ทฤษฎีการไล่ (๑)
         การพิจารณาว่ากำลังหมากที่มีอยู่  เพียงพอที่จะไล่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้หรือไม่  ในกรณีที่ฝ่ายหนีเหลือขุนเพียงตัวเดียวมีปรากฏในหนังสือ " หมากรุกกล * "  นิพนธ์ของ หม่อมเจ้าอนันตนรไชย เทวกุล แต่กล่าวถึงเฉพาะกรณีการไล่ด้วยโคนและเบี้ย (หรือเม็ด)  ซึ่งต่อมา  เรียมสี  ลือชัยดำรง ได้นำมาขยายให้ครอบคลุมถึงกรณีอื่น ๆ ด้วย  ในหนังสือพิมพ์ "โลกกีฬารายวัน" เมื่อประมาณ พ.ศ.2536  ( ดูในทฤษฎีการไล่ (๒) )
         จากงานนิพนธ์ดังกล่าว  ผู้เขียนได้แก้ไขเพียงเล็กน้อย  เพื่อความเหมาะสม  และขอเสนอย้อนไปอีกหลายเรื่องจนถึงเรื่อง การเล่นหมากรุก  เพื่อให้เข้าใจถึงแนวคิดในการไล่  สำหรับการไล่ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นทฤษฎีนี้นั้น  โปรดดูในหัวข้อเรื่องสุดท้าย คือ  การไล่ด้วยโคนกับเบี้ยหรือเม็ด
-----------------------------------------

"......

การเล่นหมากรุก *
	การเล่นหมากรุกนั้น  ไม่ว่าจะเป็นหมากรุกของชาติ  หรือประเทศใด  ถ้าท่านสนใจที่จะเล่นให้
ได้ดี  นอกจากไหวพริบ  และความเฉียบแหลมแล้ว  ท่านก็ควรที่จะมีคามเข้าใจในหัวข้อที่จะกล่าวต่อไปนี้
ให้แน่ชัดเสียก่อน  กล่าวคือ:-
	(1) กำลังหมากของตัวหมากรุกแต่ละประเภท [ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Power of Chessmen ]
ที่ท่านสนใจอยู่นั้น    กำลังอำนาจของตัวหมากรุกที่กล่าวนี้  คือ  อำนาจในการเคลื่อนที่ (เดิน), อำนาจในการ
ทำลาย (กิน), อำนาจในการรุกไล่ (รุก) และอำนาจในการคุ้มกัน (ผูก)  ซึ่งข้าพเจ้าขอใช้ในหนังสือนี้ว่า 
" สมรรถภาพของตัวหมากรุก "
	(2) กำลังอันซ่อนเร้นอยู่ภาในตัวหมากรุก [ ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Potency of Chessmen" ]
กำลังงานอันนี้  ก็เกิดจากสมรรถภาพของตัวหมากรุกนั่นเอง  ถ้าหมากท่านจะพิจารณาสมรรถภาพของแต่
ละประเภทให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นแล้ว  กำลังงานอันนี้ก็คงจะผุดขึ้นมาให้เห็นได้เอง  ซึ่งในหมากรุกไทยก็พอจะ
แยกเป็นหัวข้อดังต่อไปนี้ :-
		(๑) กำลังต่อต้านและตรึง [ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Opposition ] ซึ่งจะมีทุกตัวเป็น
ธรรมดา  แต่ที่สำคัญที่สุดนั้นก็อยู่ที่ตัวขุน  ซึ่งมีหน้าที่ทั้งการไล่ต้อนหรือถอยเป็นเฃืง  เพื่อการแพ้ ชนะ
หรือเสมอของการเล่นครั้ง(กระดาน) นั้น ๆ  ซึ่งข้าพเจ้าขอเรียกอย่างสั้น ๆ ว่า "ชิงที"
		(๒) อำนาจในการกักกัน  ซึ่งจะต้องเกี่ยวพันกันระหว่างตัวหมากรุกประเภทต่าง ๆ 
ตลอดทั้งที่เป็นประเภทเดียวกัน และคนละประเภท  อำนาจในการกักกันนี้  หมายความว่าเฉพาะตัวต่อตัว
คือฝ่ายละ 1 ตัว  จะเป็นประเภทเดียวกันก็ได้  บนกระดานหมากรุกที่ว่างเปล่า  ไม่มีตัวอื่นปะปนอยู่ด้วย  และ
ด้วยสมรรถภาพของตัวมันเองตัวเดียวเท่านั้น  จะสามารถตัดการเดินของอีกฝ่ายหนึ่งมิให้เดินอีกได้ในที่
ซึ่งฝ่ายนั้นจะต้องเดิน  คือถ้าเดินก็จะต้องถูกกิน  หรือทั้งสามารถจะติดตามกินตัวนั้นได้ด้วย  คือ
หมายความว่าถ้าตัวใดได้พยายามติดตามตัวของฝ่ายตรงข้าม  ซึ่งในที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็จะเดินมาให้กิน
จนได้  ทั้งนี้แต่ละตัวจะทำได้เพียงใด
		(๓) ความสามารถที่มีอยู่ในการเดินของแต่ละประเภท  ซึ่งพอจะยกเป็นหัวข้อได้  
คือ :-
		- ตัวหมากรุกประเภทใดจะสามารถเดินจากที่ตั้งของตนไม่ว่าจะเป็นตาใดก็ตามไป
ยังตาที่จะกำหนดให้ได้ภายในกี่ที (ม้าเท่านั้น) ที่ต้องคำนึง
		- ในการเดินของตัวนั้น ๆ จะสามารถเปลี่ยนแปรการเดินอันเป็นปกติของตัวมัน
ให้เป็นอย่างอื่นได้เพียงใดหรือไม่ (ข้อนี้มีอยู่ก็แต่เบี้ยคว่ำเท่านั้น)
	(3) นอกจากที่กล่าวมาแล้วนี้  ท่านควรจะต้องมีความเข้าใจในหัวข้อเหล่านี้ให้ถ่องแท้ไว้ด้วย 
คือ :-
		(๑) กำลังโอบต้อน :  ในที่นี้หมายความว่า  ในเมื่อฝ่ายหนีมีเพียงขุนตัวเดียว  และ
		     จะตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม  ฝ่ายไล่ควรจะมีกำลังน้อยที่สุดเท่าใด  จึงจะสามารถที่จะ
		     ต้อนอีกฝ่ายหนึ่งให้ไปยังจุดประสงค์ได้
		(๒) กำลังที่จะรุกให้จน :  ในที่นี้หมายความว่า  ในเมื่อฝ่ายหนีมีแต่ขุนตัวเดียว  จะ
		     ตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม และฝ่ายไล่มีกำลังน้อยที่สุดเท่าใด  จึงจะสามารถไล่และรุกให้
		     จนได้เสมอไป  ทั้งนี้มิได้หมายความถึงขุนที่ตั้งอยู่ในหมากรุกกล
		(๓) แหล่งที่จะทำให้จนได้ด้วยกำลังอันน้อยที่สุด  ในเมื่อฝ่ายหนีมีขุนเพียงตัวเดียว

หมากโคน
	โคน  ในหมากรุกไทย  เป็นตัวที่มีอำนาจ (Power) อยู่ในอันดับต่ำ  นับเป็นขั้นที่ ๑ ถัดจากเบี้ย 
[ ทั้งคว่ำ, ทั้งหงาย และเม็ด } ซึ่งนับเข้าอยู่ในขั้นต่ำที่สุด  ในบรรดาตัวหมากรุกไทยด้วยกันทั้งหมด
	สมรรถภาพของโคนในการเดินนั้น  ก็เหมือนอย่างเบี้ยหงายบวกด้วยเบี้ยคว่ำ  คือเพิ่มตา
ตรงข้างหน้าอีก ๑ ตาเท่านั้น [ ดูในหนังสือเรื่องหมากรุกไทย  ว่าด้วยสมรรถภาพของตัวหมากรุก (Power
 of Chessmen) ] แต่เพราะโคนมีอำนาจในการรุกไล่ และทำลายในตาที่จะเดินได้ทุกตา (คือเพิ่มตาตรง
หน้าขึ้นอีกหนึ่ตา) ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกำลังงานที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวโคนนั้นขึ้น (Potency of Bishop)  ซึ่งทำ
ให้ตัวมันมีคุณค่ายิ่งขึ้น  ดั่งนี้  คือ :-
	๑)  ด้วยการรุกของโคนเองตัวเดียวประกอบกับขุนเท่านั้น  ก็จะสามารถจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งจน
ได้  โดยมิต้องอาศัยกำลังตัวอื่นอีกเลย  แต่ก็เฉพาะในบางกรณีเท่านั้น
	๒)  โคนสามารถที่จะเปลี่ยนทิศทางเดินของมัน  ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  เพื่อประกอบการไล่
กับตัวอื่นให้เหมาะสมกับการที่จะใช้อำนาจมัน  เช่นด้านหลังโคน  มันอาจเปลี่ยนทางเดินของมันให้ถูกมุม  
หรือไม่ถูกมุมได้เสมอไป  ไม่ว่าที่มุมใด
	๓)  สามารถที่จะใช้แทนขุนได้ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งอยู่ตรงหน้าโคน  (แต่จะใช้ประโยชน์ในการชิง
ทีมิได้)
	เท่าที่บรรยายมานี้  จะเห็นได้แล้วว่า  ในบรรดาหมากปลายกระดานโดยทั่วไปสำหรับฝ่ายไล่แล้ว 
โคนย่อมมีคุณค่ามากกว่าม้า
	และแหล่งที่โคนตัวเดียวจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งจนได้นั้น  ก็อยู่ที่ตาริมขอลกระดานด้านหน้าของ
โคนคือในแถวที่ ๘ เท่านั้น  และยิ่งเป็นตาสุดมุมกระดานด้วยก็จะมีโอกาสมากขึ้น

การไล่ด้วยโคนเดี่ยว
	ความหมายของข้อความข้างบนนี้  ก็คือ  เมื่อฝ่ายไล่มีขุนกับโคนเท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้  กำลัง
ด้านหน้าของชุนและโคนบวกกันแล้ว  ก็ได้เพียง ๖ ตาเท่านั้น  ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะโอบต้อนฝ่ายหนีเข้าหาที่
จนได้  เพราะฉะนั้นการที่จะไล่ให้จนได้นั้น  ก็เป็นได้แต่เฉพาะบางกรณีเท่านั้น  ซึ่งคล้ายกับหมากกล  ดัง
จะได้ยกตัวอย่างตามลำดับการคิดค้นดั่งต่อไปนี้ :-

	ตัวอย่างที่ ๑ สมมุติให้ขุนดำ (ฝ่ายหนี) อยู่ที่ตา ก8 (ตาสุดมุมกระดาน)  และขุนขาว (ฝ่ายไล่)
อยู่ที่ ข6 (เผื่อว่าดำเดินก่อน  ขุนขาวก็ยังคงตรึงอยู่ได้)  ส่วนโคนขาวซึ่งมีเพียงตัวเดียวจะอยู่ที่ ก6 หรือ ค6
หรือ ค8  ก็ได้ทั้งนั้น  ดังในรูปที่ 1 นี้  ไม่ว่าฝ่ายใดเดินก่อน  ขาวรุกจนภายใน 1 ที คือ -
	- เดินโคนรุกที่ตา ข7 (หรือ ก7 ก็ได้ถ้าเป็นผู้เดินก่อน)


รูปที่ 1

	และจากรูปที่ 1 นั้นเอง  ก็ทำให้คิดเห็นได้ว่าถ้าแม้ว่าโคนขาว ตั้งอยู่ที่ตาอื่นใด  ซึ่งสามารถที่
จะเดินในทีแรก  เข้าไปตั้งอยู่ที่ตา ก6 หรือ ค6 หรือ ค8 ได้แล้ว  ก็สามารถที่จะรุกจนได้เหมือนกัน  แต่ขาว
จำเป็นต้องเดินก่อนดังได้แสดงไว้ในรูปที่ 2 นี้ :  โคนขาวจะอยู่ที่ ค7 หรือ ง7 หรือในแนวที่ 5  ตั้งแต่ ก ถึง ง  
จะเป็นตาหนึ่งตาใดก็ได้  ถ้าขาวเดินก่อนก็ไล่ให้จนได้ใน 2 ที


รูปที่ 2
"ขาวเดินก่อน ไล่จนใน 2 ที"

	ทีนี้พิจารณาในรูปที่ 2 นี้ต่อไปว่า  จะทำให้การไล่เพิ่มเป็น 3 ทีได้หรือไม่ ?  แต่ก็อย่าลืมว่า
การที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ทีนั้น   (ฝ่ายหนี) ดำก็จะต้องเดินถึง 2 ที  ซึ่งอาจมาถึงตา ค8 ได้  ถ้าไม่มีสิ่งใดขัดขวาง
และเมื่อออกมาถึงตา ค8 ได้แล้ว  (ฝ่ายไล่) ขาวก็ไม่มีกำลังโอบต้อนพอที่จะบังคับให้ดำกลับเข้าไปอยู่ในวงจำกัด
ได้อีก  ด้วยเหตุนี้  ขาวจึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันมิให้ดำ  ซึ่งได้เดินไปทีหนึ่งหลุดออกไปที่ ค8 ได้เลย  หนทาง
ที่จะค้นคิดง่ายที่สุดนั้นก็คือ  ลองสมมุติว่า  ดำได้เดินไปทีที่ 1ไปแล้ว  คือขุนไปอยู่ที่ ข8 เช่นนี้แล้วโคนขาวจะ
ควรอยู่ที่ใดเล่า  จึงจะเดินไปป้องกันไว้ได้  ทั้งยังบังคับให้ดำอยู่ภายในวงจำกัดด้วย  ก็จะเห็นได้ว่า  โคนขาว
จะต้องอยู่ที่ตา ง6 หรือ ง8 หรือ จ6 หรือ จ8 ดังในรูปที่ 3 นี้เท่านั้น


รูปที่ 3
"ขาวเดินก่อน ไล่จนใน 3 ที"

	ถ้าขาวเดินก่อนก็ไล่ให้จนได้ใน 3 ที ดังนี้ :-
1) โคนขาว ง8 - ค7 รุก	ขุนดำ ข8 - ก8
2) โคนขาว ค7 - ค8	ขุนดำ ก8 - ข8
3) โคนขาว ค8 - ข7 รุกจน

	จากรูปที่ 3 นี้เอง  ทำให้เห็นได้ชัดว่า  ถ้ากำลังของฝ่ายไล่ (ขาว)  คงตั้งอยู่ดังในรูปที่ 3 นั้น แต่
ย้ายขุนดำไปตั้งไว้ที่ ก8  ดังในรูปที่ 4 นี้  จะเห็นได้ชัดแล้วว่า  ถ้าดำเดินก่อนขาวก็ไล่ให้จนได้ภายใน 3 ที
เหมือนกัน  แต่ถ้าให้ขาวเดินก่อนแล้วหมากจะเป็นทีซึ่งไม่มีทางแก้ไขได้  จึงเป็นอันไล่ไม่จน 


รูปที่ 4
"ดำเดินก่อน  ขาวไล่จนใน 3 ที"

	และจากรูปที่ 4 นี้เอง  ทำให้เห็นได้ชัดว่าถ้าฝ่ายขาว (ไล่) สามารถในทีแรกที่จะเดินโคนเข้าไป
ตั้งอยู่ในตา ง6 หรือ ง8 หรือจ6 หรือจ8 ดังในรูปที่ 4 แล้ว  ที่ตั้งของโคนก็จะเป็นดังในรูปที่ 5 และถ้าขาวเดิน
ก่อนก็จะไล่จนได้ใน 4 ที  และนี้เองคือแหล่งที่โคนจะอยู่ห่างไกลจากขุนที่สุดเท่าที่จะไล่ให้จนได้


รูปที่ 5
"ขาวเดินก่อน ไล่จนใน 4 ที"

	เท่าที่บรรยายมาในตัวอย่างที่ 1 ถึง 5 รูปมานี้  ก็เป็นการแสดงนเมื่อขุนขาวตรึงขุนดำไว้ทางด้าน
หน้าเท่านั้น  ทีนี้พิจารณาว่า  ถ้าขุนขาวตรึงขุนดำทางด้านข้าง  จะสามารถไล่ให้จนได้เพียงใดหรือไม่  ก็เห็นว่า
พอจะทำได้บ้าง
	ขอย้อนไปดูรูปที่ 4 ด้วยก่อน  ก็จะเห็นได้ว่า  แทนที่จะย้ายออกไปดังในรูปที่ 5 นั้นกลับย้ายขุนขาว
ไปที่ ค7 ดังในรูปที่6 นี้  ถ้าขาวเดินก่อนก็ไล่ให้จนได้ใน 4 ทีเหมือนกัน


รูปที่ 6
"ขาวเดินก่อน ไล่จนใน 4 ที"

	เท่าที่บรรยายในการไล่ด้วยโคนเดี่ยว (คือฝ่ายหนี มีขุนตัวเดียวและฝ่ายไล่มีขุนกับโคนตัวหนึ่ง
เท่านั้น) มานี้  ก็ย้งไม่พบวิธีอื่นใดที่จะทำให้จนได้นอกจากที่ได้แสดงไว้ในตัวอย่างที่ 1
	จากตัวอย่างที่ 1 นี้เอง  ท่านผู้สนใจอาจจะได้พบเห็นกลที่บังคับให้จนด้วยโคน  โดยการเสียสละ
กำลังส่วนใหญ่เพื่อให้เป็นไปตามคำไขนั้น  เช่นในทำนองรูปที่ 8*  เป็นต้น
( *ไม่ปรากกฎว่ามีรูปที่ 7  - winai7 )


รูปที่ 8
"ขาวเดินก่อน ไล่จนด้วยโคนใน 5 ที"

	อธิบายรูปที่ 8    ที่ตั้งของกำลังแต่ละฝ่าย
	- ขาวมี 3 ตัว คือ :-	ขุนอยู่ที่ ค7
			เรืออยู่ที่ ค8 และ
			โคนอยู่ที่ ง8
	- ดำมี 1 ตัว คือ :-	ขุนอยู่ที่ ก7

คำไข "ขาวเดินก่อนไล่ดำจนด้วยโคนใน 5 ที"

	กลในทำนองนี้  การเดินทีแรกของฝ่ายไล่ (ขาว) นั้น  ก็ไม่มีอื่นใดที่จะทำให้จนได้ตามคำไข 
นอกจาก :-
1) เรือขาว ค8 - ก8 รุก	ขุนดำ ก7 x ก8
2) ขุนขาว ค7 ข6	ขุนดำ ก8 - ข8
3) โคนขาว ง8 - ค7 รุก	ขุนดำ ข8 - ก8
4) โคนขาว ค7 - ค8	ขุนดำ ก8 - ข8
5) โคนขาว ค8 - ข7 รุกจน

	นอกจากที่ได้บรรยายมาในตัวอย่างที่ 1 ข้างต้นแล้ว  ยังมีอีกบางกรณีซึ่งฝ่ายที่มีขุนกับโคน
เท่านั้น  จะรุกให้อีกฝ่ายหนึ่งจนได้เหมือนกัน คือ ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งมีเบี้ย (คว่ำ) ประกอบอยู่ด้วย (ไม่น้อยกว่า
3 ตัว) ซึ่งมิได้ทำประโยชน์ให้แก่ฝ่ายตนเลย  และกลับเป็นสิ่งที่กีดขวางการเดินของขุนฝ่ายตนอีกด้วย (เช่น
เดียวกันกับที่กล่าวมาแล้วในหมากเบี้ย) ดังได้แสดงในอีก 2 ตัวอย่างต่อไปนี้ :-


รูปที่ 9

	ที่ตั้งของกำลังแต่ละฝ่าย
	ฝ่ายดำมี 4 ตัว	       :-  ขุนอยู่ที่ ญ5     เบี้ยดำอยู่ที่  ญ4, ญ6 และ จ6
	ฝ่ายขาวมี 2 ตัว     :-  โคนอยู่ที่ ญ3    ขุนอยู่ที่ตาใดก็ได้ ( จ5 หรือ จ7 หรือ ฉ7 หรือ ช7 )



รูปที่ 10

	ที่ตั้งของกำลังแต่ละฝ่าย
	ฝ่ายดำมี 4 ตัว	       :-  ขุนอยู่ที่ ก5     เบี้ยดำอยู่ที่  ก4, ก6 และ ข6
	ฝ่ายขาวมี 2 ตัว     :-  โคนอยู่ที่ ก3    ขุนอยู่ที่ตาใดก็ได้ ( ข7 หรือ ค7 หรือ ง3 - ง7 )

	คำไขสำหรับรูปที่ 9 และ 10 คือ : "ขาวเด้นก่อนไล่จนภายใน 3 ที"  ดังนั้น

	รูปที่ 9
	1) ขุนขาว ไป ฉ7	2) ขุนขาว ไป ฉ6	3) โคนขาว ไป ช4 รุกจน

	รูปที่ 10
	1) ขุนขาว ไป ค6 หรือ ค4	2) ขุนขาว ไป ค5	3) โคนขาว ไป ข4 รุกจน


การไล่ด้วยโคนกับเบี้ยหรือเม็ด

	ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า  เมื่อฝ่ายไล่มีเพียงขุนกับโคนตัวเดียว  ก็ไม่มีกำลังพอที่จะอยู่
ในเกณฑ์ที่จะโอบต้อนฝ่ายหนีซึ่งมีเพียงขุนเพียงตัวเดียวได้นั้น  ท่านผู้สนใจอาจบังเกิดความสงสัยขึ้นได้ว่า
หลักเกณฑ์ที่กล่าวนี้ได้มาอย่างไร ?  และมีกฎเกณฑ์ว่ากระไรบ้าง ?

	ในเรื่องหลักเกณฑ์ได้มาอย่างไรนั้น  ขอให้ไปดูเรื่องหมากรุกไทย  ซึ่งข้าพเจ้าได้เรียบเรียงไว้
แล้วนั้นเถิด  ในที่นี้จะขอย้อนกล่าวแต่เพียงว่าเกณฑ์นั้นมีหัวข้อว่ากระไรบ้างเท่านั้น  เพื่อให้เห็นชัดประกอบ
กับคำอธิบายดังต่อไปนี้  :- (นี้เป็นหลักเกณฑ์โดยทั่วไปมิใช่เฉพาะโคน)

	กำลังโอบต้อนของฝ่ายไล่ควรจะมีเท่าใด  จึงจะเพียงพอที่จะต้อนให้ฝ่ายหนีซึ่งมีแต่ขุนตัวเดียว
แต่จะอยู่ที่ตาใดก็ได้  จำต้องถอยเข้าปยังจุดประสงค์ของฝ่ายไล่ได้นั้น  ก็ต้องเข้าไปอยู่ในเกณฑ์ทั้ง 2 ประการ
คือ  :-

	ก. บวกกำลังด้านหน้าของหมากทุก ๆ ตัว (ม้านับว่าด้านหนึ่งมี 2 ตาเท่านั้น) รวมทั้งขุนด้วย
ต้องไม่น้อยกว่า 7 ตา
	ข. กับสามารถที่จะเรียงกำลังนี้ให้เป็นแนว (หรือแถว) ตรงติดกันไม่น้อยกว่า 7 ตาอีกด้วย

	ด้วยเหตุนี้  กำลังของฝ่ายไล่ ซึ่งมีแต่ขุนกับโคนตัวเดียวนั้น  จึงไม่เพียงพอที่จะเป็ฯกำลังโอบต้อน
ได้  ถ้าแม้ว่าจะเพิ่มกำลังฝ่ายไล่เข้าอีกสักหนึ่งตัว  ซึ่งมีสมรรถภาพชั้นต่ำที่สุด  เช่น  เบี้ย (คว่ำหรือหงาย) หรือ
เม็ดแล้ว  จะเป็นอย่างไรก็จะเห็นได้ในรูปที่ 11 นี้ :


รูปที่ 11

	อธิบายรูปที่ 11 สมมุติว่าขุนดำ (ฝ่ายหนี) ตั้งอยู่กลางกระดาน  จะเป็นตาหนึ่งตาใดก็ได้   ส่วน
ฝ่าย (ไล่) ขาวนั้นได้จัดกำลังไว้เป็นสองชุด (เป็นสีแดงเข้าและอ่อน) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  สามารถจะจัดให้เข้า
เกณฑ์ที่กล่าวแล้วข้างต้นนั้นทั้ง 2 ข้อ  จึงนับได้ว่าฝ่าย (ไล่) ขาว  จะมีกำลังที่จะโอบต้อนให้ฝ่าย (ดำ) หนี  ต้อง
ถอยไปยังจุดประสงค์ของตนได้

	แต่ในรูปที่ 11 นี้  เบี้ยที่แสดงไว้เป็นเบี้ยหงายหรือเม็ดเท่านั้น  ถ้าหากว่าแทนที่จะเป็นเหงายหรือ
เม็ดจะใช้เบี้ยคว่ำแทนเล่า  จะนับว่ามีกำลังโอบต้อนเพียงพอหรือไม่ ?  เพราะกำลังด้านหน้าก็บวกเท่ากับ 7 แล้ว
แต่จะจัดเรียงให้เข้าในหลักเกณฑ์ตามข้อ ข. ได้หรือไม่นั้น  จะเห็นได้จากรูปที่ 12 ดังต่อไปนี้


รูปที่ 12

	อธิบายรูปที่  12 :  สมมุติว่าขุนดำ (ฝ่ายหนี) ตั้งอยู่กลางกระดาน  และอยู่ข้างหลังของเบี้ยคว่ำ
ฝ่ายขาว (ไล่)  ก็สามารถที่จะจัดเรียงกำลังห้เข้าในหลักเกณฑ์ข้อ ข. ได้  ถ้าหากว่า  จะเรียงกำลังด้านข้างแล้ว
แม้เบี้ยคว่ำจะอยู่ที่ตาหนึ่งตาใด  ดั่งที่ได้แสดงเป็นตัวอย่างไว้ด้วย บ (=รูปเบี้ย) ในรูปที่ 12 นี้  ฝ่ายขาวก็ไม่
สามารถที่จะจัดเรียงกำลังให้ได้ 7 ตา ตามเกณฑ์ในข้อ ข.  ทั้งนี้เป็นการชี้ชัดแล้วว่า  แม้ฝ่าย (ไล่) ขาวจะมีเพียง
เบี้ยเบี้ยคว่ำหนึ่งตัวมาสมทบด้วยแล้ว  ก็จำต้องทำเบี้ยคว่ำนั้นให้เป็นเหงายเสียก่อน  จึงจะมีกำลังโอบต้อนอัน
สมบูรณ์ตามหลักเกณฑ์ที่กล่าวแล้วนั้นได้

	เมื่อได้บรรยายมาถึงเพียงนี้  ก็พอจะสรุปความได้แล้วว่า  "ถ้าหากฝ่ายไล่มีโคนกับเบี้ยหรือเม็ด
อีกหนึ่งตัวแล้ว  ก็สามารถที่จะไล่ให้ฝ่ายหนี (ขุนดำตัวเดียว) จนได้เสมอไป [ ทั้งนี้ต้องไม่คำนึงถึงการนับตาม
ศักดิ์ของตัวฝ่ายไล่แต่อย่างใดเลย ]

	เพราะเหตุนี้  บรรดาหมากกลโคนจึงมีเบี้ยประกอบเป็นส่วนมาก  ซึ่งพอจะจำแนกได้เป็น 4
ประการ  คือ :-

	1)  การไล่ (จน) ทางหน้าโคน
	2)  การไล่ (จน) ทางหลังโคน (กลหมากโคนต่าง ๆ มักเข้าในประการที่ 2 นี้)
	3) โอกาสที่ไม่สามารถจะไล่ให้จนได้
	4) โอกาสที่จำยอมเสียสละตัวใดตัวหนึ่งเพื่อรุกจนด้วยอีกตัวหนึ่ง

.............

*  จากหนังสือหมากรุกกล  นิพนธ์ของหม่อมเจ้าอนันตนรไชย  สมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราาชินีนาถ  
  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้พิมพ์ในงงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าาอนันตรนรไชย  เทวกุล  
  วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.2511 


ทฤษฎีการไล่ (๒)