การบรรยายธรรมของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
เรื่อง
อยู่เพื่ออะไร
บรรยายที่วัดถ้ำแสงเพชร
เมื่อ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๒๔
 
 

อยู่เพื่ออะไร
          นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
          พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ นมสฺสามิ
          อิโต ปรํ สกฺกจฺจํ ธมฺโมโสตพฺโพติ
          ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบ รับโอวาทพอสมควร วันนี้มีทั้ง
คฤหัสถ์และบรรพชิตมาถวายดอกไม้ตามกาลเวลา เรื่องสักการะเรื่อง
คารวะ การเคารพต่อผู้ใหญ่เป็นมงคลอันเลิศ พรรษานี้อาตมาไม่ค่อย
มีเรี่ยวแรง ไม่สบาย สุขภาพไม่แข็งแรง ฉะนั้นจึงหลบมาอยู่บนภูเขานี้
ก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์สักพรรษาหนึ่ง ญาติโยมสานุศิษย์ทั้งหลายไป
เยี่ยม ก็ไม่ได้สนองศรัทธาอย่างเต็มที่ เพราะว่าเสียงมันจะหมดแล้ว
ลมมันก็จะหมดแล้ว นับว่าเป็นบุญที่เป็นตัวเป็นตนมานั่งให้ญาติโยม
เห็นอยู่นี่นับว่าดีแล้ว ต่อไปก็จะไม่ได้เห็น ลมมันก็จะหมด เสียงมันก็
จะหมด
          มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของสังขาร ที่พระผู้มีพระภาค
เจ้าท่านสอนไว้ ขัยะวัยยัง คือความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขาร เสื่อมไป
อย่างไร เปรียบให้ฟังเหมือนก้อนน้ำแข็ง แต่ก่อนมันเป็นน้ำ เขาเอามา
ทำให้เป็นก้อน แต่มันก็อยู่ไม่กี่วันหรอก มันก็เสื่อมไป เอาก้อนน้ำแข็ง
ใหญ่ๆเท่าเทปนี้ไปวางไว้กลางแจ้ง จะดูความเสื่อมของก้อนน้ำแข็งก็
เหมือนสังขารนี้ มันจะเสื่อมทีละน้อยละน้อย ไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมงก้อน
น้ำแข็งก็จะหมด ละลายเป็นน้ำไป นี่เรียกว่าเป็น ขัยะวัยยัง ความสิ้น
ไป ความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นมานานแล้ว ตั้งแต่มีโลกขึ้น
มา เราเกิดมาเราเก็บเอาสิ่งเหล่านี้มาด้วย ไม่ใช่ว่าเราทิ้งไปไหน พอ
เกิดเราเก็บเอาความเจ็บ ความแก่ ความตาย มาพร้อมกัน
          ดังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึงตรัสไว้ว่า
ขัยะวัยยัง ความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขารทั้งหลาย เรานั่งอยู่บนศาลา
นี้ทั้งอุบาสกอุบาสิกา ทั้งพระทั้งเณรทั้งหมดนี้ มีแต่ก้อนเสื่อมทั้งนั้น นี่
ที่ก้อนมันแข็ง เปรียบเช่นก้อนน้ำแข็งแต่ก่อนเป็นน้ำ มันเป็นก้อนน้ำ
แข็งแล้วก็เสื่อมไป เห็นความเสื่อมมันไหม ดูอาการที่มันเสื่อมซี ร่าง
กายของเรานี่ทุกส่วนมันเสื่อม ผมมันก็เสื่อมไป ขนมันก็เสื่อมไป เล็บ
มันก็เสื่อมไป หนังมันก็เสื่อมไป อะไรทุกอย่างมันก็เสื่อมไปทั้งนั้น
          ญาติโยมทุกคนเมื่อครั้งแรกคงจะไม่เป็นอย่างนี้นะ คงจะมีตัว
เล็กกว่านี้ นี่มันโตขึ้นมา มันเจริญขึ้นมา ต่อไปนี้มันก็จะเสื่อม เสื่อม
ไปตามธรรมชาติของมัน เสื่อมไปเหมือนก้อนน้ำแข็งเดี๋ยวก็หมด ก้อน
น้ำแข็งมันก็กลายเป็นน้ำ เรานี่ก็เหมือนกันทุกคนมีดิน มีน้ำ มีไฟ มี
ลม เมื่อมีตัวตนประกอบกันอยู่ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม (หมายเหตุ 1)
ตั้งขึ้น เรียกว่าคน แต่เดิมไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรอก เรียกว่าคนเราก็ดีอกดี
ใจ เป็นคนผู้ชาย เป็นคนผู้หญิง สมมุติชื่อให้นายนั้นนางนี้ตามเรื่อง
(หมายเหตุ 2) เพื่อเรียกตามภาษา ให้จำง่ายใช้การงานง่าย แต่ความ
เป็นจริงก็ไม่มีอะไร มีดินหนึ่ง น้ำหนึ่ง ไฟหนึ่ง ลมหนึ่ง มาปรุงกันเข้า
กลายเป็นรูป เรียกว่าคน โยมอย่าเพิ่งดีใจนะ ดูไปดูมาก็ไม่มีคนหรอก
ที่มันเข้มแข็งพวกเนื้อพวกหนัง พวกกระดูกทั้งหลายเหล่านี้เป็นดิน
อาการที่มันเหลวๆตามสภาพร่างกายนั้นเราเรียกว่าน้ำ อาการที่มัน
อบอุ่นอยู่ในร่างกายเราเรียกว่าไฟ อาการที่มันพัดไปมาอยู่ในร่างกาย
ของเรานี้ ลมพัดขึ้นเบื้องบนพัดลงเบื้องต่ำนี้ เรียกว่าลม ทั้งสี่ประการ
นี้มาปรุงกันเข้าเรียกว่าคน ก็ยังเป็นผู้หญิงผู้ชายอีก จึงมีเครื่องหมาย
ตามสมมุติของเรา
          แต่อยู่ที่วัดป่าพง ที่ไม่เป็นผู้หญิงไม่เป็นผู้ชายก็มี เป็นนะ
ปุงสักลิงค์ ไม่ใช่อิตถีลิงค์ ไม่ใช่ปุงลิงค์ คือซากศพที่เขาเอาเนื้อเอา
หนังออกหมดแล้ว เหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น เป็นซากโครงกระดูก
เขาแขวนไว้ ไปดูก็ไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใครไปถามว่านี่เป็น
ผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ได้แต่มองหน้ากัน เพราะมันมีแต่โครงกระดูกเท่า
นั้น เนื้อหนังออกหมดแล้ว พวกเราทั้งหลายก็ไม่รู้
          ทุกคนไปวัดป่าพงเข้าไปในศาลาก็ไปดูโครงกระดูก บางคนดู
ไม่ได้วิ่งออกจากศาลาเลย กลัว กลัวเจ้าของ อย่างนั้นเข้าใจว่าไม่เคย
เห็นตัวเราเองสักที ไปกลัวกระดูก ไม่นึกถึงคุณค่าของกระดูก เราเดิน
มาจากบ้าน นั่งรถมาจากบ้าน ถ้าไม่มีกระดูกจะเป็นอย่างไร จะเดิน
ไปมาได้ไหม นั่งรถมาถึงวัดป่าพง พอลงรถเข้าศาลาไปดูโครงกระดูก
พอเห็น วิ่งออกจากศาลาเลย กลัวโครงกระดูก คนเราไม่เคยเห็น เกิด
มาพร้อมกันไม่เคยเห็นกัน นอนเบาะอันเดียวกันไม่เคยเห็นกัน นี่
แสดงว่าเราบุญมากที่มาเห็น แก่แล้ว ห้าสิบปี หกสิบปี เจ็ดสิบปี ไป
นมัสการวัดป่าพง เห็นโครงกระดูก กลัว นี่อะไรไม่รู้ แสดงว่าเราไม่คุ้น
เคยเลย ไม่รู้จักตัวเราเลย กลับไปบ้านก็ยังนอนไม่หลับอยู่สามสี่วัน
แต่ก็นอนกับโครงกระดูกนั่นแหละไม่ใช่นอนที่อื่นหรอก ห่มผ้าผืนเดียว
กัน อะไรๆด้วยกัน นั่งบริโภคข้าวด้วยกัน แต่เราก็กลัว นี่แสดงว่าเรา
ห่างเหินจากตัวเรามากที่สุด น่าสงสาร ไปดูอย่างอื่น ไปดูต้นไม้ ไปดู
วัตถุอื่นๆ ว่าอันนั้นโตอันนี้เล็ก อันนั้นสั้นอันนั้นยาว นี่ไปดูแต่วัตถุของ
อื่นนอกจากตัวเรา ไม่เคยมองดูตัวเราเลย ถ้าพูดตรงๆแล้วก็น่าสงสาร
มนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นคนเราจึงขาดที่พึ่ง
          อาตมาเคยบวชนาคมาหลายองค์ เกศา โลมา นะขา ทันตา
ตะโจ นาคที่เคยเป็นนักศึกษาคงนึกหัวเราะว่า ท่านอาจารย์เอาอะไร
มาสอนนี่ เอาผมที่มันมีอยู่นานแล้วมาสอน ไม่ต้องสอนแล้วรู้จักแล้ว
เอาของที่รู้จักแล้วมาสอนทำไม นี่คนที่มันมืดมากมันก็เป็นอย่างนี้ คิด
ว่าเราเห็นผม อาตมาบอกว่าคำที่ว่าเห็นผมนั้น คือเห็นตามความเป็น
จริง เห็นขนก็เห็นตามความเป็นจริง เห็นเล็บ เห็นหนัง เห็นฟัน ก็เห็น
ตามความเป็นจริง จึงเรียกว่าเห็น ไม่ใช่ว่าเห็นอย่างผิวเผิน เห็นตาม
ความเป็นจริงอย่างไร (หมายเหตุ 3) เราคงจะไม่หมกมุ่นอยู่ในโลก
อย่างนี้ ถ้าเห็นตามความจริง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอย่างไร ตาม
ความเป็นจริงเป็นอย่างไร เป็นของสวยไหม เป็นของสะอาดไหม เป็น
ของมีแก่นสารไหม เป็นของเที่ยงไหม เปล่า มันไม่มีอะไรหรอก ของ
ไม่สวยแต่เราไปสำคัญว่ามันสวย ของไม่จริง ไปสำคัญว่ามันจริง
          อย่างเกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน
หนัง คนเราไปติดอยู่นี่ พระพุทธองค์ท่านยกมาทั้งห้าประการนี้เป็น
มูลกรรมฐาน สอนให้รู้จักกรรมฐานทั้งห้านี้ มันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง
เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา เราเกิดขึ้นมาก็หลง
มัน อันนี้เป็นของโสโครก ดูซิคนเราไม่อาบน้ำสักสองวันสิ เข้าใกล้กัน
ได้ไหม มันเหม็น เหงื่อออกมากๆไปนั่งทำงานรวมกันอย่างนี้ เอาสิ
เหม็นทั้งนั้นแหละ กลับไปบ้านอาบน้ำเอาสบู่มาถูออก หายไปนิดหนึ่ง
ก็หอมสบู่ขึ้นมา ได้ถูสบู่มันก็หอม ไอ้ตัวเหม็นมันก็อยู่อย่างเดิมนั่น
แหละ มันยังไม่ปรากฏเท่านั้น กลิ่นสบู่มันข่มไว้ เมื่อหมดสบู่มันก็
เหม็นตามเคย อันนี้เรามักจะเห็นรูปที่นั่งอยู่นี่นึกว่ามันสวย มันงาม
มันแน่น มันหนา มันตรึงตา มันไม่แก่ มันไม่เจ็บ มันไม่ตาย หลง
เพลิดเพลินอยู่ในสากลโลกนี้ ฉะนั้นจึงไม่รู้จักพึ่งตนเอง
          ตัวที่พึ่งของเราคือตัวใจ ใจของเราเป็นที่พึ่งจริงๆ ศาลาหลังนี้
มันใหญ่ก็ไม่ใช่ที่พึ่ง มันเป็นที่อาศัยชั่วคราว นกพิราบมันก็มาอาศัย
อยู่ ตุ๊กแกมันก็มาอาศัยอยู่ จิ้งเหลนนี้มันก็มาอาศัยอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่าง
มาอาศัยอยู่ได้ เราก็นึกว่าของเรา มันไม่ใช่ของเราหรอก มันอยู่ด้วย
กัน หนูมันก็มาอยู่ สารพัดอย่าง นี่เรียกว่าที่อาศัยชั่วคราว เดี๋ยวก็หนี
ไปจากไป เราก็นึกว่าอันนี้เป็นที่พึ่งของเรา
          คนมีบ้านหลังเล็กๆ ก็เป็นทุกข์เพราะบ้านมันเล็ก มีบ้านหลัง
ใหญ่ๆก็เป็นทุกข์เพราะกวาดไม่ไหว ตอนเช้าก็บ่น ตอนเย็นก็บ่น จับ
อะไรวางตรงไหนก็ไม่ค่อยได้เก็บ คุณหญิงคุณนายนี่จึงเป็นโรค
ประสาทกัน เป็นทุกข์
          ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้หาที่พึ่ง คือหาใจของเรา ใจของเรา
เป็นสิ่งสำคัญ โดยมากคนเราไม่ค่อยมองดูในสิ่งที่สำคัญ ไปมองดูที่
อื่นที่ไม่สำคัญ เป็นต้นว่ากวาดบ้าน ล้างจาน ก็มุ่งความสะอาด ล้าง
ถ้วยล้างจานให้มันสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งความสะอาด แต่ใจเจ้า
ของไม่เคยมุ่งเลย ใจของเรามันเน่า บางทีก็โกรธหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่
นั่นแหละ ก็ไปมุ่งแต่จานให้จานมันสะอาด ใจของเราไม่สะอาดเท่าไร
ก็ไม่มองดู นี่เราขาดที่พึ่ง เอาแต่ที่อาศัยแต่งบ้านแต่งช่อง แต่งอะไร
สารพัดอย่าง แต่ใจของเราไม่ค่อยจะแต่งกัน ทุกข์ไม่ค่อยจะมองดูมัน
ใจนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงพูดว่า ให้หาที่พึ่ง
ทางใจ อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ใครจะเป็นที่พึ่งได้ ที่เป็นที่พึ่งที่แน่นอนก็
คือใจของเรานี่เองไม่ใช่สิ่งอื่น พึ่งสิ่งอื่นก็พึ่งได้แต่ไม่ใช่ของที่แน่นอน
เราจะพึ่งสิ่งอื่นได้ก็เพราะเราพึ่งตัวของเรา เราต้องมีที่พึ่งก่อน จะพึ่ง
อาจารย์ พึ่งญาติมิตรสหายทั้งหลาย จะพึ่งได้ดีนั้น เราต้องทำตัวของ
เราเป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน
          ดังนั้นวันนี้ที่มากราบนมัสการทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ขอให้
รับโอวาทนี้ไปพินิจพิจารณา เราทุกคนให้นึกเสมอว่า เราคืออะไร เรา
เกิดมาทำไม นี่ถามปัญหาเจ้าของอยู่เสมอว่า เราเกิดมาทำไม ให้ถาม
เสมอ บางคนไม่รู้นะ แต่อยากได้ความสุขใจ มันทุกข์ไม่หาย รวยก็
ทุกข์ จนก็ทุกข์ เป็นเด็กเป็นคนโตก็ทุกข์ ทุกข์หมดทุกอย่าง เพราะ
อะไร เพราะว่ามันขาดปัญญา
          เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะมันจน เป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะมัน
รวยมาก ของมากๆรักษาคนเดียว ในสมัยก่อนอาตมาเคยเป็น
สามเณร เคยเทศน์ให้โยมฟัง ครูบาอาจารย์ท่านให้เทศน์พูดถึงความ
ร่ำรวย ในการมีทาสให้มีทาสสักร้อย ผู้หญิงก็ให้ได้สักร้อยหนึ่ง ผู้ชาย
ก็ร้อยหนึ่ง มีช้างก็ร้อยหนึ่ง มีวัวก็ร้อยหนึ่ง มีควายก็ร้อยหนึ่ง มีแต่สิ่ง
ละร้อยละร้อยทั้งนั้น ญาติโยมได้ฟังแล้วก็สบายใจ ให้โยมไปเลี้ยง
ควายสักร้อยหนึ่งเอาไหม เอาควายร้อยหนึ่ง เอาวัวร้อยหนึ่ง มีทาสผู้
หญิงผู้ชายอย่างละร้อย ให้โยมรักษาคนเดียวจะดีไหม นี่ไม่คิดดู แต่
ความอยากมีวัว มีควาย มีช้าง มีม้า มีทาส สิ่งละร้อยละร้อยน่าฟัง
อุ๊ย! อิ่มใจเหลือเกิน มันสบายนะ แต่อาตมาเห็นว่าได้สักห้าสิบตัวก็
พอแล้ว แค่ฟั่นเชือกเท่านั้นก็เต็มทีแล้ว อันนี้โยมไม่คิด คิดแต่ได้ ไม่
คิดถึงว่ามันจะยากจะลำบาก
          สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเรานี้ ถ้าเราไม่มีปัญญา จะทำให้เรา
ทุกข์นะ ถ้าเรามีปัญญา นำออกจากทุกข์ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตาไม่ใช่ของดีนะ ถ้าเราใจไม่ดี ไปมองคนบางคน ไปเกลียดเขาอีก
แล้ว มานอนเป็นทุกข์อีกแล้ว ไปมองดูคนบางคน รักเขาอีกแล้ว รัก
เป็นทุกข์อีกแล้ว มันไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เกลียดก็เป็นทุกข์ รักก็เป็นทุกข์
เพราะมันอยากได้ อยากได้ก็เป็นทุกข์ ไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์ ของที่ไม่
ชอบใจอยากทิ้งมันไป อยากได้ของที่ชอบใจเข้ามา มันก็ทุกข์ ของที่
ชอบใจได้มาแล้วกลัวมันจะหายอีกแล้ว มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะ
อยู่อย่างไร บ้านหลังใหญ่ๆขนาดนี้ก็นึกว่าจะให้มันสบายขึ้น เก็บ
ความสบายเก็บความดีไว้ในนี้ ถ้าคิดไม่ดีมันก็ไปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
          ดังนั้นญาติโยมทั้งหลายจงมองดูตัวของเรา ว่าเราเกิดมา
ทำไม เราเคยได้อะไรไว้ไหม อาตมาเคยรวมคนแก่ เอาคนแก่อายุเลย
แปดสิบปีขึ้นไปแล้วมาอยู่รวมกัน อาชีพทำนา ตามบ้านนอกของเรา
ทำนามาตั้งแต่โน้น เกิดมาได้สิบเจ็ด สิบแปดปี ก็รีบแต่งงานกลัวจะ
ไม่รวย ทำงานตั้งแต่เล็กๆ ให้มันรวย ทำนาจนเจ็ดสิบปีก็มี แปดสิบปี
ก็มี เก้าสิบปีก็มี ที่มานั่งรวมกันฟังธรรม โยม อาตมาถาม “โยมจะเอา
อะไรไปไหมนี่ เกิดมาก็ทำอยู่จนเดี๋ยวนี้แหละ ผลที่สุดจะไป จะได้
อะไรไปไหม” ไม่รู้จัก ตอบได้แต่ว่า “จังว่า จังว่า จังว่า” นี่ตามภาษา
เขาว่า กินลูกหว้า เพลินกับลูกหว้า มันจะเสียเวลาเพราะจังว่านี่แหละ
จะไปก็ไม่ไป จะอยู่ก็ไม่อยู่ มันอยู่ที่จังว่า นั่งอยู่ก้างๆอยู่ง่า (หมายเหตุ
4) นั่งอยู่คาคบนั่นแล้ว มีแต่จังว่าๆ
          ตอนยังหนุ่มๆครั้งแรกอยู่คนเดียว เข้าใจว่าเป็นโสดไม่สบาย
หาคู่ครองเรือนมันจะสบาย เลยหาคู่ครองมาครองเรือน ให้เอาของ
สองอย่างมารวมกันมันก็กระทบกันอยู่แล้ว อยู่คนเดียวมันเงียบเกิน
ไป ไม่สบาย แล้วเอาคนสองคนมาอยู่ด้วยกัน มันก็กระทบกัน ก๊อกๆ
แก๊กๆ นั่นแหละลูกเกิดมา ครั้งแรกตัวเล็กๆพ่อแม่ก็ตั้งใจว่า ลูกเรา
เมื่อมันโตขึ้นมาขนาดหนึ่งเราก็สบายหรอก ก็เลี้ยงมันไปสามคนสี่คน
ห้าคน นึกว่ามันโตเราจะสบาย เมื่อมันโตมาแล้วมันยิ่งหนัก เหมือน
กับแบกท่อนไม้ อันหนึ่งเล็กอันหนึ่งใหญ่ ทิ้งท่อนเล็กแล้วแบกเอา
ท่อนใหญ่ นึกว่ามันจะเบาก็ยิ่งหนัก ลูกเราตอนเด็กๆ มันไม่กวนเท่าไร
หรอกโยม มันกวนถามกินข้าวกับกล้วย เมื่อมันโตขึ้นมานี่มันถามเอา
รถมอเตอร์ไซด์ มันถามเอารถเก๋ง เอาล่ะความรักลูกจะปฏิเสธไม่ได้ ก็
พยายามหา มันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ให้มันก็เป็นลูก บางทีพ่อแม่ทะเลาะ
กัน “อย่าพึ่งไปซื้อให้มันเลยรถนี่ มันยังไม่มีเงิน” แต่ความรักลูกก็ต้อง
ไปกู้คนอื่นมา เห็นอะไรก็อยากซื้อมากิน แต่ก็อด กลัวมันจะหมด
เปลืองหลายอย่าง ต่อมาก็มีการศึกษาเล่าเรียน “ถ้ามันเรียนจบเราก็
จะสบายหรอก” เรียนมันจบไม่เป็นหรอก มันจะจบอะไร เรียนไม่มีจบ
หรอก ทางพุทธศาสนานี่เรียนจบ ศาสตร์อื่นนอกนั้นมันเรียนต่อไป
เรื่อยๆ เรียนไม่จบ เอาไปเอามาก็เลยวุ่นเท่านั้นแหละ บ้านหนึ่งเรียนสี่
คนห้าคน ตาย! พ่อแม่ทะเลาะกันไม่มีวันเว้นละอย่างนั้น
          ไอ้ความทุกข์มันเกิดมาภายหลังเราไม่เห็น นึกว่ามันจะไม่
เป็นอย่างนั้น เมื่อมันมาถึงเข้าแล้วจึงรู้ว่า โอ! มันเป็นทุกข์ ทุกข์อย่าง
นั้นจึงมองเห็นยาก ทุกข์ในตัวของเรานะโยม พูดตามประสาบ้านนอก
เราเรื่องฟันของเรานะโยม ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ขี้ถ่านไฟก็ยังเอา
มาถูฟันให้มันขาว ไปถึงบ้านก็ไปยิงฟันใส่กระจกนึกว่ามันขาว ถูฟัน
แล้วนี่ ไปชอบกระดูกของเจ้าของไม่รู้เรื่อง พออายุถึงห้าสิบหกสิบปี
ฟันมันโยก เออ! เอาซิฟันโยก มันจะร้องไห้ กินข้าวน้ำตามันก็ไหล
เหมือนกับถูกศอกถูกเข่าเขาอยู่ทุกเวลา ฟันมันเจ็บ มันปวด มันทุกข์
มันยาก มันลำบาก นี่อาตมาผ่านมาแล้วเรื่องนี้ ถอนออกหมดเลย ใน
ปากนี้เป็นฟันปลอมทั้งนั้น มันโยกไม่สบายอยู่สิบหกซี่ ถอนทีเดียว
หมดเลย เจ็บใจมัน หมอไม่กล้าถอนแน่ะตั้งสิบหกซี่ “หมอ! ถอนมัน
เถอะ เป็นตายอาตมาจะรับเอาหรอก” ถอนมันออกทีเดียวพร้อมกัน
สิบหกซี่ ที่มันยังแน่นๆตั้งหลายซี่ ตั้งห้าซี่ ถอนออกเลย แต่ว่าเต็มที
นะ ถอนออกหมดแล้วไม่ได้ฉันข้าวอยู่สองสามวัน นี่เป็นเรื่องทุกข์
          อาตมาคิดแต่ก่อนนะ ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เอาถ่านไฟ
มาถูมันให้ขาว รักมันมากเหลือเกิน นึกว่ามันเป็นของดี ผลที่สุดมัน
จะหนีจากเรา จึงเกือบตาย เจ็บฟันนี้มาตั้งหลายเดือนตั้งหลายปี
บางทีมันบวมทั้งข้างล่างข้างบน หมดท่าเลยโยม อันนี้คงจะเจอกัน
ทุกคนหรอก พวกที่ฟันไม่โยก เอาแปรงไปแปรงให้มันสะอาดสวยงาม
อยู่นั่นแหละ ระวังนะ ระวังมันจะเล่นงานเราเมื่อสุดท้าย ไอ้ซี่ยาวซี่สั้น
มันสลับกันอยู่อย่างนี้ (หมายเหตุ 5) ทุกข์มากโยมอันนี้ทุกข์มากจริงๆ
          อันนี้บอกไว้หรอก บางทีจะไปเจอเอาทุกข์เพราะความทุกข์ใน
ตัวของเรานี้ ทุกข์ในตัวเรา จะหาที่พึ่งอะไรมันไม่มี แต่มันค่อยยังชั่ว
เมื่อเรายังหนุ่ม มันแก่มาแล้วมันก็เริ่มพัง มันช่วยกันพังสังขาร มัน
เป็นไปตามเรื่องของมัน เราจะร้องไห้มันก็อยู่อย่างนี้ จะดีใจมันก็อยู่
อย่างนี้ เราจะเป็นอะไรมันก็อยู่ของมันอย่างนี้ เราจะเจ็บปวดจะเป็น
จะตายมันก็อยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นอย่างนั้น นี่มันหมดความรู้
หมดวิชา เอาหมอฟันมาดูฟัน ถึงแก้ไขแล้วยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น
ต่อไปหมอฟันเองก็เป็นเหมือนเราอีก (หมายเหตุ 6) ไปไม่ไหวอีกแล้ว
ทุกอย่างมันก็พังไปด้วยกันทั้งหมด
          นี้เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องรีบพิจารณา เมื่อมีกำลังเรี่ยว
แรงก็รีบทำ จะทำบุญสุนทาน จะทำอะไรก็รีบจัดทำกัน แต่ว่าคนเราก็
มักจะไปมอบให้แต่คนแก่ จะเข้าวัดศึกษาธรรมะรอให้แก่เสียก่อน
โยมผู้หญิงก็เหมือนกัน โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ให้แก่เสียก่อนเถอะ ไม่
รู้ว่าอะไรกัน คนแก่นี่มันกำลังดีไหม ลองไปวิ่งแข่งกับคนหนุ่มดูซิ
ทำไมจะต้องไปมอบให้คนแก่เหมือนไม่รู้จักตาย พอแก่มาสักห้าสิบปี
หกสิบปี จวนเข้าวัดอยู่แล้ว หูตึงเสียแล้ว ความจำก็ไม่ดีเสียแล้ว นั่งก็
ไม่ทน “ยายไปวัดเถอะ” โอย หูฉันไม่ดีแล้ว นั่นเห็นไหม ตอนหูดีเอา
ไปฟังอะไรอยู่ จังว่า จังว่า มันคาแต่ลูกหว้าอยู่นั่นแหละ จนหูมัน
หนวกเสียแล้วจึงไปวัด มันก็ไปไม่ได้ นั่งฟังท่านเทศน์ เทศน์อะไรไม่รู้
เรื่อง มันหมดแล้วจึงมาทำกัน
          ดังนั้น วันนี้คงจะได้ประโยชน์กับบุคคลที่สนใจ เป็นบางสิ่ง
บางอย่างที่ควรเก็บไว้ในใจของเรา สิ่งทั้งหลายนี่เป็นมรดกของเราทั้ง
นั้น มันจะรวมมา รวมมาให้เราแบกทั้งนั้นแหละ ขานี่เป็นสิ่งที่วิ่งได้มา
แต่ก่อน อย่างขาอาตมานี่จะเดินมันก็หนัก สกลร่างกายจะต้องแบก
มัน แต่ก่อนนั้นมันแบกเรา บัดนี้เราแบกมัน ลุกขึ้นก็ “โอ๊ย” สมัยเป็น
เด็กเห็นคนแก่ๆ ลุกขึ้นก็ “โอ๊ย” นั่งลงก็ “โอ๊ย” ที่ “โอ๊ยๆ” ยังไม่ยอม
นะขนาดนี้นะ นั่งก็ “โอ๊ย” ลุกขึ้นก็ “โอ๊ย” “โอ๊ย” ทั้งนั้นแหละ ไม่รู้
อะไรทำให้เราไม่รู้เรื่อง มีแต่ “โอ๊ยๆ” ทั้งนั้น มันทุกข์ถึงขนาดนั้นเรา
ยังไม่เห็นโทษมัน (หมายเหตุ 7) ที่ทำเจ็บทำปวดขึ้นมานี่เรียกว่า
สังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมัน ที่มันเป็น มันเป็นประดง ประดงไฟ
ประดงข้อ ประดงงอ ประดงจิปาถะ หมอเอายามาใส่ก็ไม่ถูก ผลที่สุด
ก็พังไปทั้งหมดอีก คือสังขารมันเสื่อม มันเป็นไปตามสภาพของมัน
มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนี่เป็นเรื่องธรรมชาติมัน ฉะนั้นให้
ญาติพี่น้องให้พากันเห็น ถ้าเห็นแล้วก็จะไม่เป็นอะไร อย่างงูอสรพิษ
ตัวร้ายๆ มันเลื้อยมาเราเห็น เราเห็นมันก่อนก็หนี มันไม่ได้กัดเรา
หรอก เพราะเราได้ระวังมัน ถ้าเราไม่เห็นมัน เดินๆไปไม่เห็นก็ไป
เหยียบมัน เดี๋ยวมันก็กัดเลย
          ถ้ามันทุกข์แล้วไม่รู้จะไปฟ้องใคร ถ้าทุกข์เกิดขึ้นจะไปแก้ตรง
ไหน คืออยากแต่ว่าไม่ให้มันทุกข์เฉยๆเท่านั้น อยากไม่ให้มันทุกข์แต่
ไม่รู้จักทางแก้ไขมัน แล้วก็อยู่ไปอยู่ไปจนถึงวันแก่ วันเจ็บ แล้วก็วัน
ตาย คนโบราณบางคนเขาว่า เมื่อมันเจ็บมันไข้จวบลมหายใจจะขาด
ให้ค่อยๆเข้าไปกระซิบใกล้หูคนไข้ว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะเอา
อะไรพุทโธนั่นนะ คนที่ใกล้จะนอนในกองไฟจะรู้จักพุทโธอะไร ตั้งแต่
ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุรุ่นๆ ทำไมไม่เรียนพุทโธให้มันรู้ หายใจติด
บ้างไม่ติดบ้าง “แม่ๆ พุทโธ พุทโธ” ว่าให้มันเหนื่อยทำไมอย่าไปว่า
เลย มันหลายเรื่อง เอาได้แค่นั้นก็สบายแล้ว
          โยมชอบเอาแต่ต้นกับปลายมัน ตรงกลางไม่เอาหรอก ชอบ
แต่อย่างนั้น บริวารพวกเราทั้งหลายก็ชอบอย่างนั้น ทั้งญาติโยม ทั้ง
พระ ทั้งเณร ชอบแต่ทำอย่างนั้น ไม่รู้จักแก้ไขภายในจิตของเจ้าของ
ไม่รู้จักที่พึ่ง แล้วก็โกรธง่าย และก็อยากหลายด้วย ทำไม คือคนที่ไม่มี
ที่พึ่งทางใจ อยู่เป็นฆราวาสครอบครัว อายุก็ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบปี
กำลังแรงดีอยู่ พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายก็พอพูดกันรู้เรื่องกันหน่อย นี่
ห้าสิบปีขึ้นไปแล้ว พูดกันไม่รู้เรื่องกันแล้ว เดี๋ยวก็นั่งหันหลังให้กัน
หรอก แม่บ้านพูดไปพ่อบ้านทนไม่ได้ พ่อบ้านพูดไปแม่บ้านฟังไม่ได้
เลยแยกกันหันหลังให้กัน คนนั้นพร้อมลูกชายคนนี้ (หมายเหตุ 8) คน
นี้พร้อมลูกหญิงคนนั้น เลยแตกกันเลย
          เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอก ไม่เคยมีครอบครัว ทำไมไม่มีครอบ
ครัว คืออ่านคำว่า ครอบครัว มันก็รู้แล้ว ครอบครัวคืออะไร ครอบมัน
ก็คืออย่างนี้ ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆก็เอาอะไรมาครอบลง นี้จะเป็นอย่างไร
เรานั่งอยู่ไม่มีอะไรมาครอบมันก็พอทนได้ ถ้าเอาอะไรมาครอบลงก็
เรียกว่าครอบแล้ว มันเป็นอย่างไร ครอบก็เป็นอย่างนั้น มันมีวงจำกัด
แล้ว ผู้ชายก็อยู่ในวงจำกัด ผู้หญิงก็อยู่ในวงจำกัดแล้ว อาตมาไปอ่าน
แล้ว ครอบครัว โอยหนัก ศัพท์ตายนี่คำนี้ ไม่ใช่ศัพท์เล่นๆ ศัพท์ที่ว่า
ครอบนี้ ศัพท์ทุกข์ ไปไม่ได้มันมีจำกัดแล้ว แต่ไปอีก ครัว ก็หมายถึง
การก่อกวนแล้ว ทิ่มแทงแล้ว โยมผู้หญิงเคยเข้าครัว เคยโขลกพริกคั่ว
พริกแห้งไหม ไอจาม ทั้งบ้านเลย ศัพท์ครอบครัวมันวุ่น ไม่น่าอยู่
หรอก อาตมาอาศัยสองศัพท์นี่แหละจึงบวชไม่สึก
          ครอบครัวนี่น่ากลัว ขังไว้จะไปไหนก็ไม่ได้ ลำบากเรื่องลูกบ้าง
เรื่องเงินเรื่องทองบ้าง สารพัดอย่างอยู่ในนั้น ไม่รู้จะไปที่ไหน มันผูกไว้
แล้ว ลูกผู้หญิงก็มี ลูกผู้ชายก็มี มันวุ่นวายเถียงกันอยู่นั่นแหละจน
ตายไม่ต้องไปไหนกันละ เจ็บใจขนาดไหนก็ไม่ว่า น้ำตามันไหลออก ก็
ไหลอยู่นั่นแหละ เออ น้ำตามันไม่หมดนะโยมครอบครัวนี่นะ ถ้าไม่
ครอบครัวน้ำตามันหมดเป็น ถ้ามีครอบครัวน้ำตามันหมดยาก หมด
ไม่ได้ โยมเห็นไหม มันบีบออกเหมือนบีบอ้อย ตาแห้งๆ ก็บีบออกให้
เป็นน้ำไหลออกมา ไม่รู้มันมาจากไหน มันเจ็บใจ แค้นใจ สารพัด
อย่าง มันทุกข์ เลยรวมทุกข์บีบออกมาเป็นน้ำทุกข์
          อันนี้ให้โยมทั้งหลายเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่าน มันจะผ่านอยู่ข้าง
หน้า บางคนอาจจะผ่านมาบ้างแล้วเล็กๆน้อยๆ บางคนก็เต็มที่แล้ว
“จะอยู่หรือจะไปหนอ” โยมผู้หญิงเคยมาหาหลวงพ่อ “หลวงพ่อ แหม
ถ้าดิฉันไม่มีบุตร ดิฉันจะไปแล้ว” “เออ อยู่นั่นแหละ เรียนให้จบเสีย
ก่อน” เรียนตรงนั้น อยากจะไปก็อยากจะไป ไม่อยากจะอยู่ ถึงขนาด
นั้นก็ยังหนีไม่ได้ อยู่วัดป่าพงสร้างกุฏิเล็กๆไว้ตั้งเจ็ดสิบแปดสิบหลัง
บางทีจะมีพระเณรมาอยู่บรรจุเต็ม บางทีก็มีเหลือสองสามหลัง
อาตมาถามว่า “กุฏิเรายังเหลือว่างไหม?” พวกชีบอก “มีบ้างสองสาม
หลัง” “เออ เก็บเอาไว้เถอะบางทีพ่อบ้านแม่บ้านเขาทะเลาะกัน เอา
ไว้ให้เขามานอนสักหน่อย” แน่ะมาแล้ว โยมผู้หญิงสะพายของมาแล้ว
ถามว่า “โยมมาจากไหน?” “มากราบหลวงพ่อ ดิฉันเบื่อโลก” โอย!
อย่าว่าเลยอาตมากลัวเหลือเกิน พอผู้ชายมาบ้าง ก็เบื่ออีกแล้ว นั่นมา
อยู่สองสามวันก็หายเบื่อไปแล้ว โยมผู้หญิงมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ
โยมผู้ชายมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ ไปนั่งอยู่กุฏิเล็กๆเงียบๆ คิดแล้ว
“เมื่อไหร่หนอแม่บ้านจะมาเรียกเรากลับ” “เมื่อไหร่หนอพ่อบ้านจะมา
เรียกเรากลับ” แน่ะไม่รู้อะไร มันเบื่ออะไรกัน มันโกรธ แล้วมันก็เบื่อ
แล้วก็กลับอีก เมื่ออยู่ในบ้านผิดทั้งนั้นน่ะ พ่อบ้านผิดทั้งนั้น แม่บ้าน
ผิดทั้งนั้น มานั่งภาวนาได้สามวัน “เออ! แม่บ้านเขาถูกเว้นเรามันผิด”
“พ่อบ้านเขาถูก เราซิผิด” แน่ะมันจะกลับ เปลี่ยนเอาเองของมันอย่าง
นั้น ก็กลับไปเลยทั้งนั้นแหละ นี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ โลกนี้
อาตมาจึงไม่วุ่นวายอะไรมันมาก รู้ต้นรู้ปลายมันแล้ว ฉะนั้นจึงมาบวช
อยู่อย่างนี้
          วันนี้ขอฝากให้เป็นการบ้าน เอาไปทำการบ้าน จะทำไร่ ทำ
นา ทำสวน ให้เอาคำหลวงพ่อมาพิจารณาว่า เราเกิดมาทำไม เอา
ย่อๆว่าเกิดมาทำไม มีอะไรเอาไปได้ไหม ถามเรื่อยๆนะ ถ้าใครถาม
อย่างนี้บ่อยๆ มีปัญญานะ ถ้าใครไม่ถามเจ้าของอย่างนี้ โง่ทั้งนั้น
แหละ เข้าใจไหม บางทีฟังธรรมวันนี้แล้วกลับไปถึงบ้าน จะพบเย็นนี้
ก็ได้ไม่นานนะ มันเกิดขึ้นทุกวัน เราฟังธรรมอยู่ มันเงียบ บางทีมันรอ
อยู่ที่รถ เมื่อเราขึ้นรถ มันก็ขึ้นรถไปด้วย ถึงบ้านมันก็แสดงอาการออก
มา อ้อ หลวงพ่อท่านสอนไว้จริงของท่านละมังนี่ ตาไม่ดีไม่เห็นนะ
เอาละวันนี้เทศน์มากก็เหนื่อย นั่งมามากก็เหนื่อยสังขารร่างกายนี้
 
 

หมายเหตุจากผู้จัดทำ
          ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ ธรรมสภา ที่เอื้อเฟื้อให้ข้อมูลมาในรูป
แบบที่เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์
          ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม
แต่ได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความที่คาดว่า
ต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด ซึ่งได้ใส่วงเล็บกำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขแล้ว ดัง
รายละเอียดต่อไปนี้
          จุด 1 ต้นฉบับเดิม เรียง ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ค่อยคงแน่นอนยง
กลับไปกลับมา อย่างนี้บ้างอย่างนั้นบ้าง จึงตามแก้จุดต่างๆให้เป็น
ตามสำนวนที่ หลวงพ่อชา มักจะพูดติดปากว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม
          จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “สมมติ” แก้เป็น “สมมุติ”
          จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “เห็นตามความเป็นจริง
อย่างไรๆ” คิดว่าไม้ยมก คงจะเกินมา จึงตัดออกเหลือ “เห็นตาม
ความเป็นจริงอย่างไร”
          จุด 4 ต้นฉบับเดิมมีเครื่องหมาย ** อยู่ คาดว่าคงจะเป็น
หมายเหตุอะไรสักอย่าง แต่ต้นฉบับเดิมไม่ได้อธิบายเอาไว้
          จุด 5 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ไอ้ซี่ยาวซี่มันสั้นสลับกัน
อยู่อย่างนี้” แก้เป็น “ไอ้ซี่ยาวซี่สั้นมันสลับกันอยู่อย่างนี้”
          จุด 6 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ต่อไปหมดฟันเองก็เป็น
เหมือนเรา” แก้เป็น “ต่อไปหมอฟันเองก็เป็นเหมือนเรา”
          จุด 7 ต้นฉบับเดิมอ่านแล้วงงๆ คือเป็นข้อความว่า “มันทุกข์
ถึงขนาดนั้นเรายังไม่เห็นโทษมัน เมื่อจะหนีจากมันเราไม่รู้จัก ที่ทำ
เจ็บทำปวดขึ้นมานี่เรียกว่าสังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมัน”
          ตรงคำว่า “เมื่อจะหนีจากมันเราไม่รู้จัก” อ่านแล้วน่าจะผิด
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะแก้ให้เป็นอะไร จะปล่อยไว้ก็กลัวว่าผู้อ่านจะสับ
สน และเนื่องจากดูแล้วคงไม่ได้เป็นข้อความที่สำคัญอะไรมาก จึงตัด
ออกเลย ทำให้ข้อความข้างๆเหลือเพียง “มันทุกข์ถึงขนาดนั้นเรายัง
ไม่เห็นโทษมัน ที่ทำเจ็บทำปวดขึ้นมานี่เรียกว่าสังขารมันไปตามเรื่อง
ของมัน”
          จุด 8 ต้นฉบับเดิมมีเครื่องหมาย * อยู่อีกแล้ว คาดว่าคงจะ
เป็นหมายเหตุอะไรสักอย่าง แต่ต้นฉบับเดิมก็ไม่ได้อธิบายอะไรเอาไว้