ธรรมะคือ...
           ระยะนี้ถ้าใครไปเดินในสวนสาธารณะหรือตามป่าต่างๆ ถ้าสังเกตุ กันสักหน่อยก็จะเห็นว่าใบไม้กำลังเริ่มจะเปลี่ยนไป เป็นสีเหลืองกันบ้างแล้ว จากนั้นอีกไม่นานก็จะเป็นสีน้ำตาลแก่และในที่สุดก็จะต้องร่วงโรยลงไปตามธรรมชาติธรรมดาของมัน สภาพอย่างนี้มีให้เราได้เห็นกันเป็นประจำทุกๆปี โดยไม่ต้องมีใครไปสร้างไม่ต้องมีใครไปทำอะไร แต่มันจะเป็นไปของมันเอง ตามปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่มีมาคู่กับโลกชั่วนาตาปี ซึ่งในทางพุทธศาสนาจะเรียกสภาวะธรรมชาติลักษณะนี้ว่าสัจจธรรม คือ ความเป็นจริงแท้ๆที่ดำรงอยู่ด้วยเหตุปัจจัยแวดล้อมต่างๆของสรรพสิ่งนั้นๆเอง

     

          สัจจธรรมนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อใดจึงจะมีมนุษย์ที่มีความเก่งกล้าสามารถไปค้นพบสภาพการนั้นๆเข้าแล้ว เปิดเผยการค้นพบของตนให้ชาวโลกได้รู้ จึงทำให้ดูเหมือนกับว่าสิ่งที่ถูกนำออกมาเปิดเผยนั้น เพิ่งจะเกิดมีขึ้นตอนนี้เอง เข่น คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ เป็นต้น ที่มนุษย์เพิ่งจะได้ค้นพบและนำมาเปิดเผยให้รู้จักเมื่อประมาณ 100 ปีเศษๆที่ผ่านมา นี่เอง ทำให้คิดว่า คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วคลื่นทั้ง 2 อย่าง มันเกิดอยู่ในโลกมานาน พอๆกับอายุของโลกนั่นเอง ภายหลังเมื่อมนุษย์ได้พบคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์แล้ว เขาจึงได้คิดประดิษฐ์อุปกรณ์ที่จะใช้กับ คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ ที่เรารู้จักในชื่อว่าเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ ที่เราใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์เหล่านี้ กันอย่าง แพร่หลายจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคปัจจุบันไปแล้ว เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา และก็เป็นของที่มีอยู่จริงที่เราสามารถเรียกได้ว่าเป็นสัจจธรรมได้อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน

           ดังนั้นก็คงจะพอมองเห็นได้ว่า สรรพสิ่งต่างๆในโลกนี้ล้วนดำรงสภาพเป็นสัจจธรรมได้อยู่ 2 ลักษณะด้วยกัน คือ

           1 สัจจธรรมของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่แล้วจริงๆตามธรรมชาติธรรมดาของมัน ใครจะไปรู้ไปเห็นหรือไม่ก็ตาม มันก็ยัง

           คงมีอยู่เป็นอยู่ของมันอยู่อย่างนั้นเสมอทุกกาลทุกเวลา ในทางพระพุทธศาสนาเราเรียกสภาพอย่างนี้ว่า ปรมัตถ์สัจจะ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ จิต พระนิพพาน เป็นต้น

          •  สัจจธรรมของสิ่งที่มนุษย์คิดประดิษฐ์คิดสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นช่วยอำนวยความสะดวกความสบายให้มนุษย์ ซึ่งมัน จะดำรงอยู่ในสภาพนั้นๆได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วก็จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงและแตกสลายไปในที่สุด ในทาง พระพุทธศาสนาเรียกสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้ว่า สมุมุติสัจจะ เช่น เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ บ้านเรือน เสื้อผ้า พืช สัตว์ มนุษย์ เป็นต้น

           สรรพสิ่งต่างๆ ทั้งที่เป็นปรมัตถ์สัจจะและสมมุติสัจจะนี้แหละ ที่เข้ามาพัวพันอยู่กับการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ และสร้างความทุกข์ความสุขให้กับมวลมนุษย์อย่างไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ทั้งนี้สาเหตุสำคัญประการหนึ่ง ก็เพราะมนุษย์ไม่ได้

          ศึกษาให้รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งใดเป็นปรมัตถ์สัจจะอะไรเป็นสมมุติสัจจะ แล้วประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัย ของสิ่งนั้นๆ แต่ในทางตรงกันข้ามมนุษย์ส่วนใหญ่ไปคิดไปปรารถนาเอากับสรรพสิ่งต่างๆ ตามความเข้าใจของตัวเอง หรือที่ทาง พระพุทธศาสนาบอกว่าคิดและปรารถนาเอาตามกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของตัวเองนั่นแหละจึงทำให้ได้รับ ความทุกข์เมื่อไม่ได้ผลสมความปรารถนาบ้าง ทำให้ได้รับความพอใจสุขใจเมื่อได้รับผลตามความปรารถนาบ้าง อย่างเช่น เมื่อ

          พบหน้าคนรู้จัก แล้วเขามาทักเราว่าดูแก่ไปนะ หรือว่าโอ้โห้ผมขาวขึ้นเยอะเลยนะ มักจะทำให้เรารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว ที่เป็น อย่างนี้ก็เพราะเราคิดไปว่า ตัวเราเองยังไม่แก่หรือแก่ไม่เป็น หรือเพราะเราหลงคิดไปว่าความเป็นหนุ่มเป็นสาวของตัวเรานี้ จะต้องจีรังยั่งยืนเป็นปรมัตถ์สัจจะ แต่ความจริงแล้ว ร่างกายของมนุษย์เราเป็นสมมุติสัจจะที่จะดำรงสภาวการณ์ต่างๆอยู่ได้ ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น นี่แหละ ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความหลงเข้าใจในทางที่ผิดหลงยึดถือไปในทางที่ผิดโดยแท้ ซึ่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ มีอยู่ในหมู่มนุษย์มาทุกยุคทุกสมัยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

          องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลก คือการที่รู้ความเป็นไปของสรรพสิ่งต่างๆทุกประเภท ตามความเป็นจริงในทุกๆระดับตั้งแต่ระดับสมมุติสัจจะจนถึงระดับปรมัตถ์สัจจะหรือความจริงอันสูงสุด พระพุทธองค์ทรงมี

          พระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ จึงทรงนำความเป็นสัจจะธรรมทั้ง 2 ประเภทของสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มาชี้แจงแสดง เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ได้เข้าใจและจะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับเหตุปัจจัยของสิ่งนั้นๆ อันจะทำให้ความทุกข์ค่อยๆ คลายไปและหมดหายไปในที่สุด โดยให้เริ่มต้นพิจารณาที่ร่างกายของมนุษย์นี้แหละเป็นสิ่งแรก เช่นพิจารณาว่า

          ความเป็นมนุษย์นั้นมีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ กายกับจิต

          หรือว่าการกระทำของมนุษย์นั้น ทำได้ 3 ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ

          หรือว่าความเป็นมนุษย์นั้นจะแบ่งส่วนย่อยได้อีก เป็น 5 ส่วน คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

         หรือว่ากายมนุษย์นั้นจะแบ่งส่วนย่อยลงได้อีกเป็น 32 ส่วน (เรียกอีกอย่างว่าอาการ 32) คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื้อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื้อในสมองศรีษะ   

         น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย น้ำมูก น้ำไขข้อ น้ำมูตร

         การรู้จักร่างกายของมนุษย์ในลักษณะต่างๆดังกล่าวมานี้ พระพุทธองค์ทรงรู้มานานกว่า 2500 ปีเศษมาแล้ว เป็นการ

        รู้ได้ด้วยพระองค์เองโดยไม่ใช้เครื่องมือใดๆทั้งสิ้น และการรู้ความจริงอันนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดคัดค้าน ถึงแม้ยุคนี้จะมีเครื่องมือและ อุปกรณ์ต่างๆมาช่วยตรวจช่วยเช็ค ทุกๆฝ่ายก็ล้วนยอมรับและเห็นจริงไปด้วยกับพระพุทธองค์ทั้งสิ้น นั่นย่อมแสดงให้เราได้

        เห็นความเป็นพระสัพพัญญูผู้รู้แจ้งโลกที่ประจักษ์ต่อชาวโลกตลอดไปนั่นเอง และตัวความรู้ที่รู้ว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย ส่วน ต่างๆ 2 ส่วน 3 ส่วน 5 ส่วน 32 ส่วน ดังกล่าวแล้วนั้น อันนี้เป็นปรมัถต์สัจจะ คือคงความเป็นจริงอยู่ตลอดไปไม่จำกัด กาลเวลา ส่วนร่างกายของมนุษย์เองนั้นเป็นสมมุติสัจจะ คือร่างกายของมนุษย์จะดำรงสภาวการณ์อยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วจะต้องแตกสลายไปในที่สุด

        การรู้จักว่าอะไรเป็นปรมัตถ์สัจจะ อะไรเป็นสมมุติสัจจะนั้น ต้องเป็นความรู้จริงไม่ใช่ความรู้รู้จำ จึงจะทำให้ประพฤติ

        ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสมตามเหตุปัจจัย และการที่จะทำให้เกิดความรู้จริงที่เรียกว่า วิปัสนาญาน ได้นั้น จะต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกกันอย่างเต็มความว่า การปฏิบัติจิตตภาวนา พอพูดถึงคำว่าภาวนาก็นึก ถึงประสพการณ์เก่าๆขึ้นมาได้ คือมีผู้เฒ่าผู้แก่แต่ใจยังสู้หลายต่อหลายท่านถามอยู่เสมอว่าปฏิบัติจิตตภาวนาไม่ค่อยจะได้ จะทำอย่างไรดีจึงจะมีปัญญารู้จริงที่เรียกว่า วิปัสนาญาน ได้บ้าง ข้าน้อยก็ขอแนะนำว่า เบื้องต้นศึกษาให้รู้จักเสียก่อนว่า อะไร เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และศึกษาพุทธประวัติเพื่อจะได้รู้แนวการปฏิบัติของพระพุทธองค์ จากนั้นทำใจให้เชื่อมั่น ในพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่ดีเลิศกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วตั้งใจจริงๆที่จะประพฤติปฏิตนตามคำสอนแต่ถ่ายเดียว ที่เรียกว่า ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะโดยแท้ สิ่งใดที่สอนว่าเป็นข้อห้าม ได้แก่ศีลทั้งหลาย เช่น ศีล 5 ประการ เป็นต้น เราต้องไม่ ล ะเมิดข้อห้ามนั้นโดยเด็ดขาด สิ่งใดที่สอนให้กระทำ เช่น การให้ทาน การปฏิบัติจิตภาวนา เป็นต้น เราก็ต้องพยายาม อย่างสุดความสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะผิดจะถูกหรือว่าจะเป็นตายร้ายดี ประการใด ก็ขอมอบกายถวายชีวิตให้พระพุทธเจ้า และจะต้องก็ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้เป็นประจำ ถ้าสามารถประพฤติปฏิบัติ ดังกล่าวมานี้ ก็จะทำให้เกิดความรู้จริงระดับวิปัสนาญาน ขึ้นมาได้เหมือนกัน ท่านเรียกว่าการปฏิบัติแบบศรัทธาจริต

          ความรู้จริงระดับวิปัสนาญานนี้ เป็นสิ่งสำคัญตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระพุทธองค์ก็ประสงค์จะให้ มวลมนุษย์มีปัญญาระดับนี้ เพื่อจะทำให้มนุษย์เข้าใจสรรพสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราตามความเป็นจริง ทั้งที่เป็นปรมัตถ์สัจจะ และสมมุติสัจจะ แล้วประพฤติปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับสรรพสิ่งเหล่านั้น แล้วความสงบความสุขที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นในชีวิต ของเราตั้งแต่ปัจจุบันตราบจนนิรันดร

 

 
=================================================================================

บทความข้างต้นนี้ได้ตีพิมพ์ลงใน นิตยสารเวียนนา-ไทยไลฟ์ ฉบับที่ ๖ ประจำเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ๒๕๔๗

สนใจอ่านคอลัมน์อื่นๆในนิตยสารฯ คลิกที่นี่