บทที่ 1
พื้นฐานอารยธรรมโลก
จุดประสงค์: เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจ, ตระหนักถึงความสำคัญ และสามารถอธิบายได้เกี่ยวกับภูมิหลังทางสังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง-วัฒนธรรมในระดับอารยธรรมหลักของโลกที่มีต่อปรากฏการณ์ทางสังคม-เศรษฐกิจ-การเมือง-วัฒนธรรมในประชาคมโลก
ประวัติศาสตร์คริสต์ศาสนา คือ ประวัติศาสตร์แห่งความรอด (History of Salvation) กล่าวคือ รอดพ้นจากบ่งทุกข์ที่นำมนุษย์ตกต่ำลงนับตั้งแต่เมื่อมนุษย์คู่แรกคืออีฟกับอาดัมไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า ด้วยการไปกินผลไม้จากต้นต้องห้าม เพราะหลงเชื่อคำหลอกลวงของซาตาน ทำให้อีฟกับอาดัมถูกพระเจ้าขับไล่ออกจากสรวงสวรรค์คือสวนอีเดน. ด้วยเหตุที่กล่าวนี้ จึงทำให้บางครั้งก็เรียกกันว่า ประวัติศาสตร์ของการตกสวรรค์ (History of the Fall). ในแง่นี้จึงกล่าวได้ว่า ศาสนาคริสต์ไม่ได้เริ่มต้นที่การมาปรากฏตัวขึ้นของพระเยซู แต่เริ่มต้นจากความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์นับตั้งแต่การสร้างโลก และจะดำเนินไปจบสิ้นอย่างสมบูรณ์เมื่อโลกสิ้นไป (ในวันสิ้นโลก) เมื่อจะเกิด ฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ ขึ้นอีกครั้ง. อย่างไรก็ตาม ถือกันว่า การมาปรากฏตัวของของพระเยซูนั้น เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งความรอดนี้ เพราะพระองค์ทรงทำให้ พันธสัญญา (Alliance) ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์สมบูรณ์ โดยทรงเปิดเผยสัจธรรมที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความหลุดพ้น หรืออีกนัยหนึ่ง นำมนุษย์ไปหาพระเจ้า พันธสัญญานี้หมายถึงสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งเริ่มกับมนุษย์คู่แรกและกับบุคคลสำคัญอีกหลายคน รวมทั้งกับชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคือชาติอิสราเอล พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะทรงช่วยให้มนุษย์พ้นทุกข์และได้รับความรอดนิรันดรในที่สุดถ้าหากมนุษย์ซื่อสัตย์และปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระองค์ ชาวคริสต์จึงมองวิวัฒนาการของศาสนาคริสต์ในฐานะที่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งความรอด ซึ่งครอบคลุมไปถึงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งหมด โดยถือว่า พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดแก่มนุษยชาติ และทรงเป็นจุดหมายสุดท้ายที่มนุษยชาติกำลังพัฒนาไปสู่ พระเจ้าตรัสกับคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่คริสต์ด้วยวิธีการต่างๆ มนุษย์ทุกคนไมว่าจะนับถือศาสนาใดหรือลัทธิความเชื่อใดก็สามารถนำไปสู่ความหลุดพ้นได้เหมือนกัน (น. 2).
แนวคิดสำคัญของชนชาติอิสราเอลที่รองรับการกำเนิดศาสนาคริสต์ (น. 10) คือ
1)แนวคิดเรื่องพระแมสสิอาห์ (Messianism) กล่าวคือ เชื่อว่าความทุกข์ของมนุษย์นั้นเกิดจากบาปที่ตนได้กระทำ การจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้จึงหมายถึงการปลดเปลื้องตนเองให้บริสุทธิ์จากบาปจึงจะหลุดพ้น การหลุดพ้นหรือการอยู่รอดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการที่พระเจ้าส่งพระแมสสิอาห์มาช่วย โดยที่จะมีประกาศก (Prophet)[2] คอยประกาศการมาถึงของพระแมสสิอาห์ (ซึ่งจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการมาของพระเยซู).
2)สำนึกทางประวัติศาสตร์ (Sense of History) กล่าวคือ คิดถึงเวลาเชิงประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องมานับตั้งแต่การสร้างโลก การตกสวรรค์ กำเนิดและวิวัฒนาการของชนชาติอิสราเอล โดยที่เหตุการณ์ต่างๆ ต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน. ประวัติศาสตร์เริ่มจากพระเจ้า ดำเนินไปพร้อมกับพระเจ้า และจะสิ้นสุดที่พระเจ้า เป็นประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ (น. 10).
3)เอกเทวนิยม (Monetheism) คือเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตผูกพันและเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียวนี้, โดยเชื่อในปรีชาญาณ (Wisdom) ของพระเจ้าว่าความรู้ความสามารถใดๆ ล้วนแล้วแต่มาจากพระองค์ทั้งสิ้น, เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า (The Word of God) ที่ตรัสผ่านทางบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆ, และเชื่อว่าพระเจ้าอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ โดยทรงกำหนดกฎหมาย กฎเกณฑ์ และบทบัญญัติ (บัญญัติ 10 ประการ)[3] ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะเชื่อว่ามาจากพระเจ้าและเพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์ของตน.
อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์อิสราเอลนั้นการเปิดเผยสัจธรรมเพื่อช่วยมนุษย์ให้ปลดเปลื้องบาปกำเนิดของตนได้แสดงผ่านประกาศก ผู้นำ และเหตุการณ์ต่างๆ ในแง่นี้จึงถือกันว่าการปรากฏขึ้นของพระเยซูสำคัญต่อประวัติศาสตร์ความรอดของชาวคริสต์ เพราะถือเป็นการเปิดเผยสัจธรรม ขั้นสมบูรณ์ เนื่องจากครั้งนี้พระเจ้าไม่ได้ใช้คนกลางเพื่อเผยแสดงสัจธรรม แต่ผ่านทางพระเยซูซึ่งคือ พระบุตร ของพระองค์เอง ชีวิต วัตรปฏิบัติ และคำสั่งสอนของพระเยซูจึงเป็น หนทาง ความจริง และชีวิต ที่จะนำมนุษย์ไปสู่ความรอด (น. 11).
เรื่องกำเนิดของพระเยซูมีบันทึกไว้แตกต่างกันในหนังสือของมัทธิวกับลูกา กล่าวคือ อาจจะเนื่องเพราะ มัทธิวเขียนพระวรสารฉบับนี้สำหรับชาวอิสราเอลที่ยอมรับพระเยซูภายหลัง จึงเน้นเรื่องราวที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของพระเยซูผู้ทรงเป็น กษัตริย์ องค์ใหม่ โดยโยงเชื้อสายไปถึงอับราฮัม บิดาแห่งชนชาติอิสราเอล และกษัตริย์ดาวิด และเมื่อพระเยซูกำเนิดจากครรภ์ของนางมารีย์ ซึ่ง ทรงครรภ์ด้วยอำนาจของพระเจ้า ก็ให้มีโหราจารย์ทั้งเจ็ดจากทิศต่างๆ เดินทางตามดวงดาวไปเฝ้าโดยเชื่อว่าเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของชาวอิสราเอล (น. 12). อย่างไรก็ตาม พระเยซูถูกวาดภาพให้เป็น สามัญชน มากขึ้นในพระวรสารฉบับของลูกา โจเซฟกับมารีย์ต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ทไปขึ้นทะเบียนสำมะโนประชากรที่เมืองเบทเธเลเฮมตามภูมิลำเนาเดิม เนื่องจักรพรรดิออกุสตุสที่ออกคำสั่งให้ประชาชนทุกคนต้องไปขึ้นทะเบียน มารีย์คลอดลูกในถ้ำ และต้องวางบุตรไว้ในรางน้ำ (manger; ดู Luke 2/7) เนื่องจากที่พักในโรงแรมเต็มหมด โดยมีเทวทูตสวรรค์ร้องเพลงกล่อมและคนเลี้ยงแกะพากันไปนมัสการ.[4]
ครั้นเมื่ออายุได้ 30 ปี พระเยซูก็ได้รับพิธีล้างบาปจากยอห์น แบบติสท์ และเริ่มออกประกาศ ข่าวดี เกี่ยวกับการมาถึงของ อาณาจักรพระเจ้า ให้ทุกคนกลับใจเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตตนเอง. การกระทำสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ เพื่อประกาศสัจธรรมและการมาถึงของอาณาจักรพระเจ้าถือเป็นภารกิจสำคัญของพระเยซู เพราะ การอัศจรรย์เป็นเครื่องหมายสำคัญถึงอำนาจของพระเจ้าเหนือธรรมชาติและสิ่งสร้างของพระองค์เอง ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว (Luke 11/20) (น. 14). เมื่อยอห์นถูกจับและส่งคนไปถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระแมสสิอาห์จริงหรือไม่ พระองค์ตอบว่า จงไปแจ้งแก่ยอห์น สิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยินได้ คนตายแล้วกลับคืนชีพ และคนจนก็ได้รับข่าวดี (Luke 11/4-5). การอัศจรรย์จึงมี ความหมาย มากกว่าการรักษาทางร่างกายหรือการฝ่าฝืนกฎธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างขึ้นเอง แต่เป็นการ รักษาทางจิตวิญญาณ ที่จะช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปที่ทำให้ต้องทุกข์ทรมานหรือสิ้นชีวิต และเป็น เครื่องหมาย และ อานุภาพ ของการมาถึงของอาณาจักรพระเจ้ามากกว่า (น. 14-5).
คำสอนที่ถือกันว่าสำคัญที่สุดคือบทบัญญัติแห่งความรัก ดังคำสอนที่ว่า จงรักพระเจ้าของเจ้าสุดจิตใจ สุดกำลังและสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง (Luke 10/25-27). พระเจ้าทรงรักมนุษย์โดยไม่เลือกว่าคนดีหรือเลว คนที่รักพระองค์หรือคนบาป เหมือนชุมพาบาลเที่ยวตามหาลูกแกะที่หายไปจนกระทั่งพบ และแบกใส่บ่ากลับบ้านความยินดี (Luke 15/4-7). สำหรับความรักที่มนุษย์มีต่อพระเจ้าก็ต้องเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน ด้วยการปฏิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า เพราะ ผู้ที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัตินั้น ผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่รักเรา และผู้ที่รักเรานั้นพระบิดาก็จะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจำสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา (John 14/21). ส่วนเรื่องความรักในเพื่อนมนุษย์นั้น ก็สอนให้รักแม้กระทั่งศัตรูและผู้หวังร้าย รักอย่างเพียรทนและไม่มีเงื่อนไข รักด้วยสันติ ไม่ตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง ดังคำสอนบนภูเขาที่ว่า ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิทและจงเกลียดศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและแก่คนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและอธรรม ถ้าท่านรักแต่ผู้ที่รักท่าน ท่านได้บำเหน็จอะไร แม้คนเก็บภาษีก็กระทำเช่นนั้นไม่ใช่หรือ (Matthew 5/43-46) และ ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน ฝ่ายเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้กับคนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มซ้ายให้เขา (Matthew 5/33). กล่าวคือ เป็นความรักที่ให้อภัยได้อย่างไม่มีสิ้นสุด (แต่ก็เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้พระเจ้าให้อภัยตนเองด้วยเช่นกัน ดังคำสอนที่ว่า ถ้าท่านมีเหตุกับผู้หนึ่งผู้ใดจงยกโทษให้ผู้นั้นเสียเพื่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะโปรดยกความผิดของท่านด้วย ดู Mark 11/25).
เซนต์ปอล: ธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง (For the whole law is summed up in a single commandment, You shall love your neighbor as yourself, Galatians 5/14).
เสรี พงศ์พิศ: ชาวคริสต์ถือเป็นประเพณีตลอดมานับแต่เริ่มต้นว่า บัญญัติแห่งความรักเป็นบัญญัติที่สำคัญที่สุด เพราะเป็น พินัยกรรม ของพระเยซูเองผู้ทรงมอบให้บรรดาสาวกก่อนจะถูกจับและถูกประหารว่า เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะได้รู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา (John 13/34-35) หมายความว่าหัวใจของอาณาจักรพระเจ้าอยู่ที่ความรัก และพระศาสนจักรที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นก็จะคงอยู่และเติบโตด้วยบัญญัตินี้ (น. 20).
ชีวิตการเทศนาสั่งสอนของพระเยซูมีระยะสั้นเพียง 3 ปี และเหตุการณ์ในชีวิตบั้นปลายที่ถือกันว่าสำคัญที่สุดและถือเป็น หัวใจ ของความเชื่อทั้งหมดของชาวคริสต์ ก็คือ การรับทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการฟื้นคืนชีพ เพราะพระภารกิจการไถ่บาปของพระเยซูได้เสร็จสมบูรณ์ด้วยเหตุการณ์นี้ กางเขนหมายถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงแสดงออกทางพระบุตรที่ถูกตรึง และหมายถึงการไถ่บาป การรับทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (น. 21) และการฟื้นคืนชีพนั้นก็เป็น หัวใจ ของการไถ่บาปและเป็นเครื่องยืนยันความเชื่อที่ว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูก็จะได้กลับคืนชีพกลับคืนสู่สวรรค์อีกครั้งเหมือนกับพระองค์ เพราะพระองค์ได้เอาชนะความตายและจะทรงช่วยให้มนุษย์เอาชนะความตายได้ด้วยเช่นเดียวกัน (น. 24) (ซึ่งก็จะมีความหมายเท่ากับทำให้เส้นทางประวัติศาสตร์แห่งความรอด/การตกสวรรค์ถึงเป้าหมายสิ้นสุดลง).
หลังจากที่พระเยซูสิ้นชีวิตแล้ว ศาสนาคริสต์จึงถือกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริง โดยบรรดาสาวกได้พากันออกไปประกาศข่าวดีและออกไปเทศนาสั่งสอนคนชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว โดยชี้ให้เห็นว่า พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่แต่สำหรับชาวยิว (น. 27) ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจให้กับชาวยิวเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าพระแมสสิอาห์จะเสด็จมาเพื่อสถาปนาอาณาจักรใหม่ให้กับอิสราเอลซึ่งเป็นประชาชาติที่พระเจ้าเลือกแล้วเท่านั้น. คำสอนที่ว่าพระเยซูมิใช่เป็นเพียงพระผู้ไถ่บาปเฉพาะแก่ชาวยิวเท่านั้น แต่ทรงเป็นศาสดาของคริสต์ศาสนาที่เป็นศาสนาสากลทำให้คริสต์ศาสนาแพร่ขยายต่อไปทั้งในปาเลสไตน์และดินแดนใกล้เคียงทั่วบริเวณตะวันตกใกล้. ส่วนคนที่ต่อสู้กับเรื่องพระเยซูเป็นศาสดาของมวลมนุษย์ทุกชนชาติอย่างมาก คือเซนต์ปอล (อดีตเคยเป็นผู้ที่ขัดขวางและทำร้ายชาวคริสต์ แต่ภายหลังกลับใจหลังจากที่ได้รับการเผยแสดงโดยตรงจากพระเยซู หลังจากที่พระองค์สิ้นชีพไปแล้ว) โดยการออกไปประกาศ ข่าวประเสริฐ นอกดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งก็ถูกขัดขวางจากชาวยิวที่พยายามจะให้จักรวรรดิโรมันจัดการกับเซนต์ปอล. ในที่สุดเซนต์ปอลก็ถูกจับในข้อหาเป็นหัวหน้าพวกเป็นภัยต่อความมั่นคงของจักรวรรดิ ได้ยื่นฎีกาต่อจักรพรรดิในฐานะที่มีสัญชาติโรมัน แต่ในที่สุดก็คือถูกประหารชีวิตตัดศีรษะที่กรุงโรม หลังจากที่ได้ออกไปประกาศข่าวและก่อตั้งประชาคมใหม่ๆ จำนวนมากที่ไม่ใช่ยิวและส่วนใหญ่เป็นชาวกรีก ซึ่งในกรีกนี่เองที่ทำให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูได้ชื่อว่า ชาวคริสต์ ตามภาษากรีก คือ Christos ที่แปลว่า Messiah หรือ ผู้ที่ได้รับการเจิมด้วยน้ำมัน ซึ่งหมายถึงผู้ที่ได้รับเลือกจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่สำคัญในภาษาฮีบรู (น. 28-29).
แม้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าศาสนาคริสต์จะแพร่เข้าไปในกรุงโรมเมื่อไร แต่ในสมัยจักรพรรดิเคลาดิอุส (41-54) นั้นก็มีชาวยิวที่เป็นคริสต์ถูกขับไล่ออกจากโรมโดยคำสั่งของจักรพรรดิ เนื่องเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นภัยต่อความมั่นคง (และจะถูกขัดขวางทารุณอยู่เป็นระยะก่อนที่จะได้รับให้เป็นศาสนาประจำจักรวรรดิในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4) และในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 2 นั้นก็มีหลักฐานบันทึกว่า ศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาในช่วงนั้นมีอยู่ 2 แห่ง คือที่กรุงโรมกับทางเหนือของแอฟริกา (น. 31).
เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดต่อพัฒนาการของคริสต์ศาสนาในช่วงนี้ที่จะนำไปสู่การเป็นรากฐานของอารยธรรมตะวันตกในเวลาต่อมาก็คือ[5] การที่จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงประกาศโองการแห่งเมืองมิลาน (Edict of Milan) ยอมให้มีเสรีภาพแก่ชาวคริสต์เมื่อ ค.ศ. 313 และต่อมาในปี ค.ศ. 324 พระองค์ก็ทรงรับนับถือศาสนาคริสต์ ทำให้ศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน. เนื่องจากสมัยที่พระองค์ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์นั้นได้เกิดความระส่ำระสายภายในจักรวรรดิ คือแตกออกเป็นสองอาณาจักร คือโรมันตะวันตกกับโรมันตะวันออก ทำให้ผู้คนเริ่มหมดหวังกับชีวิตในโลกนี้ สอดคล้องกับคำสอนของคริสต์ศาสนาเกี่ยวกับชีวิตในโลกหน้า ชาวโรมันจำนวนมากเริ่มหันมานับถือคริสต์ศาสนา. หลังจากที่พระองค์ทรงรวบรวมจักรวรรดิเข้าเป็นหนึ่งเดียวเข้าด้วยกันอีกครั้งในปี ค.ศ. 312 พระองค์ก็หันมารับเป็นคริสต์ศาสนิกชน เพราะหวังจะให้คริสต์ศาสนาจะเป็นเครื่องมือทำให้ผู้คนในจักรวรรดิรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้. หลังจากนั้น จักรพรรดิคอนสแตนตินก็ได้สถาปนาเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่เมืองไบแซนติอุม และตั้งชื่อใหม่ว่ากรุงคอนสแตนติโนเบิล.[6] การที่จักรพรรดิคอนสแตนตินหันรับคริสต์ศาสนาและประกาศให้เป็นศาสนาประจำอาณาจักรนี้ทำให้กรุงโรมและกรุงคอนสแตนติโนเบิลกลายเป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (น. 187). แม้ว่าในเวลาต่อมาจักรวรรดิโรมันจะแตกออกเป็น 2 แห่งอีกครั้ง และจักรวรรดิโรมันตะวันตกซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมได้ถึงแก่ความพินาศลงเป็นครั้งสุดท้ายและอย่างถาวรในปี ค.ศ. 476 ด้วยการเข้าโจมตีของพวกอนารยชนเผ่าเยอรมันเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 5 แต่ถึงตอนนั้นคริสต์ศาสนาก็พัฒนาองค์กรขึ้นมาอย่างเข้มแข็งแล้ว โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม.
เมื่อกรุงโรมแตกเพราะถูกพวกอนารยชนบุกเข้ายึดและสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดแทนจักรพรรดิโรมันตะวันตก สังคมตะวันตกก็เริ่มเดินเข้าสู่ยุคกลาง (บางครั้งก็เรียกกันว่า ยุคมืด) ที่ต่อมาจะคลี่คลายมาเป็นยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และเป็นสมัยใหม่ในที่สุด. เมื่อไม่มีจักรพรรดิที่มีอำนาจปกครองแข็งแกร่งทำให้กลายเป็นช่องว่างให้สันตะปาปาสร้างสมอำนาจขึ้นเรื่อยๆ และพยายามจะขยายอำนาจไปครอบคลุมคริสต์ศาสนาของโรมันตะวันออกด้วย ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งและการแยกกันเด็ดขาดระหว่างนิกายโรมันแคธอลิคกับนิกายกรีกออร์โธดอกซ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 11. นอกจากนี้ เมื่อพวกอนารยชนเผ่าแฟรงค์เข้ายึดจักรวรรดิโรมันได้แล้วก็รับเอาและสืบทอดอารยธรรมของโรมันต่อมา โดยเฉพาะเมื่อกษัตริย์โคลวิส (Clovis, ค.ศ. 481-511) หันมานับถือคริสต์ศาสนาและยอมรับอำนาจของสันตะปาปาในฐานะประมุขของคริสต์ศาสนา และผู้นำทางจิตวิญญาณของคริสต์ศาสนิกชน. ด้วยความสนับสนุนของสันตะปาปา ทำให้กษัตริย์โคลวิสสามารถขยายอาณาจักรออกไปกว้างใหญ่และมั่งคงแทนที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกที่สลายตัวไป. หลังจากนั้นคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากต่อสังคมและวัฒนธรรมยุโรป เพราะในช่วงที่จักรวรรดิโรมันจะเสื่อมนั้นผู้คนได้พบเห็นแต่ความวุ่นวายและความเสื่อมของสังคมและวัฒนธรรม จึงเห็นว่าคริสต์ศาสนาสามารถตอบสนองความปรารถนาทางจิตใจได้ เพราะสอนถึงชีวิตในโลกหน้า ที่มนุษย์ทุกคนเสมอภาคกันเบื้องหน้าพระพักตร์พระเจ้า โดยมีศาสนจักร ที่มีสันตะปาปา (Pope) เป็นผู้นำสูงสุด ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า คอยช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากบาป และให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าด้วยการประกอบศาสนาพิธี นอกจากศาสนจักรจะอุทิศตัวเป็นตัวกลางแล้วยังไม่อนุญาตให้สถาบันหรือบุคคลใดขึ้นมาเป็นคู่แข่งในหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ โดยอ้างว่ามีแต่ศาสนจักรเท่านั้นที่สามารถตีความและปฏิบัติคำสั่งของพระศาสนาและมีหนทางช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป ดังนั้นมนุษย์จะมีชีวิตโดยขาดคนกลางไม่ได้ ถ้ามีความขัดแย้งกับศาสนจักรก็จะต้องถูกไต่สวนในศาลศาสนา โดยมีกลไกสนับสนุน 3 ประการ คือ 1)Canon Law หรือกฎหมายที่รวบรวมมาจากพระคัมภีร์ งานประพันธ์ของศาสดาพยากรณ์ ระเบียบคำสอนที่สภาศาสนาตั้งขึ้น และกฤษฎีกาของสันตะปาปา ใช้สำหรับลงโทษการสาบานเท็จ การลบหลู่ศาสนา การทำเวทมนต์คาถา และการตีความและเผยแพร่คำสอนผิดๆ นอกรีต (heresy, heretic) ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดในยุคนั้น, 2)Excommunication คือบัพพาชนียกรรม หรือ การคว่ำบาตร ถือเป็นมาตรการที่ร้ายแรงมาก ผู้ที่ถูกตัดขาดจะถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ได้รับความช่วยเหลือทางจิตวิญญาณ สมาคมกับคริสต์ศาสนิกชนคนอื่นๆ ไม่ได้ และไม่มีหนทางรอดพ้นจากบาปกลับไปสู่สวรรค์ได้, และ 3)Interdict คือการตัดขาดจากศาสนาเช่นกัน แต่ลงโทษทั้งชุมชน คือทั้งเมือง รัฐ หรือประเทศ วัดในดินแดนดังกล่าวจะถูกปิดลงทั้งหมด ไม่มีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จึงเท่ากับเป็นการตัดหนทางแห่งการหลุดพ้นเช่นกัน.
สถาบันหลักของคริสต์ศาสนาที่สำคัญในยุคกลางอีก 2 สถาบัน คือ 1)การสารภาพบาป เป็นประเพณีสำคัญที่พัฒนาขึ้นมาในยุคกลาง ที่กำหนดให้คริสต์ศาสนิกชนต้องมาสารภาพบาปโดยส่วนตัวกับพระสงฆ์จนกลายเป็นกิจวัตรสำคัญที่ทุกคนต้องกระทำ เมื่อสารภาพบาปแล้วพระสงฆ์ก็จะกำหนดโทษให้ไปกระทำแล้วกลับมารับการให้อภัย และต่อมาการสารภาพกับให้อภัยได้รวมอยู่ด้วยกัน แต่มีข้อแม้ว่าบุคคลนั้นจะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้าก็ต่อเมื่อได้ไปใช้โทษบาปตามที่พระสงฆ์กำหนดให้แล้ว ส่วนการใช้โทษบาปก็มีตั้งแต่การจาริกแสวงบุญ การอดอาหาร การเสียสละ การสวดภาวนา หรือจนกระทั่งมีการคิดค้นการชดใช้เป็นเงินในเวลาต่อมา และ 2)อารามวาสี หรือนักพรต-นักบวช ซึ่งเป็นการรับความคิดในเรื่องการควบคุมตัวเองอย่างเคร่งครัด สละโลก แบบนักพรตมาจากอียิปต์ และแพร่หลายเข้ามาในตะวันตก ทำให้ศาสนจักรมีรูปแบบอารามสงฆ์ที่แยกตัวเองโดดเดี่ยวออกจากสังคมแบบ นักพรต-นักบวช ลักษณะสำคัญของการเกิดอารามอยู่ที่การเป็นสัญลักษณ์ของการสละโลก การทรมานกาย การบังคับตนเองโดยการจำศีลภาวนา. ประเพณีการควบคุมบังคับตนเองอยู่ในอารามสงฆ์ได้กลายเป็น ศูนย์กลางชีวิตของศาสนจักรในแทบทุกด้าน โดยเริ่มที่ความพยายาม ปลดปล่อย ศาสนจักรจากอำนาจอาณาจักรและพัฒนารูปแบยบการศาสนาจักรขึ้นมาเป็นของตนเอง โดยเอารูปแบบชีวิตในอารามเป็นตัวอย่าง ซึ่งไม่มีเพียงแต่นักพรตเท่านั้น แต่รวมเอาฆราวาสเข้าไปช่วยทำงานและร่วมชีวิตกับนักพรตด้วย เพราะอารามต่างๆ สวนใหญ่มีที่ดินของตนเอง ทำการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ผลิตนม เนย เหล้า ตลอดจนเป็นศูนย์การศึกษาและอาชีพต่างๆ (น. 60). นอกจากนี้ในบางอารามของบางคณะนิกายนอกจากจะเน้นความเรียบง่าย การทรมานกาย การเสียสละ ไม่มีรับบริจาค และทำกินในอารามตนเองแบบพอเพียงแล้ว ยังเสนอรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ ยากจน ไม่มีแม้กระทั่งอารามเป็นของตนเอง มีแต่เพียงเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกาย และยังชีพโดยการขออาหารจากชาวบ้านและกินเท่าที่จะได้รับเพียงเท่านั้น (น. 62).
เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลายไปแล้ว ศาสนจักรที่ยังเหลือรอดอยู่และมิได้ล่มสลายตามไปด้วยจึงมิได้เป็นแต่เพียงที่พึ่งทางใจ แต่ได้กลายเป็นที่พึ่งพิงและยึดเหนี่ยวแทนจักรวรรดิโรมันทั้งหมด. ยุโรปสมัยกลางนับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม สมัยแห่งความศรัทธา (Age of Faith) โดยศาสนจักรทำหน้าที่เสมือนองค์การระหว่างประเทศ ทำให้ดินแดนต่างๆ มีสภาพเป็นสมาชิกของศาสนาสากลอยู่ภายใต้กฎข้อบังคับของศาสนจักร และยังสร้างความเป็นปึกแผ่นและความเป็นผู้นำของยุโรปด้วยการจัดระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพ เสถียรภาพและความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวของคริสต์ศาสนิกชน พร้อมกับสร้างสัมพันธ์ทางโลกกับประมุขของดินแดนที่มีอำนาจด้วยการสถาปนากษัตริย์ชาร์ลมาญ (Charlemagne) ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) และในทางกลับกันจักรพรรดิชาร์ลมาญก็ประสงค์จะให้อาณาจักรของพระองค์เป็น อาณาจักรคริสต์ (Imperium Christianum) และทรงยอมรับในอำนาจของพระสันตะปาปาว่ามาจากพระเจ้า โดยรับการสวมมงกุฎจากพระหัตถ์ของพระสันตะปาปาเลโอที่ 3 ในคืนวันคริสต์มาสปี 800 โดยสวมพระองค์ในชุดจักรพรรดิโรมันเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าจะต้องฟื้นฟูอาณาจักรโรมันที่เสื่อมลงขึ้นมาอีกครั้ง (น. 56). อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วตลอดยุคกลางได้มีปัญหาความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลาระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักรทางโลกที่ต่างฝ่ายก็ต่างพยายามที่จะเข้าไปมีอิทธิพลและควบคุมอีกฝ่ายหนึ่ง โดยในบางยุคพระสันตะปาปามีอำนาจทางโลกปกครองดินแดนไม่ต่างจากกษัตริย์ทั่วไปและยังสามารถถอดถอนมงกุฎจักรพรรดิบางคนที่อ่อนแอออกจากตำแหน่งจักรพรรดิได้ เช่นพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 (1198-1216) ประกาศอำนาจสูงสุดเหนืออาณาจักรตะวันตกทั้งหมด และประกาศแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร เพื่อให้มีเสรีภาพจากอำนาจและการแทรกแซงครอบงำของฝ่ายอาณาจักร (น. 57) หรือสังฆราชหลายองค์ในฝรั่งเศสแต่งงานมีลูกหลานมาช่วยปกครองสังฆมลฑล (น. 58). ขณะที่บางช่วงจักรพรรดิก็มีอำนาจมากจนกระทั่งสามารถถอดถอนพระสันตะปาปาออกจากตำแหน่งแล้วตั้งคนในบังคับของตนขึ้นดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปาแทน เช่นที่จักรพรรดิอ๊อตโตแห่งเยอรมันปลดพระสันตะปาปายอห์นที่ 12 และลดบทบาทของโรมลงเป็นเพียงสังฆมลฑลหนึ่ง พร้อมกับแต่งตั้งสังฆราชที่ยอมอ่อนน้อมต่อองค์จักรพรรดิในยุคพระสันตะปาปาชาวเยอรมัน (น. 57). คริสต์ศาสนามีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนในยุคกลางมากจนกล่าวได้ว่า ตั้งแต่แรกเกิดจนตาย ทุกคนเกิดมาในอ้อมกอดของศาสนจักร ดำรงชีวิตตามแนวทางของศาสนจักร แม้เมื่อสิ้นชีวิต ศาสนจักรก็ทำพิธีส่งวิญญาณไปยังโลกหน้า และ ศาสนจักรสำหรับชาวยุโรปในสมัยกลางคือผู้นำทางศีลธรรม ที่พึ่งพิงทางจิตใจ ผู้นำมาซึ่งความสบายในโลกนี้ และประกันความรอดในโลกหน้า (ปรีชา, 2540:200).
การเผยแพร่ขยายของคริสต์ศาสนาในยุคกลางดำเนินไปจนกระทั่งสามารถครอบคลุมและเปลี่ยนให้ทวีปยุโรปทั้งทวีปหันมานับถือศาสนาในคริตส์ศตวรรษที่ 10 เมื่อดินแดนที่อยู่ในรัสเซียปัจจุบันรับนับถือคริสต์ศาสนาและประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำรัฐ ทำให้สังคมและวัฒนธรรมยุโรปถูกเชื่อมร้อยรัดเข้าด้วยกันเป็น เอกภาพ อยู่ระดับหนึ่ง โดยมี คริสต์ศาสนาเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างเอกภาพนี้ ขณะที่รัฐใหม่ยังไม่พัฒนาขึ้นมาเต็มที่นี้ และขณะที่อาณาจักรและศาสนจักรยังไม่ได้แยกจากกันในทางปฏิบัติ ทวีปยุโรปทั้งหมดจึงถูกเรียกว่า คริสตจักร (Christendom หรือ Christianity) (น. 53). รากฐานเช่นนี้ทำให้ชาวตะวันตกในเวลาต่อมามองว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดอารยธรรมอันเก่าของกรีก-โรมันและยูดาย-คริสเตียน และทำให้มองคนอื่นว่า ป่าเถื่อน ไม่มีอารยธรรม ดังคำกล่าวของคนยุคกลางที่ว่า นอกพระศาสนจักรไม่มีใครจะรอดได้ (Extra Eccesiam Nulla Salus) ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่า พระเยซูทรงก่อตั้งพระศาสนจักรและใช้ให้สาวกไปประกาศศาสนา ทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นศิษย์ของพระองค์ (น. 53) และความเชื่อในเส้นทางประวัติศาสตร์การตกสวรรค์ของมนุษย์ ที่มองการปรากฏของพระเยซูว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะนำมนุษย์กลับไปสู่สรวงสวรรค์ใกล้ชิดกับพระเจ้าบนสวนอีเดนอีกครั้ง.
เมื่อศาสนาคริสต์มีอิทธิพลต่อชีวิตของชาวตะวันตกขึ้นมา นักปรัชญาในคริสต์ศาสนาซึ่งอีกด้านหนึ่งก็นับถือศาสนาคริสต์ แต่ด้านหนึ่งก็ยังเรียนปรัชญากรีกของพลาโตและอริสโตเติล ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่นอกศาสนาของพวกเดียรถีย์ (pagan) ทำให้เกิดความขัดแย้งและความพยายามที่จะผสานความขัดแย้งในปรัชญากรีกกับเทววิทยาของศาสนาคริสต์เข้าด้วยกัน. กล่าวคือ จารีตของการนับถือพระเจ้าหลายองค์ที่ปรากฏอยู่ในปรัชญากรีกถูกขจัดทิ้งไปจากความรู้ เหลือไว้แต่ปรัชญาที่จะมาสนับสนุนลัทธิเอกเทวนิยม (monotheism) ของศาสนาคริสต์ที่ยอมรับนับถือในพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว และพระองค์ทรงมหาฤทธานุภาพปรากฏอยู่ทั่วไปทุกแห่งหน (omnipotence) เท่านั้น โดยเฉพาะปรัชญาของพลาโตในเรื่อง Universal Spirit และ Theory of Idea or Form ที่ทำให้การอธิบายในเชิงเหตุผลของการดำรงอยู่ของพระเจ้าที่สัมบูรณ์ (Absolute) ได้ชัดเจนและเป็นเหตุเป็นผลยิ่งขึ้น.
นักคิดคนสำคัญของคริสต์ศาสนาในยุคกลาง คือนักบุญออกัสติน (St. Augustine) และ นักบุญอะไควนัส (St. Aquinas). นักบุญออกัสตินเขียนหนังสือปรัชญาเล่มสำคัญชื่อ The City of God ซึ่งแบ่งโลกมนุษย์หลังจากการ ตกสวรรค์ ของอาดัมออกเป็น 2 นคร คือ ชาวนาครพวกหนึ่งนับถือพระผู้เป็นเจ้าเสียยิ่งกว่าตนเอง และอีกพวกหนึ่งนับถือเนื้อหนังมังสาของตนเองเสียยิ่งกว่าพระผู้เป็นเจ้า พวกแรกเรียกว่าเทวนคร [City of God หรืออาณาจักรทางวิญญาณ] พวกที่สองเรียกว่ามนุษยนคร [City of the World] นครทั้งสองนี้ตั้งอยู่ด้วยกัน พวกที่อยู่ในเทวนครเท่านั้นที่จะได้รับการ ไถ่บาป ให้รอดและอยู่กับพระผู้เป็นเจ้านิรันดร ส่วนพวกที่อยู่ในมนุษยนครก็จะต้องรับทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุดกับซาตาน (นิธิ, 2525:58). ชีวิตมนุษย์จึงต้องเผชิญกับการต่อสู้ระหว่าง 2 อาณาจักร คือเทวนครที่มุ่งหาความสงบและความอยู่รอดในโลกหน้า กับมนุษยนครที่มุ่งความฟุ้งเฟ้อเปรอปรนชีวิตในโลกนี้ อย่างไรก็ตาม นอกจากบาปกำเนิดซึ่งมนุษย์ทุกคนมีติดตัวแล้ว อิทธิพลจากมนุษยนครยังทำให้มนุษย์ทำบาปอยู่เสมอด้วย การจะรักษาให้รอดเป็นประชาชนของเทวนครจึงต้องทรมานตน ต้องสอดอ้อนวอน ต้องรักพระผู้เป็นเจ้า คิดถึงพระองค์ทุกขณะจิต นอกจากนี้มนุษย์ยังหลีกเลี่ยงความชั่วร้ายได้ยาก เนื่องจากมนุษย์มีลักษณะเป็นสองนครอยู่ในตัวเอง นครหนึ่งคือวิญญาณอันเป็นสิ่งที่สูงส่ง อีกนครหนึ่งคือกายซึ่งใฝ่ต่ำ วิญญาณอันเป็นของสูงนั้นจะแสดงตัวออกได้ก็แต่โดยผ่านกายซึ่งใฝ่ต่ำเท่านั้น เพราะฉะนั้น การไม่ทำสิ่งชั่วร้ายจึงเป็นสิ่งที่ยากมาก แต่กระนั้นมนุษย์ก็สามารถหลีกเลี่ยงบาปได้ เพราะมนุษย์ถือกำเนิดในรูปของเทวดา (สามารถไม่ทำบาป) พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อให้เชื่อฟังและรักพระองค์ ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของมนุษย์ก็อาจไม่ทำบาปได้ และได้รับการปลดปล่อยให้รอดพ้นจาก ความตาย อันเป็นบาปที่อาดัมได้ก่อไว้ ( นิธิ, 2525:59).
ตามทัศนะของเซนต์ออกัสตีน เวลาย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับการสร้างโลก หรือกล่าวให้แน่ชัด เวลาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รู้สึกว่ามีเวลา เพราะฉะนั้นความคิดเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน อนาคต จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีมนุษย์แล้ว ส่วนพระผู้เป็นเจ้านั้นพระองค์ย่อมไม่มีเวลา เพราะพระองค์ทรงมีสภาพนิรันดร คือไม่ประกอบด้วยกาล อดีตหรืออนาคต ย่อมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวในภาวะแห่งปัจจุบันของพระองค์ การถามว่า ก่อนหน้า สร้างโลกพระเจ้าอยู่ไหน หรือพระเจ้ามีมาก่อนโลกหรือไม่ จึงเป็นคำถามที่ไม่เหมาะแก่พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ย่อมอยู่นอกเหนือสายธารแห่งกาลเวลา คำถามเช่นนั้นเป็นการใช้เงื่อนไขของมนุษย์ (คือเวลาอันอาจแบ่งออกได้เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต) ไปตั้งให้กับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมิได้มีเงื่อนไชเช่นนั้น เมื่อพระเจ้าทรงมีปัจจุบันเป็นเวลาเพียงประการเดียว พระองค์ย่อมทรงเป็น สัพพัญญู (Omniscience) และปรากฏอยู่ทั่วเสมอ (Omnipresence) (นิธิ, 2525:58).
ส่วนนักบุญอะไควนัสก็ทำให้ความเป็นเหตุผล (reason) กับศรัทธา (faith) ประสานเข้าด้วยกันยิ่งขึ้น เพราะการที่ศาสนาคริสต์มีรากฐานอยู่ที่ศรัทธา (และมีท่าทีปฏิเสธการใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียวเพื่อเข้าถึงความจริง) จึงทำให้เกิดปัญหาสำคัญทางปรัชญาคริสต์ศาสนาในยุคกลางว่าระหว่างเหตุผลกับศรัทธาอะไรเป็นสิ่งสำคัญกว่ากัน. อะไควนัสเสนอว่า เหตุผลของมนุษย์ไม่ขัดแย้งกับความเชื่อ เหตุผลเป็นพื้นฐานที่นำไปหาความจริงสูงสุด เมื่อถึงจุดที่เหตุผลไม่สามารถจะไปได้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่อ ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อกับศาสตร์ต่างๆ จึงไม่มีสิ่งที่แย้งกัน มีแต่จะส่งเสริมซึ่งกันและกันเท่านั้น (เสรี, 2531: 68) และเห็นว่า ระบบของจักรวาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จักรวาลประกอบขึ้นด้วยสิ่งต่างๆ แต่ทุกสิ่งก็รวมกันเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ศาสตร์เฉพาะแต่ละศาสตร์ศึกษาเรื่องเฉพาะเรื่องเดียว ศาสตร์ที่สูงกว่านี้คือปรัชญา ซึ่งศึกษาหลักการสากลด้วยเหตุผล แต่ที่สูงกว่าเหตุผลก็คือการเปิดเผยของพระเจ้า (divine revelation) ซึ่งอาศัยศรัทธา ดังนั้นศรัทธาจึงไม่ขัดกับเหตุผลแต่ทำให้เหตุผลสมบูรณ์ขึ้น เหตุผลที่นักปราชญ์นำมาจากปรัชญากรีกทำให้สามารถโต้แย้งกับความคิดของพวกนอกศาสนาได้ และปรัชญากรีกซึ่งแต่เดิมฝ่ายคริสเตียนถือเป็นความคิดนอกรีตก็ได้รับการตีความใหม่ว่าเป็นการเตรียมการของพระเจ้าที่จะทำให้คนเรามีปัญญาสูงพอก่อนที่จะเข้าใจคริสต์ศาสนา (ปรีชา, 2540: 213-4).
การหลอมรวมระหว่างปรัชญาคลาสสิคกับศาสนาคริสต์มีพลังต่อมาอีกนาน ทำให้การศึกษาค้นคว้าในเรื่องต่างๆ เกี่ยวพันกับศาสนจักร จนแม้กระทั่งถึงยุคกลางนั้นความรู้ที่เกี่ยวกับโลกก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดงเจตจำนงของพระเจ้าตามที่ปรากฏในโลกธรรมชาติ (natural theology) จนกระทั่งพบกับการท้าทายของนักปรัชญายุคสมัยใหม่ที่พยายามจะแยกปรัชญาออกจากศาสนาที่ การเข้าใจ ความจริง เกี่ยวกับโลกและมนุษย์ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยง หรือเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้ในพระเจ้าอีกต่อไป (สุวรรณา, 2541ก:51-52).
การเกิดความเคลื่อนไหวที่นำไปสู่ยุครุ่งเรืองทางปัญญา (Enlightenment) ในด้านหนึ่งคือความเสื่อมของยุคกลาง ซึ่งหมายถึงความสำเร็จของตะวันตกที่จะต้านทานและผลักดันให้อิทธิพลของอารยธรรมอิสลามในยุโรป (โดยเฉพาะสเปน) ถอยร่นกลับออกไปจากยุโรป ที่ครั้งหนึ่งเคยสามารถบุกยึดเข้ามาจนถึงประตูกรุงเวียนนาในใจกลางยุโรป และครองอำนาจอยู่ในยุโรปตะวันตกอยู่เป็นเวลานาน. การเคลื่อนไหวที่สำคัญจนนำไปสู่การผลักดันอิสลามออกไปจากยุโรปคือการเกิดสงครามครูเสด ที่นับเนื่องจากความศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาของผู้คนในยุคกลางทำให้ผู้คนยอมพลีชีพเสียสละเพื่อปกป้องศาสนา. กล่าวโดยเคร่งครัดแล้ว สงครามครูเสดคือ ปฏิกิริยาของฝ่ายตะวันตกที่ถูกตะวันออกที่เป็นมุสลิมรุกรานมาหลายศตวรรษ นับตั้งแต่ พ.ศ.1175 [ค.ศ. 632] เป็นต้นมา ชาวตะวันออกที่เป็นอิสลามได้ขยายอำนาจของตนล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนที่ตะวันตกเคยได้ไว้ในอำนาจ เช่น ซีเรีย อาฟริกาเหนือ อียิปต์ ตลอดจนคาบสมุทรไอบีเรีย ซ้ำยังคุกคามจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตะวันตกคือไบแซนไทน์ และสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่สถาบันที่เป็นหัวใจของวัฒนธรรมตะวันตกขณะนั้นคือกรุงโรมของสันตะปาปา โดยการปล้นสะดมอิตาลีบางส่วน ตลอดสมัยนี้การค้ากับตะวันออกไกลตกอยู่ในมือของอิสลามแล้วแต่ความเมตตาของคนตะวันออกจะโปรดให้เป็นไป สงครามครูเสดจึงเป็นความพยายามที่จะตอบแทนและล้มล้างอำนาจของชาวตะวันออกที่เป็นมุสลิมของโลกตะวันตก หลังจากที่แพ้เปรียบมาเป็นเวลานาน สาเหตุปัจจุบันที่มองเห็นได้ง่ายของการสงครามครั้งนี้คือใน พ.ศ. 1638 (ค.ศ. 1095) จักรพรรดิอเลกซิอุส คอมเมนุสแห่งไบแซนไทน์ได้ส่งพระราชสาส์นอีกฉบับหนึ่งไปยังสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ขอความช่วยเหลือต้านทานกำลังของอิสลามที่มีพวกซัลจุคเป็นผู้นำ และได้รุกรานดินแดนของจักรวรรดิจนใกล้ส่วนกลางของจักรวรรดิเต็มทีแล้ว สันตะปาปาคงจะเห็นเป็นโอกาสที่จะขยายอำนาจของพระองค์เองเข้าควบคุมคริสตจักรฝ่ายกรีกออร์โธดอกซ์บ้าง จึงได้ประทานสุนทรพรจน์อันลือนามในปีเดียวกันที่แคลมงต์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสมีข้อความเรียกร้องให้คริสตศาสนิกชน เดินทางเข้ายังถนนที่นำไปสู่หลุมศพศักดิ์สิทธิ์ ช่วงชิงสถานที่นั้นมาจากเผ่าชนที่ชั่วร้ายและครอบครองเสีย นับเป็นสุนทรพจน์ที่ยังให้เกิดผลมากที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ หลังจากนั้นอีกร่วมสองร้อยปี หญิงชายนับจำนวนหมื่นจากยุโรปต่างหยิบอาวุธขึ้นไปฆ่าคนตายเพื่อประกาศศาสนาแห่งความรัก. (นิธิ, 2511: 292-7).
สงครามครูเสด ทำให้ชาวตะวันตกรับเอาความรู้แบบกรีกโรมันเดิมที่ถูกถ่ายทอดไปอยู่ในโลกอิสลามและความรู้ที่พัฒนาขึ้นต่อมาในโลกอิสลามเอง (นิธิ, 2511: 215-254). และทำให้เกิดการหลอมรวมตลาดเงิน, เนื่องจากคนที่ไปรบไม่สามารถที่จะขนทองไปเป็นจำนวนมากได้ จึงเกิดเครือข่ายรับแลกตั๋วเงินที่จะสามารถนำทองไปแลกและนำไปขึ้นเป็นเงินได้ทั่วทวีปยุโรปที่อยู่ในเส้นทางไปรบ.[7] การมีตลาดเงินกลางทำให้การค้าในช่วงเดียวกันนี้เฟื่องฟูขึ้นมาก ผนวกกับความรุ่งเรืองทางการค้าในอ่าวเมดิเตอร์เรเนียน และตอนใต้ของอิตาลี อาทิ เมืองเวนิส นำไปสู่การมองโลกที่เป็นจริงมากขึ้น คิดแบบประจักษ์นิยม อาทิ การวาดรูปที่เคยวาดเรื่องราวทางศาสนาโดยไม่เกี่ยวกับโลกแห่งความจริงก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาสู่การวาดภาพที่เน้นความเป็นจริงเชิงประจักษ์มากขึ้น เนื่องจากพ่อค้าและคนที่มีเงินนิยมจ้างให้ศิลปินวาดรูปของตัวเองเติมลงไปในภาพ จนวิวัฒนาการมาเป็นศิลปะแบบสัจนิยม (realistic) ในเวลาต่อมา.
กล่าวได้ว่านับตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เป็นต้น ได้เกิดกระแสการเปลี่ยนแปลงขึ้นในตะวันตก นอกจากสงครามครูเสดและความรุ่งเรืองทางการค้าที่ทำให้คนมองโลกของความเป็นจริงมากขึ้นแล้ว ส่วนหนึ่งเกิดจากความเสื่อมของคริสต์ศาสนาเอง เพราะผู้นำศาสนาจำนวนมากมุ่งที่จะแสวงหาผลประโยชน์ทางโลก ทั้งทางการเมืองและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ มากกว่าที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ รวมทั้งขาดวุฒิและจริยธรรม ทำหน้าที่เพียงรักษาผลประโยชน์ทางโลกมากกว่าอย่างอื่น จนมีคำกล่าวกันประเทศยุโรปตอนใต้ว่าอย่าบอกว่าคุณไม่มีสิทธิเป็นลูกพระ ทำให้เกิดการวิพากษ์ผู้นำทางศาสนา และเกิดกระแสการกลับคืนไปสู่รากเหง้าคือการศึกษาความรู้จากพระคัมภีร์ไบเบิล และคำสอนกับการตีความพระคัมภีร์ของปิตาจารย์รุ่นก่อน รวมทั้งการค้นหาคุณค่าในอดีตที่ไม่ได้อยู่ในจารีตของศาสนจักรเอง (คือความรู้แบบกรีกและความรู้อื่นๆ ที่อยู่นอกกระแสของคริสต์ศาสนา ที่เคยถูกคริสต์ศาสนามองว่าเป็นพวกนอกรีตเดียรถีย์) กล่าวได้ว่า กระแสการเคลื่อนไหวทางปัญญาดังกล่าว เป็นการเกิดใหม่ของแนวคิดที่ส่งเสริมคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สร้างสรรค์วิจารณญาณและความเป็นตัวของตัวเองของปัจเจกชน ซึ่งส่วนหนึ่งมีรากเหง้าอยู่ที่ปรัชญากรีกซึ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงอริสโตเติล รวมถึงเพลโตและลัทธิเพลโตใหม่ [Neoplatonic] ตลอดจนนักคิดนักปรัชญาและวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ นับเป็นยุค ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม หรือ การเกิดใหม่ (Renaissance) อีกครั้งหนึ่ง .การแสวงหาความรู้ได้แหวกออกไปจากกรอบประเพณีไปสู่ โลกกว้าง เพราะ โลก แห่งยุคกลางซึ่งทุกอย่างได้รับการอธิบายอย่างสมบูรณ์นั้นไม่อาจสกัดกั้นความใฝ่ฝัน และการแสวงหาที่ไม่มีขอบเขตของมนุษย์ได้ มนุษย์ในยุคใหม่ต้องการคำตอบใหม่เพราะวิถีชีวิตได้เปลี่ยนไปแล้ว (เสรี, 2531:70).
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้อารยธรรมตะวันเคลื่อนเข้าไปสู่ในช่วงยุคเรอแนสซองซ์ หรือยุคแห่งการหวนกลับไปหากรีกและโรมันในฐานะแบบแผนของความรู้อีกครั้งหนึ่ง. ความเคลื่อนไหวที่สำคัญในช่วงนี้นอกจากการหันกลับไปใส่ใจกับอารยธรรมกรีกและโรมันแล้ว ยังเป็นการเคลื่อนไหวทางปัญญาที่เรียกว่า มนุษยนิยม (humanism) ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญได้ว่า 1)เกิดความสนใจต่อมนุษย์ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ซึ่งสามารถแสดงออกได้ผ่านงานศิลปะที่แสดงถึงความงามแห่งร่างกายมนุษย์ โดยที่ศิลปินบางคนถึงกับลงมือผ่าศพเพื่อศึกษาสรีระที่แท้จริงของมนุษย์ อันสะท้อนถึงจิตวิญญาณแบบใหม่ในการแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการแบบใหม่, 2)ในขณะที่สมัยกลางพยายามเน้นถึงศรัทธาและมุ่งไปสู่อาณาจักรพระเจ้า จึงต้องควบคุมกิเลสตัณหาของมนุษย์ด้วยศีลธรรมจริยธรรมของศาสนาคริสต์ ปัญญาชนในยุคเรอแนสซองซ์สนใจที่จะพูดถึงความมีเหตุมีผลของมนุษย์มากขึ้น, และ 3)มนุษย์เริ่มต่อต้านความรู้ที่อยู่เหนือธรรมชาติและไสยศาสตร์ แต่เน้นความเป็นเหตุเป็นผล และแสวงหาโลกของความจริงเชิงประจักษ์ที่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ (นิธิ, 2525: 76-77). จึงกล่าวได้ว่า ยุคนี้คือการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในการวัดความจริง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นมนุษย์เองที่ได้สร้างกฎเกณฑ์ใหม่นี้ขึ้นมา เป็นการเปลี่ยนจากการยึดเอากฎเกณฑ์เดิมซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานทางศาสนา อันได้แก่คัมภีร์ไบเบิลและคำสอนของพระศาสนจักร บุคคลผู้เป็นแบบฉบับของแนวคิดใหม่ในยุคนี้คงไม่มีใครเกินอีรัสมุส (1466-1536) แห่งรอตเตอร์ดัม ได้รับการศึกษาจากอ๊อกซ์ฟอร์ดและรู้จักกับโทมัส โมร์ เป็นพระสงฆ์ซึ่งเห็นว่า โครงสร้างสถาบันศาสนาที่พัฒนาขึ้นมาในประวัติศาสตร์ไม่ได้ส่งเสริมให้มนุษย์มีศีลธรรมเลย ตรงกันข้ามมีแต่ส่งเสริมอำนาจ ความร่ำรวยและฟุ้งเฟ้อให้กับผู้นำและผู้คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสต์ อีรัสมุสได้เป็นผู้ริเริ่มการวิจารณ์เนื้อหาคัมภีร์ไบเบิล จัดเผยแพร่พันธสัญญาใหม่ภาษากรีก (เสรี, 2531: 70).
การกลับไปหาความรู้และปรัชญากรีกทำให้กระแสมนุษยนิยมและเหตุผลนิยมกลับมามีอิทธิพลในความคิดของชาวตะวันตก ทำให้คนเริ่มเปลี่ยนมุมมองทางศาสนาใหม่ คือเห็นว่ามนุษย์สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้เองผ่านคัมภีร์ ซึ่งเหมือนกับเป็นการคืนสู่รากเหง้า. นอกจากนี้ยังเกิดการแปลคัมภีร์ไบเบิลออกเป็นภาษาท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้ถือเป็นความผิดที่จะแปลคัมภีร์ไบเบิลออกเป็นภาษาอื่น นอกจากภาษาละติน เพราะถือว่าภาษาละตินเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์. การแปลไบเบิลเป็นภาษาท้องถิ่นทำให้คัมภีร์ไบเบิลไม่จำกัดและเข้าถึงได้เฉพาะคนที่มีการศึกษาสูงเฉพาะผู้รู้ภาษาละติน แต่ทำให้คนทั่วไปก็สามารถอ่านได้ผ่านภาษาของตน และได้กลายเป็นกระแสการเคลื่อนไหวสำคัญที่นำไปสู่การปฏิรูปศาสนา. ผู้นำสำคัญที่สุดของการปฏิรูปคือมาร์ติน ลูเธอร์ (1483-1546) ชาวเยอรมัน ซึ่งเริ่มการวิจารณ์ที่สำคัญเรื่อง พระคุณ ในพิธีสารภาพบาปและการให้อภัย ซึ่งต่อมาพัฒนามาเป็นการซื้อขายใบไถ่บาป เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องรับโทษในนรก. ลูเธอร์วิจารณ์เรื่องนี้ว่าเป็นเพียง ผลประโยชน์ทางวัตถุ แล้วส่งให้สังฆราชผู้เกี่ยวข้องกับนักเทวศาสตร์ พร้อมกับนำไปปิดเป็นประกาศไว้หน้าประตูโบสถ์เมืองวิตเทนแบร์ก ซึ่งจุดเริ่มต้นของการประท้วง (Protest) ที่นำไปสู่การแตกเป็นนิกายใหม่ในเวลาต่อมา. ลูเธอร์ถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกชองพระศาสนาจักร (Excommunication) ในปีค.ศ. 1521 แต่ก็ได้รับยกย่องจากชาวนาว่าเป็นวีรบุรุษของชาติ. อย่างไรก็ตาม ลูเธอร์ต้องหนีลี้ภัยพร้อมกับคณะผู้ติดตาม และได้แปลพันธสัญญาใหม่ (คือคัมภีร์ไบเบิลภาคที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู หรือ New Testaments) เป็นภาษาเยอรมัน รวมทั้งข้อเขียนที่เกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ ก็เขียนขึ้นเป็นภาษาเยอรมันเพื่อให้ ชาวบ้าน ที่ไม่สามารถอ่านภาษาละตินสามารถเข้าใจได้. หลังจากก็เกิดนิกายใหม่ที่ชื่อว่า โปรเตสแตนต์ (Protestant) ซึ่งหมายถึง ผู้ประท้วง ตามนัยะของประกาศที่ลูเธอร์นำไปปิดที่ประตูโบสถ์เพื่อประท้วงความเสื่อมของศาสนจักร. หลักการสำคัญของนิกายใหม่เน้นที่ ความเชื่อในพระเมตตาของพระเจ้า มนุษย์จะรอดได้โดยความเชื่อและพระเมตตานี้เท่านั้น เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นถูกทำลายด้วยบาป ความโน้มเอียงไปทางชั่วไม่อาจจะแก้ไขได้ แม้จะมีเจตจำนงที่เข้มแข็งปานใด การที่พระเมตตาของพระเจ้าช่วยเราให้รอดไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงตัวธรรมชาติของเรา ซึ่งไม่อาจจะเปลี่ยนให้เป็นธรรมชาติที่ดีได้อีก หากเป็นแต่การอาบด้วยแสงสว่างแห่งพระเจ้าเท่านั้น (Illumination) พระศาสนจักรก็เช่นเดียวกับปัจเจกบุคคลที่สามารถพลาดพลั้งได้เพราะมีธรรมชาติบาป จะรอดได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าทรงเมตตาและมีความเชื่ออย่างแท้จริงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องพูดถึงสิทธิของพระเจ้าหรือการพลาดพลั้งไม่ได้ในพระศาสนจักร ที่มาของความเชื่อที่แท้จริงคือพระคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น การปฏิรูปศาสนาของมาร์ติน ลูเธอร์ในทางปฏิบัติคือการส่งเสริมให้เชื่อมั่นในพระเจ้าและสัมพันธ์กับพระองค์ทางการอ่านพระคัมภีร์ การร่วมพิธีกรรมและการสวดมนต์ต่างๆ ซึ่งท่านได้ปรับปรุงให้เรียบง่าย ภายในโบสถ์ไม่มีรูปเคารพและศิลปกรรมเหมือนที่เป็นอยู่ในโบสถ์คาทอลิก บนแท่นบูชาก็มีเพียงหนังสือพระคัมภีร์เท่านั้น เพราะความซับซ้อนจนกลายเป็น ความรกรุงรัง นั้นมาจากตัณหาของมนุษย์มากกว่าอย่างอื่น ซ้ำยังทำให้คนไขว้เขวและยึดติดกับสิ่งเหล่านี้และไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้ (เสรี, 2531: 72-3). ต่อมาเมื่อมีการคิดค้นเทคโนโลยีการพิมพ์ขึ้นโดยกูเทนเบอร์ก คัมภีร์ไบเบิลจึงได้รับการตีพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1452 ที่เมืองไมนส์ในเยอรมัน หลังจากคัมภีร์ไบเบิลก็ได้รับการตีพิมพ์ทั้งฉบับภาษาละตินและภาษาท้องถิ่นขึ้นอย่างแพร่หลาย, ซึ่งจะยิ่งทำให้ศาสนจักร (รวมศูนย์อยู่ที่สถาบันพระสันตะปาปา) ในการตีความคำสอนและการมีฐานะเป็นตัวกลางของพระเจ้าถูกยึดอำนาจโดยชาวคริสต์ในท้องถิ่น และเร่งกระบวนการปฏิรูปศาสนาให้เกิดเร็วขึ้นและแพร่หลายออกไปกว้างขวางยิ่งขึ้น.
การผสานระหว่างความเชื่อกับเหตุผลนอกจากจะทำให้สามารถอธิบายความเชื่อให้เป็นเหตุผลเป็นผลและทำให้เหตุผลมารับใช้ศรัทธาแล้ว ยังทำให้เหตุผลเองก็ถูกมองว่าสำคัญและมีคุณค่าที่จะทำให้มนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงได้ด้วยตัวของมนุษย์เอง (แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมดเพราะขีดจำกัดของการใช้เหตุผลและสติปัญญาของมนุษย์เอง) และทำให้มนุษย์ก็มีคุณค่าและศักดิ์ศรี เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล ดังคำกล่าวของอริสโตเติล ซึ่งเป็นนักปรัชญากรีกคนสำคัญที่นักปรัชญาคริสต์ศาสนาอย่างโธมัส อะไควนัสให้ความสำคัญเป็นพิเศษและเป็นผู้ที่จะมีอิทธิพลต่อปรัชญาปลายยุคกลางต่อมา. ความคิดแบบมนุษยนิยมนี้ได้ส่งผลสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงวิธีการแสวงหาความรู้ที่มุ่งยึดเอาความเป็นมนุษย์เป็นศูนย์กลางและให้ความสำคัญแก่ความสามารถที่จะแสวงหาความรู้มารับใช้ตัวมนุษย์. วิธีคิดเช่นนั้นแสดงออกอย่างชัดแจ้งอยู่ในงานของนิคโคโล มาคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli, 1469-1527) ที่สอนให้มนุษย์เอาชนะธรรมชาติและโชคชะตาในกิจกรรมต่างๆ อันเกี่ยวกับมนุษย์ (mastery of fortune or nature in human affairs) มิใช่สยบยอมต่ออำนาจของพระเจ้า เทพ ชะตากรรม และธรรมชาติ. งานของมาคิอาเวลลีถือเป็นเส้นแบ่งของปรัชญาการเมืองสมัยใหม่ (modern political philosophy) ที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลางของการแสวงหาความรู้ มิใช่อำนาจอันอยู่ภายนอกตัวมนุษย์ ที่บังคับควบคุมไม่ได้ (อาทิ ชัยวัฒน์, 2539ก: 82-102). จุดเริ่มต้นของปรัชญาสมัยใหม่มีรากฐานอยู่ในงานของนักปรัชญา 2-3 ท่าน โดยเฉพาะฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon, 1561-1626) หรือโธมัส ฮอบบส์ (Thomas Hobbes, 1588-1679) และเรอเน่ เดสการ์ตส์ (Rene Descartes, 1596-1650) โดยในที่นี้จะกล่าวถึงงานของเบคอนและเดสการ์ตส์เป็นหลัก.
ฟรานซิส เบคอนเสนอแนวทางในการแสวงหาความรู้แบบใหม่ให้แก่วงการปรัชญา คือปรัชญาประจักษ์นิยม (empiricism) ซึ่งเน้นการแสวงหาความรู้ความจริงด้วยวิธีการเชิงประจักษ์ ที่สามารถประจักษ์ได้ด้วยประสาทสัมผัสและพิสูจน์ได้ในเชิงประจักษ์. เบคอนเชื่อว่า สภาวะธรรมชาติที่จริงแท้และสามารถเข้าใจได้ดีที่สุดนั้นคือธรรมชาติที่อยู่ในภาวะที่ถูกขูดรีดบีบเค้นออกมาด้วยวิธีการทดลอง (nature was at its truest and most intelligible when vexed and tortured by experiments) (White, 1987: 367). กล่าวโดยสรุป วิธีการแบบประจักษ์นิยม หรือวิธีการของวิทยาศาสตร์ จะไม่เริ่มยอมรับ ความจริงอันไม่ต้องพิสูจน์ อันใด แต่จะใช้ประสาทสัมผัสทุกอย่างของมนุษย์เก็บข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ทดลองดูได้ พิสูจน์ได้เป็นจำนวนมาก เพื่อสรุปรวมหากฎแห่งกระบวนการทางธรรมชาติ (อุบัติการณ์ทางธรรมชาติเป็นกระบวนการต่อเนื่องกันไม่ได้แยกออกได้เป็นจุดๆ) กฎเช่นนี้เรียกกันว่ากฎธรรมชาติจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นสากล คือเกิดขึ้นเหมือนกันทั่วทุกแห่งในโลก และนักปรัชญาสายประจักษ์นิยมจะ ปฏิเสธทฤษฎีของเพลโตที่ว่าด้วยความรู้ที่แฝงอยู่ในจิตของมนุษย์ (innate knowledge) แต่ถือว่าสิ่งที่จะเรียกว่าความรู้ต้องได้จาก ประสบการณ์ (หมายถึงสิ่งที่ได้พบนับตั้งแต่ในหนังสือ ในชีวิตจริง ในคำสนทนา ในความรู้สึก ฯลฯ) มนุษย์จะถึงซึ่งความรู้ได้ก็เมื่อมีประสบการณ์มาก ยิ่งมีมากก็ยิ่งบรรลุถึงความรู้สูงขึ้น การสนใจต่อข้อเท็จจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะข้อเท็จจริงทุกอย่างล้วนเป็น ประสบการณ์ ของมนุษย์ทั้งสิ้น (นิธิ, 2525: 88-89). ความรู้ที่ได้จากความจริงในเชิงประจักษ์จึงเป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุดของความรู้ เหนือกว่าความรู้อย่างอื่นๆ และรวมทั้งหมายถึงความรู้ที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์ได้นั้นเป็นความรู้ที่ผิดพลาด อาทิ การดำรงอยู่ของพระเจ้านั้นไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยความจริงเชิงประจักษ์จึงเท่ากับว่าไม่มีพระเจ้าอยู่จริง.
เรอเน่ เดสการ์ตส์กลับเสนอว่า การแสวงหาความรู้ด้วยวิธีการเชิงประจักษ์นั้นมีขีดจำกัดอยู่ในตัวเอง เพราะมนุษย์ไม่สามารถไปพิสูจน์วัดความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมดในโลกนี้ ต้องอาศัยวิธีการใช้เหตุผล คือเมื่อทดลองจนได้ผลทดลองที่ออกมาเหมือนเดิมจึงใช้เหตุผลอนุมานอุปมานเอาว่าสิ่งอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมดก็น่าจะเป็นจริงเช่นนั้นด้วย โดยที่ไม่เคยไปพิสูจน์ทั้งหมด. ความจริงบางอย่าง คือความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะไปพิสูจน์ได้ว่าพระองค์มีอยู่จริงหรือไม่จริง แต่ขีดจำกัดที่ไม่สามารถไปพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าได้ของวิธีการแบบประจักษ์นิยมก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้ดำรงอยู่จริง เพราะยังไม่เคยมีการพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่มีอยู่จริง. นอกจากนี้ ความรู้ต่างๆ ก็สามารถถูกตั้งข้อสงสัยตั้งคำถามได้ทั้งหมด ตั้งแต่ความรู้ของนักปราชญ์โบราณยุคคลาสสิคไปจนถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าในพระคัมภีร์ไบเบิล. เพราะไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าความรู้สึกสำเหนียกสำนึกต่างๆ ที่เราได้รับรู้อยู่นั้นแท้ที่จริงแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า. ปัญหาก็คือมีสิ่งอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยถูกตั้งข้อสงสัยเลย คือตัวความสงสัยที่มนุษย์กำลังสงสัยในสิ่งต่างๆ. ความสงสัยอันนี้ช่วยเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันในตัวมันเองถึงการดำรงอยู่ในความเป็นจริงในเชิงประจักษ์ของตัวตนมนุษย์ คือหมายความว่าความสงสัยช่วยทำให้เรารับรู้ในเชิงประจักษ์ได้ว่าเรามีตัวตนอยู่จริงๆ. แม้ว่ามนุษย์จะพิสูจน์ได้ว่ามีตัวตนดำรงอยู่จริง แต่ความสงสัยก็ทำให้รู้ต่อไปว่ามนุษย์ไม่ใช่ชีวิตที่สัมบูรณ์เพราะยังมีความเขลาอยู่ อันได้แก่ความสงสัยในสิ่งต่างๆ เพราะตามทฤษฎีพัฒนาการของเหตุผลของเดสการ์ตส์แล้วเหตุผลจะต้องพัฒนาไปจนถึงความเป็นเหตุผลที่สามารถรู้แจ้งในทุกสิ่งจนสามารถกำหนดบังคับบัญชาให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามเจตจำนงค์ของเหตุผลอันสัมบูรณ์. การดำรงอยู่ของเหตุผลหรือความรู้อันสัมบูรณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า ซึ่งสามารถกำหนดบัญชาให้สรรพสิ่งดำเนินไปตามเจตจำนงค์ของพระองค์. ในทางกลับกัน การดำรงอยู่ของพระองค์ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของโลกและสรรพสิ่งว่าดำรงอยู่จริงๆ และเคลื่อนไหวไปตามลำดับชั้นในหลักการกำหนดบังคับของเหตุผล.
ในแวดวงปรัชญาตะวันตกถือกันว่า เดสการ์ตส์เป็นบิดาของปรัชญาสมัยใหม่ (founder of modern philosophy)[8] ด้วยคำกล่าวที่ว่า ฉันคิด ฉันจึงดำรงอยู่, เนื่องจาก การคิดเป็นรากฐานหรือข้อพิสูจน์ของการดำรงอยู่ของตัวผู้คิดอย่างที่สงสัยต่อไปไม่ได้ทั้งๆ ที่อาจจะสามารถสงสัยเนื้อหาหรือความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังคิดได้เสมอ (สุวรรณา, 2539:5). งานปรัชญาของเดสการ์ตส์ตั้งอยู่บนวิธีการแบบใหม่ และมุ่งไปที่จะไปสู่ความเป็นนายเหนือโชคชะตาและธรรมชาติเช่นเดียวกับงานของมาคิอาเวลลี, ฟรานซิส เบคอน หรือโธมัส ฮอบบส์. เดส์การ์ตส์เห็นว่าปรัชญาทั้งมวลเป็นเหมือนต้นไม้ คือมีรากจากอภิปรัชญา (metaphysics) อันเป็นความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า (God) และจิตวิญญาณของมนุษย์ (Human Soul), ลำต้นของต้นไม้คือ physics, กิ่งก้านสาขาที่แยกจากลำต้นคือศาสตร์อื่นๆ ซึ่งโดยหลักๆ ก็คือ medicine, machanics และ morality. โดยหลักคิดนี้จึงเห็นได้ว่าผลประโยชน์ที่ได้จากศาสตร์ต่างๆ ก็เหมือนผลไม้ที่มิได้ออกผลมาจากรากและลำต้น แต่ออกจากเบื้องปลายสุดของกิ่งก้าน. เนื่องจากว่าปัญหาเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นเรื่องที่พิสูจน์และเห็นได้ยาก การศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ซึ่งเป็นกิ่งก้านที่แยกมาจากลำต้นแห่งพระเจ้านั้นกลับเห็นได้ง่ายกว่าและถือเป็นแกนหลักในงานของเดส์การ์ตส์ก็ว่าได้ (อันเป็นการศึกษาเพื่อพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าอีกทีหนึ่ง).
เดสการ์ตส์เห็นว่า การเรียนรู้จะต้องเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้อันกระจ่างแจ้งไปในทุกสิ่งที่จะยัง ประโยชน์ ให้แก่ชีวิต (a clear and certain knowledge of all that is useful to life) ทำให้เดสการ์ตส์ปฏิเสธการเรียนรู้ของสำนักต่างๆ และรวมถึงปรัชญาสมัยโบราณทั้งหมดด้วย, ยกเว้นคณิตศาสตร์เท่านั้นที่เขาเห็นว่าพอยังจะมีประโยชน์บ้าง. เดสการ์ตส์เห็นว่าปรัชญาสมัยโบราณสามารถโต้แย้งได้ทั้งหมด ไม่มีประโยชน์ และปราศจากความแน่นอน (wholly disputable, useless, and uncertain), ส่วนเทววิทยา (Theology) นั้นก็เป็นเรื่องแสดงถึงวิถีที่จะไปสู่สรวงสวรรค์ แต่เนื่องจากว่า สัจธรรมที่ได้รับการเผยแสดง (revealed truths) จากพระเจ้า เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความสามารถของสติปัญญามนุษย์ (above our intelligence) ที่จะเข้าถึงโดยกำลังความสามารถของตัวมนุษย์เอง (เพราะต้องอาศัยความเมตตาจากพระเจ้าเป็นหลัก) ความรู้ที่อยู่ในเทววิทยาจึงเป็นสิ่งที่ปราศจากความกระจ่างแจ้งและไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดๆ สำหรับชีวิต.
เดสการ์ตส์ต่อต้านกับเป้าหมายของการเรียนรู้แบบจารีต (classic tradition) โดยการปฏิเสธและสลัดทิ้ง การคาดการณ์ทำนาย (speculations) หรือการแสวงหาความรู้เพื่อตัวของความรู้เองโดยไม่ได้มีเป้าหมายอื่นใด (the quest for knowledge for its own sake) โดยเดสการ์ตส์หันไปหาความรู้ที่จะยังประโยชน์ให้แก่ชีวิตมนุษย์ (useful knowledge). การปฏิเสธความรู้สมัยโบราณนี้หมายรวมไปถึงปรัชญาของพลาโตและอริสโตเติลอยู่ด้วย. สิ่งที่นักปราชญ์เดียรถีย์นอกศาสนา (pagan) เขียนเกี่ยวกับคุณธรรม (virtue และรวมถึงศาสนาธรรม คือ piety) มักเป็นแค่เรื่องที่ปราศจากสัมปชัญญะ (insensibility), ความภาคภูมิ (pride), ความหดหู่ (despair), หรือ parricide. คุณธรรมบางครั้งจึงเป็นเรื่องที่สุดขั้ว, ไม่มีความเป็นมนุษย์, นึกคิดเอาโดยเลื่อนลอยปราศจากรากฐาน, ไร้จิตใจ, จนอาจสุดขั้วจนเข้าขั้นอาชญา (extreme, inhumane, presumptuous, poor spirit, even criminal extreme). เดสการ์ตส์เห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างคุณธรรมกับกิเลสตัณหาของนักปราชญ์โบราณนั้นแท้ที่จริงเป็นเส้นแบ่งระหว่างกิเลสตัณหาฝ่ายดีกับฝ่ายเลว (good and bad passion). เพราะฐานในการแบ่งนี้อยู่ที่หลักคิดที่ว่าจิตวิญญาณ (soul) ของมนุษย์แบ่งเป็นส่วนๆ ได้ และมีบางส่วนที่มีความสามารถที่จะเชื่อฟังเหตุผล ทำให้เหตุผลสามารถสถาปนาและบังคับควบคุมลำดับชั้นต่างๆ ภายในจิตวิญญาณอีกทอดหนึ่ง. การที่เหตุผลนั้นมีอำนาจอยู่ในตัว (autonomous) ก็เพราะว่าเหตุผลมีเป้าหมายอันเหมาะสมอยู่ในตัวเอง (proper object) หรือเพราะว่า มนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติแล้วปรารถนาความรู้ (all men by nature desire knowledge) ไม่ว่าความรู้นั้นจะเป็นความรู้ที่มีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม.
เดสการ์ตส์เห็นว่า จะต้องปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อความเห็นที่ว่าโชคชะตา (Fortune) ที่บงการให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นและไม่เกิดขึ้นนั้นอยู่ภายนอกเหนือขีดความสามารถมนุษย์, เพราะโชคชะตาเป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถควบคุมบงการได้ด้วยคุณธรรมความสามารถของตัวมนุษย์เอง และเทพีแห่งโชคชะตานั้นก็คือธรรมชาตินั่นเองที่เป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องบังคับบัญชา. ด้วยการเป็นนายเหนือและครอบครองครอบงำธรรมชาติจะทำให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์เครื่องมือต่างๆ ได้ไม่สิ้นสุดที่จะช่วยให้มนุษย์แสวงหาประโยชน์สุขจากดอกผลต่างๆ ของโลกธรรมชาติโดยไม่ต้องเปลืองแรงและยากลำบากนัก. ศาสตร์ที่นำมนุษย์ไปสู่ความสุขนั้นไม่ใช่ความรู้แบบจารีตที่เป็นความรู้ในเรื่องจิตวิญญาณ, จริยศาสตร์, รัฐศาสตร์ และเทววิทยา แต่คือความรู้ที่เกี่ยวกับการแพทย์ อันเป็นความรู้เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์. สุขภาพที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นความดีอย่างแรกสุดและเป็นรากฐานของความดีอย่างอื่นทั้งหมดของชีวิต. การแพทย์จึงเป็นหนทางที่จะทำให้ชีวิตยืนยาวออกไปได้อีก แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือ การแพทย์คือศาสตร์ที่จะสร้างสมญาณปัญญา (Wisdom) อันเป็นดอกผลสูงสุดสำหรับมนุษย์ และเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณมนุษย์ให้งอกงามเติบโตแข็งกล้ายิ่งขึ้น (428).
เดสการ์ตส์เห็นด้วยกับฮอบบส์ในเรื่องที่ว่าเหตุผลรับใช้กิเลสตัณหา และโดยที่เหตุผลนั้นเป็นเครื่องมือที่สากล (universal instrument) สิ่งที่จะแบ่งมนุษย์ออกจากความเป็นสัตว์ทั่วไปก็คือ หนทางที่เป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่เป้าหมายที่แตกต่างจำเพาะออกไป (a unique means, not a specifically different end). เดสการ์ตส์ได้เปลี่ยนให้ปรัชญากลายเป็น โครงการที่จะเอาชนะธรรมชาติ (project of mastery of nature) โดยคุณธรรมความสามารถที่จะนำไปสู่กิเลสตัณหาวิทยา (virtue into the science of passions) และคุณธรรมความสามารถ ที่ทั้งสมบูรณ์ในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติที่จะนำไปสู่กิเลสตัณหาแห่งความเอื้อการุณที่เป็นคุณธรรมเพียงหนึ่งเดียว (perfect theoretical and practical virtue into the single virtuous passion of generosity). เนื่องจากการเอาชนะควบคุมธรรมชาติจะเป็นวิถีทางหนึ่งเดียวที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่ปฏิบัติได้ของมนุษย์ทุกรูปนาม ที่จะทำให้ปรัชญามีพันธกิจอันสัมพันธ์กับสังคมต่อไปได้. เดสการ์ตส์ได้สถาปนาให้วิทยาศาสตร์ คือการแสวงหาความรู้/ความจริงด้วยความเป็นเหตุผลสัมบูรณ์ตามแบบฟิสิกส์คำนวณ (mathematical physics) กลายเป็น เจ้าเหนือศาสตร์ทั้งมวล (master of the whole) โดยมุ่งไปสู่การพัฒนาความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์เพื่อยังประโยชน์อันไพศาลไร้ขอบเขต. กล่าวได้ว่า ทั้งเดสการ์ตส์และเบคอนได้สถาปนา ความคิดเรื่องความก้าวหน้า (idea of progress) หรือความเชื่อที่ว่าความดีคืออนาคตจะได้รับโดยไม่ต้องติดหนี้สินใดๆ ต่ออดีต จารีต ธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งพระเจ้า.
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการเปลี่ยนวิธีคิดทางปรัชญาซึ่งคงเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าถึงได้ยากแล้ว การค้นพบครั้งสำคัญที่จะสั่นสะเทือนโลกทรรศน์ของชาวตะวันตกก็คือ การปฏิวัติความรู้ด้านดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัส (1473-1543) ที่ชี้ให้เห็นว่าพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลางจักรวาล โดยมีโลกและดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ หมุนรอบดวงอาทิตย์. การที่พบว่าโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่หมุนรอบดวงอาทิตย์เป็นเปลี่ยนฐานความคิดที่ยึดเอาโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล เนื่องจากโลกและมนุษย์เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า (จึงควรเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งในจักรวาลนี้) และเป็นการล้มล้างคำสอนที่เชื่อกันมานับเวลาพันปีของศาสนจักร. สิ่งที่ยิ่งสั่นสะเทือนโลกทัศน์แบบคริสเตียนมากยิ่งขึ้นก็คือ การค้นพบทวีปใหม่ของ Christopher Columbus ซึ่งเดินทางพ้นเส้นขอบโลก (โดยไม่ตกโลกตายตามคำสอนในคริสต์ศาสนาในยุคนั้น) จนเดินทางไปพบทวีปอเมริกาปีค.ศ. 1492. หลังจากนั้นไม่นาน วาสโก ดา กามา (Vasco Da Gama) ก็สามารถเดินทางอ้อมแหลมกู้ดโฮป (โดยความช่วยเหลือของนักเดินเรือชาวอาหรับ) มาถึงแหลมคาลิกัตแห่งอินเดียในวันที่ 20 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1498.
หลังจากมีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์เริ่มขูดรีดความจริงจากธรรมชาติมารับใช้มนุษย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้มนุษย์สามารถคิดค้นเครื่องไม้เครื่องมือในการผลิตที่มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น อันเป็นยุคที่เรียกกันว่ายุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม. สังคมยุโรปแห่งศตวรรษที่ 19 เป็นสังคมอุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้นมาด้วยการสะสมความมั่งคั่งจากระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เจ้าของปัจจัยการผลิตคือคนกลุ่มน้อยที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมดีกว่าคนอื่น ได้กลายเป็นผู้ผูกขาดและเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ในขณะที่คนในชนบทพากันหลั่งไหลเข้ามาหางานทำเป็นแรงงานรับจ้างตามโรงงานในเมือง อย่างหมดหนทางต่อรอง ต้องถูกกดขี่แรงงานและใช้แรงงานเยี่ยงทาสโดยได้รับค่าจ้างเพียงเล็กน้อย.
บูรพาคดีศึกษา
หรือการศึกษาเกี่ยวโลกตะวันออก
การพูดถึง อารยธรรมตะวันออก ในด้านหนึ่งคือการตกอยู่กับดักของกรอบความคิด (หรือวาทกรรม) เรื่อง บูรพาคดีศึกษา (Orientalism, คือการศึกษาค้นคว้าความรู้ที่เกี่ยวกับโลกตะวันออก). นักวิชาการบางท่าน คือ Edward Said เห็นว่า บูรพาคดีศึกษา เป็นทั้งศาสตร์ (คือระบบระเบียบการแสวงหา การจัดระบบ การสร้างคำอธิบายองค์ความรู้ด้านใดด้านหนึ่ง) และเป็นทั้งวิธีคิดทางปรัชญาของโลกตะวันตกที่แสดงให้เห็นอาการด้อยความสามารถของโลกตะวันออกที่จะนำเสนอภาพลักษณ์และตัวตนของตนเอง เพราะไม่มีความสามารถ หรือไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือ ที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง แต่ต้องอาศัยปากของนักวิชาการชาวตะวันตกเป็นคนมาคอยทำหน้าที่เป็นล่าม เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้. ความเข้าใจในเรื่อง บูรพาคดีศึกษา จึงไม่เป็นเพียงพื้นที่ของการศึกษาที่แยกโลกตะวันตกออกจากโลกตะวันออก แต่คือโครงสร้างของความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างตะวันตกกับตะวันออก ที่ทำให้ตะวันตกสามารถที่จะกำหนด พูดถึง สร้างความรู้ จัดระเบียบความรู้ และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับตะวันออก จนกระทั่งสามารถทำให้ตะวันออกถูกจัดให้อยู่ภายใต้กรอบของสาขาวิชา (discipline) หนึ่งในการศึกษาที่เรียกกันว่า Orientalism โดยใช้วิธีวิทยาการศึกษาต่างๆ ของตะวันตกเป็นกรอบโครงมาเป็นตัวกำหนด. ซาอิดสรุปว่า บูรพาคดีศึกษาคือวิธีการแบบที่ตะวันตกนำมาใช้สำหรับก่อสร้างโครงร่างของตะวันออกขึ้นมาใหม่ (restructuring) เพื่อสร้างอำนาจอันชอบธรรม[ให้แก่ตะวันตกในการ] ครอบงำตะวันออก (Said, 1978: 3).
หลังจากที่โปรตุเกสค้นพบเส้นทางเดินเรือไปยังอินเดียในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยวาสโก เดอ กามา (Vasco da Gama) พร้อมด้วยลูกเรือ 150 คน สามารถเดินทางอ้อมแหลมกู้ดโฮปทวีปแอฟริกาไปขึ้นฝั่งที่แหลมคาลิกัต (Calicut) ของอนุทวีปอินเดียได้สำเร็จเมื่อวันที่ 20 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1498 ได้แล้ว การปิดเส้นทางไปสู่อินเดียและผูกขาดสินค้าเครื่องเทศโดยจักรวรรดิอิสลามตลอดยุคกลางก็สิ้นสุดลง. แม้ว่าในช่วงแรกโปรตุเกสจะสามารถผูกขาดเส้นทางการค้าเครื่องเทศในอินเดียและหมู่เกาะอินเดียไว้คนเดียว แต่สภาพเช่นนี้ก็ไม่ดำรงอยู่ได้นาน เนื่องจากเหตุผลหลายประการ อาทิ การสร้างเรือที่แข็งแรงกว่าของอังกฤษ ทำให้การควบคุมน่านน้ำของโปรตุเกสไม่มีผลอะไร และบังคับซื้อสินค้าเครื่องเทศจากชาวพื้นเมืองก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะพ่อค้าพื้นเมืองสามารถแอบขนสินค้าไปขายในย่านทะเลอาหรับได้ราคาดีกว่า, ทั้งหมดนี้ย่อมทำให้อำนาจของโปรตุเกสถึงแก่กาลอวสานภายในระยะเวลาไม่นานนัก. อย่างไรก็ตาม ยังกล่าวได้ว่าความรู้ของตะวันตกที่เกี่ยวกับอินเดียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ยังผิวเผินอยู่มาก ดังที่ปรากฏว่ายังไม่มีงานเขียนเกี่ยวกับอินเดียอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะแทบจะไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับจักรวรรดิโมกุลที่อยู่ห่างจากชายฝั่งเข้าไปในดินแดนตอนในเลย. เพิ่งจะในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงได้มีคณะนักเดินทางชาวอังกฤษคณะแรกเดินทางเข้าไปถึงตอนเหนือแห่งอาณาจักรโมกุล คือคณะของจอห์น นิวเบอร์รี (John New berry) และราล์ฟ ฟิทช์ (Ralph Fitch) โดยที่ฟิทช์ได้ทิ้งงานเขียนบันทึกการเดินทางไว้จำนวนหนึ่ง และถือได้ว่าเป็นงานเขียนเกี่ยวกับจักรวรรดิโมกุลและอินเดียตอนในชิ้นแรกที่มาจากประสบการณ์โดยตรงของนักสำรวจตะวันตก.
นิวเบอร์รีและคณะออกจากกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธุ์ ค.ศ. 1583 พร้อมกับถือจดหมายจากสมเด็จพระราชินีนาถ อลิซเบธ (Queen Elizabeth) ไปถึงสมเด็จพระจักรพรรดิอักบาร์และสมเด็จพระจักรพรรดิจีน. คณะเดินทางได้ถูกโปรตุเกสจับเข้าคุกในช่วงเดือนสิงหาคมที่เกาะกัวเพราะสงสัยว่าจะเป็นสายลับ แต่เมื่อได้รับปล่อยตัวมาแล้วพวกเขาก็ได้ลอบหนีไปจากกัวและได้เดินทางไปจนถึงกรุงอักรา เมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุล. หลังจากที่พักอยู่ในกรุงอักราได้ช่วงหนึ่ง นิวเบอร์รีก็ได้แยกเดินทางกลับไปทางเปอร์เซียและคอนสแตนติโนเปิล, วิลเลี่ยม ลีดส์ (Willaim Leedes) สมัครเข้ารับราชการกับจักรพรรดิอักบาร์, ส่วนฟิทช์ก็คงเดินหน้าสำรวจเส้นทางการค้าของตนต่อไปเพียงลำพัง. ฟิทช์เดินทางไปจนถึงเบงกอล, พะโค และมะละกา พร้อมกับได้สอบถามเส้นทางไปจีนกับญี่ปุ่น และได้เดินทางกลับถึงลอนดอนเมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1551 (Prasad, 1965:24-31).
ฟิทช์เขียนงานบนพื้นฐานของข้อมูลที่ตนได้รับรู้และ ปฏิเสธที่จะจัดการกับเรื่องต่างๆ ด้วยจินตนาการ (Prasad, 1965:32). ภาพของอินเดียในการพรรณนาของฟิทช์คือภาพของอินเดียอันมั่งคั่ง [a properous india] (Prasad, 1965:47) ดังที่เขาบรรยายถึงเมืองพิสาปุระ (Bisapor) ว่า เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่มาก [เพราะ]กษัตริย์ทรงตั้งราชสำนักของพระองค์อยู่ที่นี่...มีช้างจำนวนมากสำหรับการสงคราม. พวกเขามีทองคำและเงินเก็บไว้จำนวนมาก: บ้านเรือนทำจากหินสวยงาม (Prasad, 1965:48, เน้นโดยผู้อ้าง). การพรรณนาถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าและเส้นทางที่จะนำอังกฤษไปสู่ความมั่งคั่งนั้นถือเป็นเนื้อหาหลักของฟิทช์ และกล่าวได้ว่าเขานำเสนอภาพของอินเดียไว้โดยรวบยอดว่า [อินเดีย]เป็นประเทศที่ร่ำรวยและมั่งคั่ง เป็นที่อาศัยอยู่ของพวกนอกศาสนาที่โหดร้ายและงมงาย [A rich and prosperous country inhabited by cruel and credulous gentiles] (Prasad, 1965:63, เน้นโดยผู้อ้าง).
จากบันทึกการเดินทางของฟิทช์นี่เองที่ทำให้พ่อค้าในลอนดอนได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับอินเดียและลู่ทางความเป็นไปได้ที่จะดำเนินการค้ากับอินเดียเป็นครั้งแรก (Prasad, 1965:26). ต่อมาในปี ค.ศ. 1599 กลุ่มพ่อค้าในลอนดอนจึงได้ตั้งบริษัทอินเดียตะวันออก (The British East India Company) ขึ้นมา, และบริษัทแบบเดียวกันนี้ก็ถูกขึ้นโดยชาวดัทช์ในปี ค.ศ. 1602, ชาวสวีเดนเมื่อปี ค.ศ. 1616 และฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1664. หลังจากที่บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษถูกตั้งขึ้นแล้ว นักเดินทางที่เป็นลูกจ้างของบริษัทก็ถือเป็นภาระสำคัญในการเป็นกลไกของบริษัทด้วยการเป็นผู้คอยรวบรวมความรู้ที่แปลกประหลาดๆ เกี่ยวกับอินเดีย (strange and curious knowledge). เฮนรี ลอร์ด (Henry Lord) ลูกจ้างคนหนึ่งของบริษัทถือว่าสมาชิกของบริษัทเป็น นักเผชิญโชคที่มีค่า [worthy Adventurers] เพราะในแต่ละคน มีสิ่งที่แปลกประหลาดตามขีดจำกัดและขอบเขตการเผชิญโชค[ของพวกเขา] [...have in them anything forraigne or exotic in the limit and confine of [their] adventures] (Singh, 1996:21). ลอร์ดชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความสนใจในทางการค้าของอังกฤษกับการผลิตความรู้ในทางชาติพันธุ์วรรณาซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นมาในตะวันตกในช่วงสมัยนี้ โดยที่ตัวเขาเองก็ได้ช่วยเพิ่มพลังให้กับการบันทึกการเดินทาง และสำนึกเกี่ยวกับการค้นพบสิ่งที่แปลกประหลาดน่าพิศวง [marvels and curiosities]. จนกล่าวได้ว่าในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ลักษณะหลักของงานเขียนบันทึกการเดินทางที่เป็นที่นิยมทั้งในหมู่นักเขียนและนักอ่าน คืองานที่จะตอบสนองต่อความคาดหวังว่าจะได้อ่านพบเรื่องราวที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์พันลึก [the strange and marvelous] (Singh, 1996:20). งานเขียนที่พรรณนาการเดินทางแทบทั้งหมดจึงตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของวลีที่ให้ภาพพจน์ของความ น่าตื่นเต้นอัศจรรย์ใจ [amazement and wonder] (Singh, 1996:20) และเพื่อที่จะค้นหาความแปลกมหัศจรรย์พันลึก [the quest for marvelous] นักเขียน/นักเดินทางเหล่านี้จึงเอาสิ่งที่ตัวเองได้พบเห็นมาเล่าบรรยายผสมผสานเข้ากับงานเขียนที่เกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาด (exotic) ของนักเขียนในยุคคลาสสิกและยุคกลางนิยมเข้ามาไว้ด้วยกันจนแยกไม่ออก และได้กลายเป็นจารีตและเป็นบริบทแวดล้อมของการผลิตงานเขียนบันทึกการเดินทางต่อมา.
การเกิดขึ้นของงานบันทึกการเดินทางถึงเรื่องราวในดินแดนที่ แปลกหูแปลกตา ที่เขียนจากประสบการณ์ของนักเดินทาง นอกจากจะตอบสนองต่อความต้องการของตลาดผู้อ่านในตะวันตกแล้ว การเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองอ้างว่าได้ประสบพบเห็นได้ทำให้ผู้เขียนมีอำนาจพิเศษที่จะพูดถึงความพิเศษของสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองเขียนถึง. ดังนั้นแม้ว่าจะกลัวว่าผู้อ่านจะไม่เชื่อในสิ่งที่กำลังพูดสิ่งที่ได้ประสบพบเห็นมา เพราะเป็นสิ่งที่ดูแปลกประหลาดจนชวนให้คิดว่าผู้เขียนกำลังหลอกลวง แต่เธโอฟิลัส ลาเวนเดอร์ (Theophilus Lavender) ผู้แต่ง Travels of Certaine Englishmen into Africa, Asia, Troy, Bythinia, Thracia, and to the Black Sea (1609) ก็สามารถกล่าวยืนยันว่าถ้อยความในจดหมายที่นักเดินทาง [คือ William Biddulph] กล่าวนั้นเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขากำลังพูดนั้น จริงแท้ทุกประการ [trueth of everything therein contained] (Singh, 1996:21). การพยายามยืนยันว่า สิ่งที่นักเดินทางเขียนถึงเป็นสิ่งที่จริง (ด้วยอำนาจของการเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง) ทำให้เกิดปัญหาตามมาเมื่อนักเดินทางพยายามที่จะทำให้สิ่งต่างๆ ที่ตัวเองเขียนมีลักษณะของความแปลกประหลาดและผิดมนุษย์ [exoticize and demonize] เพื่อสร้างพื้นที่ของความพิเศษให้กับข้อเขียนของตนเอง. ความขัดแย้งระหว่างประสบการณ์และชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ในบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้กลายเป็นเหตุผลหนึ่งที่นำไปสู่การนำเสนอภาพของอินเดียที่ให้ความชอบธรรมกับการยึดครองของจักรวรรดินิยมอังกฤษ. เพราะชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ที่นำเสนอ ความแปลกประหลาดน่าพิศวง [marvels and wonderous] ได้ถูกทำให้เชื่อมเข้าด้วยกับประสบการณ์ของการเห็น จนทำให้ภาพที่ถูกนำเสนอแยกจากกันไม่ออกระหว่างเรื่องจริงกับนิยาย. เพื่อที่จะสถาปนาอำนาจพิเศษที่จะทำให้ตัวนักเดินทางมีอำนาจในสิ่งที่กำลังเขียนถึงด้วยการใช้ ประสบการณ์ เป็นพื้นฐาน จึงพยายามที่จะแสดงให้เห็นตลอดเวลาว่า ผู้เขียนกับชาวพื้นเมือง(อินเดีย)มีความแตกต่างกัน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแยกออกจากกัน. การแยกตัวเองออกจากสิ่งที่กำลังพูดเพื่อหาระยะห่าง และเพื่อสร้างความเป็นภาววิสัยในการเขียน ทำให้ชาวพื้นเมือง(อินเดีย)ถูกนำเสนอในฐานะที่เป็น ความเป็นอื่น (otherness) ของขนบธรรมเนียมที่ไม่เป็นที่คุ้นเคยของชาวตะวันตก และต่ำต้อยกว่าความเชื่อขนบธรรมเนียมของศาสนาคริสต์. สิงห์กล่าวว่า ศาสนาคริสต์ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นมาตรวัดของแบบแผนประเพณี (mark of normative) แต่ที่สำคัญคือศาสนาคริสต์ได้ให้ไวยากรณ์ทางศีลธรรม (moral imperative) ของการค้นพบและในเวลาต่อมาของการพิชิตคนนอกศาสนาและดินแดนของคนนอกรีต (Singh, 1996:22). ความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมของชาวพื้นเมืองจึงถูกมองว่าเป็นของที่แปลกประหลาดและเป็นความรู้ที่ถูกกีดกันออกไปจากความรู้ที่อยู่ในโลกของคริสต์ศาสนา. ภาพจินตนาการถึงแม่น้ำคงคาของโทมัส คอเรียส (Thomas Coryate) ได้แสดงให้เห็นถึงวิธีคิดแบบคู่ตรงข้ามระหว่างศาสนาคริสต์กับ การนับถือผี [superstition] ที่ก่อให้เกิดความรื่นรมย์ในการชม
ข้าพเจ้าคาดหวังว่าจะมีโอกาสที่วิเศษสักครา...ที่จะไปยังแม่น้ำคงคาอันลือนาม, ที่ซึ่งคนสักสี่แสนคนไป...เพื่ออาบน้ำในแม่น้ำ, และเพื่อบูชายัญให้แก่โลกแห่งทองคำในแม่น้ำเดียวกันนี้...[การ]กระโจนลงไปในแม่น้ำคือ[ลักษณะของ]การบูชายัญ และกระทำพิธีกรรมที่แปลกประหลาดอื่นๆ ที่มีคุณค่าต่อการชมอย่างเป็นที่สุด, ช่างเป็นสิ่งที่น่าดูอะไรเช่นนั้น เพราะไม่มีที่อื่นใดในเอเซีย...[มีพิธีกรรม]แบบเดียวกันให้เห็น; การแสดงนี้พวกเขากระทำกันปีละครั้ง, พากันมาจากที่ไกลๆ ถึงหนึ่งพันไมล์, และเคารพนบนอบต่อแม่น้ำราวกับพระเจ้า, พระผู้สร้าง, พระผู้ช่วยให้รอด; การนับถือภูติผีและการไม่มีศรัทธาในพระเจ้าของคริสต์ศาสนา (impiety) [คือสิ่งที่]น่ารังเกียจเป็นที่สุด...ชนพื้นเมืองที่โหดร้ายเหล่านี้, นั้นคือของแปลกประหลาด [these brutish Ethnickes, that are aliens] (Singh, 1996:22-23).
การลากเส้นแบ่งระหว่างชาวคริสต์กับ ชนพื้นเมืองที่โหดร้าย [brutish Ethnickes] ของคอเรียสได้สร้างระยะห่างเชิงภูมิศาสตร์ที่มีชาวยุโรป/คริสเตียนเป็นจุดศูนย์กลาง และระยะห่างจากจุดศูนย์กลางคือภาวะของการตกต่ำลงเรื่อยๆ ในทางวัฒนธรรม ศีลธรรม และความร่วมกันในทางภาษา และถือได้ว่าเป็นการสร้างระยะห่างของคู่ตรงข้ามระหว่าง อารยธรรมกับความป่าเถื่อน [civilization and barbarism] (Singh, 1996:23).
พร้อมๆ กับการเสื่อมของจักรวรรดิโมกุล และการพยายามขยายเส้นทางการค้าในอินเดียของอังกฤษ การเขียนบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับอินเดียจึงนอกจากจะนำเสนอภาพของการ ค้นพบ ขุมทรัพย์และสินค้าแล้วยังนำไปสู่การอ้างความเหนือกว่าชนพื้นเมืองอินเดียในทางศีลธรรมและจริยธรรมของตะวันตก. การเหนือกว่าในทางศีลธรรมจริยธรรมเป็นข้ออ้างพื้นฐานที่ทำให้อังกฤษยืนยันความเหนือกว่าในทางญาณวิทยาและในทางอารยธรรม และนำไปสู่การจัดการให้ อินเดีย (ในฐานะที่ด้อยสมรรถภาพที่จะรู้เกี่ยวกับตนเองและที่จะพัฒนาตนเองให้มีอารยธรรมเหมือนกับที่อังกฤษมีและเป็น) กลายเป็นหัวเรื่องหนึ่งของความรู้ได้ช่วยให้อังกฤษอ้างความชอบธรรมเหนือชนพื้นเมือง ที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญนำไปสู่การเอาอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ. นักการทูต นักแสวงโชค หมอสอนศาสนา และใครต่อใครที่เดินทางเข้ามาต่างก็พากันถือเป็นธุระสำคัญในการเขียนบันทึกประมวลความรู้เกี่ยวกับอินเดียที่ตนเองได้เข้าไปประสบพบเห็น และต่างก็ได้สะท้อนให้เห็นวิธีวิทยาในการพรรณนาเกี่ยวกับอินเดีย ของการจัดระบบข้อมูล (catalogueing) สภาพทางภูมิศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี และบันทึกรายวันที่ผู้เขียนต้องเผชิญหน้ากับสังคมอินเดีย. การพยายามจัดเก็บข้อมูลของนักเขียนเหล่านี้ได้ทำให้อังกฤษสามารถสถาปนาองค์ความรู้ในทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ศีลธรรมจริยธรรม และต่อมาได้กลายเป็นโครงการสร้างความหมายและความชอบธรรมให้กับการเอาอินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (Singh, 1996:28-29). การเขียนเกี่ยวกับอินเดียจึงนอกจากจะใช้ประสบการณ์มาอ้างความชอบธรรมเพื่อเขียนถึงความ แปลกหูแปลกตา แล้ว ยังเป็นการเขียนที่ผ่านการจัดระบบจำแนกแยกแยะความรู้ และการตีความหมาย ให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ ที่นักเขียนกำลังเผชิญหน้า (ทั้งในชีวิตจริงๆ และในงานเขียนของตัวเอง).
หลังจากที่บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษตั้งสถานีการค้าขึ้นที่สุรัตในปี ค.ศ. 1612 เซอร์โทมัส โรว (Sir Thomas Roe) จึงได้เดินทางเข้าไปยังราชสำนักของสมเด็จจักรพรรดิเจฮาน (Jehangir). โรวคือนักการทูตที่ถูกส่งเข้ามาจากราชสำนักอังกฤษสมัยพระเจ้าเจมส์ที่ 1 (James I) ไปยังกรุงอักราของจักรวรรดิโมกุล เพื่อ หยุดยั้งแผนการใดๆ ที่ปั้นแต่งขึ้นมาโดยพวกเยซูอิต[ที่ติดตามชาวโปรตุเกสเข้ามา]เพื่อที่จะกำจัดการค้าของเรา[อังกฤษในอินเดีย] (Singh, 1996:29) ตามคำขอของเซอร์โทมัส สมิธ (Sir Thomas Smythe) ข้าหลวงของบริษัทเมื่อปี ค.ศ.1614. โรวเริ่มเดินทางออกจากลอนดอนเมื่อกุมภาพันธ์ ค.ศ.1615. นอกจากจะประสบความสำเร็จในการเจรจาจัดตั้งเมืองท่าการค้าที่สุรัตแล้ว โรวก็ได้เชื่อว่าเป็นคนที่วางรากฐานของ การปกครองอาณานิคม ให้แก่อังกฤษ. ภายใต้บันทึกรายวันของโรวถึงกิจวัตรประจำวันในการต่อรองเพื่อหาข้อตกลงให้แก่พ่อค้าอังกฤษ ภายใต้ ความรักและสันติอันมั่นคง ระหว่างอังกฤษกับจักรวรรดิโมกุล บันทึกเหล่านี้ยังได้บรรยายให้เห็นความยุ่งยากของเขาในการ อ่าน ความหมายทางการเมืองและวัฒนธรรมของอินเดียที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วยชุดของความหมายที่เขามีอยู่. โรวนำเสนอภาพของราชสำนักโมกุลตาม ชุดการแสดง [series of spectacles] ที่ทั้งทำให้ชนชาวพื้นเมืองเป็นสิ่งแปลกประหลาดและผิดธรรมชาติมนุษย์ (exoticize and demonize). ในการให้รายละเอียดความซับซ้อนของขนบธรรมเนียมที่ตนเองไม่คุ้นเคยนี้ โรวนิยามวัฒนธรรมของตัวเองในฐานะที่เป็น บรรทัดฐาน (norm) ซึ่งตรงกันข้ามกับแบบแผนปฏิบัติของชาวอินเดียที่ ไร้อารยธรรม (Singh, 1996:31). นอกเหนือจากการกำหนดคุณค่าของสิ่งต่างๆ เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาอย่างมากในการตีความหมายต่อปรากฏการณ์ต่างๆ คืออุปสรรคทางด้านภาษาของโรวเอง เพราะเขาไม่มีความรู้ภาษาเปอร์เซียซึ่งเป็นภาษาราชสำนักโมกุล และภาษาอินเดียอื่นๆ แม้แต่น้อย จนทำให้ปัญหาเรื่องภาษากลายเป็นปัญหาหลักที่ตัวเขาเองก็ตระหนักเป็นอย่างดี. ปัญหาในทางภาษาและการแปลความหมายในทางวัฒนธรรมได้นำเขาไปสู่การต่อต้านคุณค่า ภาษา และขนบธรรมเนียมตลอดจนกฎหมายของอินเดีย. เขาเขียนซ้ำอยู่หลายครั้งหลายหนเกี่ยวกับความไม่สามารถของตนที่จะทำความเข้าใจกับสัญญะ (sign, ตัวสื่อความหมาย) ที่ขยายความหมายไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาคิดว่าไม่สอดคล้องกับแนวคิดที่ถูกกำหนดแน่นอนอยู่ในภาษา ซึ่งจะทำให้เขาสามารถแปลและตรวจสอบได้ในระบบความหมายของภาษาอังกฤษ. โรวถึงกับเขียนบ่นโอดครวญถึงใครต่อใครว่า ศาสนา[เยอะจน]นับไม่ถ้วน; กฎหมายก็ไม่มี. ในสภาพที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้จะไปคาดหวังอะไรได้? [Religions infinite; lawe none. In this confusion what can be expected?] (Singh, 1996:32). ในจดหมายที่เขาเขียนถึงพระสังฆราชแห่งแคนเทอเบอรี โรวประกาศต่อต้านการที่ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างพระราชกำหนดที่มาจาก พระราชดำรัส ขององค์จักรพรรดิกับกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร: กฎหมายไม่มีการเขียนไว้ในที่ใดเลย. ข้อตัดสินของกษัตริย์ถือเป็นข้อกำหนดกฎหมาย, ซึ่งพระองค์จะทรงนั่งและให้ข้อวินิจฉัยโทษด้วยความอดทน, [อาทิตย์]ละครั้ง (Singh, 1996:32).
การที่โรวไม่สามารถแยกและเห็นถึงความแตกต่างของวิธีคิดเกี่ยวกับอำนาจที่อยู่ในคำพูด(และตัว)กษัตริย์กับอำนาจของความหมายที่อยู่ในตัวอักษร อันมีพื้นฐานจากความเชื่อที่ว่าอำนาจของกฎหมายคือการที่สามารถนิยามความหมายของข้อกำหนดได้อย่างชัดเจน ซึ่งความชัดเจนที่จะหยุดความหมายที่ลื่นไหลของภาษาได้นั้นจะต้องถูกยึดไว้ด้วยการเขียน ไม่ใช่ด้วยการพูด. การเชื่อว่าภาษาเขียนสามารถกำหนดความหมายที่ชัดเจนและทำให้มีอำนาจชอบธรรมเหนือภาษาพูดได้นี้ทำให้โรวตัดสินว่า การไม่มีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร (ซึ่งตัวเขาเองก็ทำการวินิจฉัยเรื่องนี้บนพื้นฐานที่ตนเองไม่มีความรู้ภาษาเปอร์เซียแม้แต่น้อย) และข้อกำหนดกฎหมายต้องขึ้นอยู่กับตัวกษัตริย์นั้นเป็นสภาพของความ ป่าเถื่อน (barbarism). การตัดสินว่าชนพื้นเมืองอินเดียเป็นคนป่าเถื่อนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในการตีความของโรว ที่แปลงปัญหาเรื่องความยากลำบากในการสื่อความและการตีความหมายทางวัฒนธรรมของตนเองให้กลายเป็นการนำเสนอภาพจักรวรรดิโมกุลว่าอยู่ในสภาพที่สับสนปั่นป่วนทั้งในทางการเมือง กฎหมาย และศีลธรรม: รัฐบาลหาความแน่นอนอะไรไม่ได้, ไม่มีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร, ไม่มีนโนบาย, ขนบธรรมเนียมก็คลุกเคล้าไปกับความป่าเถื่อน, ศาสนามากมายจนนับไม่ถ้วน (Singh, 1996:35). สิ่งที่น่าตลกก็คือ โรวไม่ได้มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความยากลำบากของตนในการทำความเข้าใจกฎหมายที่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรของราชสำนักโมกุลกับการขาดความรู้เกี่ยวกับภาษาเปอร์เซียหรือภาษาอินเดียอื่นๆ กับการที่ตัวเขาเองกลับเรียกร้องเรียกหาภาษาอังกฤษดังที่เขากล่าวถึง การใช้ภาษาอังกฤษแบบเลวๆ ของคนอินเดียที่เขาติดต่อด้วย (Singh, 1996:36) โดยที่ตัวเขาเองกลับไม่เคยตระหนักถึงความเป็นไปได้ของการสื่อความผิดพลาดจากระบบความหมายที่แต่ละฝ่ายต้องการจะหมายถึง และที่ถูกขยายความเป็นไปได้ที่จะสื่อความผิดพลาดเพิ่มขึ้นจากการแปลความ. ดังนั้นเมื่อเขาสนับสนุนให้ราชสำนักอังกฤษ อดทน และใช้ ความพยายาม ให้มากเพื่อที่จะทำให้ทุกอย่าง ถูกต้อง เพื่อพัฒนาการค้าให้อยู่ในสภาพที่ เอื้อผลกำไร (Singh, 1996:36) โรวก็ได้ให้ข้อเสนอของตนบนพื้นฐานของการแบ่งแยกระหว่าง อารยธรรม กับ ความป่าเถื่อน และมาตรฐานที่นำมาใช้วัดนั้นก็เป็นมาตรวัดที่ถูกจินตนาการขึ้นโดยปราศจากความรู้ความเข้าใจต่อสังคมวัฒนธรรมของอินเดียอย่างแท้จริง.
ภาพความป่าเถื่อน ตกต่ำ ล้าหลังและเผด็จอำนาจของอินเดียที่ถูกนำเสนออยู่ในงานบันทึกการเดินทางต่อมาได้ขยายไปสู่การเขียนวรรณกรรมอื่นๆ ในฐานะที่เป็นสาเหตุสำคัญที่แพร่เชื้อนำไปสู่การคดโกงและความเสื่อมทรามลงของชาวอังกฤษ เนื่องจากได้เกิดปรากฏการณ์คอร์รัปชั่น (Corruption) ขึ้นอย่างแพร่หลายในอังกฤษ โดยเพาะในบรรดานักเผชิญโชคไร้ตระกูลที่บังเอิญสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมเกียรติยศศักดิ์ศรี แล้วใช้เงินหว่านซื้อตำแหน่งการเมืองในสภาแบบเศรษฐีใหม่. ภาพลักษณ์เช่นนี้ถูกวาดอยู่ในบทละครของซามวล ฟูต (Samuel Foote) เรื่อง The Nabob (1772) และบทกวีของนักเขียนนิรนามชื่อ The Nabob or the Asiatic Plunder (1776) เป็นต้น และต่อมาได้นำไปสู่การโต้เถียงในเวทีการเมือง โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่วอเรน เฮสติ้ง (Warren Hastings) ถูกฟ้องต่อสภาสูงของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1786 อันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันยาวนานถึง 8 ปี และก่อให้เกิดการเรียกร้องการปฏิรูประบบการจัดการกับอินเดียของอังกฤษ.
ความพยายามเข้าถึงความรู้ของอินเดียโดยผ่านภาษาและวรรณกรรมนั้นมีพื้นฐานจากความพยายามของอังกฤษที่พยายามจะทำความเข้าใจระบบกฎหมายของอินเดียโบราณ เพื่อเป็นรากฐานในการออกกฎหมายบังคับใช้อย่างสอดคล้องไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับกฎหมายพื้นเมืองและเพื่อความสะดวกในการบังคับปกครองของอังกฤษ. การเริ่มเรียนรู้เกี่ยวอารยธรรมอินเดียโบราณเริ่มขึ้นเมื่อ Father Hanxleden นักบวชเยซูอิตที่ทำงานอยู่ในเคราลา (Kerala) ระหว่าง ค.ศ. 1699 ถึง 1732 ได้แต่งไวยากรณ์สันสกฤตสำหรับชาวยุโรปขึ้นเป็นคนแรก แม้จะเป็นต้นฉบับจะไม่ได้ถูกตีพิมพ์แต่ก็ถูกนำมาใช้กันต่อๆ มา และต่อมาในปี ค.ศ. 1767 Father Coeurdoux อาจจะเป็นคนแรกที่มองเห็นความสัมพันธ์กันระหว่างภาษาสันสกฤตกับภาษายุโรป. อย่างไรก็ตาม นักบวชเยซูอิตก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจ ที่แท้จริง เกี่ยวกับอินเดีย, เพราะคนที่วางรากฐานให้แก่อินเดียศึกษาอย่างแท้จริงคือเซอร์วิลเลี่ยม โจนส์ (Basham, 1967:5). โจนส์มาถึงกัลกัตตาในฐานะผู้พิพากษาศาลสูง ในช่วงที่วอเรน เฮสติ้งเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษที่อินเดีย และกล่าวกันว่าโจนส์เป็นคนที่อัจริยะทางภาษาศาสตร์ เขารู้ภาษาฮิบรู อารบิก เปอร์เซียน เตอรกิช และภาษาจีนบ้างเล็กน้อย. ในช่วงที่โจนส์มาถึงกัลลัตตานั้น มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทอีกคนหนึ่งที่รู้ภาษาสันสกฤตพอสมควรคือชาร์ลส์ วิลคินส์ (Charles Wilkins, 1749-1836) และด้วยความช่วยเหลือของวิลคินส์นี่เองทำให้โจนส์เริ่มเรียนสันสกฤต. องค์ความรู้เกี่ยวกับอินเดียเริ่มถูกสะสมมากพอที่จะทำให้อังกฤษเริ่มมองเห็นภาพของสังคมและอารยธรรมของอินเดียในอดีตเป็นรูปร่างจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่เฮสติ้งได้ก่อตั้ง The Asiatic Society of Bengal [The Royal Asiatic Society] เมื่อปี 1784 โดยมีเซอร์วิลเลี่ยม โจนส์เป็นประธานจนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงเมื่อ 1794. โจนส์ได้ชื่อว่าผู้บุกเบิกอินเดียศึกษาคนสำคัญ และเริ่มแปลวรรณกรรมสันสกฤตออกเป็นภาษาอังกฤษเป็นคนแรกๆ. อินเดียในการรับรู้ใหม่ๆ จึงเป็นอดีตของอินเดียที่เคยมีอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ และค่อยตกต่ำลงมาจนถึงปัจจุบัน. ภาพของอดีตที่เคยรุ่งโรจน์ของอินเดียในการนำเสนอของนักบูรพาคดีศึกษา และความเสื่อมทรามในปัจจุบันที่ทำให้คนอังกฤษในอินเดียต้องเสื่อมทรามตกต่ำลงไปด้วย ทำให้เกิดความคิดที่จะปฏิรูปการจัดการอินเดีย เพื่อรื้อฟื้นอดีตที่รุ่งเรืองเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ และเพื่อช่วย กอบกู้ (rescue) อินเดียจากความตกต่ำของตัวเอง. ในปีเดียวกับที่ตั้ง The Asiatic Society of Bengal [The Royal Asiatic Society] (1784) และเริ่มออกวารสาร Asiatic Researches ของสมาคม, ภควัตคีตา งานแปลชิ้นแรกของวรรณกรรมที่แปลโดยตรงจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาอังกฤษโดยชาร์ลส์ วิลคินส์ก็สำเร็จลงในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1784 และต่อมาในปี ค.ศ. 1787 วิลคินส์ก็แปล หิโตปเทศ ออกมา. ในปี ค.ศ. 1789 โจนส์ก็แปล ศกุนตลา ของกาลิทาสออกมา ซึ่งในช่วงระยะเวลา 20 ปีได้รับตีพิมพ์ซ้ำถึง 5 ครั้ง, หลังจากนั้นโจนส์ก็แปล Gita Govinda (1792) และกฎหมายมนู ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ออกมาภายใต้ชื่อ Institutes of Hindoo Law เมื่อปี 1794 ภายหลังที่โจนส์เสียชีวิตไปแล้ว 2 ปี โดยที่งานแปลวรรณกรรมสันสกฤตชิ้นอื่นๆ ของโจนส์ก็ได้ถูกทะยอยลงตีพิมพ์ในวารสาร Asiatic Researches ของสมาคม. บาแซม นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอินเดียคนสำคัญ เห็นว่าโจนส์กับวิลคินส์คือ บิดาที่แท้จริงของอินเดียศึกษา [truely the fathers of Indology] (Basham, 1967:5). นักอินเดียศึกษาสำคัญอีกผู้หนึ่งที่ถ่ายทอดวรรณกรรมอินเดียให้แพร่หลายในยุโรป คือ Anquetil-Duperron (1723-1805) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งแปลคัมภีร์ อุปนิษัท จำนวน 4 บรรพจากภาษาเปอร์เซียออกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1786 โดยที่ฉบับสมบูรณ์ทั้ง 50 บรรพนั้นได้ถูกตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1801. ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็เริ่มมีการศึกษาภาษาสันสกฤตกันอย่างเป็นทางการในมหาวิทยาลัยในยุโรป กล่าวคือในปี ค.ศ. 1795 สาธารณรัฐฝรั่งเศสได้เริ่มก่อตั้ง Ecole des Langues Orientales Vavantes ในปารีส โดยที่มี Alexander Hamilton (1762-1824) ซึ่งเคยเป็นสมาชิกของ The Asiatic Soceity of Bengal กลายเป็นคนแรกที่เริ่มเปิดสอนภาษาสันสกฤต. จากแฮมิลตันนี้เองที่ Friedrich Schlegel นักภาษาศาสตร์ด้านสันสกฤตชาวเยอรมันได้เริ่มเรียนภาษาสันสกฤต. ตำแหน่งศาสตราจารย์ทางภาษาสันสกฤต (โดย Leonard de Chezy) ได้ถูกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกที่ College de France ในปี ค.ศ. 1814 และหลังจากปี ค.ศ. 1818 เป็นต้นมามหาวิทยาลัยในเยอรมันก็เริ่มตั้งตำแหน่งศาสตราจารย์ทางภาษาสันสกฤตขึ้น. ในอังกฤษนั้นเริ่มสอนภาษาสันสกฤตกันเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1805 ที่วิทยาลัยฝึกหัดของบริษัทอินเดียตะวันออกที่ Hertford, ส่วนตำแหน่งศาสตราจารย์ทางสันสกฤตที่ถูกตั้งขึ้นแห่งแรก คือ the Boden Professorship ที่ออกฟอร์ดเมื่อปี ค.ศ. 1832. หลังจากนั้นจึงเริ่มมีตำแหน่งที่มหาวิทยาลัยลอนดอน แคมบริด และเอดินเบอร์ก และในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา. ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดดอกออกผลจากการศึกษาภาษาสันสกฤตในอังกฤษ คือการแปลคัมภีร์ ฤคเวท เป็นภาษาอังกฤษ และการแปลหนังสือชุด Sacred Books of the East ของนักภาษาศาสตร์ทางสันสกฤตชาวเยอรมันชื่อ Friedrich Max Muller (1823-1900) ผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ทางด้านภาษาเปรียบเทียบอยู่ที่ออกฟอร์ดอยู่เกือบตลอดชีวิต (Basham, 1967: 5-6).
ก่อนที่โจนส์จะเริ่มเรียนภาษาสันสกฤต เขาเคยสังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาษายุโรปกับภาษาฮีบรู แต่ก็ปฏิเสธความเชื่อแพร่หลายที่ว่าภาษาฮีบรูคือต้นกำเนิดของภาษายุโรป และเชื่อว่าทั้งภาษาฮีบรูและภาษายุโรปมีต้นกำเนิดร่วมกัน. การที่เขามองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาษาฮีบรู ภาษายุโรป และภาษาสันสกฤต ทำให้โจนส์เชื่อว่าภาษาสันสกฤตคือต้นธารของภาษาตะวันตก และอารยธรรมฮินดูคือ ต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตก. การค้นพบอารยธรรมยุคโบราณของอินเดียของนักบูรพาคดีศึกษาจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การค้นพบอินเดียโบราณ แต่คือการค้นพบ มรดกที่สาปสูญของชาวยุโรป [the lost heritage of the Europeans] (Singh, 1996:66). เอ็ดมุนด์ เบอร์ก (Edmund Burke) นักคิดนักการเมืองคนสำคัญของอังกฤษในช่วงนั้น ซึ่งกำลังเรียกร้องการปฏิรูปการจัดการกับอินเดียของบริษัทอินเดียตะวันออก กล่าวถึงชาวอินเดียว่า [คือ]ผู้คนซึ่งมีอารยธรรมและมีพัฒนาการมาเป็นเวลานาน; ฟูมฟักพัฒนาการมาโดยศิลปะทุกประการของชีวิตที่ผ่านการขัดเกลา ในขณะที่พวกเรา[ชาวอังกฤษ]ยังอาศัยอยู่ในป่า [a people for ages civilized and cultivated; cultivated by all the arts of polished life, whilst we were yet in the woods] (Singh, 1996:64). อดีตอันรุ่งเรืองของอินเดียในฐานะที่เป็น ยุคทองของอารยธรรมฮินดู-อารยัน กลายเป็นวาทกรรมที่ให้ความชอบธรรมกับการปกครองของอังกฤษ เพราะภาพ ยุคทอง ในอารยธรรมอินเดียแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางอารยธรรมระดับสูง ที่เน้นให้เห็นถึงความตกต่ำของอินเดียในปัจจุบันที่แตกแยกกระจัดกระจาย ขาดศูนย์อำนาจปกครองที่ชัดเจน ถูกมองว่าป่าเถื่อน และแปลกประหลาด. อินเดียในปัจจุบันที่กำลังตกต่ำทำความชอบธรรมและเหนือกว่าให้แก่อังกฤษที่แสดงให้เห็นผ่านความเป็นเหตุผล เจริญก้าวหน้าในทางอารยธรรมของตนเอง และถือเป็นภารกิจที่จะต้องนำเอาความเจริญก้าวหน้าและอารยธรรมมาเผยแพร่ให้แก่ชาวพื้นเมืองในอินเดีย. การรื้อฟื้นอดีตที่รุ่งเรืองของอินเดียขึ้นมาใหม่ของนักบูรพาคดีศึกษาจึงเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นของอังกฤษที่จะต้องนำความเจริญและอารยธรรมมาให้แก่ชนพื้นเมือง. วิธีคิดเช่นนี้ทำให้ปิดหนทางที่อินเดียจะคืนกลับไปสู่อดีตอันรุ่งโรจน์ของตนเอง แต่กลับมีเป้ามุ่งไปเน้นที่ภาระแห่งการ กอบกู้ อินเดียจากสภาพความตกต่ำโดยอังกฤษ. วิธีคิดเช่นนี้แพร่หลายอยู่ในอังกฤษ อาทิ ก่อนหน้าที่รัฐบาลอังกฤษจะเข้าไปปกครองอินเดียโดยตรง คาร์ล มาร์กซ์ บิดาแห่งการต่อสู้ปลดปล่อยการกดขี่ทางชนชั้นเองก็เคยประกาศทัศนะเช่นนี้ไว้ในบทความของเขาเรื่อง The Future Results of the British Rule in India ที่ตีพิมพ์อยู่ใน New York Daily Tribune เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1853 ว่า อังกฤษมีภารกิจสองประการที่จะต้องกระทำในอินเดีย: ประการแรกคือทำลาย, ประการหลังคือสร้างขึ้นมาใหม่ [one destructive, the other regenerating] (Marx, 1973:320). ภารกิจที่จะต้องนำเอาอารยธรรมความเจริญอันสูงส่งของตะวันตกไปให้แก่อินเดียนี้ต่อมาเป็นที่รู้จักกันดีจากบทกวีอันลือเลื่องของรัดยาร์ด คิปลิ่ง (Rudyard Kipling, 1865-1936) ชื่อ ภารกิจของคนขาว [The White Mans Burden] (1899) (หมายถึงภาระหน้าที่ของคนผิวขาวชาวตะวันตกที่จะต้องเดินทางออกไปกอบกู้ความตกต่ำของชาวตะวันออกที่ป่าเถื่อนตกต่ำด้อยอารยธรรมลง) ที่ว่า
Take up the White Mans Burden -
Send forth the best ye breed -
Go bind your sons to exile
To serve your captives need;
To wait in heavy harness
On flattered folks and wild -
Your new caught sullen peoples,
Half devil and half child (Cited in Wilson (1977:204).
ซึ่งพอกล้อมแกล้มแปลได้ว่า จงหยิบแอกของคนขาว[ขึ้นมาสวม]
ส่งสายเลือดที่ดีที่สุดของท่านออกไป
ให้ลูกหลานออกไปสู่การเนรเทศ
เพื่อรับใช้ความต้องการของหมู่เชลย;
คอยรับใช้ในแอกอันหน่วงหนัก
[ของ]ชาวบ้านและชาวป่าที่ประจบประแจง
ผู้คนหน้าตาบูดบึ้งน่าทะมึงกลัวที่เพิ่งถูกท่านจับมาใหม่
[พวก]ครึ่งปีศาจและครึ่งเด็ก.
วลีนี้ถูกใช้ต่อมากันแพร่หลายเพื่อแสดงถึงความชอบธรรมของตะวันตกในการช่วยปลดปล่อย คนป่าเถื่อน (ตามทัศนคติของตะวันตก) ด้วยการรุกรานดินแดนป่าเถื่อนเหล่านี้ให้อยู่ในปกครองของตะวันตกและนำความเจริญของตะวันตก รวมทั้งคริสต์ศาสนาไปสู่ดินแดนเหล่านั้น. การเข้าไปบุกยึดดินแดนเหล่านี้มาเป็นอาณานิคมจึงถูกอธิบายว่า คือภารกิจอย่างหนึ่งของคนขาว.
การผลิตความรู้เกี่ยวกับอินเดียของบูรพาคดีศึกษาได้นำไปสู่การสร้างวาทกรรมความรู้เกี่ยวกับอดีต สังคม และวัฒนธรรมของอินเดียขึ้นมาให้กลับขึ้นมามีชีวิตอยู่ในการรับรู้ของผู้คนอีกครั้งหนึ่ง และต่อมาได้นำไปสู่การสร้างตัวตนที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรมให้กับอินเดียสมัยใหม่. ความพยายามที่จะเข้าใจถึงความเป็นอินเดียได้นำนักบูรพาคดีศึกษาไปสู่การศึกษาสังคมวัฒนธรรมอินเดียโบราณที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมสันสกฤต ที่ถูกศึกษาตีความโดยปราศจากสำนึกถึงบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ และเป็นการตีความที่ถูกส่งผ่านมายังนักบูรพาคดีศึกษาโดยชนชั้นนำชาวพื้นเมืองที่เป็นฮินดู โดยเฉพาะการตีความของพวกพราหมณ์ ทำให้ภาพของสังคมอินเดียแยกตัดขาดจากความเป็นอื่นที่ถูกถือว่าแปลกปลอมเข้ามาปะปนในสังคมวัฒนธรรมอินเดีย คือศาสนาอิสลามและวัฒนธรรมของชาวเปอร์เซีย (Van de Veer, 1993) พร้อมๆ กับการที่จักรวรรดินิยมอังกฤษได้สร้างรัฐประชาชาติ อินเดีย ให้แตกหน่ออ่อนขึ้นมาด้วยระบบการปกครองสมัยใหม่แบบรวมศูนย์ของอังกฤษ, เสาโทรเลข, ภาษาอังกฤษ และรางรถไฟ. ภาษาอังกฤษทำให้อังกฤษสามารถส่งผ่านความรู้และอารยธรรมของตะวันตกไปสู่ชาวพื้นเมือง ดังที่โทมัส มาคูเลย์ (Thomas Babington Macaulay) นักการเมืองอังกฤษ กล่าวไว้ใน บันทึกว่าด้วยการศึกษาของชาวอินเดีย [Minute on Indian Education] เมื่อปี ค.ศ. 1835 ซึ่งถูกนำมาอ้างถึงกันอย่างแพร่หลายและอื้อฉาวว่า ในขณะปัจจุบันสมัยนี้ เราจะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อก่อรูปชนชั้นที่จะได้มาเป็นคนถ่ายทอด[ความรู้]ระหว่างเราและผู้คนเรือนล้านที่เราปกครองอยู่; ชนชั้นของผู้คนที่มีความเป็นอินเดียอยู่ในเลือดและสีผิว แต่มีความเป็นอังกฤษในรสนิยม ในความคิดความเห็น ในศีลธรรม และในสติปัญญา [We must at present do our best to form a class who may be interpreters between us and the millions whom we govern; a class of persons, Indian in blood and colour, but Englist in taste, in opinions, in morals, and in intellect] (Spivak, 1988:282). ส่วนรางรถไฟนั้นก็ได้นำให้ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของอินเดียหลอมรวมเข้าด้วยกัน, ผู้คนทุกชนชั้นวรรณะได้เดินทางผ่าน พบปะ สื่อสาร และเคลื่อนไหวเดินทางไปยังทิศทางต่างๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต. ในปี ค.ศ. 1857 ที่เกิดเหตุการณ์ขบถซีปอยนั้น อินเดียมีรางรถไฟยาวถึง 200 ไมล์, แต่พออีก 43 ปีต่อมา (1900) อินเดียมีรางรถไฟยาวเหยียดถึง 25,000 ไมล์, ปี ค.ศ. 1914 อังกฤษสร้างรางรถไฟในอินเดียเพิ่มขึ้นอีก 10,000 ไมล์. กล่าวกันว่า ก่อนหน้าเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อินเดียมีระบบรางรถไฟทั้งหมดยาวถึง 43,000 ไมล์ และเป็นระบบรางรถไฟที่ดีที่สุดในทวีปเอเชียในช่วงเวลานั้น. รางรถไฟให้คุณค่ามหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมืองแก่การสร้างรัฐประชาชาติอินเดียอย่างมหาศาล และกลายเป็น ระบบประสาท ของประเทศอินเดีย (Spear, 1961:283-4). ภารกิจของอังกฤษที่จะต้องรื้อฟื้นอดีตอันรุ่งโรจน์ของอินเดียขึ้นมาใหม่ และนำอารยธรรมมาให้กับชาวอินเดียในปัจจุบัน จึงได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของปัญญาชนอินเดียรุ่นใหม่ ที่มีจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์ที่ต้องการจะรื้อฟื้น อดีตที่ถูกลืม [forgotten past] (Singh, 1996: 69). กล่าวได้ว่างานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อินเดียของนักบูรพาคดีศึกษาอังกฤษได้นำไปสู่การเกิดเค้าโครงประวัติศาสตร์ชาติของชาวอินเดียทั้งในช่วงปลายและหลังยุคอาณานิคมในเวลาต่อมา ดังเช่นที่มีผู้วิจารณ์งานเขียนที่มีชื่อเสียงของยะวาหราล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ เรื่อง Discovery of India ว่าเป็น ตำราพื้นฐาน (the founding texts) ตามแบบฉบับของ ประวัติศาสตร์ชาตินิยมฉบับมาตรฐาน เล่มหนึ่งของแนวคิดชาตินิยมอินเดียหลังจากที่อินเดียได้รับเอกราชเมื่อ ค.ศ. 1947 (Singh, 1996: 187). เหตุที่กล่าวว่างานเขียนเล่มดังของเนห์รูได้รับอิทธิพลจากนักบูรพาคดีศึกษาก็เพราะ แม้ว่าเนห์รูจะพูด/เขียนถึง ประวัติศาสตร์แห่งชาติอินเดียที่ เป็นอันหนึ่งอันเดียว [unique] ที่แสดงถึง เอกภาพของอินเดีย [the unity of India] และเป็นประวัติศาสตร์ของความต่อเนื่องในทางวัฒนธรรมมาเป็นระยะเวลายาวนานถึงห้าพันปีต่อผู้อ่าน/ผู้ฟังถึงประวัติศาสตร์ อินเดียของเรา, แต่เนห์รูก็กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของอินเดียผ่าน [ความรู้ทางประวัติศาสตร์อินเดียที่ถูกสร้างขึ้นโดย]ตะวันตก (Nehru, [1946]: 53, 61, and 73)[9] เพราะว่าแม้ว่าตนจะมีเลือดอินเดียอยู่ในเลือดเนื้อร่างกาย แต่ก็ต้องพูดถึงอินเดียในฐานะของ คนแปลกหน้า [an alien critic] เพราะเขาต้องเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ผ่านวาทกรรมของความรู้เกี่ยวกับอินเดียที่ตะวันตกสร้างขึ้นมา และมองต่อ เธอ [อินเดีย] อย่างที่มิตรชาวตะวันตกคนหนึ่งควรจะกระทำ [I approached her almost as an alien critic...To some extent I came to her via the West, and looked at her as a friendly Westerner might have done] (Nehru, [1946]:51). กล่าวโดยสรุปก็คือ ประวัติศาสตร์ชาติของอินเดียในประวัติศาสตร์แห่งชาติ ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างถูกผลิตขึ้นโดยวาทกรรมเกี่ยวกับอินเดียของวงวิชาการด้านบูรพาคดีศึกษาของจักรวรรดินิยมอังกฤษ.
คำว่า อินเดีย เป็นคำใหม่ที่เพิ่งเกิดไม่นาน โดยชาวยุโรปเริ่มใช้เรียกตามแม่น้ำสินธุว่าแม่น้ำอินดุส (Indus) เรียกดินแดนที่อยู่เลยแม่น้ำสินธุไปทางตะวันออกว่าอินดีส (Indies) และเรียกประชากรที่อยู่ในดินแดนเหล่านี้ว่าชาวอินเดียน. อย่างไรก็ตาม ชาวอินเดียเรียกประเทศดินแดนของตัวเองว่า ภารตะ หรือ ภารัต. ในปัจจุบัน อินเดียเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก กล่าวคือ ตัวเลขจำนวนประชากรล่าสุดอย่างเป็นทางการของอินเดีย คือ 915.9 ล้านคน (1994-5) [http://www.indiagov.org/info/misc/indfact1.htm] หรือประมาณ 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรโลกที่ในปีค.ศ. 1994 มีจำนวน 5,601.3 พันล้านคน [http://www.indiagov.org/info/profile/inter/area.htm]. อย่างไรก็ตาม ข้อมูลประชากรของดัชนีชี้วัดการพัฒนาของธนาคารโลกบอกว่าในปี ค.ศ. 1997 อินเดียมีประชากรอยู่ถึง 962.4 พันล้าน และในปี ค.ศ. 2015 จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1202.8 พันล้าน (World Development Indicators 1999 in [http://www.worldbank.org/data/wdi/pdfs/tab2_1.pdf] ). ส่วนข้อมูลของ CNN บอกว่าประชากรอินเดียในปัจจุบันมีมากเกือบพันล้านคนเข้าไปแล้ว (almost 970 million) [http://www.cnn.com/ WORLD/9708/India97/india/snapshot/index.html]. นอกจากนั้น อินเดียยังได้ชื่อว่าเกือบจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ที่มาจากการเลือกตั้งในปัจจุบัน (Khilnani, 1997: 46). อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์สามารถชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลในระดับรัฐสำคัญๆ หลายแห่ง อาทิ เคราลา และเดลี, แต่ไม่เคยกุมคะแนนเสียงข้างมากในสภาคองเกรสของอินเดีย. ส่วนประเทศเนปาลเป็นอีกประเทศหนึ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์ผ่านการเลือกตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลได้สำเร็จ.
แม้ว่าอินเดียจะเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ (อารยธรรมหะรัปปา หรือโมเหนโช-ดาโรและหะรัปปา) ที่รุ่งเรืองอยู่ในช่วง 2500 ถึง 1500 ปีก่อนคริศต์กาล และมีอารยธรรมที่แข็งแกร่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ชัดเจนของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนดังกล่าว แต่ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่ใหม่มาก เพราะเพิ่งถือกำเนิดในช่วงกลางคืนของวันที่ 14-15 สิงหาคม ค.ศ. 1947. ก่อนหน้านั้นขึ้นไปอินเดียมีรัฐเล็กรัฐน้อยตั้งอยู่เต็มไปหมด โดยบางครั้งก็รวมกันได้เมื่อเกิดมีมหาอำนาจจากภายนอกเข้ามาหรือเกิดมีรัฐที่เติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจเองสามารถควบคุมดินแดนให้อยู่ในอำนาจของตนได้. จักรวรรดินิยมอังกฤษได้มีส่วนช่วยอย่างมากในการประสานและผสานความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ภาษาของกลุ่มคนในดินแดนนี้ให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจรัฐเดียวกัน ใช้ภาษาอังกฤษร่วมกัน เป็นอาณานิคมของอังกฤษร่วมกัน (แม้ว่ามีประมาณร้อยกว่ารัฐในอินเดียปัจจุบันที่เป็นเพียงรัฐในอารักขาของอังกฤษในช่วงอาณานิคม) ด้วยอำนาจของระบบราชการแบบรวมศูนย์สมัยใหม่ รางรถไฟ เสาโทรเลข ภาษาอังกฤษ และอำนาจของเรือปืนกับกองทหารอังกฤษเอง.
จักรวรรดิสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่อยู่ในอินเดียก่อนหน้าอังกฤษจะเข้ามาปกครอง คือจักรวรรดิโมกุล ซึ่งสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1526 และสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1858 เมื่อกองทัพอังกฤษเอาชนะกองทัพของเบลกอลหลังการเกิดขบถซีปอย (1857-8) และประกาศยึดอินเดียเป็นอาณานิคมอย่างเป็นทางการ และครอบครองไปจนถึงปี ค.ศ. 1947 จึงปล่อยให้เป็นเอกราช. อังกฤษแบ่งการปกครองออกเป็น 2 ส่วน คือ 1)รัฐเจ้าพื้นเมือง (Native States) มีอำนาจในการปกครองตนเอง โดยจะต้องมอบอำนาจทางการทหารและการเมืองภายนอก(ระหว่างประเทศ)ให้แก่อังกฤษจัดการแทน ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 362 รัฐ และถ้ารวมรัฐเล็กๆ (estates) ด้วยก็จะมีถึง 570 รัฐ, และ 2)อินเดียส่วนที่เป็นของอังกฤษ (British India) ซึ่งอังกฤษส่งผู้สำเร็จราชการแทนกษัตริย์ (Viceroy) มาปกครองแทนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1858 (ก่อนหน้านั้นบริษัทอินเดียตะวันออกส่งข้าหลวงใหญ่ หรือ Governor-General มาปกครองเมืองท่าส่วนที่อังกฤษยึดได้). หลังปี ค.ศ. 1909 อังกฤษก็เริ่มให้ชาวอินเดียมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น ด้วยการให้มีสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่การเรียกร้องเอกราชของชาวอินเดียในเวลาต่อมาโดยมีผู้นำที่สำคัญ คือ มหาตมา คานธี, ยะวหราล เนห์รู, และมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ เป็นต้น. ในช่วงการเรียกร้องเอกราช ความแตกต่างทางศาสนาของชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในอินเดีย ทำให้เกิดการเรียกร้องสถานะพิเศษเพื่อที่จะปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนำไปสู่การเรียกร้องแยกเป็นประเทศปากีสถานสำหรับชาวมุสลิมในเวลาต่อมา (Khilnani, 1997: 162-163). (ชาวมุสลิมได้รวมตัวทางการเมืองและก่อตั้งเป็นสันนิบาตมุสลิม (Muslim League) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1906 และต่อมาได้พัฒนาเป็นพรรคการเมืองของชาวมุสลิม โดยมีผู้นำคนสำคัญคือมูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ซึ่งต่อมาคือบิดาแห่งปากีสถาน). ประเทศอินเดีย และประเทศปากีสถาน (ต่อมาแยกเป็นปากีสถานและบังคลาเทศในปีค.ศ. 1971) ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการในเที่ยงคืนวันที่ 14 ต่อวันที่ 15 เดือนสิงหาคม 1947. การแบ่งประเทศ (Partition) ด้วยการลากเส้นกำหนดพรมแดนลงบนแผนที่ของอังกฤษทำให้การเกิดอพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กล่าวคือ ภายในเวลาไม่กี่เดือนมีผู้คนจำนวนประมาณ 15 ล้านคนเดินทางข้ามพรมแดนที่ลากเนรมิตรขึ้นฉับพลัน และผู้อพยพเกินกว่าครึ่งที่เดินทางจากปากีสถานเข้ามาในอินเดียต่างพากันเข้ามาตั้งรกรากในเขตเมือง ทำให้เขตเมืองใหญ่จำนวนมากกลายสภาพเป็นมหานครที่แออัดยัดเยียดเต็มไปด้วยคนพลัดที่นาคาที่อยู่และแหล่งสลัมไปในฉับพลัน (Khilnani, 1997: 129).
ชาวอินเดียส่วนใหญ่มาจาก 2 เผ่าพันธุ์ คือ ดราวิเดียน (หรือฑราวิฑ) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นชนพื้นเมืองเดิม กับพวกอารยัน (หรืออารยะ) ซึ่งเริ่มอพยพเข้ามาในราว 1500 ปีก่อนคริสต์กาล. พวกดราวิเดียนมีรูปร่างเตี้ย ดำ จมูกแบน คล้ายกับชาวทมิฬในอินเดียใต้, ส่วนพวกอารยันจะมีร่างสูง ผิวขาว จมูกโด่ง คล้ายกับชาวอินเดียทางเหนือ อาทิ ชาวปัญจาบ. อินเดียมีภาษามากกว่า 200 ภาษา และถ้านับรวมภาษาถิ่นด้วยก็จะมีราว 800 ภาษา แต่ที่มีคนใช้กันมากและระบุในรัฐธรรมนูญมีเพียง 18 ภาษา แบ่งออกเป็น 2 ตระกูล คือตระกูลดราวิเดียนและตระกูลอินโด-อารยัน หรืออินโด-ยูโรเปียน (ศรีสุรางค์,2539: 7). ภาษาสันสกฤตที่คนไทยคุ้นเคยอยู่บ้างเป็นภาษาในตระกูลอินโด-ยุโรเปียน ซึ่งเป็นภาษาของนักปราชญ์ตั้งแต่โบราณ ใช้สำหรับเขียนคัมภีร์ทางศาสนา ตำรา วรรณคดี และในราชสำนักผู้มีการศึกษาสูง. สันสกฤตแปลตามตัวอักษรว่า สมบูรณ์แบบ ซึ่งต่างกับภาษา ปรากฤต ที่แปลว่า ไม่ปราณีต (ภาษาปรากฤตเป็นภาษาพูดในหมู่ผู้หญิงข้าราชสำนักที่มีการศึกษาน้อย ตั้งแต่ราชินีจนถึงสนมกำนัล), ภาษาสันสกฤตจึงเป็นภาษาที่ถูกต้องของราชสำนัก ส่วนภาษาปรากฤตเป็นภาษาของชาวบ้าน. การมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดทำให้ภาษาสันสกฤตกลายเป็นภาษาที่ตายไปในที่สุด เพราะไม่มีใครพูด ส่วนภาษาปรากฤตที่พูดโดยแหวกออกไปจากกรอบกฎเกณฑ์ก็ยังเป็นภาษาที่ยังพูดกันในปัจจุบัน โดยพัฒนามาเป็นภาษาฮินดี ปัญจาบี เบงกาลี เป็นต้น โดยมีศัพท์จากภาษาอื่นเข้ามาปะปนอยู่ด้วย. อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 เมื่ออนุทวีปอินเดียถูกครอบครองโดยมุสลิมชาวเติร์ก อัฟฆาน มองโกล ซึ่งรับอารยธรรมเปอร์เซีย ภาษาเปอร์เซียจึงกลายเป็นภาษาราชการมาจนถึง ค.ศ. 1858 (เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองอินเดียเป็นอาณานิคมอย่างเป็นทางการ โดยก่อนหน้านี้เป็นเพียงกิจการของบริษัทอินเดียตะวันออก หรือ East India Company เท่านั้น). อย่างไรก็ตาม ภาษาเปอร์เซียเป็นคงเป็นภาษาราชสำนักอันหนึ่งที่ไม่ได้พูดกันแพร่หลายไปกว่าผู้มีการศึกษาและรับราชการ แต่การปะทะสังสรรค์ทางวัฒนธรรมระหว่างชาวมุสลิมกับชาวฮินดูได้ก่อให้เกิดภาษาใหม่ขึ้นมาคือภาษาอูรดู แปลว่า ค่ายของทหารเตอร์ก เนื่องจากริเริ่มใช้โดยพวกทหารมุสลิมชาวเตอร์ก ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นภาษาที่แพร่หลายที่ใช้กันทั่วไปทางภาคเหนือของอินเดีย. ภาษาอูรดูก็ใช้กันมากเฉพาะในหมู่ชาวมุสลิม แต่ในหมู่ชาวฮินดูเองใช้ภาษาฮินดี (ภาษาที่สันนิษฐานว่าแตกสาขาออกไปจากภาษาปรากฤต) ผสมผสานกับภาษาอูรดู โดยมีคำสันสกฤตผสมอยู่ในสัดส่วนมากกว่า และเรียกกันในภายหลัง(โดยชาวอังกฤษว่า) ภาษาฮินดูสตานี. เมื่ออังกฤษเข้ามายึดครองแล้วก็พยายามที่จะจัดระบบให้ภาษาฮินดูสตานีและทำให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นภาษากลางภาษาหนึ่งของปากีสถานในปัจจุบัน, และกล่าวกันว่าถ้าหากอินเดียจะมีภาษากลางก่อนหน้าที่อังกฤษจะเข้ามาก็ต้องถือว่าภาษาฮินดูสตานีเป็นภาษากลางที่มีคนพูดกันแพร่หลายที่สุด (ดูประวัติศาสตร์และพัฒนาการของภาษาฮินดูสตานีได้ใน Lelyveld, 1993: 189-210). หลังจากที่อังกฤษยึดครองแล้ว ภาษาอังกฤษก็กลายเป็นภาษาราชการและภาษากลางจนกระทั่งปัจจุบัน. นอกจากนี้ ในปัจจุบันภาษาอังกฤษยังเป็นเพียงภาษาเดียวที่ทำให้คนอินเดียจากทั่วประเทศสามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง เนื่องจากภาษาฮินดีซึ่งเป็นภาษาราชการอีกภาษาหนึ่งนั้นคนอินเดียในบางรัฐก็พูดไม่ได้ และแม้ว่าภาษาพูดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดียส่วนใหญ่จะยังคงใช้ภาษาฮินดูสตานีแต่ภาษาก็เป็นภาษาที่คนอินเดียภาคใต้ฟังไม่รู้เรื่อง).
สังคมอินเดียแบ่งออกเป็น 4 วรรณะ คือ 1)พราหมณ์ ซึ่งถือว่าเกิดจากพระโอษฐ์(ปาก)ของพระพรหม จึงถือว่าเป็นวรรณะที่สูงกว่าวรรณะอื่นๆ เป็นพวกที่ทำหน้าที่ศึกษาท่องจำและสืบต่อคัมภีร์พระเวท เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาสำหรับทุกวรรณะ, 2)กษัตริย์ ถือว่าเกิดจากแขน เป็นวรรณะของนักรบ ทำหน้าที่ปกครองและทำศึกสงครามเพื่อขยายหรือปกป้องดินแดน, 3)ไวศยะ ถือว่าเกิดจากขา เป็นวรรณะของคนส่วนใหญ่ในสังคมที่เป็นผู้ประกอบพาณิชยกรรม เกษตรกรรม และศิลปหัตถกรรมต่างๆ, และ 4)ศูทร ว่าเกิดจากเท้า เป็นวรรณะของกรรมกรผู้ทำงานรับจ้าง ใช้แรงงานให้บริการแก่วรรณะอื่นๆ (ปรีชา, 2540: 67). นอกจากนี้ ภายในแต่ละวรรณะยังแบ่งแยกย่อยออกไปอีกเป็นพันวรรณะ, ชาวอินเดียเรียกว่า ชาติ. การแบ่งวรรณะนี้เป็นสิ่งที่ตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผู้ที่ฝ่าฝืนไปแต่งงานนอกวรรณะจะถือเป็นพวกนอกวรรณะ ซึ่งถือว่าต่ำยิ่งกว่าวรรณะศูทร. พวกนอกวรรณะมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น จัณฑาล (ซึ่งตามศัพท์หมายถึงคนที่เกิดจากพ่อศูทรแม่พราหมณ์ แต่ในภาษาไทยหมายถึงคนนอกวรรณะ โดยไม่จำเป็นต้องพ่อศูทรแม่พราหมณ์), outcastes, untouchables (ไม่พึงสัมผัส ไม่พึงเข้าใกล้), หริชน (ศัพท์ที่มหาตมะ คานธีใช้เรียกเพื่อยกระดับฐานะคนนอกวรรณะให้เท่าเทียมคนอื่น แปลว่าบุตรของพระเจ้า).
การแบ่งวรรณะถือหลัก 3 ประการ คือ วรรณะเดียวกันจึงจะแต่งงานกันได้, จึงกินอยู่ร่วมกันได้, และจึงจะถ่ายทอดวิชาและอาชีพให้แก่กันได้. ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดมีการแบ่งวรรณะก็สันนิษฐานว่าคงสืบเนื่องจากสีผิวและการแบ่งหน้าที่ในสังคม, เนื่องจากพวกอารยันซึ่งมีผิวขาว (พราหมณ์ กษัตริย์ และไวศยะถือว่าตัวเองผิวขาว) เข้ามาอย่างผู้พิชิต ดังนั้นเมื่ออพยพเข้ามาแล้วก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการผสมกลมกลืนเข้าด้วยกันกับชนพื้นเมืองเนื่องจากการรังเกียจว่ามีผิวดำและมีฐานะเป็นผู้แพ้ เป็นรากฐานที่มาของระบบวรรณะในอินเดีย.
ความเชื่อดั้งเดิมของอินเดียสามารถพิจารณาย้อนไปถึงสมัยอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ (สมัยก่อนประวัติศาสตร์) ที่เชื่อในเทพเจ้าแห่งสัตว์ (ปศุบดี) ซึ่งอาจเป็นต้นกำเนิดของพระศิวะ และเชื่อในเจ้าแม่แห่งความอุดมสมบูรณ์. เมื่อพวกอารยันอพยพเข้ามาก็นำเอาความเชื่อในคัมภีร์พระเวทและลัทธิพราหมณ์เข้ามาด้วย. คัมภีร์พระเวทแบ่งออกเป็น 4 เวท คือฤคเวท, ยชุรเวท, สามเวท, และอถรรพเวท (และบทเสริมคือ พราหมณะ, อาณัยกะ, และอุปนิษัท). ทั้งหมดนี้คัมภีร์ฤคเวทเก่าแก่ที่สุด และแม้กระทั่งอถรรพเวทก็เกิดขึ้นภายหลังพุทธกาล เพราะในช่วงนั้นมีปรากฏเพียงสามคัมภีร์แรกเท่านั้น. ฤคเวทเป็นคัมภีร์ที่ประกอบด้วยคำฉันท์บทร้อยกรองสำหรับสวดสรรเสริญเทพเจ้าต่างๆ ที่มีชื่อกล่าวไว้, ยชุรเวทเป็นบทร้อยแก้วว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายัญและพิธีบวงสรวงต่างๆ, สามเวท เป็นคำฉันท์สำหรับสวดในพิธีถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์ และขับกล่อมเทพเจ้าอื่นๆ, ส่วนอถรรพเวทเป็นการรวบรวมคาถาอาคมหรือเวทมนต์สำหรับใช้ร่ายแก้เสนียดจัญไร นำสวัสดิมงคลมาให้ และใช้ทำลายศัตรู (ปรีชา, 2540: 64). คัมภีร์ทั้งหมดนี้ (รวมบทเสริม) เรียกว่า ศรุติ หรือ ที่ได้ยินมา เพราะเชื่อว่าได้ยินมาจากพระเจ้าโดยตรง ซึ่งแตกต่างกับ สมฤติ หรือ ที่จำได้ คือจดจำสืบต่อกันมา จึงศักดิ์สิทธิ์น้อยกว่าศรุติ. สมฤติ คือ สูตรและศาสตร์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี ที่พึงยึดถือปฏิบัติ ได้แก่ กัลปสูตร, มานวธรรมศาสตร์ หรือกฎหมายพระมนู, มหากาพย์มหาภารตะ และมหาภาพย์รามายณะ, และคัมภีร์ปุราณะต่างๆ.
ส่วนคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งถือเป็นส่วนสุดท้ายของพระเวท มีเนื้อหาแสดงปรัชญาความคิดอันลึกซึ้ง. อุปนิษัทแต่งเป็นร้อยแก้วในลักษณะบทสนทนา และมีคำอธิบายเปรียบเทียบ ด้วยการใช้สัญลักษณ์ที่มีความหมายซับซ้อน. คำว่า อุปนิษัท หมายถึง ความรู้ซึ่งหากได้รับจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วย่อมทำให้ศิษย์เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งโลก นั่นคือช่วยทำให้รู้แจ้งในอาตมัน หรือตัวตน สามารถทำลายอวิชชาอันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดภาพลวงทั้งหลายได้ ในการศึกษาความหมายอันแท้จริงแห่งคัมภีร์นี้ ศิษย์จึงต้อง เข้าไปนั่งใกล้อาจารย์ ซึ่งหมายความว่าความรู้ดังกล่าวจะเป็นความรู้ที่อาจารย์จะเลือกสอนให้เฉพาะบุคคลเท่านั้น เพราะเป็นความรู้ขั้นสูงสุดของมนุษย์ ในขณะที่บทสวดในคัมภีร์พระเวทมุ่งสนใจในอำนาจและธรรมชาติแห่งเทพเจ้า คัมภีร์อุปนิษัทกลับมีลักษณะตรงกันข้าม คือหันมาสนใจในจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องภายในตัวมนุษย์เอง นอกจากนี้ลักษณะแนวความคิดที่เป็นเอกนิยม (monism) ที่ปรากฏในบทสวดของพระเวทยังได้รับการขยายความและพัฒนาไปอย่างมากในคัมภีร์อุปนิษัท แนวโน้มในบทสวดของพระเวทที่จะรวมเทพเจ้าทั้งหลายเข้าเป็นเอกภาพเดียวกันได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในคัมภีร์อุปนิษัท ลักษณะความเชื่อแบบพหุเทวนิยมซึ่งฝังรากลึกในความรู้สึกและความเข้าใจของชาวอินเดียนั้นเมื่อเทียบกันแล้วยังเป็นรองแนวความคิดเรื่องเอกภาพ ในคัมภีร์อุปนิษัทเทพเจ้าทั้งหลายในคัมภีร์พระเวทนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์จากพระเจ้าสูงสุดผู้ทรงมหิทธานุภาพเหนือธรรมชาติทั้งมวล และเป็นสิ่งเดียวกับอาตมัน (ตัวตน) .อาตมันหรือตัวตนนั้นเป็นหลักสำคัญที่จะทำให้มนุษย์เข้าใจถึงความจริงแห่งจักรวาลทั้งปวงได้ ความจริงภายในและภายนอกนั้นแท้จริงแล้วเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พรหมันซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งวัตถุทั้งปวงนั้นที่จริงแล้วคืออาตมัน ซึ่งเป็นหลักจริงแท้แห่งวิญญาณอันจะค้นพบได้จากภายในตัวของเราเอง ความรู้แจ้งทางศาสนาเป็นสิ่งที่จะเข้าถึงได้โดยการรู้แจ้งในวิญญาณภาพของสรรพสิ่งทั้งปวงโดยรู้แจ้งในเอกภาพของพรหมัน-อาตมัน มนุษย์อาจสามารถบังคับตัวตนขั้นต่ำให้อยู่ในกรอบและจะสามารถผลักดันให้รู้แจ้งในตัวตนที่สูงกว่า ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงเรียกว่าพรหมัน หากมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่สูงกว่าได้ ก็ต้องกลับมาเกิดอีกตราบเท่าที่มนุษย์ยังไม่สามารถก้าวข้ามขอบข่ายแห่งสังสารวัฏ มนุษย์ยังอยู่ภายใต้อำนาจของเวลา จึงต้องมีเกิดและตายต่อไป อิสรภาพขั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่จะทำให้เข้าถึงความเป็นนิรันดร์ ชีวิตในอนาคตถูกจำกัดด้วยกฎแห่งกรรมเฉพาะตน ชีวิตและความตายเกี่ยวเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่ (ฉัตรสุมาล, 2539ก: 33-35). นอกจากคัมภีร์อุปนิษัทแล้ว ภควัตคีตาก็เป็นอีกคัมภีร์หนึ่งที่แพร่หลายและมีอิทธิพลต่อความคิดของชาวอินเดียมาก. เนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงวิธีการเข้าถึงเอกภาพในพระเจ้าและธรรมชาติที่แท้จริงของพระเจ้าซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง และได้แบ่ง โยคะ หรือวิธีเข้าไปรวมกับพระเจ้าออกเป็น 3 ทาง คือ ญาณโยคะ คือด้วยการใช้ความรู้, ภักดีโยคะ คือการอาศัยศรัทธา, และ กรรมโยคะ คือต้องอาศัยการกระทำ ซึ่งทั้ง 3 วิธีมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน คือการเข้าถึงสัจธรรมที่แท้จริงที่เรียกว่า โมกษะ หรือความหลุดพ้น (ฉัตรสุมาล, 2539ก: 37).
ความเชื่อในคัมภีร์พระเวทมีหลายระดับ คือ 1)ระดับพหุเทวนิยม คือนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่ส่วนใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของปรากฏการณ์ธรรมชาติ อาทิ สุริยะ (ดวงอาทิตย์), อินทร์ (สายฟ้า และฝน), วายุ (ลม), อัคนี (ไฟ), 2)ระดับเอกเทวนิยม ซึ่งเชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุดองค์เดียว, และ 3)ระดับเอกนิยม ซึ่งเชื่อในหลักสูงสุดว่าเป็นที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล ซึ่งในคัมภีร์อุปนิษัทเรียกว่าพรหมหรือปรมาตมัน.
ศาสนาพราหมณ์ได้ผ่านการปรับตัวหลายครั้งในประวัติศาสตร์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายของลัทธิความเชื่อที่สำคัญคือศาสนาพุทธกับศาสนาเชน และศาสนาอิสลาม. เมื่อศาสนาพุทธและศาสนาเชนกำเนิดขึ้นทำให้ศาสนาพราหมณ์ต้องปรับตัวและเรียกกันในชื่อใหม่ว่าศาสนาฮินดู โดยส่งผลในเรื่อง 1)ความเชื่อในเรื่องธรรม ซึ่งจะเน้นความแตกต่างไปตามวรรณะ แตกต่างจากพุทธศาสนาที่ชนทุกชั้นปฏิบัติเสมอกัน, 2)ความเชื่อในหลักอหิงสา คือการยกย่องมังสวิรัติว่ามีวรรณะสูงกว่าพวกกินเนื้อ รังเกียจการเบียดเบียนชีวิต และถวายผลไม้แก่เทพเจ้าแทนฆ่าสัตว์สังเวยเทพเจ้า, 3)ความเชื่อในการออกบวช เหมือนพุทธศาสนาและศาสนาเชน แต่กำหนดให้ทำเมื่อผ่านวัยกลางคนไปแล้ว กล่าวคือเมื่อเป็นคฤหัสถ์ครองเรือนจนมีหลานจึงสมควรออกไปอยู่ป่าสละโลกเป็นสันยาสีเที่ยวจาริกแสวงบุญ, และ 4)ถือพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระวิษณุ. ส่วนการท้าทายจากศาสนาอิสลามทำให้ฮินดูปรับตัวเป็น 2 แนว คือ 1)ในด้านหนึ่งทำให้เกิดพลังอนุรักษ์นิยม ที่จะหันไปฟื้นฟูลัทธิฮินดู ตลอดจนกฎเกณฑ์ต่างๆ ของระบบวรรณะมายึดถืออย่างเคร่งครัดเข้มงวดกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อไม่ให้ถูกทำลายหรือถูกกลืนโดยศาสนาอิสลาม และ 2)ในอีกด้านหนึ่งก็เกิดการปฏิรูปความเชื่อบางด้านในศาสนาเกิดเป็นลัทธินิกายใหม่ขึ้นมา เช่น ลัทธิภักดี ที่ปฏิเสธตัวเองและเน้นความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างหมดสิ้น, นอกจากนี้ลัทธิภักดียังปฏิเสธระบบวรรณะ โดยนักบุญบางคนอยู่ในวรรณะศูทรหรือนอกวรรณะ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคแบบเดียวกับศาสนาอิสลาม (ฉัตรสุมาล, 2539ข: 40). ลัทธิภักดีแยกออกเป็นสองนิกาย คือนิกายไวษณวะนับถือพระวิษณุ กับนิกายไศวะ นับถือพระศิวะ, และเจริญรุ่งเรืองที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยมีเทพเจ้าที่เป็นที่เคารพกันมากที่สุดคือพระกฤษณะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก และพระราม ผู้ทรงคุณธรรม. นอกจากนี้ความเคลื่อนไหวในลัทธิภักดียังก่อให้เกิดความพยายามที่จะสร้าง สะพานระหว่างศาสนาอิสลามกับศาสนาฮินดู โดยนักคิดหรืออาจารย์บางท่าน เช่น กบีร์ ที่เป็นมุสลิมโดยกำเนิด แต่ก็เลิกนับถือศาสนาอิสลาม (แม้จะยังเชื่อมั่นในเอกเทวนิยมอย่างแน่นแฟ้น) และพยายามที่รวมหลักคำสอนของอิสลามกับฮินดูเข้าด้วยกัน. กบีร์เห็นว่าศาสนาเป็นเรื่องจิตใจเฉพาะบุคคล เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และมนุษย์ควรมีอิสระในการสำรวจจิตใจของตนเองอย่างสงบและสันติ กล่าวคือ ผู้ปฏิบัติที่ดีคือคนที่สามารถอยู่ห่างจากพระเวทและคัมภีร์กุรอ่าน. บางขบวนการในลัทธิภักดีสามารถก้าวพ้นออกไปจากศาสนาฮินดูด้วยการให้กำเนิดศาสนาใหม่ที่เรียกว่าศาสนาสิข โดยคุรุนานัก (ค.ศ. 1469-1538) เป็นผู้นำ. คุรุนานักมีความเชื่อเช่นเดียวกับกบีร์ในเรื่องเอกเทวนิยมและการปฏิเสธระบบวรรณะ และได้รวบรวมสานุศิษย์ หรือสิข เข้าเป็นกลุ่มภายใต้การดูแลและการอบรมสั่งสอนของคุรุนานัก. คุรุนานักได้ประกาศว่า ไม่มีศาสนาฮินดู ไม่มีศาสนามะหะหมัด และสอนให้มนุษย์นับถือพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว, พระเจ้าในศาสนาต่างๆ ไม่ว่าจะอิสลาม คริสต์ หรือฮินดู มีความแตกต่างกันเพียงพระนามเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นพระองค์เดียวกัน คือ เป็นสัตยาเทพผู้ทรงความเป็นเอกเป็นอนันตะและอกาละหาขอบเขตมิได้ แยกลักษณะมิได้ คิดคะเนมิได้ ทรงสภาพอันควรเคารพบูชา พระองค์ทรงพระกรุณาแก่มวลมนุษย์ทั่วไปโดยเสมอเหมือนกัน. การสอนให้มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันหมดมีจุดประสงค์ที่จะให้ชาวฮินดูและมุสลิมเลิกแบ่งแยกถือพรรคถือพวก และเพื่อ แสวงหาความจริงสูงสุดอันเป็นพื้นฐานของศาสนาทั้งปวงเพื่อจะทำให้มนุษย์ทั้งปวงอยู่ร่วมกันได้โดยสงบสุข (ฉัตรสุมาล, 2539ข: 47-48).
การปรับตัวส่งผลทำให้ศาสนาฮินดูยังคงรักษาพลังในสังคมเอาไว้ได้ และทำให้ชาวอินเดียส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็ยังนับถือศาสนาฮินดู กล่าวคือ ไม่ว่าจะกราบไหว้ลึงก์, ผีสางนางไม้, เทพเจ้า, พุทธศาสนิกชน, หรือนับถือศาสนาเชนก็ถูกนับรวมเป็นชาวฮินดูทั้งสิ้น. ส่วนคนที่นับถือศาสนาอิสลาม, คริสต์, และศาสนาอื่นๆ เป็นชนกลุ่มน้อยในอินเดียปัจจุบัน.
อารยธรรมจีน (ขงจื้อ)[11]
ปัจจุบันจำนวนประชากรจีนมีมากที่สุดในโลก คือ 1227.2
พันล้านคนในปี ค.ศ. 1997
และประมาณว่าในปี ค.ศ. 2015
จีนจะมีประชากรจีนอยู่ในราว 1390.3 พันล้านคน
[http://www.worldbank.org/data/wdi/pdfs/tab2_1.pdf].
แต่ถ้ามองในแง่ของการใช้ภาษา
ก็ต้องถือว่ากลุ่มผู้พูดภาษาจีนในปัจจุบันเป็นกลุ่มวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาอารยธรรมต่างๆ
ของโลก กล่าวคือมีมากถึง 1119 พันล้านคน (18.8 %) ในปี ค.ศ. 1992, ในขณะที่ประชากรที่พูดภาษาตะวันตกทั้งหมดรวมกันทุกภาษา
(อังกฤษ สเปน โปรตุเกส เยอรมัน และฝรั่งเศส) รวมกันแล้วได้เพียง 1237 พันล้านคน (20.8 %) เท่านั้น (Huntington, 1997: 61).
ความที่ประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งทำให้ประเทศจีนจึงถูกจับตามองในเรื่องต่างๆ
อยู่เสมอ.
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และลักษณะทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสังคมอื่นอย่างชัดเจน
และมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์อารยธรรมที่สืบเนื่องมายาวนานตั้งแต่ยุคหินเก่า (ดังที่ปรากฏร่องรอยมนุษย์ปักกิ่ง),
ยุคหินใหม่ (มีการสร้างป้อมปราการป้องกันตนเอง,
เครื่องปั้นดินเผาระบายสี, แป้นหมุนสำหรับปั้นหม้อ
เครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น), และในยุคสำริด (Bronze
Age) (ประมาณ 1523-1122 ก่อนคริสต์กาล)
ดังที่ปรากฏมีการผลิตเครื่องสำริด
และมีร่องรอยการตั้งหลักแหล่งของชุมชนเมืองที่ใหญ่กว้างขวางมากในเมืองฉางโจว
ทางตอนเหนือของโหหนาน. ในประมาณ 1122-256 ก่อนคริสต์กาล
ราชวงศ์โจวเป็นพวกแรกที่สามารถตั้งจักรวรรดิของตนเองได้สำเร็จ
ด้วยการเข้ายึดเมืองหลวงของพวกฉ่าง แล้วขยายดินแดนออกไปกว้างขวาง. ราชวงศ์โจวมีกษัตริย์องค์สำคัญที่นักปราชญ์สมัยโบราณอ้างถึงเสมอคือ
กษัตริย์เหวิน กษัตริย์วู่ และกษัตริย์โจว, โดยเฉพาะกษัตริย์โจวนั้นเป็นคนร่วมสมัยกับขงจื้อ
นักปราชญ์ที่คนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของอารยธรรมจีน. ภายหลังที่ราชวงศ์โจวเสื่อมลง
จักรวรรดิก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และเกิดรบพุ่งระหว่างนครรัฐเล็กๆ
เพื่อขยายดินแดนและรักษาตัวให้รอด,
แต่ในราว 221-207 ก่อนคริสต์กาล
จิ๋นซีฮ่องเต้แห่งราชวงศ์จิ๋นก็ล้มล้างอำนาจการปกครองของราชวงศ์โจวเดิมลงและปราบปรามนครรัฐต่างๆ
และรวมเข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. ในสมัยของพระองค์
จักรพรรดิจิ๋นซีทรงสร้างถนนจากเมืองหลวงไปยังเขตต่างๆ
เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
และได้เชื่อมต่อกำแพงเมืองของรัฐต่างๆ
ทางด้านเหนือเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านการรุกรานของอารยชน เป็นกำแพงยาวถึง 1400
ไมล์ เสมือนพรมแดนกั้นระหว่างคนจีนกับ คนป่า.
ราชวงศ์จิ๋นปกครองโดยใช้หลักนิติธรรมนิยม
คือให้ความสำคัญกับกฎหมายและให้ความสำคัญกับการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง, แต่การยึดหลักนิติธรรมที่ต้องมีมาตรฐานเพียงหนึ่งเดียวเป็นเกณฑ์ตัดสินสิ่งต่างๆ
ทำให้มีการเผาทำลายบันทึกทางประวัติศาสตร์และหนังสือต่างๆ เสียทั้งหมด
ยกเว้นฉบับที่คัดลอกเก็บรักษาไว้ที่ห้องสมุดของจักรวรรดิที่ถือเป็นฉบับมาตรฐาน. ผลงานที่เขียนไว้บนไม้และไม้ไผ่จึงหายสาปสูญไปตามกาลเวลา
ส่วนที่เหลือตกทอดมาถึงปัจจุบันคืองานที่มีคนซุกซ่อนไว้หรือเรียบเรียงขึ้นใหม่จากความทรงจำของนักปราชญ์หลังจากราชวงศ์จิ๋นสิ้นอำนาจ.
นอกจากนี้ ในสมัยของพระองค์มีการสร้างสุสานเป็นพระราชวังขนาดมหึมา
จุคนได้ถึง 10,000 คน
ประดับด้วยทรัพย์สินมีค่าและรูปปั้นขนาดเท่าคนจริงของนักรบและข้าราชสำนักจำนวนมาก.
ราชวงศ์ต่อมาที่สามารถสถาปนาอำนาจตัวเองขึ้นปกครองแผ่นดินจีนได้คือราชวงศ์ฮั่น
(202 ก่อนคริสต์กาล ค.ศ. 200) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความปึกแผ่นทางการเมืองของจีน
และเป็นยุคแห่งการสร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน. ในสมัยนี้ได้เกิดสถาบันที่มีอำนาจทางการเมืองขึ้นมา
3 สถาบัน คือ จักรพรรดิ, ระบบราชการ,
และตระกูลสำคัญ.
องค์จักรพรรดิเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดโดยสิทธิ์
และโดยการอ้างความเป็นโอรสสวรรค์ที่ลงมาปกครองโลกมนุษย์ แต่พระองค์ก็ต้องอาศัยข้าราชการในจักรวรรดิที่มีจำนวนมากถึง 130,285
คน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวิธีการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ
ด้วยการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการแบบจีน. การสอบคัดเลือก (สอบจอหงวนที่เรารู้จักในภาพยนตร์จีน)
เป็นลักษณะสำคัญอย่างยิ่งอันหนึ่งของวัฒนธรรมทางการเมือง
เพราะแม้ว่าจักรพรรดิจะคำนึงถึงอิทธิพลของตระกูลสำคัญอยู่มาก
แต่ก็กล่าวได้ว่าเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการโดยอาศัยความสามารถส่วนบุคคลเป็นหลักนั้นได้รับการสถาปนามาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เป็นต้นมา
และคงทนถาวรจนกระทั่งสิ้นสุดสมัยราชวงศ์เช็ง
ซึ่งมีการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์เดิมและเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบบสาธารณรัฐในปี
ค.ศ. 1911 โดยมี ดร.ซุน ยัด เซ็น เป็นผู้นำสำคัญ. ส่วนเรื่องความรู้ที่นำมาใช้สอบเพื่อวัดความสามารถของบุคคล
คือความรู้เกี่ยวกับตำรับตำราทั้งห้าของขงจื้อและจริยธรรมประจำตน. การใช้ตำรับของขงจื้อในการสอบคัดเลือกรับราชการทำให้ความรู้และแบบแผนประเพณีแบบขงจื้อได้รับการสถาปนาเป็นความรู้และแบบแผนประเพณีหลักของรัฐและสังคมจีน
และทำให้ลัทธิขงจื้อเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองการปกครองของจีนอย่างมากนับตั้งแต่เป็นต้นมา.
แกนกลางสำคัญในคำสอนของขงจื้อคือ มนุษย์ (สุวรรณา, 2533). กล่าวคือ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า
ขงจื้อเป็นนักมนุษยนิยม ผู้ใฝ่สืบทอดอารยธรรมโจว
เพื่อเป็นแม่แบบแห่งจารีตในการกล่อมเกลามนุษย์ให้สมบูรณ์
(สุวรรณา, 2539: 168).
ขงจื้อไม่ได้สนใจว่ามนุษย์มาจากไหนและเกิดขึ้นมาได้อย่างไร: การดำรงอยู่ของมนุษย์ (existence) เป็นรากฐานแห่งการแสวงหาความรู้ทางปรัชญา การดำรงอยู่
ในที่นี้เป็นการดำรงอยู่อย่างเป็นรูปธรรมภายในเครือข่ายความสัมพันธ์ชุดใดชุดหนึ่งเสมอ
การมองมนุษย์ว่าโดยพื้นฐานแล้วแฝงฝังอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
และอยู่ในจุดเชื่อมต่อทางกาลเวลาระหว่างอดีตกับอนาคต
เป็นเงื่อนไขที่กำหนดกระบวนการคิดคำนึงทางปรัชญาของขงจื้อเอง ปรัชญา สำหรับขงจื้อเป็นเรื่องของ ฉันดำรงอยู่
ฉันจึงพึงคิดและเรียนรู้ จึงกล่าวได้ว่าเงื่อนไขที่ต้องดำรงอยู่ก่อนแล้วจึงจะคิดได้ย่อมแตกต่างกับปรัชญาของเดสการ์ตส์ที่ต้องคิดก่อนจึงพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของตัวเองได้
(สุวรรณา, 2539: 6).
เพราะสิ่งที่ขงจื้อสนใจคือมนุษย์ตามที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันที่ใช้ชีวิตร่วมอยู่กับผู้อื่นในสังคม
และการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์. มนุษย์ที่สมบูรณ์ตามทัศนะของขงจื้อคือมนุษย์ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
หรือ เหริน. สิ่งที่ขงจื้อเน้นมากเกี่ยวกับมนุษย์ที่มาอยู่รวมเป็นสังคม
คือการที่มนุษย์รู้จักหน้าที่ของตนเองและปฏิบัติให้เหมาะสมกับหน้าที่. ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากการที่แต่ละคนไม่รู้จักหน้าที่ของตน
และไม่ปฏิบัติให้เหมาะสมกับฐานะหน้าที่ของตนในสังคม, หากทุกคนรู้จักฐานะหน้าที่และปฏิบัติตามให้เหมาะสมแล้วสังคมโดยรวมก็จะมีความสงบสุขเจริญรุ่งเรือง
กล่าวคือ กษัตริย์ก็ทำหน้าที่ของกษัตริย์ให้สมบูรณ์ ขุนนางทำหน้าที่ของขุนนางให้สมบูรณ์ บิดาทำหน้าที่ของบิดาให้สมบูรณ์
บุตรธิดาทำหน้าที่บุตรธิดาให้สมบูรณ์.
ขงจื้อแบ่งความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคมออกเป็น
5 กลุ่ม
คือ 1)ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางหรือรัฐบาลกับประชาชน,
2) ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรธิดา, 3) ความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา, 4)ความสัมพันธ์ระหว่างวงศาคณาญาติ,
และ 5) ความสัมพันธ์ระหว่างมิตรสหาย
และได้วางแนวปฏิบัติต่อกันสำหรับบุคคลทั้ง 5 กลุ่ม
คือ 1)กษัตริย์หรือรัฐบาลพึงปฏิบัติต่อขุนนางหรือประชาชนด้วยความเมตตาและซื่อสัตย์สุจริต
ขุนนางและประชาชนพึงมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์หรือรัฐบาล, 2)บิดามารดาพึงเมตตาต่อบุตรธิดา
บุตรธิดาพึงมีความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา, 3)สามีภรรยาพึงมีความรักใคร่ปรองดองและมีความซื่อสัตย์ต่อกัน,
4)วงศาคณาญาติพี่น้องพึงมีความสมัครสมานสามัคคีปรองดองรักใคร่กัน,
และ 5)มิตรสหายพึงมีความสัตย์ซื่อจริงใจต่อกัน.
แม้ว่าขงจื้อจะมองเห็น
ความกลมกลืนสอดคล้อง
ระหว่างการเป็นบุตรที่กตัญญู กับการเป็นพสกนิกรผู้จงรักภักดี
แต่ถึงที่สุดแล้วขงจื้อก็ให้ความสำคัญแก่ครอบครัว วัฒนธรรม และสังคม มากกว่าอำนาจรัฐ (สุวรรณา, 2539: 168).
สาระสำคัญของคำสอนของขงจื้อจึงยึดแนวความคิดเกี่ยวกับความสำคัญสูงสุดของครอบครัว
และใช้ครอบครัวเป็นตัวแบบสำหรับกำหนดคุณค่าทางสังคม: ภายในครอบครัว
ความจงรักภักดี ความเชื่อฟัง และการเคารพหัวหน้าครอบครัว
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน
ในทำนองเดียวกันขงจื้อก็ต้องการให้คนมองเห็นว่ารัฐก็คือครอบครัว
และประชาชนในรัฐก็คือพี่น้องกัน
ประมุขของรัฐก็คือบิดาของประชาชน
ฉะนั้นควรให้ความเคารพและเชื่อฟังประมุขของรัฐดุจเดียวกับเคารพและเชื่อฟังบิดา
ความคิดเช่นนี้ก่อให้เกิดความรับผิดชอบอย่างมากแก่ผู้เป็นประมุข เพราะประชาชนของตนก็คือบุตรของตน
ประมุขของรัฐต้องปฏิบัติต่อประชาชนเยี่ยงบิดาที่ดีพึงปฏิบัติต่อบุตร ถ้าโดยวิธีนี้
ทั้งผู้เป็นประมุขและประชาชนสำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตนที่พึงมีต่อกันและกันแล้ว
ขงจื้อกล่าวว่าสงครามและการปกครองอย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรมก็จะต้องยุติลง
และประชาชนก็สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสันติและพึงพอใจ
จากคำสั่งสอนทั้งมวลของขงจื้อเกี่ยวกับอดีตและครอบครัว
ปรากฏชัดว่าขงจื้อได้มุ่งเน้นความสำคัญของการเป็นตัวอย่างภายในครอบครัว
ถ้าบิดาประพฤติมิชอบก็ยากที่จะเป็นที่เคารพของบุตรได้ ฉะนั้นภายในรัฐก็เช่นเดียวกัน
ประมุขของรัฐจะต้องเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตที่ตนปรารถนาจะให้ประชาชนของตนปฏิบัติ
ทัศนะเกี่ยวกับการเป็นตัวอย่างที่ดีของประมุขยังได้ยืนยันความเชื่อของขงจื้อที่ว่าคุณสมบัติที่ดีมีความสำคัญเหนือชาติกำเนิด ประมุขในอุดมคติของขงจื้อจึงต้องเป็นนักปกครองที่เฉลียวฉลาดและมีคุณธรรมสูงสุด
คุณสมบัติของผู้นำเช่นนี้เท่านั้นที่จะบริหารสังคมและนำมวลมนุษย์ไปสู่ความมีระเบียบอย่างแท้จริง
(พรรณี, 2539: 176).
อย่างไรก็ตาม
ก่อนหน้ายุคปรัชญาเมธีนั้นสังคมจีนก็มีความคิดความเชื่อที่เป็นรากฐานสังคมวัฒนธรรมอยู่แล้วหลายเรื่อง
กล่าวคือ 1)ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติและการบูชาบรรพบุรุษ
ซึ่งทำให้ครอบครัวเป็นแกนสำคัญของสังคมจีนโบราณ
คือในด้านหนึ่งทำให้รู้สึกผูกพันต่อครอบครัว
และในอีกด้านหนึ่งก็สามารถสืบต่อประวัติความเป็นมาของครอบครัวไว้. การบูชาบรรพบุรุษจึงทำให้โครงสร้างครอบครัวของจีนเหนียวแน่นมาก
และยังดำรงลักษณะเช่นนี้อยู่จนปัจจุบัน.
2)อาณัติสวรรค์และโอรสแห่งสวรรค์
กล่าวคือชาวจีนเชื่อว่าสวรรค์ให้อำนาจแก่ผู้ปกครองมาปกครองบ้านเมือง
โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ปกครองต้องมีคุณธรรม
หากขาดคุณธรรมจะทำให้ระบบจักรวาลสับสนปราศจากระเบียบ
และในท้ายที่สุดก็ทำให้ราชวงศ์ล่มสลาย
ซึ่งหมายถึงการที่ราชวงศ์สูญเสียอาณัติที่เคยได้รับจากสวรรค์. ผู้ปกครองนับตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวได้รับการขนานนามว่า โอรสสวรรค์ เปรียบเสมือนตัวกลางระหว่างสวรรค์กับมนุษยชาติ,
ในด้านหนึ่งก็เป็นบุตรที่ต้องเชื่อบิดาคือสวรรค์
และในอีกด้านหนึ่งก็เป็นบิดาของประชาชนที่จะต้องปกครองอย่างยุติธรรม.
3)จีนคือศูนย์กลางโลก (The Middle Kingdom) เนื่องจากจีนเป็นดินแดนที่แวดล้อมด้วยอนารยชนซึ่งต้องมาอ่อนน้อมและเรียนรู้ความเจริญจากจีน. ความคิดนี้ปรากฏให้เห็นชัดเจนในรูปของการค้าแบบบรรณาการ
ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น. ในระบบการค้าแบบบรรณาการ
จีนได้แสดงตัวเป็นใหญ่เหนือดินแดนอื่นๆ ที่เข้ามาติดต่อกับตน, ส่วนประเทศที่ต้องการติดต่อค้าขายกับจีนก็ต้องยอมรับว่าเป็นประเทศราชของจีนและนำบรรณาการมาถวายจักรพรรดิจีน
(จิ้มก้อง) ซึ่งก็จะแสดงความกรุณาด้วยการพระราชทานของขวัญและอนุญาตให้ค้าขายกับจีนได้.
ประเทศที่ปรากฏหลักฐานว่าเคยส่งบรรณาการให้กับจีนมีถึง 38 ประเทศ อาทิ เกาหลี, ญี่ปุ่น, ธิเบต, อันนัม, จัมปา, ไทย, เขมร, ชวา, และลังกา เป็นต้น
4)ความเจริญทางเทคนิควิทยาการ ที่สำคัญคือนับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉ่าง
จีนรู้จักการประดิษฐ์ปฏิทินขึ้นใช้โดยแบ่งวันออกเป็นหมวดๆ ละ 10 วัน, และ 3 หมวดเป็นหนึ่งเดือน.
ความรู้การคำนวณและดาราศาสตร์ก็เจริญมากในสมัยฮั่น
ซึ่งแบ่งฤดูกาลเป็น 4 ฤดู และค้นพบว่า 1 ปีมีจำนวน 365 กับอีก 385/1539 วัน. นอกจากนี้ยังค้นพบจุดดับของดวงอาทิตย์, ประดิษฐ์เครื่องวัดแผ่นดินไหว, นาฬิกาน้ำ, นาฬิกาแดด, และเข็มทิศ.
อารยธรรมที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คืออารยธรรมอิสลาม ซึ่งหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าที่ได้รับแรงดลใจหรือเป็นผลมาจากอิทธิพลของศาสนาอิสลาม เป็นอารยธรรมที่สร้างขึ้นโดยมุสลิม เนื่องจากศาสดามุหัมมัดผู้ประกาศศาสนาอิสลามเป็นชาติอาหรับ พวกอาหรับจึงเป็นชาติที่มีบทบาทสำคัญในการให้กำเนิดอารยธรรมอิสลาม แต่ก็มิได้หมายความว่า ชนชาติอาหรับเป็นเจ้าของอารยธรรมอิสลามแต่เพียงชาติเดียว ยังมีชนชาติอื่นๆ อีกมากที่ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามและมีบทบาทในการสร้างสรรค์อารยธรรมอิสลาม ศรีสุรางค์, 2539: 51). การประกาศสัจธรรมที่ได้รับการเผยแสดงจากพระเจ้าของพระมูฮัมหมัดก่อให้เกิดจักรวรรดิอิสลามที่ยิ่งใหญ่เป็นเวลานับหลายศตวรรษและสามารถแผ่ขยายอำนาจกินบริเวณอันกว้างใหญ่ นับตั้งแต่ทวีปแอฟริกา ตะวันออกกลาง คาบสมุทรอาระเบีย ยุโรปตอนใต้และตะวันตก รวมทั้งรุกล้ำเข้าไปในใจกลางทวีปยุโรป กินเวลานับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เป็นต้นมา. อิทธิพลของจักรวรรดิอิสลามที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปในยุโรปในช่วงต้นของยุคกลาง ทำให้นักประวัติศาสตร์ยุโรปให้ความสำคัญมากกับเหตุการณ์ที่ ชาลส์ มาร์เตล สามารถยันทัพอิสลามไว้ได้ที่ปัวติเอร์ (ตอนใต้ฝรั่งเศส) เมื่อ ค.ศ. 732 ซึ่งหลังจากนั้นยุโรปก็เข้าสู่ยุคกลาง (Medieval หรือ Middle Age) อย่างแท้จริง และดำเนินมาสิ้นสุดในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ดังที่นักประวัติศาสตร์มักกำหนดเอาปี ค.ศ. 1453 ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออกต้องเสียให้แก่มุสลิมกลุ่มใหม่ที่ต่อมาจะตั้งตนขึ้นเป็นจักรวรรดิอิสลามออตโตมัน เตอร์ก (น. [9]).
ศาสนาอิสลามได้รับการประกาศเป็นครั้งแรกโดยศาสดามูฮัมหมัดในเมืองเมกกะในอาระเบียในราวปี ค.ศ. 610.[13] ในเมืองเมกกะนั้นมีศาลโบราณของหินกะบะห์ ซึ่งเป็นที่สักการะของผู้คนในแถบนั้น. หินดำหรือกะบะห์ซึ่งเป็นที่นับถือของชาวอาหรับทั่วไปนั้นเป็นที่สิงสถิตของเทพหลายองค์ เทพบดีของหินดำคือฮุบัล (Hubal) ซึ่งมีความหมายในภาษาอาร์เมียนสาขาหนึ่งของเซมิติคว่าไอน้ำหรือวิญญาณ ทรงเป็นเทพแห่งการพยากรณ์ด้วย มีประเพณีชักศรหลังการบูชาเพื่อเสี่ยงทายกับเทพองค์นี้ (นิธิ, 2511: 35) และ ในปูชนียสถานกะบะห์ก่อนที่จะเกิดศาสนาอิสลามนั้นปรากฏว่ามีรูปของเทพต่างๆ ถึง 300 กว่ารูป อันเป็นที่เคารพของชาวเมกกะและชนเร่ร่อนอื่นๆ ทั่วไป (นิธิ, 2511: 32). พระเจ้าที่มีผู้คนนับถืออยู่มากเป็นเทวี (คือเพศหญิง) มีอยู่ 3 องค์ คือ 1)เทวีอัลลาต (Al-lat) (ในบางแห่งเรียกว่า อัลรับบะห์ หรือ Al-Rabbah) ถือว่าเป็น มาตุเทพ และมีศาลอยู่ใกล้เมืองตาอิฟุ ที่ชาวเมกกะและผู้คนจากที่อื่นๆ จะพากันมาจารึกแสวงบุญสักการะอยู่เสมอ, 2)เทวีอัล-อุซซอะ (Al-Uzza) ซึ่งเป็นเทวีแห่งดาวประกายพรึกและความองอาจกล้าหาญ เผ่าคุเรซ ซึ่งเป็นเผ่าที่พระศาสดามะหะหมัดสังกัดอยู่นั้นเดิมก็นับถือเทวีองค์นี้มากที่สุด, และ 3)เทวีองค์สุดท้ายคือ เทวีอัล-มะนอะห์ (Al-Manah) ซึ่งเป็นเทวีแห่งโชคชะตา มีศาลอยู่ระหว่างเมืองเมกกะกับเมืองยาถริบ (ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองมะดินะ) และเป็นที่นับถือของผู้คนสองเผ่าใหญ่ในเมืองยาถริบ (นิธิ, 2511: 34-35). (ภายหลังที่ศาสนาอิสลามเริ่มแพร่หลายแล้ว ก็มีความพยายามที่จะเปลี่ยนให้เทวีทั้งสามองค์นี้กลายเป็นพระธิดาของพระอัลลอฮ์ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด) ในบรรดาเทพเจ้าทั้งหมดนั้น มีบดีอยู่องค์หนึ่งคือพระอัลรอะห์ [Allah คือพระอัลรอฮ์ พระองค์เดียวกับพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาอิสลาม] ซึ่งเป็นพระนามที่เก่าแก่มาก มีปรากฏในภาษาของชนชาติเซมิติคเกือบทุกเผ่า พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และทรงเป็นพระเจ้าแห่งธรรมะของเจ้าเรือน ถึงแม้ว่าชาวอาหรับจะยกย่องพระอัลรอห์ให้สูงกว่าเทพอื่นๆ ในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้วยังไม่ค่อยมีผู้คนสนใจกระทำบูชาพระอัลรอห์มากนัก (นิธิ, 2511: 36). ภายในบริเวณสถานศักดิ์สิทธิ์นั้น โดยเฉพาะในช่วงเดือนที่ถือพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่ห้ามมีการทำร้ายต่อสู้กันโดยเด็ดขาด ทำให้ชนเผ่าต่างๆ จำนวนมากเดินทางเข้ามาสักการะและเข้าร่วมในตลาดการค้าขนานใหญ่. จากตลาดการค้านี้เองทำให้พ่อค้าที่อาศัยในเมืองเมกกะสามารถผูกขาดการค้าบริเวณคาบสมุทรอินเดียและทะเลเมดิเตอเรเนียนได้ทั้งหมด[14] โดยใช้เส้นทางจากเยเมนไปทางภาคตะวันตกของคาบสมุทรอาระเบียและจากเมกกะไปสู่กาซ่าและดามัสกัส เนื่องจากเส้นทางที่ผ่านอิรักไปยังอเล็ปโปเต็มไปด้วยภัยอันตรายของสงครามระหว่างจักรววรรดิไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกกับจักรวรรดิเปอร์เซีย. ความสำเร็จของพ่อค้าได้นำความมั่งคั่งมาสู่เมกกะ แต่ความมั่งคั่งที่เพิ่งได้มานี้ก็ได้นำไปสู่ความเสื่อมสลายลงของศาสนาและศีลธรรมดั้งเดิม (อาทิ จารีตของการแสดงความกล้าหาญด้วยการปล้นสะดมภ์คาราวานสินค้า ลักขโมยอูฐ) ของชนเผ่าลงเนื่องจากวัฒนธรรมของชนเผ่าไม่สามารถที่จะรองรับความเติบโตและการขยายตัวของสังคมที่มาพร้อมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้า. ในบริบททางสังคมเช่นนี้เองที่ศาสดามูฮัมหมัดถือกำเนิดขึ้นมา.
พระองค์เกิดในเมืองเมกกะในราว ค.ศ. 570 ในครอบครัวของพ่อค้าที่เข้าไปร่วมอยู่ในกิจกรรมการค้าแบบเดียวกับครอบครัวใหญ่ในเมกกะช่วงนั้น, แม้ว่าจะไม่ใช่ครอบครัวที่มั่งคั่งที่สุดก็ตาม. บิดาของพระมูฮัมหมัดเสียชีวิตก่อนที่พระองค์จะถือกำเนิดในขณะที่เดินทางไปค้าที่เมืองซีเรีย. ชีวิตในวัยเด็กของพระองค์จึงค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากปู่ได้เสียชีวิตลงอีกคนในขณะที่พระองค์ยังเยาว์วัย ซึ่งตามธรรมเนียมชาวอาระเบียทำให้พระองค์ไม่ได้รับมรดกตกทอดอะไรเลย และทำให้เมื่อเติบโตขึ้นแล้วก็ไม่สามารถลงทุนการค้าด้วยตนเอง แม้ว่าจะได้ร่วมเดินทางไปค้าขายกับกับลุงอยู่บ้าง. ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อมีแม่หม้ายที่มั่งคั่งนางหนึ่ง คือคาดียะห์ (Khdijah) จ้างให้พระองค์เป็นคนดูแลสินค้าในการเดินทางไปค้าขาย และรู้สึกพึงพอใจกับการดูแลกิจการค้า ทำให้นางยื่นข้อเสนอที่จะแต่งงานด้วย. ขณะที่ทั้งสองตกลงแต่งงานเป็นสามีภรรยากันนั้นพระมูฮัมหมัดมีอายุได้ 25 ปี และนางคาดียะห์อายุ 40 ปี, และการแต่งงานทำให้พระมูฮัมหมัดสามารถเข้าไปลงทุนการค้าขายได้เหมือนพ่อค้าคนอื่นๆ ในเมกกะ ในขณะเดียวกันก็ทำให้พระองค์มีเวลาว่างพอที่จะถอนตัวพักจากการค้าได้เป็นครั้งคราวเพื่อครุ่นคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่สังคมเมกกะกำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนั้น.
กล่าวได้ว่า พระองค์เป็นนักคิดคนหนึ่ง และมักจะใช้เวลาครุ่นคิดอยู่คนเดียวเป็นเวลาหลายๆ วันติดต่อกันในถ้ำใกล้เมืองเมกกะ ซึ่งในภายหลังเรียกกันว่า การปลีกวิเวก (a retreat) หรือการปลีกตัวไปอยู่ในที่อันสงบ. ในช่วงนี้เองที่พระองค์ได้รับพระวจนะจากพระเจ้าให้เป็นศาสดา ผู้ประกาศพระวรสาส์นใหม่ ในปี ค.ศ. 610.[15] หลังจากที่ได้รับการเผยแสดงจากพระเจ้าแล้ว นางคาดียะห์ก็มีส่วนทำให้พระมูฮัมหมัดมั่นใจว่าพระองค์ได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้า โดยการแนะนำพระมูฮัมหมัดให้รู้จักกับ Waraqah ญาติคนหนึ่งของนาง ซึ่งพอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวคัมภีร์ไบเบิลอยู่บ้าง และกล่าวกันว่าเคยเป็นคริสต์ศาสนิกชนมาก่อนด้วย. Waraqah ยืนยันกับพระมูฮัมหมัดว่า สาสน์ที่พระองค์ได้รับมาจากพระเจ้า เหมือนกับที่โมเสสและศาสดาคนอื่นๆ เคยได้รับ. หลังจากนั้นพระมูฮัมหมัดก็ได้รับการเผยแสดงจากพระเจ้ามากขึ้น และพระองค์ได้เริ่มเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระเจ้าแก่ญาติมิตร ซึ่งก็ได้พากันมาร่วมกันทำพิธีสวดถวายความจงรักภักต่อพระเจ้าของอิสลามิกชนแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน.
ศาสนาใหม่นี้ค่อยๆ ก่อรูปก่อร่างขึ้นในเมกกะ และในปี ค.ศ. 613 พระมูฮัมหมัดก็เริ่มประกาศพระเกียรติคุณต่อสาธารณชนโดยเปิดเผย. ด้วยวิธีการประกาศโดยเปิดเผยดังกล่าวพระองค์ก็ได้ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง แต่ปรากฏว่าคนที่ประกาศเข้าร่วมศาสนาใหม่นี้ส่วนมากเป็นคนหนุ่ม และมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นน้องหรือลูกของพ่อค้าใหญ่ในเมกกะ ไม่ใช่เฉพาะคนยากจนแบบที่เข้าใจในเวลาต่อมา (Many of these appear to have been younger men, often younger brothers or sons of the leading merchants, and not merely poor people as Pickthall thought, บทนำของ Watt ใน Pickthall, 1992: xii). คำสอนในช่วงแรกๆ ไม่ได้วิพากษ์พ่อค้าชาวเมกกะตรงๆ แต่ยืนยันว่าผู้คนที่มั่งมีควรมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ที่โชคร้ายยากจน, นอกจากนี้ยังสอนว่าทุกคนจะต้องกลับมาอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าในวันสิ้นโลกเพื่อรอรับคำพิพากษาจากผลแห่งการกระทำที่ทำมาชั่วชีวิต. นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่า สิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนในตอนแรกนี้มีลักษณะคล้ายกับผู้เผยแพร่ศาสนาคริสเตียนในตอนแรกๆ คือเป็นคำพยากรณ์เป็นส่วนใหญ่ เช่นพระเจ้าย่อมเป็นเอกภาพ ทรงมหิทธานุภาพอันไพศาล ทรงเป็นผู้รังสฤษฎิ์สากลจักรวาล ยังมีวันตัดสินซึ่งพระเจ้าจะทรงกวาดล้างศัตรูของพระองค์ให้สิ้นโลก จะทรงตอบแทนผู้ภักดีต่อพระองค์ด้วยความสุขในสรวงสวรรค์ ผู้ใดเชื่อฟังพระวรสาสน์ก็จะได้ไปสวรรค์และผู้ใดที่ไม่ยอมรับก็จะต้องเทวทัณฑ์ในนรก เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ในเวลาต่อมาพระองค์เริ่มเน้นคำสอนในเรื่องพระเจ้าเที่ยงแท้ย่อมมีองค์เดียว และสอนให้สละละทิ้งการบูชารูปเคารพตลอดจนพระเจ้าองค์อื่นๆ คำสอนเช่นนี้ย่อมทำให้สถานศักดิ์สิทธิ์กะบะห์ซึ่งมีเทวรูปกว่าสามร้อยและหินดำซึ่งสลักเทพธิดาสามองค์หมดความสำคัญลง พระมะหะหมัดจึงก่อความเป็นศัตรูกับชาวเมกกะโดยทั่วไป ซึ่งมีผลประโยชน์และความภาคภูมิใจเกี่ยวกับสถานศักดิ์สิทธิ์นั้น เผ่ากุรอิชผู้รักษาสถานศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องมีภาระในอันที่จะเป็นผู้นำในการขจัดศาสนาใหม่นี้และสกุลอุมัยยอะห์ของเผ่ากุระอิชก็รับภาระนี้ (นิธิ, 2511: 54-56).
ในที่สุด บรรดาพวกพ่อค้าระดับนำในเมกกะก็ตัดสินใจกันว่าคำเทศนาของพระมูฮัมหมัดนั้นกำลังรุกรานวิพากษ์วิจารณ์พวกตนอยู่ จึงตกลงที่จะเบียดเบียนก่อความยุ่งยากให้กับผู้ที่รับศาสนาใหม่นี้. ด้วยสถานการณ์นี้เองที่พระมูฮัมหมัดสนับสนุนให้สาวกจำนวนหนึ่งอพยพไปอยู่ประเทศอบิสสิเนีย ซึ่งจักรพรรดิที่เป็นคริสเตียนได้ทรงต้อนรับพวกเขาด้วยอย่างอบอุ่น และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอยู่เป็นเวลาหลายปี. นอกจากนี้ จักรพรรดิแห่งอบิสสิเนียยังทรงปฏิเสธที่ส่งคนเหล่านี้กลับเมื่อชาวคุเรซที่ต่อต้านพระมูฮัมหมัดในเมกกะส่งคนไปขอ.
ส่วนพระมูฮัมหมัดและสาวกอีกจำนวนก็ยังคงอาศัยอยู่ในเมกกะ เนื่องจากหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นลุงของพระมูฮัมหมัดตกลงใจที่ปกป้องคุ้มกันชีวิตของพระองค์ในฐานะที่เป็นคนในสกุลของตนต่อไปจนถึงที่สุด (หมายความว่าหากเกิดอะไรต่อชีวิตของพระมูฮัมหมัดก็จะเกิดการจองล้างจองผลาญชีวิตกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ทำให้เผ่าอื่นๆ ยังไม่มีใครกล้าแตะต้องชีวิตของพระองค์) แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้เปลี่ยนมารับศาสนาอิสลามก็ตาม เนื่องจากเห็นว่าเป็นเกียรติยศของเผ่าที่จะต้องทำเช่นนี้ แม้ว่าจะทำให้เผ่าอื่นๆ ในเมกกะจะกีดกันเผ่านี้เนื่องจากการกระทำดังกล่าวก็ตาม. อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 619 เมื่อหัวหน้าเผ่าคืออบู ทาลิบ (Abu Talib) สิ้นชีวิตลงและผู้ที่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าเผ่าคนใหม่คืออบู ลาฮับ (Abu Lahab) ซึ่งเป็นลุงอีกคนหนึ่ง ไม่ค่อยลงรอยกับพระมูฮัมหมัด และได้ถอนการพิทักษ์ปกป้องชีวิตของพระองค์ของเผ่าลงเสีย. พระมูฮัมหมัดจึงไปขอการสนับสนุนจากเมือง at-Taif แต่ก็ถูกขับไล่กลับมา, และก่อนจะกลับเข้าเมืองเมกกะอีกครั้งพระมูฮัมหมัดจึงต้องไปขอความคุ้มครองจากหัวหน้าเผ่าอีกเผ่าหนึ่ง ทั้งนี้สันนิษฐานกันว่าแลกกับข้อตกลงว่าจะเลิกล้มไม่เผยแพร่ศาสนาในเมกกะอีกต่อไป (presumably had to give up all attempts to spread his religion, บทนำของ Watt ใน Pickthall, 1992: xxiii) และการไปขอความช่วยเหลือจากเผ่าอื่นๆ นอกจากนั้นในช่วงดังกล่าวก็ไม่ปรากฏมรรคผลอะไร.
ในที่สุด พระมูฮัมหมัดก็ได้รับการติดต่อจากคนกลุ่มหนึ่งจากเมืองยาถริบ (ต่อไปจะเรียกเมดินะ) ซึ่งเป็นโอเอซีสอยู่ห่างไปทางเหนือของเมกกะราว 200 ไมล์. คนกลุ่มนี้ได้เดินทางมาเมกกะเพื่อแสวงบุญในราวปี ค.ศ. 621 และสนใจคำสอนของพระมูฮัมหมัดซึ่งกำลังเผยแพร่คำสอนในเทศกาลบูชาหินกะบะห์ (ซึ่งกำหนดห้ามทำร้ายซึ่งกันและกัน และเปิดเสรีในเรื่องการนับถือศาสนา) และได้ยอมรับว่าพระมูฮัมหมัดเป็นประกาศก (prophet) องค์หนึ่ง พร้อมกับได้กระทำสัตย์ปฏิญาณที่จะสนับสนุนพระองค์ (แม้ว่าจะไม่ได้รวมไปถึงการต่อสู้เพื่อพระองค์ด้วยก็ตาม) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันต่อมาว่า คือ Pledge of the Women. นิธิ: การที่ชาวยาถริบกลุ่มนี้สนใจคำสอนของพระมะหะหมัดนั้นเป็นเพราะว่า ในเมืองยาถริบเองมีชาวยิวอาศัยอยู่มาก ชาวยิวเหล่านี้ได้รับการกดขี่จากชาวอาหรับ เหตุฉะนั้นความหวังประจำชาติยิวที่จะได้พบพระมหาไถ่จึงรุนแรงอยู่มาก ชาวยาถริบย่อมเคยชินกับความคิดทางศาสนาที่เกี่ยวกับศาสดาของพระเจ้ายิ่งกว่าชาวเมกกะ จึงสามารถเข้าใจและนิยมคำสอนของพระมะหะหมัดได้เร็วกว่า นอกจากนี้ความยุ่งเหยิงทางการเมืองในยาถริบเองก็ทำให้ชาวเมืองนั้นต้องการบุคคลใน วงนอก มาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างสองเผ่าตามลัทธิธรรมเนียมของอาหรับอยู่แล้ว (นิธิ, 2511: 58). หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 622 ก็มีชาวเมืองเมดินะกลุ่มหนึ่งมากกว่า 70 คนพากันเดินทางมาเมืองเมกกะ และได้ทำข้อตกลงกับพระมูฮัมหมัด ซึ่งรวมทั้งการที่จะต้องต่อสู้เพื่อคุ้มครองพระองค์ (a pledge to fight to protect him). บนพื้นฐานของข้อตกลงนี้ทำให้สาวกของพระมูฮัมหมัดและครอบครัวเริ่มอพยพอยู่ที่เมืองยาถริบ และในที่สุดรวมทั้งตัวพระมูฮัมหมัดเองก็อพยพไปพร้อมกับสหายสนิทคือ อาบู บักร์ ซึ่งต่อมาจะได้ขึ้นเป็นกาหลิบคนแรกของจักรวรรดิอิสลาม. การอพยพครั้งนี้ต่อมาได้รับประกาศให้เป็นการเริ่มต้นปฏิทินฮิจเราะห์ศักราชของชาวมุสลิมโดยกาหลิบอุมาร์ ภายหลังที่พระศาสดามูฮัมหมัดสิ้นพระชนม์ได้ 17 ปี, คำว่าฮิชเราะห์ (Hijrah) แปลตามศัพท์ก็คือ การอพยพ (ไม่ใช่แปลว่า หนี อย่างที่บางคนเข้าใจและนิยมแปลกัน) และเรียกผู้คนที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ว่า Muhajirun หรือผู้อพยพ (Emigrants).
ในเมืองเมดินะ สาวกของพระมูฮัมหมัดได้ก่อรูปขึ้นเป็นชุมชนผู้อพยพและเป็นชุมชน/องค์กรทางการเมืองไปในที่สุด โดยมีรูปลักษณะคล้ายกับสหพันธ์ของชนเผ่าชาวอาหรับ คือมาจากเมืองเมดินะ 8 เผ่า, ผู้อพยพมาจากเมกกะอีก 1 เผ่า ซึ่งมีพระมูฮัมหมัดเป็นผู้นำ, และเผ่าชาวยิวในเมืองเมดินะอีกหนึ่งเผ่า. เมื่อพระมะหะหมัดได้เสด็จไปประทับที่ยาถริบแล้ว ฐานะของพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ชาวยาถริบได้ให้การต้อนรับพระองค์อย่างดี จำนวนของศานุศิษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มต้นด้วยกลุ่มชาวเมกกะที่อพยพตามพระองค์มา ย่อมเท่ากับว่าได้ตัดตนเองให้ขาดจากความผูกพันและความคุ้มครองของเผ่าทันทีที่จากเมืองเมกกะ คนจากหลายเผ่าหลายสกุลเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นชุมชนใหม่ซึ่งอาศัยความเชื่อในศาสนาเป็นรากฐานแห่งการนับญาติแทนความสัมพันธ์ทางสายโลหิตอย่างที่เป็นมาแล้ว พวกเหล่านี้จะเป็นแกนกลางของชุมชนใหม่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และชุมชนเช่นนี้ย่อมต้องการจัดการปกครองอย่างเดียวกับเผ่า ฐานะของพระมะหะหมัดซึ่งเป็นเป็นแต่เพียงผู้นำทางวิญญาณจึงกลายเป็นผู้นำทางการเมืองและการปกครองไปด้วย คำสอนของพระองค์แทนที่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาแท้ๆ ก็มีลักษณะเป็นกฎหมายสำหรับจรรโลงความยุติธรรมและสันติสุขในชุมชนใหม่นี้ด้วย [และ]เนื่องจากในยาถริบมีชาวยิวอาศัยอยู่มาก พระมะหะหมัดจึงหวังจะได้รับการสนับสนุนจากชาวยิวเหล่านี้ พระองค์ได้กำหนดพิธีบางอย่างของคำสอนของพระองค์ให้สอดคล้องกับที่ชาวยิวปฏิบัติอยู่เช่นการถือเอาเมืองเยรุซาเล็มเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ (ปรากฏในซูรอะห์เมกกะว่า ก่อนที่พระมะหะหมัดจะเสด็จขึ้นประพาสสวรรค์ เทพดายิบราอิลได้นำพระองค์ไปถึงเมืองเยรุซาเล็มก่อน) เมื่อจะสวดอ้อนวอนพระเจ้าย่อมต้องหันหน้าไปยังเมืองนี้ เพิ่มการสวดอ้อนวอนจากวันละ 2 ครั้งเป็น 3 ครั้ง คือตอนเที่ยงวันเหมือนยิว (ภายหลังเป็น 5 ครั้ง) อีกด้วย การให้สัญญาณเป่าก็ใช้เป่าแตรแบบยิว (ภายหลังใช้เสียงคน) ถึงแม้ว่าได้ทำถึงเพียงนี้แล้ว พระมะหะหมัดก็ไม่อาจโน้มนำใจพวกยิวให้กันมาสนับสนุนได้ เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์เก่าของยิวที่ทรงรู้มานั้นดูจะผิดพลาดอยู่มาก ทำให้ชาวยิวเยาะเย้ยเห็นว่าพระองค์เป็นศาสดาปลอมมากกว่า ส่วนอีกพวกหนึ่งคือคริสเตียนซึ่งมีอยู่ในคาบสมุทรตอนเหนือและใต้นั้นเป็นพวกที่พระมะหะหมัดไม่อาจหวังอะไรได้เลย เนื่องจากคริสเตียนเชื่อเสียแล้วว่า พระเยซูเป็นพระมหาไถ่ (มัสไซอะ) การจะอ้างว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ต่อจากพระมหาไถ่ย่อมไม่เป็นที่เชื่อถือของชาวคริสต์ จากการที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากยิว พระองค์จึงหันมาหาชาวอาหรับด้วยกัน ที่สำคัญได้แก่การเริ่มวางพื้นฐานที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับชาวเมกกะ ทรงเปลี่ยนแปลงลัทธิพิธีของชาวอาหรับ เช่นการถือหินดำกะบะห์นั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาแก่อิบราฮิมต้นตระกูลอาหรับ และการใช้หินดำเป็นศูนย์รวมจิตใจ การบูชาหินดำก็เป็นพิธีที่อิบราฮิมเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น แต่มาเสื่อมโทรมลงเพราะพวกนอกศาสนามาทำลาย หน้าที่ของอิสลามคือการฟื้นฟูประเพณีเก่าแก่ที่พระเจ้าได้อนุมัติแล้วนี้ พร้อมทั้งทำลายสิ่งแปลกปลอมในพิธีเสีย ชาวอิสลามย่อมต้องหันหน้าไปสู่ทิศที่เมืองเมกกะตั้งอยู่เมื่อจะสวดอ้อนวอน แทนที่จะมีวันอดตามอย่างยิว ชาวอิสลามถือเอาเดือนระมะดานทั้งเดือนเป็นวันอดทั้งหมด เมื่อกล่าวโดยสรุปความเปลี่ยนแปลงนี้คือการวางรากฐานให้แก่ลัทธิชาตินิยมของอาหรับ ศาสนาที่เกิดใหม่นี้จะมีลักษณะเด่นเป็นวัฒนธรรมของชนทะเลทรายที่เรียกว่าอาหรับและจะกลายเป็นเครื่องสมานเผ่าอาหรับทั้งผองให้รวมตัวกันได้อย่างแท้จริง โดยเข้ามามีบทบาทแทนความผูกพันทางสายเลือดอย่างที่เคยเป็นมาแต่ก่อน และจากนี้ย่อมจะทำให้ เผ่า ของอาหรับขยายตัวขึ้นบนรากฐานอันกว้างขวางคือศาสนา (นิธิ, 2511: 60-62).
นโยบายต่างประเทศประการแรกของพระมูฮัมหมัดก็คือการส่งสารไปยังประเทศและชนเผ่าใกล้เคียง เพื่อเชื้อเชิญให้หันมารับศาสนาอิสลาม และปราบปรามพวกนอกศาสนาที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งรวมทั้งเริ่มออกทำการปล้นสะดมภ์กองคาราวานการค้าที่ผ่านไปมาระหว่างเมกกะกับซีเรีย. ชัยชนะที่กองทหารของชาวมุสลิมแห่งเมืองเมดินะมีต่อกองทหารของเมกกะที่มีกำลังเหนือกว่าและถูกส่งมาจัดการกับชาวมุสลิมโดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 624 เป็นต้นมา และโดยเฉพาะชัยชนะที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 627 เมื่อ Abu Sufyan นำทัพราวกองทัพคนมารบกับเมืองเมดินะ แต่ไม่สามารถเอาชนะได้จึงต้องล่าทัพกลับไป ได้ส่งผลให้กำลังอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองของพระมูฮัมหมัดเข้มแข็งยิ่งขึ้น ทำให้มีชนเผ่าต่างๆ หันมาเป็นพันธมิตรกับชาวมุสลิมมากยิ่งขึ้น และนำไปสู่การทำสนธิสัญญา Hudeybiyah ที่มีการตกลงสงบศึกษาระหว่างเมกกะกับเมดินะ และชาวมุสลิมได้รับการอนุญาตให้สามารถเดินทางไปแสวงบุญที่เมืองเมกกะได้โดยไม่มีอันตรายเป็นเวลา 10 ปี. ในปี ค.ศ. 625 จึงมีชาวมุสลิมประมาณ 2000 พันเดินทางไปจาริกแสวงบุญที่เมืองเมกกะได้อย่างสันติและปลอดภัย. อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าในต้นปี ค.ศ. 630 ก็มีชนเผ่าหนึ่งทำลายข้อตกลงในสนธิสัญญาลงเสีย พระมูฮัมหมัดจึงเดินทัพประมาณหนึ่งหมื่นคนเข้าเมืองเมกกะโดยไม่มีต่อสู้ และ สิ่งที่พระองค์ทำเป็นอย่างแรกคือเสด็จไปนมัสการเยือนหินกะบะห์ แต่พร้อมกันนั้นก็โปรดให้ทำลายรูปเคารพของเทพทั้งหลายทิ้งให้สิ้น ทั้งในเทวสถานกะบะห์และตามบ้านเรือนราษฎร (นิธิ, 2511: 74). พระองค์ทรงกล่าวว่า Truth hath come; darkness hath vanished away (Pickthall, 1992: 15) แล้วเสียงหะซานเรียกให้ผู้คนมาทำละหมาดสวดสรรเสริญอ้อนวอนพระเจ้าก็ดังขึ้นเหนือท้องฟ้าเมืองเมกกะมาจวบกระทั่งปัจจุบัน. ชาวเมกกะส่วนใหญ่ได้รับการอภัยโทษ และพระองค์ก็ทรงปฏิบัติต่อชาวเมกกะอย่างการุณ ทำให้คนจำนวนมากหันมารับศาสนาอิสลาม ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นกลไกสำคัญของการขยายจักรวรรดิอิสลาม. หลังจากนั้นเป็นต้นมา กองทัพอิสลามก็ยกไปประกาศศาสนาใหม่ทั่วคาบสมุทรอาหรับ ส่วนใหญ่มักใช้วิธีสันติ คือการบังคับเผยแผ่หลักการเพื่อให้ยอมรับศาสนาใหม่โดยดี (นิธิ, 2511: 74). กล่าวได้ว่าก่อนที่พระมูฮัมหมัดจะสิ้นพระชนม์คาบสมุทรอาหรับก็ได้กลายเป็นดินแดนแห่งศาสนาอิสลามจนหมดสิ้น เนื่องจากในปีที่ 9 ของฮิชเราะห์ศักราชนั่นเองที่เผ่าอาหรับเกือบทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเผ่าที่เคยเป็นกลางหรือเผ่าที่เคยเป็นศัตรู ก็ได้ส่งคณะผู้แทนเพื่อขอเป็นพันธมิตรกับพระมูฮัมหมัด และหลังจากนั้นไม่นานในปี ค.ศ. 632 พระศาสดามูฮัมหมัดก็สิ้นพระชนม์. ซูเราะห์ที่ 33 วรรคที่ 40 กล่าวสรุปอัตชีวประวัติของพระศาสดามูฮัมหมัดได้อย่างรวบรัดว่า พระองค์ คือ the messenger of Allah and the Seal of the Prophets กล่าวคือพระองค์เป็นทั้งพระศาสนทูตที่นำสัจธรรมของพระเจ้ามาสู่มนุษย์โลก และขณะเดียวกันก็เป็นพระศาสดาองค์สุดท้ายในบรรดาศาสดาทั้งมวลที่พระเจ้าเคยส่งลงมาเป็นตัวแทนของพระองค์ ซึ่งเปรียบได้กับตราที่ประทับลงบนซองจดหมายเป็นการปิดผนึกพระวรสาส์นของพระเจ้าที่ส่งมายังมนุษย์โลก.
ในช่วงหนึ่งร้อยปีหลังจากนั้นอีกไม่นานก็เกิดปรากฏการณ์การขยายอำนาจของจักรวรรดิอิสลาม และแม้ว่ากองทัพมุสลิมจะพ่ายแพ้ที่ปัวติเอร์ (between Tours and Poitiers) ในในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 732 แต่พอถึงตอนนั้นมุสลิมก็ได้ขยายอำนาจขึ้นเป็นจักรวรรดิที่มีอาณาเขตกว้างขวางนับตั้งแต่บริเวณพื้นที่สเปนทั้งหมด, แอฟริกาเหนือ, อียิปต์, ซีเรีย, อิรัก, อิร่าน, ไปจนถึงเอเชียกลาง (จรดจีน) และภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอนุทวีปอินเดีย. อาจจำเป็นจะต้องกล่าวไว้ด้วยว่า จักรวรรดิที่ไพศาลนี้ขยายตัวขึ้นมาได้ก็เพราะการเมืองและการทหารเป็นเงื่อนไขสำคัญ และจักรวรรดิอิสลามก็ยอมรับการนับถือศาสนาของชาวยิว ชาวคริสต์ ชาวโซโรแอสเตอร์ และต่อมาผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูของประชาชนในดินแดนต่างๆ ที่ตัวเองเข้าไปยึดครอง ในฐานะที่ผู้คนเหล่านี้ถูกยอมรับว่าเป็น People of the Book (คนแห่งพระคัมภีร์ หรือ Scripture) คือนับถือพระคัมภีร์ที่ประทานมาจากพระเจ้าเหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องได้รับการคุ้มครองในฐานะชนกลุ่มน้อยในจักรวรรดิอิสลาม. กล่าวได้ว่า ชนต่างศาสนาเหล่านี้มีเสรีภาพระดับหนึ่งและสามารถที่จะปกครองตัวเองอยู่ได้ในภายใต้การนำของผู้นำทางศาสนาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการจ่ายภาษีให้กับผู้ปกครองชาวมุสลิมในแต่ละเขต. นอกจากนี้จะต้องจ่ายภาษีแล้ว ชนต่างศาสนาเหล่านี้ก็จะต้องถูกห้ามไม่ให้เข้ารับตำแหน่งสูงๆ ในรัฐและไม่ต้องเป็นทหาร ทำให้เหมือนกับเป็นพลเมืองชั้นสอง ซึ่งด้วยเหตุผลทั้งสามประการนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากหันมารับศาสนาอิสลามภายในเวลาไม่นานอย่างไม่มีทางเลือก เพราะสิทธิพิเศษที่ได้รับคือไม่ต้องเสียภาษี การเข้ารับราชการในตำแหน่งสูง และการเป็นทหารซึ่งเป็นอาชีพพิเศษ และการเข้ามานับถือศาสนาอิสลามก็ไม่ได้ถูกกีดกันอยู่ด้วยข้อห้ามในเรื่องชาติพันธุ์หรือเผ่าพันธุ์เหมือนศาสนาอื่นบางศาสนา.
หลังจากนั้นอีกไม่นาน ศาสนาอิสลามก็เผยแพร่กระจายไปยังอินเดีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และรวมทั้งภาคตะวันออกและตะวันตกของทวีปแอฟริกา. แม้ว่าบางแห่งที่ศาสนาอิสลามแพร่ขยายออกไปจะด้วยการพิชิตด้วยคมดาบ แต่ก็มีหลายครั้งที่การเผยแพร่ด้วยแนวทางที่สันติ อาทิ พ่อค้ามุสลิมที่เดินทางไปมาในทวีปแอฟริกาตะวันตกจะไปแต่งงานกับชาวพื้นเมืองและเลี้ยงบุตรหลานขึ้นมาเป็นอย่างมุสลิม และในเวลาไม่นานนักผู้นำพื้นเมืองก็เห็นผลประโยชน์ของการหันมารับศาสนาอิสลาม. การแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางของศาสนาอิสลามทำให้รัฐอิสลามสูญเสียเอกลักษณ์ของความเป็นชาติอาหรับที่เข้มแข็งอาจหาญไป แต่อาณาบริเวณที่กินพื้นที่กว้างขวางจากแอฟริกาตะวันตกมาจนถึงอินโดนีเซียก็กลายเป็นชาวมุสลิมโดยส่วนใหญ่. ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 แม้ว่าจักรวรรดิออตโตมัน เตอร์กสามารถพิชิตจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเบิลลงได้ รวมทั้งบริเวณยุโรปตะวันออกตั้งแต่ฮังการีไปจนถึงแหลมไครเมีย แต่หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา อำนาจอิทธิพลของพวกเตอร์กก็เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว. ก่อนหน้านั้นภายใต้อำนาจของจักรวรรดิออตโตมัน เตอร์กก็มีคนเพียงจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หันมารับศาสนาอิสลาม จึงปรากฏว่ามีชาวมุสลิมอยู่เพียงจำนวนน้อยมากในทวีปยุโรปปัจจุบันแม้ว่าจะมีมุสลิมจากที่อื่นๆ อพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม. นอกจากนี้ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 11 และคริสต์ศตวรรษที่ 15 ชาวมุสลิมก็ถูกผลักดันขับไล่ให้ออกจากประเทศสเปน (ดังปรากฏว่าอาณาจักรอิสลามสุดท้ายในสเปนถูกตีแตกในปีที่โคลัมบัสค้นพบโลกใหม่นั้นเอง) ส่วนทางในยุโรปตะวันออกนั้นก็ปรากฏว่าถูกชาวคริสต์ทวงอำนาจคืนมาและตั้งรัฐคริสเตียนขึ้นมาได้อีกเกือบทั้งหมด, อย่างไรก็ตามชาวมุสลิมก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในดินแดนที่พวกเขาเป็นชนส่วนใหญ่กว่าชนอื่นในประเทศนั้นๆ.
ในปัจจุบันมีชาวมุสลิมอยู่ราว กว่าพันล้านคนทั่วโลก (ชัยวัฒน์, 2541: 4). ทุกวันจะมีเสียงหะซานเรียกขานผู้คนชาวมุสลิมให้มาทำละหมาด และกล่าวประโยคเดียวกันนี้ก้องกังวานอยู่กว่าครึ่งโลก วันละ 5 เวลา: ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระอัลลอฮ์เป็นเจ้า พระนบดีมูฮัมหมัดเป็นศาสดาของพระองค์. นิธิตั้งข้อสังเกตุว่า ถ้าเราใช้จินตนาการคำนึงดู ว่าในคราวหนึ่งๆ นั้น (ถ้าทำได้พร้อมกัน) เราจะมองเห็นที่ตั้งของหินดำอยู่ตรงกลาง แล้วมีประชาชนชาติต่างๆ ที่แตกต่างกันทั้งวัฒนธรรม เชื้อชาติ แนวคิดทางการเมือง ฯลฯ ยอบตัวลงสวดอ้อนวอนแวดล้อมหินดำนั้นออกเป็นชั้นๆ จนไกลสุดลูกหูลูกตา ตั้งแต่อเมริกาใต้ไปจนถึงเมืองกวางตุ้ง จากตอนเหนือสุดแถบเมืองโตโบลสค์จนถึงใต้สุดที่เคปเทาวน์ในอาฟริกา เมื่อคำนึงโดยนัยนี้แล้ว เราจะพบว่าศาสนาอิสลามเป็นองค์การใหญ่ที่ผูกพันคนไว้หลายล้าน แผ่ขยายอยู่ในดินแดนอันไพศาลอย่างยากจะหาศาสนา เชื้อชาติ หรือวัฒนธรรมใดมาเทียบได้ (นิธิ, 2511: 100). เนื่องจาก การที่ท่านประกาศตนเป็นอิสลามิกชน เท่ากับว่าท่านยอมจำนนต่อเจตน์จำนงของพระผู้เป็นเจ้า เจตน์จำนงของพระองค์นั้นหาได้จำกัดอยู่เฉพาะเรื่องส่วนตัวของศาสนิก พระเจ้าย่อมทรงอำนาจสูงสุดและได้ลิขิตทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปบนพื้นโลก ในขณะเดียวกันมนุษย์ย่อมมีจิตอิสระที่จะทำตามเจตน์จำนงของพระองค์หรือไม่ เพราะพระองค์ไม่ทรงบังคับใคร เพราะฉะนั้นเมื่อได้ประกาศตนเป็นศาสนิกชนแล้วก็เท่ากับว่าได้เข้าร่วมอยู่ในประชาคมเดียวกันคือประชาคมอิสลาม (นิธิ, 2511: [20]).
สิ่งที่เป็นมรดกสำคัญของอารยธรรมอิสลามก็คือ หลังจากที่จักรวรรดิตั้งมั่นได้อย่างมั่นคงแล้วก็เกิดยุคแห่งการแปล ทำให้อาหรับได้อ่านตำราภาษาอาหรับที่แปลมาจากภาษาเปอร์เซีย, สันสกฤต, ซีเรีย และกรีก ที่จะเป็นรากฐานให้กับจักรวรรดิอิสลามรุ่งเรืองทางอารยธรรมต่อไปและทำให้ภาษาอาหรับกลายเป็น ขุมทรัพย์แห่งวิชาการที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคนั้น ยุคแห่งการแปลนี้เกิดขึ้นในขณะที่ยุโรปกำลังอยู่ในยุคมืดทางวิชาการ พระเจ้าชาลมาญและขุนนางของพระองค์นั้นกล่าวกันว่ากำลังหัดเขียนนามของตนเองอยู่ (นิธิ, 2511: 216-7).
วิชาดาราศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงแรกๆ ที่ดึงดูดชาวอิสลาม มีผู้แปลตำราดาราศาสตร์จากภาษาสันสกฤตมาเป็นอาหรับในสมัยกาหลับอัล-มันซุร์. ต่อมานักดาราศาสตร์ชาวเปอร์เซียคนหนึ่งที่ชื่อว่า อัล-ควาริสมิ (Al-Khawarizmi ตายประมาณ ค.ศ. 850) ได้เขียนตำราดาราศาสตร์เป็นภาษาอาหรับ และได้สร้างตารางทางดาราศาสตร์ขึ้นโดยอาศัยงานแปลจากภาษาสันสกฤตชิ้นนั้น ผสมกับความรู้ทางดาราศาสตร์ของกรีกและการค้นคว้าของตัวเขาเอง. ในปี ค.ศ. 1126 มีผู้แปลงานชิ้นนี้ของอัล-ควาริสมีเป็นภาษาละตินในเมืองโทรเลโด โดยอาศัยฉบับที่นักศึกษาในสเปนปรับปรุงขึ้นใหม่ ทำให้ตารางดาราศาสตร์ของอิสลามกลายเป็นรากฐานให้แก่การศึกษาดาราศาสตร์ทั้งในตะวันตกและตะวันออก (นิธิ, 2511: 217). นอกจากนี้ยังมีผู้แปลตำราคณิตศาสตร์จากอินเดียเป็นภาษาอาหรับ ส่งผลให้อาหรับรู้จักการเขียนเลขชนิดที่เราเรียกว่า เลขอารบิก ในปัจจุบัน. อัล-ควาริสมิได้ใช้เลขแบบนี้ในหนังสือพีชคณิต (Al-Janr) ซึ่งนับเป็นตำราพีชคณิตเล่มแรกของโลก และเป็นตำราเล่มแรกที่ใช้เลขอาหรับ. ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ได้มีคนแปลงานชิ้นนี้ออกเป็นภาษาละตินในสเปน ทำให้เลขอารบิกแพร่หลายในยุโรป และได้ขยายไปพร้อมกับการใช้เลขศูนย์ ซึ่งอิสลามได้ไปจากอินเดียอีกเช่นกัน (ไม่ใช่มาจากอาหรับดังที่สอนๆ กันอยู่ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย) (นิธิ, 2511: 218).
อย่างไรก็ตาม ในความรู้ทั้งหลายที่ตกทอดมาสู่อิสลามและมาสู่โลกปัจจุบันที่มีค่ามากที่สุดคือความรู้จากภาษากรีก แต่กลับปรากฏว่าคนที่นำความรู้ของกรีกมาสู่โลกอาหรับเป็นชาวซีเรียที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายเนสตอเรียน ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรไบแซนไทน์ (จึงอ่านเขียนภาษากรีกได้เป็นอย่างดี) ก่อนอิสลามเข้ายึดครอง. ในตอนแรกมีการแปลตำรากรีกเป็นภาษาซีเรียก่อนแล้วต่อมาจึงมีคนแปลออกเป็นภาษาอาหรับอีกทอดหนึ่ง. ความนิยมในการแปลตำรากรีกนี้เป็นที่นิยมมากในสมัยกาหลิบอัล-มอะบุน ถึงส่งทูตไปค้นหาเอกสารภาษากรีกมาแปล และได้สร้าง หอแห่งปัญญา (House of Wisdom) ขึ้นเป็นสถาบันในเชิงห้องสมุด วิทยาลัย และสำนักงานแปลอยู่ในตัว. นักแปลคนตำรากรีกสำคัญคือ หุเนน อิบน์-อิชาค (Hunayn Ibn Ishaq, ค.ศ. 709-873) ซึ่งเป็นชาวคริสต์นิกายเนสโตเรียนจากแคว้นหิราในซีเรีย และมีตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการของห้องสมุดที่กาหลิบอัล-มอะมุนทรงตั้งขึ้น. หุเนนสนใจวิชาการแพทย์และปรัชญา จึงแปลตำราแพทย์ศาสตร์ของกาเลนและฮิปโปโตเครติส (ต่อมาตำราต้นฉบับเดิมของกาเลนสูญหายไปจึงเท่ากับว่าอาหรับได้ช่วยรักษาความรู้ของกาเลนสืบทอดลงมาไว้ให้กับชาวโลกได้ศึกษา), ตำราชีววิทยาของดิออสโคริดิส, แปลอุตมรัฐ หรือ The Republic ของเพลโต, และแปลตำราปรัชญาเรื่อง Categories and Physics ของอริสโตเติล. นอกจากนี้ก็ยังมีชาวคริสต์นิกายเซนต์จอห์นในซีเรียที่ทำงานด้านการแปลไว้มาก โดยเฉพาะแปลตำราดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ของอาร์คีมิดัส และปรับปรุงการแปลตำราคณิตศาสตร์ของยูคลิดที่หุเนนเคยแปลไว้ให้ดีขึ้น (นิธิ, 2511: 222-3).
หลังยุคของการแปลชาวมุสลิมก็ได้ค้นคว้าและพัฒนาความรู้ของตนเองขึ้นมา. ผลงานที่สำคัญก็คือการค้นพบบักเตรีและค้นพบความแตกต่างระหว่างการออกหัดกับฝีดาษของอัล-รอะซิ (Al-Razi, ค.ศ. 865- 925), สารานุกรมการแพทย์ของอัล-รอะซิที่ชื่อว่า อัล-ฮอะวิ (Al-Hawi) นั้นได้มีคนแปลเป็นภาษาละตินในซิซิลีเมื่อ ค.ศ. 1279 โดยใช้ชื่อว่า Continens ต่อมาก็ได้รับการพิมพ์ซ้ำอยู่เสมอและใช้เป็นตำราเรียนแพทย์ในยุโรป และฉบับพิมพ์ครั้งสุดท้ายที่พบคือเมื่อ ค.ศ. 1542 ในเวนิส. แพทย์เชื้อสายอาหรับเปอร์เซียอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากคือ อัล-มอะชุสิ (Al-Majusi, เสียชีวิตในปี ค.ศ. 994, สันนิษฐานว่านับถือศาสนาโซโรแอสเตอร์) ซึ่งได้เขียนตำราที่มีชื่อเสียงมากเรื่อง อัล-กิตาบ อัล-มอะละกิ (Al-Kitab Al-Malaki) หรือหนังสือหลวงอันเป็นคลังแห่งวิทยาศาสตร์และแพทย์ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เสนอความก้าวหน้าแก่วงการแพทย์ด้วยแนวคิดขั้นต้นของระบบเส้นเลือดฝอย และข้อพิสูจน์ที่ว่าการคลอดเด็กนั้นมิได้คลอดออกมาด้วยตัวของตัวเอง แต่เกิดจากการรัดตัวของกล้ามเนื้อในมดลูกดันตัวเด็กออกมา. ต้นฉบับภาษาอาหรับและฉบับภาษาละตินของเขาเป็นตำราที่ศึกษากันทั้งในตะวันตกและตะวันออกจนกระทั่งเมื่อนักปราชญ์อิสลามอีกคนหนึ่งคือ อิบน์-ซินอะ (Ibn-Sina, ค.ศ. 990-1073) เขียนงานชื่อ คอะนุน (Qanun) ออกมา. สมัยของอิบน์ซินอะเป็นสมัยที่วิทยาศาสตร์ของอิสลามเจริญถึงขีดสุด. อิบน์-ซินอะเป็นทั้งแพทย์ นักนิรุกติศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ และกวี. งานชิ้นสำคัญของเขาบรรจุความรู้ใหม่ในวงการแพทย์หลายอย่าง เช่น ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของวัณโรคว่าติดต่อได้ง่าย รู้ว่าเชื้อโรคอาจแพร่ได้ทั้งทางดินและทางน้ำ ตัวยาที่ศึกษามีมากถึง 760 ชนิด. ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เยอราดแห่งคลีโมนา แห่งเมืองโทรเลโด ได้แปลหนังสือเล่มนี้ออกเป็นภาษาละติน ทำให้ Qanun กลายเป็นตำราการแพทย์ที่เข้ามาแทนที่งานของกาเลน และใช้เป็นตำรากันมาอีกหลายคริสต์ศตวรรษ.
สำหรับหลักคำสอนสำคัญของอิสลามนั้นมีอยู่ 3 เรื่องที่พึงพิจารณา คือ ความเชื่อเรื่องพระเจ้า, พระนบีมูฮัมหมัด ซึ่งเป็นพระศาสนทูตของพระเจ้า, และหลักหน้าที่ปฏิบัติของอิสลามิกชน.
1)ความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า แยกออกเป็น 3 ประการ คือ สาระแห่งพระอัลลอฮ์, คุณวิเศษแห่งพระอัลลอฮ์ และกรณียกิจแห่งพระอัลลอฮ์
สาระแห่งพระอัลลอฮ์ คือ 1)การมีอยู่ของพระเจ้าเป็นสิ่งจำเป็น, 2)พระเจ้าย่อมมีอยู่ตั้งแต่อดีตกาลนิรันดร, 3)พระเจ้าย่อมมีอยู่ต่อไปตราบเท่านิรันดร, 4)พระเจ้าทรงมีสภาพอันพ้นจากการคำนึงได้ถึง, 5)สภาพอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์, 6)พระองค์ย่อมปรากฏอยู่ทุกหนแห่งและทุกกาลเวลา, 7)อรูปภาวะของพระองค์, 8)ความเป็นเอกลักษณะไม่เหมือนสิ่งใดของพระองค์
คุณวิเศษแห่งพระอัลลอฮ์ คือ 1)พระองค์มีชีวิต, 2)พระองค์มีวิชชา, 3)พระองค์มีอานุภาพ, 4)พระองค์มีเจตนา, 5)พระองค์มีปัญญา, 6)พระองค์มีวาทะ, 7)พระองค์มีพลังจะประกอบกรรมใดๆ ก็ได้
กรณียกิจแห่งพระอัลลอฮ์ คือ 1)การสร้างสรรค์ของพระองค์, 2)การรักษาไว้ (ซึ่งสิ่งที่พระองค์สร้าง), 3)การประทานนิมิต (วะฮีห์ หรือการเผยแสดงสัจธรรมของพระเจ้า), 4)การกำหนดโชคชะตาของสรรพสิ่งไว้ก่อนของพระองค์ (นิธิ, 2511: 90-91).[16]
2)ความเชื่อในเรื่องพระนบีมูฮัมหมัด ซึ่งสรุปเป็น 4 ประการ คือ 1)พระอัลลอฮ์ทรงมีผู้สื่อข่าวในหมู่มวลมนุษย์ เพื่อตอบแทนความดีแก่ผู้ทำความดี และเตือนผู้ประพฤติชั่วให้สำนึกว่าจะต้องได้รับทัณฑ์, 2)พระนบีจะเป็นผู้บอกแก่ประชาชนว่าสิ่งที่เหมาะในทางศาสนาและในทางฆราวาส, 3)พระนบดีช่วยประชาชนโดยบอกอย่างชัดเจนหรือแสดงปาฏิหาริย์ และ 4)ศาสดาคนแรกคืออาดัม และคนสุดท้ายคือพระมูฮัมหมัด (นิธิ, 2511: 96).
3)หน้าที่สำคัญ 5 ประการของอิสลามิกชน กล่าว คือ
1)ประกาศเป็นอิสลามิกชนด้วยถ้อยคำง่ายๆ ว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระอัลลอฮ์เป็นเจ้า พระนบดีมูฮัมหมัดเป็นศาสดาของพระองค์.[17]
2)กระทำการนมัสการสวดอ้อนวอนพระอัลลอฮ์วันละ 5 หน คือ ก่อนอาทิตย์ขึ้น, ตอนเที่ยง, ตอนบ่ายจนถึงก่อนอาทิตย์ตก, ตอนเย็น, และตอนกลางคืน โดยในการสวดนี้ อิสลามิกชนจะต้องหันหน้าไปทางเมืองเมกกะอันเป็นที่ตั้งของหินดำ และในวันศุกร์การสวดจะต้องทำเป็นการสาธารณะ ผู้ใหญ่ที่เป็นชายทุกคนต้องเข้าร่วมการสวดอ้อนวอน โดยมีผู้นำทำหน้าที่นำสวด ตลอดจนการเทศน์.
3)บริจาคซะกาตหรือเงินบำรุงประชาคมมุสลิม 2 ½ % ของรายได้ต่อปี, แต่เดิมการให้ทานถือเป็นบุญกุศลและทำโดยใจสมัคร แต่ในภายหลังเป็นหลักบังคับว่าทุกคนต้องให้ (แม้แต่ทหารก็ต้องเสียภาษีซะกาตนี้) จึงทำให้มีลักษณะเป็นภาษีไปในตัวสำหรับนำมาช่วยเหลือเพื่อนร่วมศาสนาที่ยากจน หรือนำมาใช้ในการสร้างสุเหร่าและกิจการอื่นๆ ของรัฐ. ในภายหลังที่จักรวรรดิอิสลามเสื่อมสลายลง ภาษีทานที่ต้องบังคับก็กลายเป็นการทำบุญโดยใจสมัครเหมือนเดิม.
4)ถือศีลอดในเดือนรอมมะฏอน (Ramadan) โดยจะต้องละเว้นจากการดื่มหรือเสพย์สิ่งใด รวมทั้งการใช้เครื่องหอมชโลมตัวและการเสพย์กาม นับตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกดิน.
5)ประกอบพิธีหัจญ์ (Hajj) อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิตหากกระทำได้.