ชีวิตทรงพระเยาว์

 

             ขณะทรงเจริญพระชันษาได้ประมาณ ๑๒-๑๓ พรรษา พระองค์ท่านทรงมีความสามารถ พูดภาษาจีนได้ เนื่องจากทรงได้ยินพระบิดา เจรจากับข้าทาสบริวารทุกวัน และพระบิดาของพระองค์ท่าน ซึ่งมีเชื้อสายจีน สอนให้พระองค์ท่านด้วย

                พระองค์ท่าน ทรงเจริญวัยขึ้นมา พระมารดา-บิดา ก็ให้พระองค์ท่านไว้จุก ต่อมาเมื่อพระองค์ท่าน ทรงมีพระชนมายุย่างเข้า ๑๓ พรรษา ทางบ้านของพระองค์ท่านก็จัดงาน โสกันต์ คืองานโกนจุก ตามประเพณีไทย มีอาราธนานิมนต์พระสงฆ์ วัดโรงช้าง วัดท่าข่อย(ท่าหอย) มาเจริญพระพุทธมนต์ ฉันภัตตาหารเพล พระสังฆเถรผู้ใหญ่ทำพิธีตัดจุก

                เมื่อพระองค์ท่าน ยังทรงพระเยาว์อยู่นั้น ทรงรักการอ่าน การเขียนทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และทรงมีพระปรกตินิสัย รักความสงบวิเวก พระองค์ท่านไม่ชอบเสียงอึกทึกวุ่นวาย ทรงมีพระทัยสุขุมเยือกเย็น เป็นคนเจรจาไพเราะ พูดน้อยอ่อนหวาน แบบคนไทย ติดมาข้างพระมารดา

                พระองค์ท่าน ทรงชอบความสงบสงัดร่มเย็นของป่าดง บริเวณหลังสวน-ไร่นาของบ้านท่าน ติดกับป่าโปร่ง โล่งตลอดไปไกล เลยป่าโปร่งออกไป ก็เป็นป่าทึบบ้าง ป่าโปร่งบ้าง เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด เช่น หมูป่า ลิง ไก่ป่า กระรอก นก หลากหลายพันธุ์ ส่งเสียงร้อง เสียงขัน แข่งขันกันเซงแซ่ เป็นธรรมชาติ พระองค์ท่านทรงมีพระปรกตินิสัยเมตตาติดพระพระองค์มาแต่กำเนิด ตลอดเป็นนิจกาล บรรดานกกา ลิงป่า เห็นพระองค์ท่านเดินมาแล้วมักส่งเสียงร้อง หันมาทางท่านเหมือนทักทาย

                 ส่วนบรรดาไก่วัด ไก่บ้าน เห็นพระองค์ท่านแล้ว มักเดินเรียบเคียงร้องเสียงกุ๊กๆเข้ามาหาพระองค์ท่านเสมอ ด้วยเมตตาจิตของ พระองค์ท่านนั้นเอง บรรดาไก่ป่าเห็นพระองค์ท่านเดินไปป่า มักเดินตามไปบ้าง บินตามไปบ้าง เมื่อพระองค์ท่านทรงเดินกลับบ้าน ไก่ป่าก็เดินมาส่งท่านบ้างบินตามมากับท่านบ้าง ลิงป่า นกป่า ก็ร้องและขันขานเหมือนทักทาย ตามส่งท่าน

                  ทุกครั้งที่บ้านของพระองค์ท่าน มีเสียงอึกกระทึก วุ่นวาย เสียงนี้มาจากการสั่งงานในบ้านของหัวหน้าบริวาร พระองค์ท่านมักชอบดำเนิน เดินหลบเสียงอึกกระทึก อืออึงไปในป่าหลังบ้านแต่ลำพังพระองค์เดียวเสมอ พระองค์ท่านทรงดำเนินไปเรื่อยๆห่างไกลจากที่ไร่ ที่สวน และหมู่บ้าน เข้าถึงป่าโปร่งอันเป็นที่เงียบสงบ จิตของพระองค์ท่านก็สงบวิเวก เมื่อจิตของพระองค์ท่านสงบวิเวก พระองค์ท่านก็จะทรงประทับนั่งลงตามโคนไม้ในท่านั่งปรกติ จิตก็ตั้งมั่น สงบเป็นสมาธิ และทรงแลเห็นรุกขเทวดาที่สิงสถิตตามต้นไม้ จากสมาธิจิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ท่าน บางครั้งพระองค์ท่านทรงเห็นว่าพระองค์ท่านอยู่ในเพศสามเณรบ้าง อยู่ในเพศบรรพชิตบ้าง แต่ครั้งนั้นพระองค์ท่านยังทรงพระเยาว์อยู่ จึงยังไม่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดีนัก (หรือท่านจะเข้าใจไม่อาจทราบได้ เนื่องจากท่านมีสมาธิจิตสูง) และเมื่อพระองค์ท่านทรงดำเนินไป หรือทรงดำเนินกลับจากป่า มักจะมี ไก่ป่า นก กา บินตามพระองค์ท่านไปเสมอๆ ด้วยได้รับกระแสความเมตตาของพระองค์ท่าน

          พระองค์ท่านมักจะได้พบ กับพระสงฆ์สัญจรจาริกธุดงค์ มาปักกลดพักแรมอยู่ ณ.บริเวณ ป่าโปร่งนั้นเสมอๆ พระองค์ท่าน ทรงเห็นภาพนี้จนเคยชิน รุ่งเช้าพระสงฆ์รุกขมูล จะเดินออกจากชายป่ามารับอาหารบิณฑบาตรในหมู่บ้านของพระองค์ท่านเสมอ ๆทุกครั้ง บางทีก็มีพระสงฆ์รุกขมูลมาจากที่อื่น พระองค์ท่าน ทรงพบเห็นบ่อยๆ ณ. ที่บริเวณแห่งนั้น ซึ่งเป็นที่เงียบสงบ ห่างไกลผู้คน ไม่พรุกพล่าน และพระสงฆ์รุกขมูล สามารถเดินมาบิณฑบาตโปรดสัตว์ ในหมู่บ้านท่าข่อย ได้สะดวก เพราะไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านนัก ที่บ้านของพระองค์ท่าน พระบิดา -มารดาของท่าน ออกใส่อาหารบิณฑบาต ตอนเช้าพระสงฆ์ทุกวัน มิได้ขาด ไม่เลือก ไม่เจาะจงพระสงฆ์ บางครั้งพระองค์ท่านก็ทรงร่วมใส่ อาหารบิณฑบาตรด้วย

             วันหนึ่งพระองค์ท่าน ทรงเดินเข้าไปป่าโปร่งหลังสวนของบ้านท่าน อย่างที่เคยไปทุกครั้ง แต่ครั้งนั้น พระองค์ท่านโสกันต์ คือโกนจุกแล้ว ณ. ที่บริเวณแห่งนั้น พระองค์ท่านก็ได้พบพระภิกษุเถรผู้เฒ่า เพิ่งกลับมาจากสัญจรจาริกธุดงค์ รูปหนึ่ง มาปักกลดพักผ่อนอยู่ ณ.ที่บริเวณนั้น เมื่อท่านเดินมาถึง พระภิกษุเถรผู้เฒ่านั่งอยู่ในกลดก็กล่าวทักทายขึ้นก่อนว่า เออข้าฯมานั่งคอยเอ็งที่นี่นานหลายชั่วยามแล้ว พระองค์ท่านเห็นก็จำได้ว่า พระภิกษุเถรผู้เฒ่านั้นคือ ท่านขรัวตาทอง วัดท่าข่อย(ท่าหอย) วัดที่อยู่ใกล้หมู่บ้านท่านนั้นเอง เนื่องจากพระมารดา-บิดาของท่าน ไปทำบุญที่วัดท่าข่อยบ่อยๆ อีกทั้งท่านขรัวตาทอง ก็มารับอาหารบิณฑบาตที่บ้านท่านเป็นประจำทุกเช้า โดยทางเรือ

               ท่านขรัวตาทอง ได้กล่าวกับ พระองค์ท่านต่อไปอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องไปเรียนหนังสือกับข้าฯ ที่วัด พระองค์ท่านเองก็มีความประสงค์ที่จะไปเรียนหนังสือที่วัดเหมือนกัน เพราะพระองค์ท่าน มีความใฝ่ใจในการศึกษาเล่าเรียน ท่านขรัวตาทองได้กล่าวต่อไปอีกว่า พรุ่งนี้เพลาเช้าข้าฯเข้าไปบิณฑบาตที่บ้านเจ้า ข้าจะบอกกับพ่อแม่ของเจ้า

           เวลานั้นท่านขรัวตาทอง เพิ่งกลับจากสัญจรจาริกธุดงค์ เพราะเป็นเวลาเกือบจะเข้าพรรษาแล้ว ได้มาปักกลดพักผ่อนอิริยาบทอยู่ ณ.ที่บริเวณแห่งนั้น ตั้งใจจะคอยพบพระองค์ท่าน(เด็กชายสุก)

          กล่าวว่า ท่านขรัวตาทองรูปนี้ท่านมีความ เชี่ยวชาญทางสมถะ-วิปัสสนากัมมัฏฐานมัชฌิมา แบบลำดับ มีญาณแก่กล้า จึงสามารถที่จะทราบได้ว่าพระองค์ท่าน (หมายถึงหลวงปู่สุก เนื่องจากท่านคุ้นเคย กับท่านขรัวตาทอง มานานแล้ว) มักจะมาที่บริเวณนี้บ่อยๆ ท่านขรัวตาทอง จะมาปักกลดที่นี่ทุกปี ปีนี้ท่านจึงปักกลดคอยพบพระองค์ท่าน ไม่ไปให้ถึงวัดท่าข่อย(ท่าหอย) เลยทีเดียว

             พอรุ่งเช้า ท่านขรัวตาทอง ก็เข้ามาบิณฑบาตโปรดสัตว์ที่บ้านมารดาบิดาของพระองค์ท่าน มารดาบิดาของท่านเห็นพระภิกษุเถรชราผู้นี้แล้วก็ดีใจ ยกมือขึ้นนมัสการท่าน เพราะจำได้ว่า คือท่านขรัวตาทอง วัดท่าข่อย ที่เคยเคารพนับถือกันมาก และคุ้นเคยกันมานาน มารดาบิดาของพระองค์ท่าน ก็กล่าวกับท่านขรัวตาทองว่า ท่านกลับมาจากรุกขมูลแล้วหรือ โยมจะนำลูกชายไปฝากเรียนหนังสือกับท่านที่วัด ท่านขรัวตาทอง กล่าวว่า ข้าก็ตั้งใจจะมาบอกโยมให้นำลูกชายไปเรียนหนังสือที่วัด เมื่อมีใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ก็เป็นอันตกลงที่จะนำลูกชายไปฝากวัด เรียนหนังสือ