อริสโตเติ้ล
บิดาแห่งสัตววิทยา
คู่อริทางความคิดคนสำคัญที่สุดของกาลิเลโอ
แต่เกิดก่อนกาลิโลเอประมาณ
2000 ปี
งานที่เด่นมกที่สุดของเขาคือความนักปรัชญา
รองลงไปคืองานเกี่ยวกับวิทยาศาตร์
เขาเขียนตำราเกี่ยวกับชีวิตส้ตว์มากมายหลายเล่มจากการที่ใช้เวลาศึกษาความเป็นไปของสัตว์ต่างๆที่เกาะแห่งหนึ่งเป็นเวลากว่า
2 ปี
รวมแล้วเป็นหนังสือกว่า
20 เล่ม ชีวิตสัตว์ 540
ชนิดทำให้ได้รับ ฉายาว่า "บิดาแห่งสัตววิทยา"
หนังสือเขาเขาที่ได้รับแปลเป็นภาษาลาติน
มี 4 เรื่องคือ
1.
สิ่งมีชีวิตทั่วไป (De anima)
2.
ประวัติความเป็นมาของสัตว์
(De Historia animalium)
3. วงจรชีวิตสัตว์ (De
generatione animalium)
4. อวัยวะต่างๆของสัตว์
(De partibus animalium)
อริสโตเติล
เคยเป็นอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
(สมัยที่ยังทรงพระเป็นเด็ก
^_^
บุตรขายของพระเจ้าฟิลิปที่
2 ขแงแคว้นมาซีตอน)
เพราะเขายังเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการปกครองและอักษรศาสตร์
แม้กระทั่งหลักธรรมมะ
เขาเป็นผู้ริเริ่มการจัดจำพวกสัตว์ออกเป็นหมวดหมู่
โดยแบ่งสัตว์เป็น 2 พวกคือ
1.
สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง
(Vertibrates) มีเลือดสีแดง
เช่น คน ปลาวาฬ
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สัตว์เลื้อยคลาน
2.
สัคว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง
(Invertibrates)
มีทั้งพวกที่เลือดสีแดง
และไม่มีเลือดสีแดง
อรืสโตเติ้ลยังศึกษาเรื่องดาราศาสตร์โดยได้แนวความคิดมาจากเพลโต
ผู้เป็นอาจารย์
เขายอมรับในธาตทั้ง 4 คือ
ดิน น้ำ ลม ไฟ
และเสนอธาตุ อีเธอร์ (Ether)
ขึ้นมาอีกธาตุหนึ่ง
โดยบอกว่า
ธาตุอีเธอร์เป็นส่วนประกอบของท้องฟ้า
เขาเชื่อคำพูดของ
พิธากอรัส ที่บอกว่า
สิ่งที่อยู่บนพื้นดินมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
แต่ท้องฟ้าและจักรวาลไม่มีการเปลี่บนแปลง
ธาตุทั้ง 5
ที่ว่าต่างพยายามที่จะกลับไปอยู่ที่เดิมของมัน
เช่น ไฟ ต้องอยู่บนท้องฟ้า
มันจึงพยายามลอยสูงขึ้นเสมอ
ธาตุดินอยู่ล่าง
มันจึงพยายามหล่นลงมาอยู่ที่พื้น
ยิ่งใหญ่หรือหนักมากยิ่งตกเร็ว
(จุดนี้แหละที่กาลิเลโอเถึยงหัวชนฝาในเวลาต่อมา)
เขาเรียงธาตุหนักมากที่สุดไปหาเบาที่สุดดังนี้
ดิน น้ำ ลม ไฟ
เขาเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
(นี่ก็เป็นข้อหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยุคหลังเถียงหัวชนฝาเหมือนกัน
แน่นนอน
รวมถึงกาลิเลโอขาประจำด้วย)
ดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์กลม
เขาให้เหตุผลโลกกลมว่า "ถ้าโลกแบนเราต้องมองเห็นดาวทุกดวงได้จากทุกตำแหน่งบนพื้นโลก
หรือถ้าเดินไปทางเหนือเรื่อยๆท้องฟ้าด้านเหนือจะปรากฏดาวดวงใหม่ให้เห็น
ขณะที่ดาวดวงเก่าค่อยลดหายไปทางขอบฟ้าด้านใต้"
และความเชื่อที่ว่า
วัตถุทั้งหมดประกอบด้วยเนื้อของสิ่งดั้งเดิม
ผสมกับธาตุทั้ง 4 คือ ดิน
น้ำ ลม ไฟ
ทำเอาให้เกิดการเล่นแร่แปรธาตุของคนในสมัยกลาง
เช่น
พยายามเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นเงิน
เพราะถ้าจริงอย่างที่อริสโตเติลว่า
ก็เป็นไปได้
แต่ก็เป็นไปไม่ได้
แตก็ทำให้เกิดการค้นพบอะไรต่างๆ
อีกมากมายเป็นการเสียค่าโง่)
ในแง่ของดาราศาสตร์
อริสโตเติล
บวกความเป็นปรัชญาเข้ามากไปกว่าการทดลองหาข้อเท็จจริง
ทำให้เกิดความเชื่อที่ไม่ถูกต้องหลายประการ
เช่น
สัตว์พวกแมลงต่าง ๆ
เกิดจากน้ำค้าง
เม็ด ไร
เกิดจากสสารที่เน่าเปื่อย
ของหนักตกถึงพื้นโลกเร็วมากกว่าของเบา
อากาศไม่มีน้ำหนัก
ไม่มีสูญญากาศ
ความเชื่อของอริสโตเติลมีผลต่อความเชื่อและได้รับการยอมรับมากจนน่าแปลกใจ
เป็นเวลานานนับพันปี
ขนาดกาลิเลโอ
ทดลองให้เห็นกับตาว่าของหนักตกถึงพื้นพร้อมกันกับของเบา(ถ้าไม่คิดแรงเสียดทานอากาศ)
ก็ยังไม่เชื่อ
หาว่าเล่นกลให้ดูอีก
กาลิโลเอใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อหักล้างจนเกือบโดนเผาทั้งเป็นก็ยังไม่สำเร็จ...แต่มองมุมหนึ่งก๊เห็นใจที่ว่าสมัยก่อนแทบไม่มีเครื่องมืออะไรช่วยเลย
ที่จริงอาริสโตเติลลืมธาตุที่สำคัญไปหนึ่งอย่างคือธาตุเงิน
^_^
ไม่ว่าจะเป็นแบบเหรียญหรือแบบแบ็งคก็ต้องมีแทรกอยู่ในสังคมเสมอ
ธาตุนี้มันไม่ค่อยอยู่กับเราเลย
หาก็ยาก จากไปง่าย
ยิ่งธาตุทองยิ่งแล้วนับวันยิ่งสำคัญ
คำโบราณไทยว่าไว้ว่า "เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร"
สมัยนี้กลายเป็น "ได้ทองเท่าหัวเชิญเอาผัวฉันไป"
ส่วนฝ่ายชายยิ่งมันส์กว่า...เขาบอกว่า
"
ทองไม่ต้องเสียเชิญเอาเมียฉันไป"
แสบ.. ^_^

|