หน้าหลัก เกี่ยวกับวัด ประมวลภาพ สาระน่ารู้เกี่ยวกับพุทธ บทสวดมนต ลิงค ติดต่อวัด Deutsch
 
 การบริหารคณะสงฆ
 การจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม
 กฎหมายสงฆ์ของไทย
 พระไตรปิฎก
 พุทธประวัติ
 วันสำคัญทางพุทธศาสนา
   

    

การบริหารคณะสงฆ์ไทย

          การบริหารคณะสงฆ์มีมาแล้วตั้งแต่พุทธกาล หลักที่ใช้คือ พระธรรมวินัย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้น จึงได้มีการทำปฐมสังคายนาขึ้นที่เมืองราชคฤห์ โดยมีพระมหากัสสปเป็นประธานการบริหารคณะสงฆ์ ก็เรียบร้อยมาได้ระยะหนึ่ง ต่อมาก็เกิดถือลัทธิต่างกัน  เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้นอีก  เป็นเช่นนี้ตลอดมา

          เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ประมาณ ๒๐๐ ปี เศษ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ครอบครองอาณาจักรอินเดียอย่างกว้าง ขวางพระองค์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ยกพระพุทธศาสนาเป็นประธาน สำหรับประเทศเป็นครั้งแรก พวกเดียรถีย์ได้ปลอม ตนเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา เพื่อแสวงประโยชน์ส่วนตนเป็นอันมาก เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้นในสังฆมณฑล พระเจ้า อโศกมหาราชจึงทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตร เป็นประธานสังคายนาพระธรรมวินัยที่เมืองปาตลีบุตร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ วาง ระเบียบพระธรรมวินัยให้รวมลงเป็นอย่างเดียวกัน สังฆมณฑลจึงเกิดความเรียบร้อยสืบต่อมา

          เมื่อพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ออกไปยังประเทศต่าง ๆ การบริหารสังฆมณฑลจึงต้องอนุโลมไปตามแบบแผนประเพณี ของประเทศนั้น ๆ ในบางส่วน เพื่อให้พุทธจักรและอาณาจักรเป็นไปด้วยดีทั้งสองฝ่าย สรุปแล้วพระภิกษุสงฆ์มีกฎหมายที่พึง ปฏิบัติอยู่สามประเภทคือ พระวินัย จารีต และ กฎหมายแผ่นดิน

 

การบริหารคณะสงฆ์สมัยสุโขทัย

          พระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานในดินแดนสุวรรณภูมิ อันเป็นที่ตั้งของประเทศไทย และอีกหลายประเทศในเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ มาตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของไทย  ในประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ ประชาชนในดินแดนแห่งนี้ ได้รับนับถือ พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทเดิมสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แบบมหายาน แบบเถรวาทอย่างพุกาม และแบบเถรวาทอย่างลังกา สืบกันมาตามลำดับ

          จากหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแห่งมหาราช แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย พบว่ามี สังฆราช ปู่ครู มหาเถระ และเถระ ในสมัยนี้น่าจะมีพระสังฆราชมากกว่าองค์เดียว เพราะทางราชอาณาจักร มีทั้งเมืองในปกครองโดยตรง และเมืองประเทศราชมี เจ้าปกครอง จึงน่าจะมีสังฆราชของตนเองด้วย

          คณะสงฆ์สมัยสุโขทัย แบ่งออกเป็น ๒ คณะ คือ คามวาสี และ อรัญวาสี จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์เป็นฝ่ายขวา และฝ่ายซ้าย มีราชทินนามสำหรับสังฆนายกตามแบบลังกา ฝ่ายขวา คือ พระสังฆราช อยู่วัดมหาธาตุ และมีพระครูอยู่วัดต่าง ๆ เป็นสังฆนายกชั้นรองลงมาอีก ๓ องค์ ฝ่ายซ้ายมี พระครูธรรมราชา อยู่วัดไตรภูมิป่าแก้ว และพระครูวัดต่าง ๆ เป็นสังฆนายก รองลงมาอีก ๒ องค์

 

การบริหารคณะสงฆ์สมัยอยุธยา

          ในตอนแรกคล้ายกับสมัยสุโขทัย คือ เป็นคณะคามวาสีและคณะอรัญวาสี   ต่อมามีพระสงฆ์ไทยไปศึกษาพระธรรมวินัย ที่เมืองลังกา แล้วกลับมาประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดกว่าคณะสงฆ์ไทยที่เป็นอยู่เดิม จึงได้มีการตั้งคณะขึ้นอีกหนึ่งคณะคือ คณะ ป่าแก้ว ซึ่งต่อมาเรียกว่า คณะคามวาสีฝ่ายขวา

          ความนับถือพระพุทธศาสนาสมัยอยุธยา ไม่สู้สนใจหลักธรรมชั้นสูงนัก ส่วนใหญ่มุ่งไปสู่เรื่องทำบุญ ทำกุศล สร้างวัด ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ และทำพิธีกรรมต่าง ๆ มาก รวมทั้งการฉลองและงานมนัสการ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๑๙๙๘) ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาก ทรงออกผนวชถึง ๘ เดือน

          ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม  (พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑)  ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระไตรปิฎกไว้จบบริบูรณ์

          ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๒๗๕) มีผู้นิยมบวชเรียนกันมากทำให้มีคนหลบเลี่ยงราชการไป บวชกันมาก จนต้องมีการออกมาตรการให้มีการสอบความรู้พระภิกษุ สามเณรที่มาบวชโดยไม่มีความรู้ในพระศาสนาถูกบังคับ ให้ลาสิกขาเป็นอันมาก

          ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกฐ (พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๑๐) เกิดมีประเพณีว่า ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นขุนนาง ข้าราชการ มี ยศฐาบรรดาศักดิ์ต้องได้บวชมาแล้วจึงจะทรงแต่งตั้ง ในห้วงเวลานี้ ทางลังกาเกิดสูญสิ้นพุทธศาสนวงศ์ กษัตริย์ลังกาต้องส่งราช ทูตมาขอคณะสงฆ์ไทยไปตั้งสยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ที่ลังกา สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

          การบริหารคณะสงฆ์สมัยปลายอยุธยา ถือพระธรรมวินัยเป็นหลัก ทางด้านอาณาจักรได้อาศัยพระบรมราชูปถัมภ์จากพระ มหากษัตริย์ ทำให้คณะสงฆ์เป็นระเบียบเรียบร้อย และเจริญก้าวหน้า สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศได้ การ ปกครองและการตั้งสมณศักดิ์ มีตำแหน่งสังฆนายกเป็น ๓ ระดับคือ สมเด็จพระสังฆราช พระสังฆราชาคณะและพระครู เจ้าคณะ เมืองใหญ่เป็นที่สังฆราชา เจ้าคณะเมืองเล็กเป็นพระครู พระสังฆปรินายกเป็นสมเด็จพระสังฆราช บรรดาพระสงฆ์ ต่างชาติเช่น มอญ ลาว เป็นต้น ให้พระครูเป็นหัวหน้าดูแล โดยแบ่งการปกครองสงฆ์ไว้ดังนี้

          คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี วัดหน้าพระธาตุเป็นเจ้าคณะ มีฐานานุกรม ๑๐ รูป มีพระราชา คณะในกรุงเป็นเจ้าคณะรอง ๑๗ รูป ๑๗ วัด มีพระครูหัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นไปปกครอง ๒๔ รูป ๒๒ เมือง ในจำนวนนี้ เมือง พิษณุโลกมีสังฆราชาและมีพระครูที่ขึ้นกับคณะพิษณุโลก ๓ เมือง ๓ รูป เมืองสุโขทัยมีสังฆราชา เมืองลพบุรี สวางคบุรีและนคร ราชสีมา มีพระครูเป็นที่สังฆราชา เมืองปรันตะประเทศ มีพระครูเป็นเจ้าคณะ ๓ รูป มีเมืองที่ไม่มีพระครู ๒๖ เมือง

          คณะคามวาสีฝ่ายขวา พระวันรัตวัดป่าแก้วเป็นเจ้าคณะ มีพระฐานานุกรม ๑๑ รูป มีพระราชาคณะในกรุงเป็น เจ้าคณะรอง ๑๗ รูป ๑๗ วัด คณะหัวเมืองปักษ์ใต้ มีพระครูหัวเมือง ๕๖ รูป ๒๖ เมือง เมืองราชบุรี เพชรบุรี และจันทบุรี มีพระครูเป็นที่สังฆ ราชา มีหัวเมืองไม่มีพระครู อีก ๒๐ เมือง

          คณะอรัญวาสี พระพุทธาจารย์ วัดโบสถ์ราชเดชะ เป็นเจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายสมถวิปัสสนา ทั้งในกรุง และนอก กรุง เจ้าคณะรอง ๗ รูป ๗ วัด และพระครูฝ่ายวิปัสสนา พระครูเจ้าคณะสามัญ พระครูเจ้าคณะลาว ขึ้นอยู่ในปกครองด้วย

ที่มา : หอมรดกไทย

 
   
 
Copyright (c) 2005 All rights reserved, Sponsored by Siam Focus   
Wat Yarnsangvorn Vienna, Kohlgasse 41, 1050 Vienna, Austria, Tel./Fax: +43-(0)1-5488078
Contact Wat, Contact Webmaster