อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  (คศ.1879 - 1955)

ไอน์สไตน์ มีสมบัตหลายประการที่เหมือนกับนักบวชที่ดีในศาสนาพุทธ เช่น ไม่สนใจต่อความมั่งคั่งหรูหราฟุ่มเฟือย หรือความมีชื่อเสียงทางสังคม(ตรงข้ามกับนักการเมืองบางประเทศ ^_^..)  รักสันติภาพเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่ยีดถือกฏเกณฑ์และไม่แยแสต่อสายตาหรือความคิดของผู้อื่น ดั่งตอนหนึ่งของอัตประวัติของเขาที่เล่าว่า..

       "เช้าวันต่อมา อัลเบิร์ท แต่งตัวด้วยเสื้อกางเกงเก่าๆสีน้ำเงินเข้ม เหมือนกรรมกรธรรมดา เดินไปตามถนนหลวงในเมืองซุริค คนที่ผ่านไปจำเขาไม่ได้สักคนเดียว"

ไอน์สไตน์เคยพูดกับภรรยาคนแรกว่า   "ทำไมนะตนที่เป็นศาสตราจารย์ต้องแต่งตัวราวนักยูง(หมายถึงเท่ห์--จ๊าบ..) มันจะทำให้พวกเขาฉลาดขึ้นหรืออย่างไร.และถ้าไม่แต่งอย่างนั้นจะทำให้ผู้ที่เป็นศาสตราจารย์ทั้งหลายหมดความสำคัญลงหรืออย่างไร"

เขาเคยบอกใครต่อใครว่า เขาเป็นคนที่มีความสุขเพราะไม่ต้องการสิ่งใดจากบุคคลหนึ่งบุคคลใด

ถึงเขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธแต่เขาก็สนใจและยกย่องศาสนาพุทธดังคำกล่าวของเขา

         "If there is any Religion  which is acceptable to the scientific, it is Budahism"

    

  ไอน์สไตน์เกิดที่  อูล์ม (Ulm)  เมืองวือเท็มเบิร์ก ตอนใต้ของเยอรมัน  เขาเกิดวันที่  14 มีนาคม ค.ศ.1879  บิดาชื่อเฮอร์มาน  มารดาชื่อ พอลลีนเป็นชาวยิว มีอาชีพขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์  มีน้องสาวคนเดียวชื่อ มายา

       วัยเด็กเรียนที่มิวนิก  การเรียนภาษาไม่ดีนักแต่ไปได้ดีกับพวกคำนวณ  อาจเป็นเพราะมีลุงชื่อ มาจาคอบ  มาช่วยสอน เขาเป็นเด็กขี้อาย เงียบขรึม ช่างคิด ไม่ชอบความรุนแรง

        เมื่ออายุ 6  ขวบ มารดาบังคับให้เขาเล่นไวโอลีน ตอนแรกเขาไม่ชอบ แต่ไปๆมา ตอนหลังก็ชอบ เขาใช้การเล่นไวโอลินเป็นการพีกผ่อนหย่อนใจตลอดชีวิต และชอบผลงานเพลงคลาสสิกเป็นชีวิตจิตใจ

        อายุ  12  ปี เพื่อนให้เขาอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ  และ เรขาคณิตของยูคลิค  เขาชอบมาก และศึกษาอย่างตั้งใจและสามารถเข้าใจได้หมดขณะอายุเพียง  12  ปี

        ค.ศ 1894 บิดาย้ายไปอยู่ เมืองมิลาน  อิตาล  ไอน์สไตน์น้อยไม่ได้ย้ายไปด้วย แต่เขาเรียนไม่จบเพราะถูกโรงเรียนให้ออกเสียก่อน(มีเรื่องเล่าว่าเขาไม่เข้าเรียนโดยบอกว่า "สิ่งที่ครูจะสอน เขารู้หมดแล้ว"    เขาไปหาบิดาที่เมืองมิลาน เพื่อเรียนต่อ แต่บิดาบอกว่าไม่มีเงิน เขาจึงเตรียมตัวเรียนวิชาชีพเพื่อประกอบอาชีพ

         ค.ศ.1896 เขาสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยโพลีเทคนิค เมืองชูริค สวิสเซอร์แลนด์ แต่เขาไม่มีประกาศนียบัตรมัธยม จึงต้องเรียนที่โรงเรียนมัธยมอีก 1 ปี แล้วจึงเข้าเรียนที่วิทยาลัยโพลีเทคนิคได้ เรียนจบแล้วเข้าสมัครเป็นครูสอนคณิตศาสตร์แต่ไม่มีใครจ้างเพราะรังเกียจที่เขาเป็นชาวยิว ทำให้เขาได้รู้ความจริงอย่างหนึ่งว่าแม้แต่ประเทศเสรีอย่างสิสเซอร์แลนด์ยังมีการรังเกึยจคนยิวอยู่ เมื่อไม่มีที่ใดรับเขาจึงรับจ้างสอนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ไปพลางๆ

       ค.ศ 1901  เขาทำงานเป็นพนักงานรับจดทะเบียนลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่เมืองเบิร์น   ได้รับเงินเดือนละ 292 ฟรังค์(ประมาณ1,124 บาท)  เขาเปลี่ยนสัญชาติเป็นสวิส และแต่งงานกับ มิเลวา มาเรค (Mileva  Marec) หญิงสาวชาวฮังกาเรียน ต่อมามีบุตร 2 คน

        ช่วงนี้เขาทำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อขอรับปริญญาเอก เขามีผลงานส่งไปยังวารสารวิทยาศาสตร์ของเยอรมันที่ชื่อ  รายงานประจำปีทางฟิสิกส์ อย่างสม่ำเสมอ

        ค.ศ 1905 (เขาอายุ 26 ปี)  เขาส่งเอกสารไปพิมพ์ 5 ฉบับ  ในจำนวนนี้มีเรื่องที่ชื่อ ONTHE ELECTRODYNAMICS OF MOVING BOOIES  หรือ  อิเล็กโทรไดนามิกส์ของวัตถุเคลื่อนที่  แต่เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ THE SPECIAL THEORY OF RELATIVITY  หรือทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ  ซึ่งกล่าวถึง เวลา, สถานที่,  ทิศทาง และการเคลื่อนที่ของสิ่งของต่างๆ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงมวลสาร  ที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ และพลังงานก็สามารถเปลี่ยนเป็นสสารได้  หรือมวลสาร  กับ พลังงานเป็นสิ่งเดียวกันจากสมการ

            E = mc2

  เมื่อ E  เป็นพลังงาน หน่วยเป็น เอิร์ก 
         m  เป็นมวล  มีหน่วยเป็นกรัม
         c   คือความเร็วแสง  หน่วยเป็นเซนติเมตร/วินาที

 (ลองคำนวณเล่นดูก็ได้ จะเห็นว่ามวล 1 กรัมให้พลังงานมากมายขนาดไหนลองเปลี่ยน 300,000 กิโลเมตรเป็นเซนติเมตรดูแล้วแทนค่าดู อย่าลืมยกกำลังสองด้วย)

     สมการสะท้านโลกของไอน์สไตน์เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าวงการฟิสิกส์เป็นอย่างมาก เพราะแต่ก่อนเชื่อว่าสสารเป็นสิ่งที่คงที่ สร้าง หรือ ทำลาย ไม่ได้  และในปีเดียวกันนั้น เขาก็มีผลงานตามมาอีก  มีเรื่องหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากคือเรื่อง THE QUANTUM LAW OF EMISSION AND ABSORPTION OF LIGHT  หรือ "ควอนตัมของการแผ่และการดูดกลืนของแสง  หรือ ทฤษฎีโฟตอน (PHOTON THEORY)  ซึ่งอธิบายสนับสนุนทฤษฎีควอนตัมของ มักซ์ พลังค์ ที่เสนอไว้ในปี 1900

     ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษกล่าวถึงการแสดงผลจากการสังเกตที่เกี่ยวกับกรอบอ้างอิง  (frames of reference) ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสัมพัทธ์คงที่ซึ่งกันและกัน

   ค.ศ.1909  หลังจากได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตแล้ว  เขาเข้าทำงานที่มหาวิทยาลัยชูริต (ตอนนี้ดังมาก) ปลายปี ค.ศ. 1910 มีลูกชายอีกคน

   ค.ศ. 1911 ได้รับเชิญไปเป็นศาสตราจารย์วิชาฟิสิกส์ ที่ มหาวิทยาลัยปราก  อยู่ได้ปีเดียวก็กลับมาสวิสอีก (สงสัยคิดถึงบ้าน..)

   ค.ศ 1913    เดินทางไปเยอรมันเพื่อรับตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันฟิสิกส์ไกเซอร์ วิลเฮลม์ (Kaiser Wilhelm Physical Institute )    แต่ภรรยาไม่ยอมไปด้วย เขากับภรรยาเลยต้องหย่ากัน  เขาอยู่ที่เยอรมัน 11ปี  และได้แต่งงานกับ เอลซ่า ไอน์สไตน์ (ญาติของเขาที่มีลูกติดแถมมาอีกคน)

      ค.ศ.1905  เขาตีพิมพ์หนังสือสือสะท้านวงการอีกเล่มคือ  General Theory of Relativity หรือ ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไป  เพื่อใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของกรอบอ้างอิงที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสัมพัทธ์ไม่คงที่ซึ่งกันและกัน คือมีความเร่ง  ผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปมีผลต่อ space  และ time  ที่ทำให้เกิดแนวคิดและปัญหามากมายเป็นที่โต้เถียงกันมาจนทุกวันนี้

   ค.ศ.1919  หนังสือพิมพ์ไทม์  ฉบับวันที่ 1 พ.ย. นำเรื่องของเขาลง พาดหัวข้อว่า  เขาเป็นผู้ทำให้ทฤษฎีฟิสิกส์สมัยเก่าล้าสมัยไปเสียแล้ว ทำให้มีชื่อเสียงมากขึ้นไปอีก มารดาเขาถึงแก่กรรมในช่วงนี้และชาวยิวได้รับการบีบคั้นจากรัฐบาลเยอรมัน ทำให้เขาไม่มีความสุขเท่าที่ควร

    ค.ศ.1921  ได้รับรางวัลโนเบิล สาขาฟิสิกส์  เขาส่งเงินทั้งหมดไปให้ภรรยาเก่าเลี้ยงดูบุตร

    ค.ศ.1925  ได้รับเหรียญคอปเลย์จากราชสมาคม และได้เดินทางไปประเทศต่างๆ ทำให้เกิดความคิดให้มีการก่อตั้งประเทศอิสราเอล

    ในช่วงที่อยู่อเมริกา เขาทราบข่าวว่า พวกนาซียึดบ้านของเขาเมื่อฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจใน ค.ศ 1933   เขาจึงไม่กลับเยอรมัน

    เขาเดินทางไปอังกฤษ และกล่าวคำคัดค้านพวกนาซี ค.ศ 1934 สถาบัน Advance Studies  แห่งมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน นิวเจอซี่เชิญเขาไปเป็นศาสตราจารย์ เขาตกลง และกล่าวว่า  "ข้าพเจ้าขอเลือกประเทศที่มีเสรีภาพทางการเมือง  ประชาชนมีขันติธรรม  และมีความเสมอภาคภายใต้กรอบของกฏหมาย"

       เขาทำงานวิจัยอีกหลายเรื่องในข่วงนี้ ทั้งไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาทางสนับสนุนองค์การ ไซออนนิส เพื่อก่อตั้งประเทศอิสราเอล โดยร่วมมือกับ ไซม ไวซมานน์ (Chaim Weizmann ค.ศ   1874 - 1952)   ศาสตราจารย์วิชาเคมีแห่ง มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (ต่อมา ค.ศ 1948  อังกฤษประกาศตั้งประเทศอิสราเอล ไวซมานน์ ได้รับเชิญเป็นประธานาธิบดีเป็นคนแรก เมื่อไวซ์มานน์เสียชีวิต  ขาวอิสราเอลเชิญไอน์สไตน์ไปเป็นประธานาธิบดี คนที่สอง เขาตอบปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า เขาไม่มีความชำนาญในด้านบริหาร(ถ้าเป็นในเมืองไทยเสร็จไปแล้ว..^_^)  ควรให้ผู้อื่นที่มีความเหมาะสมจะดีกว่า

"ผมรู้สึกซาบซึ้งกับข้อเสนอของรัฐบาลอิสราเอลเป็นอย่างมาก แต่ผมรู้สึกเสียใจและอับอายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถรับตำแหน่งอันมีเกียรตินี้ได้ เนื่องจากผมมีะูระยุ่งอยู่กับงานที่ผมตั้งใจจะทำไปจนตลอดชีวิตของผม......อีกประการหนึ่งผมไม่มีความรู้ความสามารถในด้านการบริหาร.."
ใจความตอนหนึ่งของจดหมาย

    ค.ศ.1936  เอลซา ภรรยาเขาถึงแก่กรรม ต่อมาอีกสามปี สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ระเบิด

      2 ส.ค. 1939  เอดเวร์ด เทลเลอร์,  ยูเกน พอลวิกเนอร์   และ  ลีโอ ซีลาร็ด ชาวฮังกาเรียนที่ทำงานเกี่ยวกับนิวเคลียร์ฟิสิกส์เข้ามาพบไอน์สไตน์และบอกว่าเยอรมันกำลังคิดค้นการทำระเบิดนิวเคลียร์(ทั้งสามหลบหนีออกมาจากเยอรมันได้ ) ทั้งสามชักชวนให้ไอน์สไตน์เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีรูสเวลล์ให้ตระหนักถึงภัยที่เกิดขึ้น  ซีลาร์ด เป็นคนร่างจดหมาย ไอน์สไตน์เป็นคนลงนาม เพราะเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่เยอรมันจะสร้างระเบิดนิวเคลียร์ จากนั้นซีลาร์ด ฝากจดหมายกับ ซาคัชส์ เพื่อมอบให้ประธานาธิบดี แต่เรื่องก็เงืยบหายไป และปีนี้เองที่เยอรมันบุกโปแลนด์

      ค.ศ. 1940  เยอรมันบุกเดนมาร์ก นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน 4 คน คือ เกลน ที,ซีบอร์ก,  เอ็ดวิน เอ็ม.แมคมิลแลน, โจเซฟ ดับบลิว.เคนนาดี,  ซี.วาห์ล ค้นพบ พลูโตเนียม

       7 ธ.ค. 1941  เพิร์ลฮาเบอร์ ฐานทัพที่ฮาวายถูกญี่ปุ่นโจมตี ทำให้สหรัฐต้องประกาศตัวเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2  อเมริกาคิดว่า เยอรมันกำลังสร้างระเบิดนิวเคลียร์ ประกอบกับ  นักวิทยาศาสตร์ 2 คน ที่หลบหนีออกมาจากเยอรมันคือ  รูดอล์ฟ เพียร์ลล์  (Rudolf Peierls)  และ  ออสโต  ริชาร์ด  ฟริสซ์ (Otto Richard Frisch)   คำนวณปริมาณยูเรเนียม - 235 ที่ใช้ทำระเบิดนิวเคลียร์ได้ ทำให้โครงการทำระเบิดของสหรัฐถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง และได้รับการอนุมัติ เรียกโครงการนี้ว่า  โครงการแมนฮัตตัน  เมื่อวันที่  13  สิงหาคม 1942 ด้วยงบประมาณ  2,000  ล้านดอลลาร์

       ด้วยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์หลายตนทั้งในอเมริกา และยุโรป  เช่น  นิลส์ โบร์  ฮาโรลด์ ยูเรย์ ฯลฯ ในที่สุดก็สร้างระเบิดขึ้นมาได้  3  ลูก ในจำนวนนี้ถูกนำไปทิ้งที่ฮิโรชิมา  และนางาซากิ 2 ลูก

       ผลจากการระเบิดทำให้ไอน์สไตน์เสียใจมาก เขากล่าวในตอนหลังว่า หากทราบว่าเยอรมันไม่สามารถสร้างระเบิดได้ เขาจะไม่เซ็นต์ชื่อในจดหมายฉบับนั้นเลย (ความจริงถ้าไม่มีนักวิทยาศาสตร์บางส่วนในเยอรมันที่คอยขัดขวางโครงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของเยอรมัน ไม่แน่ว่าเยอรมันอาจสร้างสำเร็จก็ได้ฉะนั้น จึงไม่ใช่ความผิดของไอน์สไตน์เลยในเรื่องนี้)

      ช่วงหลัง ไอน์สไตน์ พยายามเขียน ทฤษฎีเอกภาพแห่งสนาม(ที่สามารถอธิบายได้ทั้งสิ่งที่ใหญ่ที่สุดจนถึงเล็กที่สุด ที่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทำได้)  แต่ยังไม่สมบูรณ์

       1955  เขาลงนามในประกาศของ เบอร์ทรันด์  รัสเซลล์  ที่ประกาศให้เลิกใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในสงคราม

       ค.ศ 1955  วันที่ 18 สิงหาคม  ที่ปรินซตัน  นิวเจอร์ซ   ไอน์สไตน์ ถึงแก่กรรม ต่อมารัฐบาลสร้างหอคอยไอนฺสไตน์เป็นอนุสรณ์   

       ไอน์สไตน์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกมีมา เขาเป็นคนอารมณ์เย็น สุภาพ ไม่ยึดถือชื่อเสียงเงินทอง และมีอารมณ์ขันอยู่เสมอซึ่งแสดงออกจากการเขียนจดหมายส่วนตัวหลายฉบับ รวมทั้งภาพถ่ายต่างๆ (แต่หาดูได้ยาก)