อริสโตเติ้ล (Aristotle  : 384 - 322 ก่อน ค.ศ.)

  อริสโตเติ้ล บิดาแห่งสัตววิทยา คู่อริทางความคิดคนสำคัญที่สุดของกาลิเลโอ แต่เกิดก่อนกาลิโลเอประมาณ 2000 ปี  งานที่เด่นมกที่สุดของเขาคือความนักปรัชญา  รองลงไปคืองานเกี่ยวกับวิทยาศาตร์ เขาเขียนตำราเกี่ยวกับชีวิตส้ตว์มากมายหลายเล่มจากการที่ใช้เวลาศึกษาความเป็นไปของสัตว์ต่างๆที่เกาะแห่งหนึ่งเป็นเวลากว่า 2 ปี รวมแล้วเป็นหนังสือกว่า 20  เล่ม ชีวิตสัตว์ 540 ชนิดทำให้ได้รับ ฉายาว่า "บิดาแห่งสัตววิทยา" หนังสือเขาเขาที่ได้รับแปลเป็นภาษาลาติน มี 4 เรื่องคือ

1.   สิ่งมีชีวิตทั่วไป   (De anima)
2.   ประวัติความเป็นมาของสัตว์ (De Historia animalium)
3.   วงจรชีวิตสัตว์  (De generatione animalium)
4.   อวัยวะต่างๆของสัตว์ (De partibus animalium)

อริสโตเติล เคยเป็นอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (สมัยที่ยังทรงพระเป็นเด็ก ^_^  บุตรขายของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 ขแงแคว้นมาซีตอน) เพราะเขายังเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการปกครองและอักษรศาสตร์ แม้กระทั่งหลักธรรมมะ

 เขาเป็นผู้ริเริ่มการจัดจำพวกสัตว์ออกเป็นหมวดหมู่ โดยแบ่งสัตว์เป็น 2 พวกคือ

1.   สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง (Vertibrates) มีเลือดสีแดง  เช่น  คน  ปลาวาฬ  สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน
2.   สัคว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง (Invertibrates)  มีทั้งพวกที่เลือดสีแดง และไม่มีเลือดสีแดง

อรืสโตเติ้ลยังศึกษาเรื่องดาราศาสตร์โดยได้แนวความคิดมาจากเพลโต ผู้เป็นอาจารย์ เขายอมรับในธาตทั้ง 4 คือ ดิน  น้ำ ลม  ไฟ และเสนอธาตุ อีเธอร์ (Ether) ขึ้นมาอีกธาตุหนึ่ง โดยบอกว่า ธาตุอีเธอร์เป็นส่วนประกอบของท้องฟ้า เขาเชื่อคำพูดของ พิธากอรัส ที่บอกว่า สิ่งที่อยู่บนพื้นดินมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ท้องฟ้าและจักรวาลไม่มีการเปลี่บนแปลง  ธาตุทั้ง 5 ที่ว่าต่างพยายามที่จะกลับไปอยู่ที่เดิมของมัน  เช่น ไฟ ต้องอยู่บนท้องฟ้า มันจึงพยายามลอยสูงขึ้นเสมอ  ธาตุดินอยู่ล่าง มันจึงพยายามหล่นลงมาอยู่ที่พื้น  ยิ่งใหญ่หรือหนักมากยิ่งตกเร็ว (จุดนี้แหละที่กาลิเลโอเถึยงหัวชนฝาในเวลาต่อมา) เขาเรียงธาตุหนักมากที่สุดไปหาเบาที่สุดดังนี้  ดิน  น้ำ ลม ไฟ

เขาเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (นี่ก็เป็นข้อหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยุคหลังเถียงหัวชนฝาเหมือนกัน แน่นนอน รวมถึงกาลิเลโอขาประจำด้วย)   ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์กลม   เขาให้เหตุผลโลกกลมว่า "ถ้าโลกแบนเราต้องมองเห็นดาวทุกดวงได้จากทุกตำแหน่งบนพื้นโลก หรือถ้าเดินไปทางเหนือเรื่อยๆท้องฟ้าด้านเหนือจะปรากฏดาวดวงใหม่ให้เห็น ขณะที่ดาวดวงเก่าค่อยลดหายไปทางขอบฟ้าด้านใต้"

และความเชื่อที่ว่า  วัตถุทั้งหมดประกอบด้วยเนื้อของสิ่งดั้งเดิม ผสมกับธาตุทั้ง 4 คือ ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ทำเอาให้เกิดการเล่นแร่แปรธาตุของคนในสมัยกลาง  เช่น พยายามเปลี่ยนตะกั่วให้เป็นเงิน เพราะถ้าจริงอย่างที่อริสโตเติลว่า ก็เป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ แตก็ทำให้เกิดการค้นพบอะไรต่างๆ อีกมากมายเป็นการเสียค่าโง่)

ในแง่ของดาราศาสตร์ อริสโตเติล บวกความเป็นปรัชญาเข้ามากไปกว่าการทดลองหาข้อเท็จจริง ทำให้เกิดความเชื่อที่ไม่ถูกต้องหลายประการ เช่น

     สัตว์พวกแมลงต่าง ๆ เกิดจากน้ำค้าง
     เม็ด ไร เกิดจากสสารที่เน่าเปื่อย
    ของหนักตกถึงพื้นโลกเร็วมากกว่าของเบา
     อากาศไม่มีน้ำหนัก
     ไม่มีสูญญากาศ

  ความเชื่อของอริสโตเติลมีผลต่อความเชื่อและได้รับการยอมรับมากจนน่าแปลกใจ เป็นเวลานานนับพันปี  ขนาดกาลิเลโอ  ทดลองให้เห็นกับตาว่าของหนักตกถึงพื้นพร้อมกันกับของเบา(ถ้าไม่คิดแรงเสียดทานอากาศ) ก็ยังไม่เชื่อ หาว่าเล่นกลให้ดูอีก   กาลิโลเอใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อหักล้างจนเกือบโดนเผาทั้งเป็นก็ยังไม่สำเร็จ...แต่มองมุมหนึ่งก๊เห็นใจที่ว่าสมัยก่อนแทบไม่มีเครื่องมืออะไรช่วยเลย

ที่จริงอาริสโตเติลลืมธาตุที่สำคัญไปหนึ่งอย่างคือธาตุเงิน ^_^
ไม่ว่าจะเป็นแบบเหรียญหรือแบบแบ็งคก็ต้องมีแทรกอยู่ในสังคมเสมอ
ธาตุนี้มันไม่ค่อยอยู่กับเราเลย หาก็ยาก จากไปง่าย ยิ่งธาตุทองยิ่งแล้วนับวันยิ่งสำคัญ คำโบราณไทยว่าไว้ว่า
"เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร"  สมัยนี้กลายเป็น  "ได้ทองเท่าหัวเชิญเอาผัวฉันไป"   ส่วนฝ่ายชายยิ่งมันส์กว่า...เขาบอกว่า " ทองไม่ต้องเสียเชิญเอาเมียฉันไป" แสบ.. ^_^