........................สองสาวเหยื่อค่าไถ่รอดตายราวปาฏิหาริย์
..........ไม่มีใครคิดว่าคนที่มีกฏหมายอยู่ในมือ สุดท้ายจะกลายเป็นผู้ที่กระทำผิดกฏหมายเสียเอง แต่ในโลกนี้อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น |
|
ที่นี่ผีดุ | |
Gallery | |
พร้อมเรียกร้องเงินค่าไถ่ตัวคนทั้งสองเป็นเงินจำนวน 5 ล้านบาท แต่นางนางลำพึงไหวทันจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความไว้ที่ สน.ประชาชื่น เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ พล.ต.ต.เผด็จ ทะละวงศ์ ผบก.น.2 จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบก.น.2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี ผกก.สส.2 นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนออกติดตามหาเบาะแสคนร้ายแก้งนี้ทันที ในระหว่างนั้นคนร้ายได้ติดต่อเรียกเงินจากนางลำพึงอีกหลายครั้ง จนกระทั่งมีการต่อรองลดเงินค่าไถ่ลงมาเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท จากนั้นจึงได้ทำการนัดส่งเงินกันที่ป้ายรถเมล์หน้าห้างเทสโก้ โลตัส สาขาพระราม 2 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กทม. เมื่อนางลำพึงไปถึงที่นัดหมาย คนร้ายไหวทันจึงเปลี่ยนแผนให้นำเงินไปส่งที่ห้างบิ๊กซี สาขาพระราม 2 ในเวลา 17.30 น.วันเดียวกัน จากนั้นก็หายไปไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย ในตอนค่ำของวันเดียวกันนั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากหลานสาวทั้ง 2 ว่าคนร้ายได้ปล่อยตัวทั้ง 2 คนออกมาแล้ว โดยนำขึ้นรถตู้มาทิ้งไว้ที่หลังศาลเจ้าพ่อเสือ ต.โคกขาม อ.เมืองสมุทรสาคร .........ขณะที่ชุดสืบสวนของ กก.สส.น.2 ที่ติดตามแกะรอยคนร้ายมาตั้งแต่ต้น ได้เค้าเกี่ยวกับรถฮอนด้าซีอาร์วี ที่หายไปพร้อมกับเหยื่อถูกเรียกค่าไถ่ทั้ง 2 โดยมีพยานยืนยันว่าเห็น ร.ต.อ.สุพจน์ ขับรถคันดังกล่าวไปทำงาน และนำไปจอดไว้ที่แฟลตเคหะการไฟฟ้า พระราม 2 แขวงและเขตบางขุนเทียน กทม. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงเฝ้าซุ่มดูพฤติการณ์ กระทั่งในตอนเช้าวันเดียวกันนี้ ขณะที่ ร.ต.อ.สุพจน์กับนายสุรศักดิ์ พี่ชาย กำลังจะก้าวขึ้นรถ ชุดสืบสวนของ กก.สส.น.2 ซึ่งซุ้มอยู่จึงเข้ารวบตัวไว้ได้ ตรวจค้นในรถพบของกลางที่ใช้ก่อเหตุและทรัพย์สินของผู้เสียหายหลายรายการ จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน แต่ ร.ต.อ.สุพจน์และพี่ชายยังให้การปฏิเสธทุกข้อหา ทางด้านเหยื่อสาวทั้ง 2 คนที่ถูกจับไปเรียกค่าไถ่เปิดเผยว่า ..........ในวันเกิดเหตุหลังจากนางลำพึงเข้าไปเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำกลางพิเศษคลองเปรม คนร้ายก็โผล่ออกมาบังคับให้ขึ้นรถ จากนั้นจึงพาทั้งคู่ขึ้นไปบนรถตู้จับมัดมือปิดตา แล้วยังใช้กำลังทุบตีทั้ง 2 อีกหลายครั้ง จนระบมไปหมด ขณะถูกนำไปกักตัวไว้ในสวน คนร้ายยังจับล่ามโซ่ ผูกตาบังคับให้นอนกับพื้น วันๆได้กินเพียงข้าว 1 มื้อกับน้ำอีก 1 ขวดเท่านั้น ที่รอดมาได้ในครั้งนี้เหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ผบช.น. ได้ทำหนังสือด่วนถึง บก.น.9 สั่งให้ ร.ต.อ.สุพจน์ ผู้ต้องหาในคดีนี้ ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากเป็นข้าราชการตำรวจระดับสัญญาบัตร แต่กลับประพฤติผิดเสียเอง ขัดกับนโยบายของกระทรวงมหาดไทย การขยายผลการจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังทราบว่ามีผู้ร่วมขบวนการกับ ร.ต.อ.สุพจน์ อีกอย่างน้อย 2 คน คือนายเป้ กับนายต้น ซึ่งในขณะนี้ตำรวจกำลังตามตัวอยู่ พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อว่าทั้งหมดน่าจะก่อเหตุในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้วหลายครั้ง .........พล.ต.ต.จงรัก จุฑานนท์ รองผบช.น.เดินทางมาที่ สน.ทุ่งสองห้อง ได้เรียก พ.ต.อ.สันติ แสงเพ็ญจันทร์ ผกก.พ.ต.ท.ชนินทร์ วชิรปาณีกุล รองผกก.สส.เข้าพบ พร้อมกับสั่งให้เบิกตัว ร.ต.อ.สุพจ์และนายสุรศักดิ์ ออกมาสอบสวนปากคำเพิ่มเติม โดยไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ารับฟัง ขณะเดียวกัน น.ส.ทิพวัลย์ และ น.ส.นุชนารถ ผู้เสียหาย พร้อมกับนางลำพึง กิตติพงษ์สิน อายุ 50 ปี นักธุรกิจค้าไม้ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของผู้เสียหายทั้งสองคน ได้เดินทางมาที่โรงพักเช่นกัน หลังจากสอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เผยผลการสอบสวนว่าทั้งสองคนยังให้การปฏิเสธว่า ไม่รู้ไม่เห็นไม่เกี่ยวข้องกับคดี อ้างว่าเป็นแค่การติดต่อซื้อขายรถเท่านั้น อย่างไรก็ตามฝ่ายสืบสวนของเรามีพยานหลักฐานพร้อมมูลว่า ผู้ต้องหาร่วมกันกระทำความผิด จึงสอบสวนกันต่อไป และต้องดำเนินการเฉียบขาด การปฏิเสธก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา .........พนักงานสอบสวนก็ต้องหาพยานหลักฐานประกอบสำนวน ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออยู่อีก 2 คนก็ต้องติดตามจับกุม ซึ่งล่าสุด พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว ผบช.น.มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนและสอบวินัยอย่างร้ายแรง พ.ต.อ.สันติ ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ได้ประสานงานกับ ตร.สน.ราษฎร์บูรณะขอหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 1 หมู่ 2 ซอยพุทธบูชา 39 แขวงบางมด เขตทุ่งครุ พบนายสุรสิทธิ์ โฆษิตเกษม อายุ 55 ปี พี่ชายของสองผู้ต้องหา กำลังดูแลสวนอยู่ ใต้ถันบ้านพบน้ำดื่ม 10 ขวดมีร่องรอยเปื้อนโคลน ซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่าถูกคนร้ายนำมาไว้ที่บ้านหลังนี้ โดย น.ส.นุชนารถถูกล่ามโซ่แล้วถูกมัดไว้กับต้นหมาก ส่วน น.ส.ทิพวัลย์ ถูกล่ามโซ่มัดไว้กับต้นมะม่วง ขณะเดียวกันตำรวจพบกองไฟที่คนร้ายนำของใช้และทรัพย์สินของผู้เสียหายที่อยู่ในรถมาเผาทำลายแต่ยังเหลือเศษอยู่ อาทิ ช้อนสเตนเลส ปลอกลิปสติก ก้านร่ม เหรียญบาท กุญแจโซ่ ธูปที่ใช้ทากันยุง ซาแรนท์กันแดด และหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ..........นางสาวทิพย์วัลย์ได้เผยถึงความรู้สึกในขณะถูกคุมตัวว่า มีความหวาดกลัวเป็นอันมาก คิดว่าจะต้องถูกฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน "ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหตุการณ์นี้มันจะเกิดขึ้นกับหนู มันเหมือนกับฝันร้ายมากกว่า เกิดมาก็ไม่เคยสร้างเวรกรรมกับใคร ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ทำไมถึงต้องมาเจอกับเหตุการณ์นี้ด้วย" "ตอนนั้นคิดว่าจะรอดมั้ย?" "ไม่คิดว่าจะรอด ยังเชื่อว่าพอเขาได้เงินไปแล้วก็คงจะฆ่าพวกเราทิ้ง แต่พอพวกเขาปล่อยตัวก็ดีใจ เหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่" "อยากให้คนร้ายถูกลงโทษสถานใด" "ต้องว่าไปตามกฏหมายบ้านเมือง ตอนนี้ไม่อยากจะพูดอะไรมาก แต่ยอมรับว่ายังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" .........สำหรับความรู้สึกของนางสาวนุชนารถ "เหยื่อค่าไถ่" สีกากีอีกคนไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ กับผู้สื่อข่าว บอกแต่เพียงว่า ดีใจที่รอดกลับมาเท่านั้นเอง ใครจะคิดบ้างว่าผู้ที่มีกฏหมายอยู่ในมือและตัวเองมีหน้าที่รักษาฏหมาย จะกลับกลายเป็นคนร้ายเสียเอง แม้ว่าเขาจะปฏิเสธแต่หลักฐานต่างๆ มันผูกมัดเขาอย่างแน่นหนาชนิดดิ้นไม่หลุด เหยื่อค่าไถ่สาวทั้งสองเป็นเพียงแค่ "คนเฉียดตาย" แต่คนร้ายที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจงานนี้เหมือน…ตายทั้งเป็น ครับ !!! |