป็นธาตุดิน
น้ำ ไฟ ลม ถมทับเป็นดินหญ้าไปอย่างเดิม
คนกระทำกรรมนี้ก็เหมือนกัน
มันไม่จบเรื่องของมัน
เราจะค้นอยู่ในโลก
มันก็ไปอยู่อย่างนี้
มันก็ไปทางมันเรื่อยๆ
ของมัน
ไม่จบเหมือนกัน
ตลอดถึงทุกวันนี้
คนพูดความจริงอย่างนี้มัน
ก็ไม่จบเหมือนกัน
คนมิจฉาทิฐิก็มีไม่จบเหมือนกัน
มันมีกำลังเท่ากัน
เหมือนมีดเล่มหนึ่ง
เรามาลับให้มันคมๆเสีย
จะเอาไปทำให้มันเป็น
ประโยชน์
มันก็มีประโยชน์
เป็นกำลังในทางที่เป็นประโยชน์
เราจะ
เอาไปทำให้ไร้สาระไร้ประโยชน์
มันก็มีกำลังเท่าๆกัน
เพราะมีดมันมี
ความคมเสมอกัน
นี่ก็เหมือนกัน
แต่ว่าต่อไปมีดเล่มนั้น
เมื่อมันเกิด
เป็นมีดมาได้
สักวันหนึ่งมันจะหยุดเป็นมีด
คนทำกรรมนี้ก็เหมือนกัน
ทำไปๆมันหยุดตรงไหน
เราหยุด
การกระทำมาแล้ว
รอยเกวียนมันก็ไม่หมุนไปตาม
มันเลิกแค่นั้น
แหละ ถ้าเราวิ่งไปไม่หยุด
มันก็ไม่หยุด
มันก็หมุนไปเรื่อย
การกระทำ
กรรมชั่วของเราก็เหมือนกัน
ถ้าเราไม่หยุดมันก็ไม่หยุด
ถ้าเราหยุดมัน
ก็หยุดแค่นี้
นี่คือการปฏิบัติธรรม
หมายเหตุจากผู้จัดทำ
ขอขอบคุณสำนักพิมพ์
ธรรมสภา ที่เอื้อเฟื้อให้ข้อมูลมาในรูป
แบบที่เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์
ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ยังคงเนื้อความไว้ตามเดิมทุกประการ
ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความที่
คาดว่าพิมพ์ผิด
เนื่องจากเรื่องนี้ผมมีต้นฉบับอยู่สองฉบับ
คือไฟล์ที่ได้รับจาก
สำนักพิมพ์
ธรรมสภา และหนังสือ
หลวงพ่อชา เล่มสี่
ซึ่งพิมพ์โดย
สำนักพิมพ์ชมสมัย
ทั้งนี้ได้ใช้ไฟล์ที่ได้รับจาก
สำนักพิมพ์
ธรรมสภา
เป็นหลัก
แล้วใช้หนังสือของ
สำนักพิมพ์
ในการตรวจสอบจุดที่สงสัย
ว่าจะพิมพ์ผิด
ถ้าเห็นว่าผิดจริงก็จะแก้โดยไม่ได้ลงหมายเหตุไว้
ส่วน
จุดที่ต้นฉบับทั้งสองผิดตรงกัน
ได้แก้ไขโดยลงหมายเหตุกำกับไว้
ตาม
รายละเอียดดังต่อไปนี้
จุด 1 มีการแก้คำว่า
ทิฏฐิ ซึ่งปรากฏอยู่หลายจุด
เปลี่ยน
เป็น
ทิฐิ ทั้งหมด